ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)  (อ่าน 25629 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #75 เมื่อ: มี.ค. 19, 2010, 10:05 PM »
0

สูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 163 – 164

 


คำอ่าน
163. วะอิลาฮุกุม อิลาฮู..วาหิด, ลา..อิลาฮะอิลลา ฮุวัรฺเราะหฺมานุรฺเราะหีม

คำแปล R1.
163. And Your Ilah (God) is one Ilah (God - Allah), La ilaha illa Huwa (there is none who has the right to be worshiped but He), the Most Beneficent, the Most Merciful.

คำแปล R2.
163. และพระเจ้าของพวกเจ้าทั้งหลาย เป็นพระเจ้าองค์เดียว ไม่มีพระเจ้าอื่นใดทั้งสิ้น นอกจากพระองค์เท่านั้น พระองค์ทรงเมตตายิ่งนัก อีกทั้งทรงกรุณายิ่ง

คำแปล R3.
163. และพระเจ้าของสูเจ้านั้นคืออัลลอฮฺองค์เดียว ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกนอกจากพระองค์ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ

คำแปล R4.
163. และผู้ที่ควรแก่การ เคารพ สักการะของพวกเจ้านั้น มีเพียงองค์เดียว ไม่มีผู้ควรแก่การเคารพสักการะใด ๆ นอกจากพระองค์ ผู้ทรงกรุณาปรานีผู้ทรงเมตตาเสมอเท่านั้น

คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ พวกกาฟิรชาวมักกะห์ได้กล่าวแก่มูฮำมัดว่า ท่านจงบรรยายคุณสมบัติของพระเจ้าของพวกท่านให้เราฟังซิว่าเป็นไฉน
๑๖๓. อันว่าพระเจ้าของพวกเจ้าซึ่งจำเป็นแก่การสักการะจากพวกเจ้านั้น เป็นพระเจ้าองค์เดียวทั้งในส่วนพระองค์ คุณสมบัติของพระองค์ และการกระทำของพระองค์ ซึ่งไม่มีพระเจ้าองค์ใดที่มีองค์เป็นเดี่ยว คุณสมบัติเดี่ยว และการกระทำเดี่ยว เว้นแต่พระองค์อัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตาทั่วไปต่อสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ทรงเมตตาเฉพาะแก่พวกมุอ์มินในโลกหน้า
[/color]


คำอ่าน
164. อิน..นะฟีค็อลกิสสะมาวาติ วัลอัรฎิ วัคติลาฟิลลัยลิ วัน..นะฮาริ วัลฟุลกิลละตี ตัจญรีฟิลบะหฺริ บิมายัน..ฟะอุนนาสะ วะมา..อัน..ซะลัลลอฮุ มินัสสะมา...อิ มิม..มา...อิน..ฟะอะหฺยาบิฮิลอัรเฎาะ บะอฺดะเมาติฮา วะบัษษะฟีฮา มิน..กุลลิดา...บบะฮฺ, วะตัศรีฟิรฺริยาหิ วัสสะหาบิลมุสัคเคาะริ บัยนัสสะมา...อิวัลอัรฺฎิ ละอายาติลลิก็อวฺมียะอฺกิลูน

คำแปล R1.
164. Verily! In the creation of the heavens and the earth, and in the alternation of night and day, and the ships which sail through the sea with that which is of use to mankind, and the water (rain) which Allah sends down from the sky and makes the earth alive therewith after its death, and the moving (living) creatures of all kinds that He has scattered therein, and in the veering of winds and clouds which are held between the sky and the earth, are indeed Ayat (proofs, evidences, signs, etc.) for people of understanding.

คำแปล R2.
164. แท้จริงในการบันดาลชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และการสับเปลี่ยนของกลางคืนกับกลางวัน และนาวาที่วิ่งอยู่ในทะเล นำมาซึ่งสิ่งที่อำนวยคุณานุประโยชน์แก่มวลมนุษย์ และน้ำฝนที่อัลเลาะฮฺได้หลั่งลงมาจากฟากฟ้า แล้วพระองค์ได้ใช้มันชุบชีวิตแก่แผ่นดิน (ให้อุดมสมบูรณ์ขึ้น) ภายหลังจากมันได้ตาย (แห้งแล้ง) ไปแล้ว และทรงบันดาลสัตว์ทุกชนิดให้แพร่กระจายอยู่ในแผ่นดิน และการผันแปรของลม และเมฆที่ถูกควบคุม (ให้พัดลอยอยู่) ระหว่างฟ้ากับดินเหล่านั้น ย่อมเป็นสัญลักษณ์ สำหรับมวลชนที่ใช้ปัญญาตริตรอง

คำแปล R3.
164. (ถ้าหากพวกเขาต้องการสัญญาณเพื่อยืนยันถึงความจริงนี้) แน่นอนมีสัญญาณมากมายสุดคณานับสำหรับผู้ที่ใช้สติปัญญา พวกเขาสามารถเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ในการสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และในการสับเปลี่ยนของกลางคืนและกลางวัน และในเรือที่ล่องลอยในมหาสมุทรด้วยสรรพสิ่งที่อำนวยประโยชน์แก่มนุษย์ และในน้ำฝนที่อัลลอฮฺได้หลั่งลงมาจากฟากฟ้า และจากน้ำนั้น พระองค์ได้ชุบชีวิตให้แก่แผ่นดินหลังจากที่มันได้ตายไป และได้ทรงแพร่ขยายสัตว์ทุกชนิดให้กระจายออกไป และในการผันแปรของลมและเมฆที่คอยคำสั่งอย่างเชื่อฟังระหว่างชั้นฟ้าและแผ่นดิน

คำแปล R4.
164. แท้จริงในการสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน และสับเปลี่ยนกลางคืนและกลางวัน และเรือที่วิ่งอยู่ในทะเล พร้อมด้วยสิ่งที่อำนวยประโยชน์แก่มนุษย์ และน้ำที่อัลลอฮฺได้ทรงหลั่งลงมาจากฟากฟ้า แล้วทรงให้แผ่นดินมีชีวิตชีวาขึ้น ด้วยน้ำนั้นหลังจากที่มันตายไปแล้ว และได้ทรงให้สัตว์แต่ละชนิด แพร่สะพัดไปในแผ่นดิน และในการให้ลมเปลี่ยนทิศทาง และให้เมฆซึ่งถูกกำหนดให้บริการ (แก่โลก) ผันแปรไประหว่างฟากฟ้าและแผ่นดินนั้น แน่นอนล้วนเป็นสัญญาณนานาประการแก่กลุ่มชนที่ใช้ปัญญา

คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ กาฟิรชาวมักกะห์มีรูปเคารพอยู่รอบไบตุลเลาะห์จำนวน ๓๖๐ องค์ ครั้นเมื่อพวกนั้นได้ยินโองการที่ ๑๖๓ ประกาศขึ้น ก็เกิดความฉงนสนเท่ห์ ถึงกับกล่าวว่า โอ้มูฮำมัด แม้นว่าท่านมีวาจาเป็นสัจจริงแล้ว ก็จงนำหลักฐานมาแสดงเป็นข้อพิสูจน์วาจาสัจของท่านแก่พวกเรา และแสดงให้พวกเรารู้ว่า พระเจ้าของท่านมีองค์เดียว
๑๖๔. แท้จริงในการสร้างบรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและแผ่นดิน ตลอดจนสิ่งประหลาดต่าง ๆ ที่มีอยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินก็ดี การสลับเปลี่ยนไปมา ตลอดจนการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของกลางคืนและกลางวันก็ดี เรือที่แล่นอยู่ในทะเลโดยไม่จมลงก้นทะเล ทั้ง ๆ ที่มีสัมภาระต่าง ๆ ซึ่งยังประโยชน์แก่มนุษย์บรรทุกอยู่จนเพียบก็ดี น้ำฝนที่อัลเลาะห์ได้ทรงส่งลงมาจากฟากฟ้า ทรงทำให้แผ่นดินชุ่มชื้นมีชีวิตชีวาขึ้น ภายหลังจากมันแห้งแล้ง และทรงให้มีสัตว์ทุกชนิด พืชทุกชนิด แพร่อยู่โดยทั่ว ณ หน้าแผ่นดินด้วยน้ำฝนนั้นก็ดี และกระแสลมที่พัดไปมาทางใต้บ้าง ทางเหนือบ้าง เป็นลมร้อนบ้างและลมเย็นบ้าง อีกทั้งเมฆที่ลอยไปมาอยู่ระหว่างฟากฟ้าและผืนแผ่นดินโดยมิได้เกาะเกี่ยวอยู่กับอะไรก็ดี เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่อัลเลาะห์ทรงสร้าง และเป็นสัญญลักขณ์อันแสดงถึงความเป็นเดี่ยวของพระองค์ สำหรับมวลชนจะพิเคราะห์ดู



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #76 เมื่อ: มี.ค. 23, 2010, 12:21 AM »
0

สูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 165 – 167


คำอ่าน
165. วะมินัน..นาสิ มัย..ยัตตะคิซุ มิน..ดูนิลลาฮิ อัน..ดาดัย..ยุหิบบูนะฮุม กะหุบบิลลาฮฺ, วัลละซีนะอามะนู..อะชัดดุหุบบัลลิลลาฮฺ, วะเลายะร็อลละซีนะเซาะละมู..อิซยะร็อวนัลอะซาบะ อัน..นัลกูวะตะลิลลาฮิญะมีเอา..วะอัน..นัลลอฮะ ชะดีดุลอะซาบ

คำแปล R1.
165. And of mankind are some who take (for worship) others besides Allah as rivals (to Allah). They love them as they love Allah. But those who believe love Allah more (than anything else). If only, those who do wrong could see, when they will see the torment that all power belongs to Allah and that Allah is severe in punishment.

คำแปล R2.
165. และบางส่วนจากมวลมนุษย์ มีผู้ที่ยึดเอาอื่นจากอัลเลาะฮฺมาเป็นคู่เคียง(กับพระองค์) พวกเขารักสิ่งเหล่านั้น ประดุจเดียวกันกับพวกเขารักอัลเลาะฮฺ และบรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย ย่อมมีความรักอันลึกซึ้งที่สุดต่ออัลเลาะฮฺ และหากบรรดาผู้ฉ้อฉลมองเห็นขณะที่พวกเขามองเห็นการลงโทษว่าพลานุภาพทั้งมวลเป็นของอัลเลาะฮฺ และแท้จริงอัลเลาะฮฺทรงลงโทษรุนแรงนัก (พวกเขาก็จะไม่เนรคุณและปฏิเสธอย่างแน่นอน)

คำแปล R3.
165. (ถึงแม้จะมีสัญญาณอันชัดแจ้งมาแสดงความเป็นหนึ่งของอัลลอฮฺแล้วก็ตาม) ในหมู่มนุษย์ก็ยังมีผู้ยึดเอาสิ่งอื่นเป็นที่เทียบเคียงกับอัลลอฮฺ และพวกเขารักมันเหมือนกับความรักที่พวกเขาจะต้องมีต่ออัลลอฮฺ ในขณะที่ผู้ศรัทธานั้นมีความรักในอัลลอฮฺมากกว่า ถ้าหากบรรดาผู้ที่ละเมิดเหล่านี้ได้เห็นการลงโทษต่อหน้าเขา พวกเขาจะตระหนักว่า อำนาจทั้งปวงนั้นเป็นของอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงเข้มงวดในการลงโทษ

คำแปล R4.
165. และในหมู่มนุษย์นั้น มีผู้ที่ยึดถือบรรดาภาคี อื่นจากอัลลอฮ์ ซึ่งพวกเขารักภาคีเหล่านั้นเช่นเดียวกับรักอัลลอฮ์ แต่บรรดาผู้ศรัทธานั้นเป็นผู้ที่รักอัลลอฮ์มากยิ่งกว่า และหากบรรดาผู้อธรรมจะได้เห็น ขณะที่พวกเขาเห็นการลงโทษอยู่นั้น (แน่นอนพวกเขาจะต้องตระหนักดีว่า) แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงลงโทษที่รุนแรง

คำแปล R5.
๑๖๕. และบางส่วนจากมนุษย์พวกกาฟิร ก็มีผู้ถือเอาอื่นจากอัลเลาะห์ อันได้แก่เทวรูปต่าง ๆ เป็นต้น เป็นพระเจ้าเสมอด้วยอัลเลาะห์ โดยมีใจรักเทวรูปเหล่านั้นเหมือน ๆ กับที่รักอัลเลาะห์ แต่บรรดาผู้เป็นมุอ์มินย่อมรักอัลเลาะห์หนักแน่นยิ่งกว่าพวกกาฟิรรักเทวรูป เพราะว่าที่พวกมุอ์มินรักอัลเลาะห์นั้นเป็นความรักที่ถาวรอย่างไม่มีเวลาจะเปลี่ยนแปร ส่วนพวกกาฟิรรักพระองค์ ก็เฉพาะเวลาที่พวกนั้นมีภัยมาประสบเท่านั้น
สรุปความตามหลักวิชามันติก(ตรรกวิทยา)ว่า ถ้าแม้นพวกกาฟิรใช้ปัญญาตรึกตรองตามความในโองการที่ ๑๖๔แล้ว พวกนั้นก็คงจะไม่เอาเทวรูปมาเป็นพระเจ้า แต่นี่ปรากฏว่าพวกนั้นได้เอาเทวรูปเป็นพระเจ้าย่อมแสดงว่าพวกนั้นมิได้ใช้ปัญญาตรึกตรองดูความจากโองการที่ ๑๖๔ เลย และโอ้มูฮำมัด หากว่าเจ้าแลเห็นบรรดาผู้คดโกงในฐานะที่ยึดถือเทวรูปเป็นพระเจ้า ในขณะที่พวกนั้นแลเห็นการลงโทษทรมานในวันกิยามะห์(วันสิ้นโลก)แล้ว แน่นอนเจ้าก็จะได้แลเห็นสภาพการที่สับสนอลเวงของพวกเหล่านั้น เพราะแท้จริงพลานุภาพนั้นย่อมเป็นของอัลเลาะห์ทั้งสิ้น และแท้จริงอัลเลาะห์ทรงให้การลงโทษทรมานหนักยิ่งนัก
   สรุปความตามวิชามันติก(ตรรกวิทยา)ว่า ถ้าแม้นในภพนี้พวกกาฟิรได้รู้ล่วงหน้าว่า การลงโทษทรมานในโลกอาคิเราะห์(ปรภพ)นั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน รู้ว่าพลานุภาพก็เป็นของอัลเลาะห์ รู้ว่าพวกตนจะต้องได้แลเห็นพระองค์ทรงปรากฏอยู่ในวันกิยามะห์(วันสิ้นโลก)ตลอดทั้งการงานอันยิ่งใหญ่ของพระองค์แล้วไซร้ พวกนั้นก็จะไม่ยึดถือเทวรูปเป็นพระเจ้า แต่ว่าพวกนั้นยังคงถือเทวรูปเป็นพระเจ้ากันอยู่ นั่นแสดงว่า ในภพนี้พวกนั้นไม่ได้รู้การณ์ล่วงหน้าตามที่กล่าวนั้นเลย


คำอ่าน
166. อิซตะบัรฺเราะอัลละซีนัตตุบิอู มินัลละซีนัตตะบะอู วะเราะอะวุลอะซาบะ วะตะก็อฏเฏาะอัต บิฮิมุลอัสบาบ

คำแปล R1.
166. When those who were followed, disown (declare themselves innocent of) those who followed (them), and they see the torment,then all their relations will be cut off from them.

คำแปล R2.
166. เมื่อกลุ่มชนที่ถูกตามได้ปลีกเอาตัวรอดจากลุ่มชนที่ถือตาม ในขณะพวกเหล่านั้นได้มองเห็นการลงโทษแล้ว (ว่าได้อุบัติขึ้นอย่างเลี่ยงไม่พ้น) และบรรดาสัมพันธภาพ (ที่เคยมีอยู่ต่อกันและกันทางเครือญาติหรือมิตรสหายหรือสนธิสัญญา)ก็ได้ขาดสะบั้นไปแล้วจากพวกเขา (เพราะเขาจะประสบกับความวุ่นวายที่สุด ซึ่งถ้าพวกเขาเห็นเช่นนั้น พวกเขาก็คงจะไม่ปฏิเสธ และเนรคุณอย่างแน่นอน)

คำแปล R3.
166. เมื่อพระองค์จะทรงลงโทษ บรรดาพวกหัวหน้าและผู้นำที่พวกเขาทั้งหลายปฏิบัติตามในโลกนี้จะผละออกจากพวกเขา แต่การลงโทษที่พวกเขาจะได้รับและความเกี่ยวพันกันของพวกเขาทั้งหมดจะถูกตัดขาด

คำแปล R4.
166. (และ) ขณะที่บรรดาผู้ถูกตาม ได้ปลีกตัวออกจากบรรดาผู้ตาม และขณะที่พวกเขาเห็นการลงโทษ และขณะที่บรรดาสัมพันธภาพที่มีต่อกันได้ขาดสะบั้นลง

คำแปล R5.
๑๖๖. ถ้าแม้นเจ้าได้แลเห็นบรรดาผู้คดโกงที่เอาเทวรูปมาเป็นพระเจ้าอีก ในตอนนั้นบรรดาหัวหน้าผู้ถูกตามได้ปลีกตัวออกจากบรรดาผู้เจริญตาม โดยกล่าวปฏิเสธว่า พวกเขามิได้แนะนำและชักชวนให้พวกผู้ตามเหล่านั้นยึดถือเทวรูปเป็นพระเจ้าโดยที่พวกนั้นทั้งฝ่ายหัวหน้าและผู้เจริญตามได้แลเห็นโทษแล้ว และในที่สุดพวกเหล่านั้นต่างตัดญาติขาดมิตรกันในตอนนั้นเอง เมื่อเป็นดังกล่าวนี้แล้วไซร้ แน่นอนเจ้าก็จะได้แลเห็นสภาพการณ์ที่สับสนอลเวงของพวกเหล่านั้นอีก เพราะแท้จริง พลานุภาพนั้นย่อมเป็นของอัลเลาะห์ทั้งสิ้น และแท้จริงอัลเลาะห์ทรงให้การลงโทษทรมานหนักยิ่งนัก


คำอ่าน
167. วะกอลัลละซีนัตตะบะอู เลาอัน..นะละนา กัรฺเราะตัน..ฟะนะตะบัรฺเราะอะมินฮุม กะมาตะบัรฺเราะอูมิน..นา, กะซาลิกะยุรีฮิมุลลลอฮุ อะอฺมาละฮุม หะสะรอตินอะลัยฮิม วะมาฮุม..บิคอริญีนะมินัน..นารฺ

คำแปล R1.
167. And those who followed will say: "If only we had one more chance to return (to the worldly life), we would disown (declare ourselves as innocent from) them as they have disowned (declared themselves as innocent from) us." Thus Allah will show them their deeds as regrets for them. And they will never get out of the Fire.

คำแปล R2.
167. และบรรดาผู้ถือตามได้กล่าวว่า หากเรามีโอกาสได้ย้อนกลับ (ไปสู่สากลโลกอีกสักครั้ง) เราก็จะขอปลีกตัวออกจากพวกนั้นอย่างแน่นอน ประดุจเดียวกับที่พวกเขาได้ปลีกตัวรอดไปจากพวกเรา (ในเวลานี้) เช่นนั้นแหละ! อัลเลาะฮฺทรงให้พวกเขามองเห็นการงานของพวกเขา เป็นความระทมแก่พวกเขาเอง และพวกเขาไม่มีโอกาสออกจากนรกเลย

คำแปล R3.
167. แล้วบรรดาผู้ที่ตามจะกล่าวว่า “ถ้าหากเรามีโอกาสที่จะกลับไปสู่โลกแล้วละก็ เราจะผละจากพวกเขาเหมือนกับที่พวกเขาจะผละจากเรา” ดังนั้น อัลลอฮฺจะนำเอาการงานของพวกเขาที่กระทำไว้ในโลกนี้มาแสดงจนทำให้พวกเขารู้สึกรันทด แต่พวกเขาไม่สามารถที่จะพ้นออกไปจากไฟนรกได้

คำแปล R4.
167. และบรรดาผู้ที่ตามได้กล่าวว่า หากว่าเรามีโอกาสกลับไปอีกครั้งหนึ่งเราก็จะปลีกตัวออกจากพวกเขาบ้าง เช่นเดียวกับที่พวกเขาได้ปลีกตัวออกจากพวกเรา ในทำนองเดียวนั้นแหละ อัลลอฮ์จะทรงให้พวกเขาเห็นงานต่างๆ ของพวกเขาเป็นที่น่าเสียใจแก่พวกเขา และทั้งพวกเขาจะไม่ได้ออกจากไฟนรกด้วย

คำแปล R5.
๑๖๗. และบรรดาผู้เจริญตามได้กล่าวว่า มาดแม้นว่าเรามีโอกาสคืนกลับไปยังภพดุนยา(โลกนี้)อีกครั้งหนึ่งแล้ว แน่นอนพวกเราก็จะปลีกตัวจากพวก(หัวหน้า)นั้น คือเราจะบอกปัดว่า แท้จริงการที่พวกหัวหน้าได้เสนอแนะ และชักชวนพวกเราให้ยึดถือเทวรูปเป็นพระเจ้านั้นเป็นการทรยศต่ออัลเลาะห์ แล้วพวกเราจะปลีกตัวออกไม่ยอมคบกับหัวหน้าเหล่านั้น ทั้งยังจะขอตอ่อัลเลาะห์ให้ทรงสาปแช่งพวกหัวหน้าเหมือนกับที่พวก(หัวหน้า)นั้นได้ปลีกตัวออกจากพวกเราในภพอาคิเราะห์ (ปรภพ)นี้ ด้วยคำอ้างอย่างที่กล่าวแล้วข้างต้น ทำนองเดียวกับที่อัลเลาะห์ทรงให้พวกทั้งสองนั้นได้แลเห็นการลงโทษทรมานที่หนักยิ่ง นี้แหละ อัลเลาะห์ก็จะทรงให้พวกเขาทั้งสองนั้นได้แลเห็นการกระทำชั่วของตนเป็นที่สลดใจแก่พวกทั้งสองอย่างไม่มีทางออกพ้นจากนรกได้เลย หลังจากที่พวกเขาถูกส่งเข้าไปแล้ว



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #77 เมื่อ: มี.ค. 23, 2010, 09:04 PM »
0

สูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 168 – 170

 
คำอ่าน
168. ยา..อัยยุฮัน..นาสุ กุลูมิม..มาฟิลอัรฺฎิ หะลาลัน..ฏ็อยยิเบา..วะลาตัตตะบิอูคุฏุวาติชชัยฏอน, อิน..นะฮูละกุมอะดูวุม..มุบีน

คำแปล R1.
168. O mankind! Eat of that which is lawful and good on the earth, and follow not the footsteps of Shaitan (Satan). Verily, he is to you an open enemy.

คำแปล R2.
168. โอ้มวลมนุษย์! พวกเจ้าจงบริโภคจากสิ่งที่มีอยู่ในพื้นพิภพเถิด เฉพาะสิ่งอนุมัติอีกทั้งที่มีคุณประโยชน์เท่านั้น และเจ้าทั้งหลายอย่าได้เดินตามทางของมารร้าย เพราะมันเป็นศัตรูอันชัดเจนของพวกเจ้า

คำแปล R3.
168. มนุษย์เอ๋ย จงกินสิ่งที่ได้รับอนุมัติและที่ดีจากที่มีอยู่ในแผ่นดิน และจงอย่าปฏิบัติตามแนวทางของมาร เพราะมารเป็นศัตรูที่เปิดเผยของสูเจ้า

คำแปล R4.
168. มนุษย์เอ๋ย! จงบริโภคสิ่งอนุมัติที่ดี ๆ จากสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน และจงอย่าตามบรรดาก้าวเดินของชัยฏอน แท้จริงมันคือศัตรูที่ชัดแจ้งของพวกเจ้า

คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ ชาวมักกะห์งดการบริโภคเนื้ออูฐ ๔ ชนิด เพราะถือว่าบาป ซึ่งแต่ละชนิดจะมีบรรยายไว้ใน สูเราะห์อัลมาอิดะห์โองการที่ ๑๐๓
๑๖๘. โอ้ปวงชนมุอ์มิน พวกเจ้าจงบริโภคบางสิ่ง ณ หน้าแผ่นดิน ซึ่งบางอย่างจากสิ่งนั้นเป็นที่อนุญาตทางศาสนา อันมีทั้งที่อารมณ์ไม่ชอบ เช่น ยารักษาโรค เป็นต้น และที่อารมณ์ชอบ เช่น อาหารประจำวันและอูฐ ๔ ชนิด แต่อย่าบริโภคสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ชอบด้วยศาสนา ในทำนองที่เป็นแต่ภัย เช่น หิน กรวด ไม้ เป็นต้น และจงอย่าเจริญตามวิถีทางบาปของพวกมาร คือ พวกมนุษย์และญิน ที่หลอกลวงให้เห็นเป็นดี เพราะแท้จริงมารเหล่านั้น มันเป็นศัตรูอย่างแจ้งชัดต่อพวกเจ้า

   

คำอ่าน
169. อิน..นะมายะอ์มุรุกุม..บิสสู...อิ วัลฟะหฺชา...อิ วะอัน..ตะกูลูอะลัลลอฮิมาลาตะอฺละมูน

คำแปล R1.
169. He [Shaitan (Satan)] commands you only what is evil and Fahsha (sinful), and that you should say against Allah what you know not.

คำแปล R2.
169. อันที่จริงมันจักใช้พวกเจ้าให้ประกอบความชั่วและความอนาจาร และ(มันจะใช้ให้)พวกเจ้ากล่าว(เท็จ)แก่อัลเลาะฮฺในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้

คำแปล R3.
169. มันเสี้ยมสอนให้สูเจ้ากระทำสิ่งชั่วช้าลามกและชักนำสูเจ้าให้กล่าวถึงอัลลอฮฺในสิ่งที่สูเจ้าไม่รู้

คำแปล R4.
169. ที่จริงมันเพียงแต่จะใช้พวกเจ้าให้ประกอบสิ่งชั่ว และสิ่งลามกเท่านั้น และจะใช้พวกเจ้ากล่าวความเท็จให้แก่อัลลอฮ์ในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้

คำแปล R5.
๑๖๙. เฉพาะพวกมัน(มาร)เท่านั้นที่ใช้พวกเจ้าให้กระทำบาปและสิ่งน่าขยะแขยง ตลอดจนใช้ให้พวกเจ้าพูดจาแอบอ้างอัลเลาะห์ถึงสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้ ว่าสิ่งที่พึงอนุญาตเป็นสิ่งที่ต้องห้าม และสิ่งต้อง้ามเป็นสิ่งที่พึงอนุญาต


คำอ่าน
170. วะอิซากีละละฮุมุตตะบิอู มา..อัน..ซะลัลลอฮุ กอลูบัลนัตตะบิอู มา..อัลฟัยนาอะลัยฮิ อาบา..อะนา, อะวะเลากานะอาบา..อุฮุม ลายะอฺกิลูนะชัยเอา..วะลายะฮฺตะดูน

คำแปล R1.
170. When it is said to them: "Follow what Allah has sent down." They say: "Nay! We shall follow what we found our fathers following." (Would they do that?) Even though their fathers did not understand anything nor were they guided?

คำแปล R2.
170. และเมื่อมีผู้กล่าวแก่พวกเขาว่า ท่านทั้งหลายจงประพฤติตามบทบัญญัติที่อัลเลาะฮฺทรงประทานลงมาเถิด พวกเขากลับโต้ว่า ทว่าพวกเราจะปฏิบัติตามที่พวกเราได้พบเห็นบรรพบุรุษของเราเคยปฏิบัติมาก่อนและจะเป็นอย่างไรเล่า หากว่าบรรพบุรุษของพวกเขานั้นไม่ได้มีปัญญาตริตรองในเรื่องใด ๆ เลย และมิได้รับการชี้นำใด ๆ ทั้งสิ้น(แน่นอนสิ่งที่เป็นไปแก่พวกเขา ก็คือการงมงายตามบรรพบุรุษโดยไร้เหตุผลและหลักการ)

คำแปล R3.
170. และเมื่อได้มีการกล่าวแก่พวกเขาว่า “จงปฏิบัติตามบัญชาที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานมา” พวกเขาตอบว่า “เราจะปฏิบัติตามเฉพาะที่เราพบว่าบรรพบุรุษของเราได้ปฏิบัติ” ทั้ง ๆ ที่บรรพบุรุษของพวกเขาไม่ได้ใช้สติปัญญาและไม่ได้อยู่ในทางนำที่ถูกต้องกระนั้นหรือ?

คำแปล R4.
170. และเมื่อได้ถูกกล่าวแก่พวกเขาว่าจงปฏิบัติตามสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาเถิด พวกเขาก็กล่าวว่า มิได้ เราจะปฏิบัติสิ่งที่เราได้พบบรรดาบรรพบุรุษของเราเคยปฏิบัติมาเท่านั้นและ แม้ได้ปรากฏว่า บรรพบุรุษของพวกเขาไม่เข้าใจสิ่งใด และทั้งไม่ได้รับแนวทางอันถูกต้องก็ตามกระนั้นหรือ?

คำแปล R5.
๑๗๐. และกาฟิรที่ยึดถือเทวรูปเป็นพระเจ้าก็ดี ที่งดการบริโภคเนื้ออูฐ ๔ ชนิดเพราะถือว่าบาปก็ดี เมื่อทั้งสองพวกนั้นได้ถูกกล่าวเตือนว่า พวกเจ้าจงเจริญตามสิ่งที่อัลเลาะห์ประทานลงมาเป็นบัญญัติใช้ให้ศรัทธาต่อพระองค์ว่าเป็นพระเจ้าองค์เดียว และที่ทรงใช้ให้บริโภคเนื้ออูฐทั้ง ๔ ชนิด พวกนั้นก็กล่าวว่า “ไม่” แต่พวกเราจะเจริญตามแบบอย่างที่พวกเรารู้เห็นได้จากบรรพบุรุษของเราที่ถือเอาเทวรูปเป็นพระเจ้า และห้ามบริโภคเนื้ออูฐ ๔ ชนิด อัลเลาะห์ได้ตรัสว่า ไม่สมควรเลยที่พวกเจ้าจะเจริญรอยตามปู่ย่าตายาย ทั้ง ๆ ที่บรรพบุรุษของพวกเจ้าก็มิได้รู้อะไรทางศาสนาเลยแม้สักนิดเดียว ทั้งยังไม่ได้รับการแนะนำไปสู่ความเที่ยงแท้อีกด้วย



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #78 เมื่อ: มี.ค. 27, 2010, 07:30 AM »
0
 
สูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 171
 

คำอ่าน
171. วะมะษะลุลละซีนะกะฟะรู กะมะษะลิลละซี ยันอิกุบิมาลายัสมะอุ อิลลาดุอา..เอา..วะนิดา..อา, ศุม..มุม..บุกมุนอุมยุน..ฟะฮุมลายะอฺกิลูน

คำแปล R1.
171. And the example of those who disbelieve is as that of him who shouts to the (flock of sheep) that hears nothing but calls and cries. (They are) deaf, dumb and blind. So they do not understand. (Tafsir Al-Qurtubi)

คำแปล R2.
171. และข้อเปรียบเทียบสำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธนั้น ประดุจดังผู้(เลี้ยงสัตว์)ที่กู่เรียก(สัตว์ของตน)ที่ไม่ได้ยิน(อะไรทั้งสิ้น)นอกจากเสียงเรียกและเสียงตะโกนเท่านั้น (พวกเขาประดุจ)คนหูหนวก เป็นใบ้ อีกทั้งตาบอด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีปัญญาตริตรอง(สิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น)

คำแปล R3.
171. สภาพของบรรดาผู้ปฏิเสธนั้นอาจเปรียบได้เหมือนกับสภาพของสัตว์ที่ผู้เลี้ยงกู่เรียกมัน แต่พวกมันไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงร้องและเสียงตะโกน พวกเขาหูหนวก เป็นใบ้ ตาบอด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เข้าใจอะไร

คำแปล R4.
171. และอุปมาบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธานั้นดังผู้ที่ส่งเสียงตวาดสิ่งที่มัน ฟังไม่รู้เรื่อง นอกจากเสียงเรียกและเสียงตะโกนเท่านั้นพวกเขาคือคนหูหนวก เป็นใบ้ ตาบอด ดังนั้น พวกเขาจึงไม่เข้าใจ

คำแปล R5.
๑๗๑. และข้อเปรียบเทียบของบรรดาผู้เป็นกาฟิรกับมูฮำมัด ผู้ซึ่งพยายามแนะนำชี้ชวนพวกกาฟิรให้เข้าสู่ศาสนาอิสลาม ก็เหมือนกับผู้เลี้ยงสัตว์ที่ตะโกนเรียกสัตว์ที่มันเพียงได้ยินเป็นเสียงเรียกขานเท่านั้น แต่หาได้เข้าใจความหมายไม่ พวกกาฟิรเหล่านั้นมิได้สดับฟังความจริงอย่างเคารพ ไม่พูดถึงเรื่งของศาสนาอิสลาม และมองไม่เห็นวิถีทางที่เที่ยงตรงเหมือนกับเป็นพวกหูหนวก ใบ้และบอด พวกนั้นจึงไม่เข้าใจในคำสั่งสอนกันเลย



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #79 เมื่อ: เม.ย. 04, 2010, 10:52 AM »
0

สูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 172 – 173


คำอ่าน
172. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู กุลูมิน..ฏ็อยยิบาติ มาเราะซักนากุม วัชกุรูลิลลาฮิ อิน..กุนตุมอียาฮุ ตะอฺบุดูน

คำแปล R1.
172. O you who believe (in the Oneness of Allah - Islamic Monotheism)! Eat of the lawful things that we have provided you with, and be grateful to Allah, if it is indeed He whom you worship.

คำแปล R2.
172. โอ้มวลผู้ศรัทธาทั้งหลาย! พวกเจ้าจงบริโภคสิ่งที่เราได้ให้แก่พวกเจ้าเถิด เฉพาะที่ดี ๆ เท่านั้น และเจ้าทั้งหลายจงขอบคุณอัลเลาะฮฺ แม้พวกพวกเจ้ายังคงนมัสการเฉพาะพระองค์

คำแปล R3.
172. บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงกินสิ่งที่ดีและสะอาดที่เราได้ประทานให้แก่สูเจ้าและจงขอบคุณต่ออัลลอฮฺ ถ้าหากพระองค์เท่านั้นที่สูเจ้าเคารพภักดี

คำแปล R4.
172. บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงบริโภคสิ่งที่เราได้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า จากสิ่งดี ๆ ทั้งหลาย และจงขอบคุณอัลลอฮ์เถิด หากเฉพาะพระองค์เท่านั้น ที่พวกเจ้าจักเป็นผู้เคารพสักการะ

คำแปล R5.
๑๗๒. โอ้บรรดาผู้เป็นมุอ์มิน พวกเจ้าจงบริโภคสิ่งหนึ่งจากส่วนที่เราได้อนุญาตแก่พวกเจ้าและจงขอบพระคุณต่ออัลเลาะห์ในอันที่ทรงอนุญาตให้พวกเจ้าบริโภค หากว่าพวกเจ้าน้อมสักการะเฉพาะพระองค์ โดยปฏิบัติตามบัญชาใช้ของพระองค์


คำอ่าน
173. อิน..นะมาหัรฺเราะมะอะลัยกุมุลมัยตะตะ วัดดะมะ วะละหฺมัลคิน..ซีริ วะมา..อุฮิลละบิฮี ลิฆ็อยริลลาฮฺ, ฟะมะนิฎฏูรฺเราะฆ็อยเราะบาฆิว..วะลาอาดิน..ฟะลา..อิษมะอะลัยฮฺ, อิน..นัลลอฮะเฆาะฟูรุรฺเราะหีม

คำแปล R1.
173. He has forbidden you only the Maytah (dead animals), and blood, and the flesh of swine, and that which is slaughtered as a sacrifice for others than Allah (or has been slaughtered for idols, etc., on which Allah's Name has not been mentioned while slaughtering). But if one is forced by necessity without willful disobedience nor transgressing due limits, Then there is no sin on him. Truly, Allah is Oft-Forgiving, Most Merciful.

คำแปล R2.
173. อันที่จริงพระองค์ได้บัญญัติห้ามแก่พวกเจ้าทั้งหลาย ซึ่งซากสัตว์ตาย, เลือด, เนื้อสุกร, และสัตว์ที่ถูกนำมากล่าวนาม(สิ่งอื่น ๆ )ขณะเชือดนอกเหนือ(จากนามของ (อัลเลาะฮฺ) แต่ผู้ใดอยู่ในภาวะคับขัน (ต้องบริโภคอาหารต้องห้ามดังกล่าวเพราะไม่สามารถหาอาหารอื่น ๆ ได้) โดยเขามิใช่ผู้ทรยศ และมิใช่ผู้ละเมิด แน่นอนย่อมไม่เป็นบาปสำหรับเขา (ที่จะรับประทานสิ่งเหล่านั้น) แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงให้อภัยยิ่ง อีกทั้งทรงเมตตายิ่ง

คำแปล R3.
173. อัลลอฮฺได้ห้ามสูเจ้าเฉพาะสิ่งเหล่านี้ สัตว์ที่ตายเอง เลือด เนื้อสุกร สัตว์ที่ถูกกล่าวอุทิศให้นามอื่นนอกไปจากอัลลอฮฺ แต่ถ้าหากผู้ใดตกอยู่ในภาวะคับขันโดยไม่มีเจตนาขัดขืนและไม่ได้ละเมิด มันก็ไม่มีบาปแก่เขา เพราะอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงให้อภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ

คำแปล R4.
173. ที่จริงที่พระองค์ทรงห้ามพวกเจ้านั้นเพียงแต่สัตว์ที่ตายเอง และเลือด และเนื้อสุกร และสัตว์ที่ถูกเปล่งเสียงที่มันเพื่ออื่นจากอัลลอฮ์ แล้วผู้ใดได้รับความคับขัน โดยมิใช่ผู้เสาะแสวงหา และมิใช่เป็นผู้ละเมิดขอบเขตแล้วไซร้ ก็ไม่มีบาปใด ๆ แก่เขา แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเมตตาเสมอ

คำแปล R5.
๑๗๓. เฉพาะอย่างยิ่งพระองค์ทรงห้ามพวกเจ้าเรื่องบริโภคซากสัตว์ที่มิได้ถูกเชือดอย่างถูกต้องตามหลักการทางศาสนา เว้นไว้แต่ซากตั๊กแตนและปลา ทรงห้ามบริโภคเลือดเว้นไว้แต่ม้ามและตับ ทรงห้ามบริโภคเนื้อสุกร ตลอดจนส่วนอื่น ๆ ของมัน และสัตว์ที่ถูกเชือดโดยออกนามอื่นนอกจากอัลเลาะห์ เช่น เทวรูป เป็นต้น ฉะนั้นถ้าผู้ใดตกอยู่ในความคับขันถึงกับต้องบริโภคของอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่กล่าวนั้นแล้ว เขาก็บริโภคมันโดยผู้นั้นมิใช่คนที่โจมตีพวกมุสลิม และมิใช่ศัตรูที่คอยข่มขู่และมิใช่ศัตรูที่คอยข่มขู่และช่วงชิงทรัพย์ของพวกมุสลิมยามเดินทาง บาปก็ไม่ตกแก่เขา เพราะแท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงยิ่งด้วยการอภัยโทษแก่พวกที่พระองค์ทรงโปรด และทรงโปรดปรานบรรดาผู้ประพฤติตามที่ทรงบัญชาใช้ ทั้งนี้เพราะพระองค์ทรงเปิดทางไว้อย่างกว้างขวางแก่พวกนั้น ด้วยการอนุญาตให้บริโภคสิ่งต้องห้าม ส่วนบุคคลที่ตกอยู่ในภาวะคับขัน เพราะการเดินทางไปโจมตี หรือเป็นศัตรูกับพวกมุสลิมและคนที่เดินทางเพื่อการทรยศต่ออัลเลาะห์ เช่น ทาสที่กำลังเดินทางหนีนายตน และผู้ที่เรียกเก็บภาษี เหล่านี้ย่อมไม่อนุญาตให้เขาบริโภคสิ่งที่ต้องห้ามนั้น ในเมื่อพวกนั้นไม่เตาบะห์(สารภาพผิด)



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #80 เมื่อ: เม.ย. 04, 2010, 11:10 AM »
0

สูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 174 – 176


คำอ่าน
174. อิน..นัลละซีนะยักตุมูนะ มา..อัน..ซะลัลลอฮุ มินัลกิตาบิ วะยัชตะรูนะบิฮี ษะมะนัน..เกาะลีลา, อุลา..อิกะมายะอ์กุลูนะฟีบุฏูนิฮิม อิลลัน..นาเราะ วะลายุกัลลิมุฮุมุลลอฮุ เยามัลกิยามะติ วะลายุซักกีฮิม วะละฮุมอะซาบุนอะลีม

คำแปล R1.
174. Verily, those who conceal what Allah has sent down of the Book, and purchase a small gain therewith (of worldly things), they eat into their bellies nothing but Fire. Allah will not speak to them on the Day of Resurrection, nor purify them, and theirs will be a painful torment.

คำแปล R2.
174. แท้จริงบรรดาผู้ปิดบังคัมภีร์ที่อัลเลาะฮฺได้ทรงประทานลงมา และพวกเขาได้นำมันมาแลกเปลี่ยนกับราคาเพียงเล็กน้อย แน่นอนพวกเขาจะไม่บริโภค(สิ่งใดเข้าไป)ในท้องของพวกเขาเลย นอกจากไฟนรก และอัลเลาะฮฺไม่ทรงเจรจากับพวกเขาในวันชาติหน้า และพระองค์ไม่ทรงชำระบาปแก่พวกเขา และพวกเขาจะต้องประสบกับการลงโทษอันทรมานยิ่ง

คำแปล R3.
174. แท้จริงบรรดาผู้ปิดบังบัญญัติที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมาในคัมภีร์ของพระองค์และแลกเปลี่ยนมันเพื่อผลประโยชน์ทางโลกเล็ก ๆ น้อย ๆ คนพวกนี้ไม่ได้กินสิ่งใดนอกจากไฟ อัลลอฮฺจะไม่ตรัสกับพวกเขาในวันฟื้นคืนชีพและจะไม่ถือว่าพวกเขาสะอาด และสำหรับพวกเขาคือการลงโทษอันแสนทรมาน
(หมายเหตุของผู้นำเสนอ : ใน R 3. นี้ไม่ได้ให้ความหมายของคำว่า في بطونهم   - ในท้องของพวกเขา สำนวนที่ควรจะเป็นคือ .......คนพวกนี้ไม่ได้กินสิ่งใดเข้าไปในท้องของพวกเขานอกจากไฟ........)

คำแปล R4.
174. แท้จริงบรรดาผู้ที่ปิดบังสิ่งซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์ ที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาและนำสิ่งนั้นไปแลกเปลี่ยนกับราคาอันเล็กน้อย ชนเหล่านั้นมิได้กินอะไรเข้าไปในท้องของพวกเขานอกจากไฟเท่านั้น และในวันกิยามะฮ์ อัลลอฮ์จะไม่ทรงพูดแก่พวกเขา และจะไม่ทรงทำให้พวกเขาบริสุทธิ์ และพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบ

คำแปล R5.
๑๗๔. แท้จริงบรรดาผู้เป็นชนชั้นหัวหน้า และปวงปราชญ์ชาวยะฮูดีที่ (๑) ปกปิดคุณลักษณะมูฮำมัดตามที่อัลเลาะห์ได้ประทานลงมาไว้ในคัมภีร์เตารอต และ (๒) ยอมแลกเอาของกำนัลเพียงเล็กน้อยที่พวกตนเคยได้รับจากชนชั้นสามัญด้วยการปกปิดนั้น คือไม่แย้มให้พวกยะฮูดีชั้นต่ำรู้จักคุณลักษณะอันแท้จริงของมูฮำมัด เพราะเกรงว่ารายได้ที่ตนเคยได้จะขาดแคลนลดปริมาณลง (๓) พวกนั้นแหละหาได้บริโภคอันใดเข้าไว้ในท้องของตนไม่นอกจากไฟ เพราะไฟนั้นเป็นประการสุดท้ายแห่งของกำนัล (๔) ส่วนอัลเลาะห์จะไม่ตรัสแก่พวกนั้นในวันกิยามะห์ (วันสิ้นโลก)เลย เพราะความกริ้ว (๕) ทั้งไม่ทรงซักฟอกพวกนั้นให้สิ้นบาปและโทษ และ (๖) สำหรับพวกเขานั้นย่อมได้รับการลงโทษที่เจ็บแสบในขุมนรก

 

คำอ่าน
175. อุลา...อิกัลละซีนัชตะเราะวุฎเฎาะลาละตะบิลฮุดา วัลอะซาบะบิลมัฆฟิเราะฮฺ, ฟะมาอัศบะเราะฮุมอะลันนารฺ

คำแปล R1.
175. Those are they who have purchased error at the price of guidance, and torment at the price of forgiveness. So how bold they are (for evil deeds which will push them) to the Fire.

คำแปล R2.
175. พวกเหล่านั้นเป็นพวกที่นำสิ่งนำทางมาแลกเปลี่ยนกับความหลงผิด และนำการให้อภัย(ของอัลเลาะฮฺ มาแลกกับ)การลงโทษ (ของพระองค์) แท้จริงพวกเขาช่างทนต่อไฟนรกเสียนี่กระไร!

คำแปล R3.
175. พวกเขาเหล่านี้คือผู้ที่แลกทางนำกับสิ่งผิดและแลกการอภัยโทษกับการลงโทษ พวกเขาช่างไม่เกรงกลัวเสียนี่กระไรแม้แต่กับไฟ

คำแปล R4.
175. ชนเหล่านี้คือผู้ที่นำเอาแนวทางที่ถูกต้องไปแลกเปลี่ยนกับแนวทางที่หลงผิด และเอาการอภัยโทษไปแลกเปลี่ยนกับการลงโทษ พวกเขาช่างทนต่อไฟนรกเสียนี่กระไร

คำแปล R5.
๑๗๕. พวกซึ่งมีคุณลักษณะ ๖ ประการ ดังในโองการที่ ๑๗๔ นั้นแหละได้เปลี่ยนเอาความหลงผิดด้วยทางอันเที่ยงตรง และเปลี่ยนเอาการลงโทษทรมานด้วยการอภัยโทษอันได้เตรียมไว้สำหรับพวกนั้นในวันอาคิเราะห์ถ้าพวกนั้นไม่ปกปิดลักษณะของมูฮำมัด อะไรหนอที่กระทำให้พวกนั้นทนนรกได้ ที่ทรงตรัสดังนี้ก็เพื่อต้องการให้พวกมุอ์มินรู้สึกประหลาดใจ ที่พวกยะฮูดีไม่คำนึงในการทำความผิดที่ผลสุดท้ายจะต้องเข้าสู่นรก



คำอ่าน
176. ซาลิกะบิอัน..นัลลอฮะ นัซซะลัลกิตาบะ บิลหัก, วะอิน..นัลละซีนัคตะละฟูฟิลกิตาบิ ละฟีชิกอกิม..บะอีด

คำแปล R1.
176. That is because Allah has sent down the Book (the Qur'an) in truth. And verily, those who disputed as regards the Book are far away in opposition.

คำแปล R2.
176. นั้นเป็นเพราะเหตุว่าอัลเลาะฮฺ ได้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาโดยสัจธรรม และแท้จริงบรรดาผู้พิพาทในคัมภีร์ ย่อมตกอยู่ในความแตกแยกอันห่างไกล

คำแปล R3.
176. นี่เป็นเพราะถึงแม้อัลลอฮฺจะทรงประทานคัมภีร์พร้อมกับสัจธรรมลงมาแล้วก็ตาม ผู้คนก็ยังขัดแย้งกันในคัมภีร์และหันห่างออกไปไกลจากสัจธรรมในการขัดแย้งของพวกเขา

คำแปล R4.
176. นั่นก็เพราะว่า อัลลอฮ์ได้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาพร้อมด้วยสัจธรรม และแท้จริงบรรดาผู้ที่ขัดแย้งกันในคัมภีร์นั้น ย่อมอยู่ในการแตกแยกที่ห่างไกล

คำแปล R5.
๑๗๖. การที่พวกนั้นได้บริโภคไฟก็ดี ที่อัลเลาะห์ไม่ตรัสด้วยเพราะความกริ้วก็ดี ที่ไม่ทรงซักฟอกจิตใจของพวกนั้นให้สิ้นจากบาปและที่ทรงให้ได้รับโทษอันเจ็บแสบก็ดี และที่พวกนั้นแลกเปลี่ยนเอาความหลงผิดด้วยทางอันเที่ยงตรง และเปลี่ยนเอาการลงโทษทรมานด้วยการอภัยโทษก็ดี นั่นแหละถึงอัลเลาะห์ได้ประทานพระคัมภีร์เตารอตลงมาด้วยความเที่ยงแท้ แต่พวกนั้นก็ยังขัดแย้งกัน เพราะมีบางส่วนที่พวกนั้นเชื่อและไม่เชื่ออีกบางส่วน เช่นส่วนที่ว่าด้วยคุณลักษณะของมูฮำมัด พวกนั้นก็พยายามปกปิด และแท้จริงบรรดายะฮูดีผู้ขัดแย้งกันในคัมภีร์เตารอต ตามที่กล่าวแล้วข้างต้นก็ดี และบรรดามุชริกชาวมักกะห์ที่ขัดแย้งกันในพระคัมภีร์อัล-กุรอาน กล่าวคือบางคนหาว่าคัมภีร์อัล-กุรอานเป็นบทโคลง บางคนว่าเป็นวิชาวิทยากล บางคนก็ว่าเป็นตำราทำนายโชคชะตา เหล่านี้ก็ดี ทั้งสองพวกนี้ย่อมตกอยู่ในความขัดแย้งที่ห่างไกลจากความเป็นจริงนัก

(จบครึ่งแรกของซูเราะห์อัล-บะก็เราะห์ ซึ่งว่าด้วยเรื่องอุซูลุดดีน(วิชาเกี่ยวกับหลักการศรัทธา)และเรื่องเกียรติของบนีอิสรออีล ส่วนครึ่งหลังส่วนมากว่าด้วยวิชาฟิกห์ (หลักการอิสลาม)รายละเอียด)



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #81 เมื่อ: เม.ย. 08, 2010, 06:35 AM »
0

สูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 177 - 179

 


คำอ่าน
177. ลัยสัลบิรเราะ อัน..ตุวัลลูวุญูฮะกุม กิบะลัลมัชริกิวัลมัฆริบ, วะลากิน..นัลบิรเราะ มันอามะนะบิลลาฮิ วัลเยามิลอาคิริ วัลมะลา...อิกะติ วัลกิตาบิ วัน..นะบียีนะ วะอาตัลมาละ อะลาหุบบิฮี ซะวิลกุรฺบา วัลยะตามา วัลมะสากีนะ วับนัสสะบีละ วัสlสา...อิลีนะ วะฟิรฺริกอบ, วะอะกอมัศเศาะลาตะ วะอาตัซซะกาตะ วัลมูฟูนะบิอะฮฺดิฮิม อิซาอาฮะดู วัศศอบิรีนะ ฟิลบะอ์สา...อิ วัฎฎ็อรฺรอ...อิ วะหีนัลบะอ์สฺ, อุลา...อิกัลละซีนะเศาะดะกู วะอุลา...อิกะฮุมุลมุตตะกูน

คำแปล R1.
177. It is not Al-Birr (piety, righteousness, and each and every act of obedience to Allah, etc.) that you turn your faces towards east and (or) west (in prayers); but Al-Birr is (the quality of) the one who believes in Allah, the Last day, the angels, the Book, the Prophets and gives wealth, in spite of love for it, to the kinsfolk, to the orphans, and to Al-Masakin (the needy), and to the wayfarer, and to those who ask, and to set slaves free, performs As-Salat (Iqamat-as-Salat), and gives the Zakat, and who fulfill their covenant when they make it, and who are patient in extreme poverty and ailment (disease) and at the time of fighting (during the battles). Such are the people of the truth and they are Al-Muttaqun (pious - see V.2:2).

คำแปล R2.
177. หาใช่ว่าคุณธรรมนั้นจะตกอยู่ที่เจ้าทั้งหลายเพียงแต่หันหน้าไปทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก (ในพิธีทำละหมาด)ไม่ แต่(ความเป็นจริง)อันคุณธรรม(ที่เที่ยงแท้)นั้น ย่อมได้แก่บุคคลที่ศรัทธามั่นในอัลเลาะฮฺ ในวันสุดท้าย ในมลาอิกะฮฺ ในบรรดาคัมภีร์และบรรดานบีทั้งหลาย และเขาได้เอื้อเฟื้อทรัพย์สินโดยเสนาหาของเขาแก่บรรดาวงศ์ญาติ แก่ลูกกำพร้า แก่คนอนาถา แก่ผู้พลัดถิ่น แก่ผู้ขอ และในการช่วยปลดปล่อยทาสเป็นอิสระ และเขาดำรงการละหมาด บริจาคซะกาต และพวกเขาเป็นผู้ปฏิบัติตนตามสัญญา ในยามเมื่อเขาให้สัญญา(แก่ผู้อื่น) และบรรดาผู้มีขันติธรรมทั้งในยามขัดสนและเดือดร้อน พวกเขาเหล่านั้นล้วนเป็นผู้ที่มีความสัจจริง และพวกเขาเป็นผู้ยำเกรงโดยแท้จริง

คำแปล R3.
177. มันไม่ใช่คุณธรรมที่สูเจ้าจะหันหน้าไปทางตะวันออกหรือทางตะวันตก แต่คุณธรรมนั้นคือการที่ใครศรัทธาในอัลลอฮฺและวันสุดท้าย และบรรดามลาอิกะฮฺ และคัมภีร์และนบีทั้งหลายและจ่ายทรัพย์สินของเขาด้วยความรักต่อพระองค์แก่ญาติสนิทและเด็กกำพร้าและผู้ขัดสนและผู้เดินทางและผู้ขอ และเพื่อไถ่ทาสและดำรงนมาซและจ่ายซะกาตและบรรดาผู้ปฏิบัติตามสัญญาโดยครบถ้วนเมื่อพวกเขาให้สัญญา และอดทนในความทุกข์ยากและความลำเค็ญ และในการสู้รบ(ระหว่างสัจธรรมและความเท็จ) คนเหล่านี้แหละคือผู้สัตย์จริง และคนเหล่านี้แหละคือผู้สำรวมตน

คำแปล R4.
177. หาใช่คุณธรรมไม่ การที่พวกเจ้าผินหน้าของพวกเจ้าไปทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก แต่ทว่าคุณธรรมนั้นคือผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และวันปรโลก และศรัทธาต่อมลาอิกะฮ์ ต่อบรรดาคัมภีร์และนะบีทั้งหลาย และบริจาคทรัพย์ทั้งๆ ที่มีความรักในทรัพย์นั้น แก่บรรดาญาติที่สนิทและบรรดาเด็กกำพร้า และแก่บรรดาผู้ยากจนและผู้ที่อยู่ในการเดินทาง และบรรดาผู้ที่มาขอและบริจาคในการไถ่ทาส และเขาได้ดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และชำระซะกาต และ(คุณธรรมนั้น) คือบรรดาผู้ที่รักษาสัญญาของพวกเขาโดยครบถ้วน เมื่อพวกเขาได้สัญญาไว้ และบรรดาผู้ที่อดทนในความทุกข์ยาก และในความเดือดร้อน แลละขณะต่อสู่ในสมรภูมิ ชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่พูดจริง และชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่มีความยำเกรง

คำแปล R5.
๑๗๗. โอ้พวกยะฮูดี และพวกนัซรอนี บุญกุศลนั้นมิใช่จะจำกัดอยู่ที่พวกเจ้าละหมาดผินหน้าไปยังทิศตะวันออกและทิศตะวันตก แต่ผู้ได้รับบุญกุศลนั้นได้แก่บุคคลผู้มีศรัทธาต่ออัลเลาะห์ ต่อวันอาคิเราะห์(ปรภพ) ต่อมวลมลาอิกะห์(ผู้ถูกบังเกิดขึ้นด้วยรัศมี มีหน้าที่รับใช้อัลเลาะห์) ต่อบรรดาคัมภีร์ ๑๐๔ เล่มและต่อศาสดาทั้งหลาย ได้แก่ผู้สละทรัพย์ที่โปรดของเขาแก่บรรดาวงศ์ญาติ บรรดากำพร้า บรรดาที่ยากจน ผู้เดินทาง บรรดาผู้ขอทานและบรรดาผู้เป็นทาส และเป็นเชลยที่ต้องการไถ่ตัวเป็นไท ได้แก่ผู้ดำรงละหมาด ๕ เวลา ผู้ที่บริจาคซะกาต อีกทั้งบรรดาผู้ปฏิบัติตามสัญญาเมื่อพวกเขาได้ทำไว้กับอัลเลาะห์ ทั้งที่เป็นเรื่องของบนบานหรือสาบาน และที่ทำไว้กับมวลมนุษย์ ทั้งที่เป็นเรื่องวาจาสัจ หรือการส่งมอบของฝากคืนเจ้าของเต็มตามจำนวน และบรรดาผู้มีความอดกลั้นในคราวอับจน คราวเจ็บป่วย และเมื่อเกิดภาวะคับขันแห่งสงครามเพื่อการศาสนา พวกที่มีคุณลักษณะ ๖ ประการดังกล่าวนี้แหละ คือบรรดาผู้มีความจริงในด้านศรัทธา และในด้านอ้างความดีซึ่งอยู่ใน ๖ ประการนั้น ต่างกับพวกยะฮูดีและนัซรอนี ที่อ้างว่าความดีนั้นอยู่ที่การละหมาดโดยผินหน้าไปสู่ทิศตะวันออกและทิศตะวันตก พวกเหล่านี้แหละคือผู้ที่ยำเกรงอัลเลาะห์ด้วยการปฏิบัติตาม เฉพาะที่ทรงใช้และทรงห้าม


คำอ่าน

178. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู กุติบะอะลัยกุมุลกิศอศุฟิลก็อตลา, อัลหุรฺรุ บิลหุรฺริ วัลอับดุบิลอับดิ วัลอุน..ษาบิลอุน..ษา ฟะมันอุฟิยะละฮูมินอะคีฮิชัยอุน,,ฟัตตุบาอุม..บิลมะอฺรูฟิ วะอะดา...อุนอิลัยฮิบิอิหฺสาน, ซาลิกะตัคฟีฟุม..มิรฺร็อบบิกุมวะเราะหฺมะฮฺ, ฟะมะนิอฺตะดา บะอฺดะซาลิกะ ฟะละฮูอะซาบุนอะลีม

คำแปล R1.
178. O you who believe! Al-Qisas (the Law of Equality in punishment) is prescribed for you in case of murder: the free for the free, the slave for the slave, and the female for the female. But if the killer is forgiven by the brother (or the relatives, etc.) of the killed against blood-money, then adhering to it with fairness and payment of the blood-money, to the heir should be made in fairness. This is alleviation and a mercy from your Lord. So after this whoever transgresses the limits (i.e. kills the killer after taking the blood-money), he shall have a painful torment.

คำแปล R2.
178. โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย ได้ถูกบัญญัติให้มีการฆ่าตกตามกันไป แก่พวกเจ้าในตัวฆาตกร (โดยมีกฎเกณฑ์ดังต่อไปนี้) อิสระชนต่ออิสระชน, ทาสต่อทาส, และสตรีต่อสตรี แต่ผู้ใดได้รับการอภัยแก่เขาจากพี่น้องของเขา(ไม่เอาความ)ในกรณีหนึ่งก็ให้เขาตามติดด้วย (เงินทำขวัญอันเป็น)คุณธรรม (ทีฝ่ายฆาตกรพึงมอบ)แก่ทายาทของฝ่ายถูกฆาตกรรมที่ไม่เอาความ และการชำระโดยดี (ไม่บิดพลิ้วและประวิง) นั่นคือข้อผ่อนผันและความเมตตาจากองค์อภิบาลของพวกเจ้า ดังนั้นผู้ใดที่ละเมิดภายหลังจากนั้น (ไม่ปฏิบัติไปตามข้อบัญญัติดังกล่าวว่า) เขาก็จะได้รับการลงโทษอันทรมานยิ่ง

คำแปล R3.
178. บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย กฎหมายการแก้แค้นอย่างเท่าเทียมกันในกรณีของการฆาตกรรมได้ถูกกำหนดสำหรับสูเจ้าแล้ว ถ้าหากชายที่เป็นอิสระคนใดกระทำฆาตกรรม ชายที่เป็นอิสระนั้นก็จะต้องถูกลงโทษสำหรับการกระทำนั้น และทาสต่อทาส ในทำนองเดียวกันถ้าหากหญิงกระทำฆาตกรรม หญิงนั้นก็ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำ และถ้าหากพี่น้องของผู้ถูกทำร้าย เต็มใจที่จะผ่อนปรนต่อฆาตกร เงินทำขวัญก็จะต้องถูกตัดสินตามกฎหมาย และฆาตกรก็จะต้องจ่ายเงินนั้น นี่เป็นข้อผ่อนปรนและความเมตตาจากพระผู้อภิบาลของสูเจ้า ทีนี้ผู้ใดที่ละเมิดหลังจากนี้ เขาผู้นั้นก็จะได้รับการลงโทษอันเจ็บปวด

คำแปล R4.
178. ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! การประหารฆาตกรให้ตายตามในกรณีที่มีผู้ถูกฆ่าตายนั้น ได้ถูกกำหนดแก่พวกเจ้าแล้ว คือชายอิสระต่อชายอิสระ และทาสต่อทาส และหญิงต่อหญิง แล้วผู้ใดที่สิ่งหนึ่งจากพี่น้องของเขาถูกอภัยให้แก่เขาแล้ว ก็ให้ปฏิบัติไปตามนั้นโดยชอบ และให้ชำระแก่เขาโดยดี นั่นคือการผ่อนปรนจากพระเจ้าของพวกเจ้า และคือการเอ็นดูเมตตาด้วย แล้วผู้ใดละเมิดหลังจากนั้นเขาก็จะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบ

คำแปล R5.
๑๗๘. โอ้บรรดาผู้เป็นมุอฺมิน บัญญัติว่าด้วยการฆ่าฆาตกรให้สมกันทั้งสภาพบุคคลปละวิธีการ เพราะมีผู้ถูกฆ่า ได้ถูกอัลเลาะห์กำหนดเป็นฟัรดูขึ้นเหนือพวกเจ้าแล้ว คือให้ฆ่าเสรีชนเพราะเสรีชนถูกฆ่า ให้ฆ่าทาสเพราะทาสถูกฆ่า และให้ฆ่าหญิงเพราะหญิงถูกฆ่า นี้แหละที่เรียกว่าสมกันในด้านสภาพบุคคล และให้ฆ่าฆาตกรด้วยดาบหรืออื่น ๆ เพราะเหตุผู้ถูกฆ่าด้วยดาบหรืออื่น ๆ นี้แหละที่เรียกว่าสมกันในวิธีการ ดังนั้นถ้าฆาตกรคนใดถูกผู้รับมรดกทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วนของผู้ถูกฆ่าให้อภัย คือไม่ติดใจจะเอาความโดยงดเว้นที่จะฆ่าฆาตกรเป็นการทดแทนเพื่อหวังค่าชดใช้(ดียะห์)เป็นอูฐหนึ่งร้อยตัว หรือหย่อนกว่าร้อยแล้วไซร้ก็ให้ผู้รับมรดกทั้งสิ้น หรือแต่บางส่วนของผู้ถูกฆ่า ไล่เบี้ยเอาค่าชดใช้เป็นอูฐหนึ่งร้อยตัวหรือหย่อนกว่าร้อยจากฆาตกรด้วยความอารีอารอบ กล่าวคือ ไม่เร่งรัดและไม่มีใจพิถีพิถัน และให้เขาผู้เป็นฆาตกรชำระอูฐหนึ่งร้อยตัว หรือหย่อนกว่าร้อยแก่ทายาทผู้รับมรดกทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วนของผู้ถูกฆ่าโดยดีไม่มีการผัดผ่อนและหย่อนจำนวนการที่ให้มีข้ออนุโลมให้เลือกเอาระหว่างการฆ่าเพื่อเอาค่าชดใช้ดังกล่าวแล้ว นั่นแหละเป็นการผ่อนผันจากองค์พระผู้อภิบาลของพวกเจ้าประกอบด้วยเมตตาธิคุณของพระองค์แก่พวกเจ้า ฉะนั้นถ้าผู้รับมรดกฯของผู้ถูกฆ่าคนใดละเมิดในอันที่จะฆ่าฆาตกรภายหลังจากได้งดเว้นกันดังว่านั้นแล้ว เขาย่อมได้รับการลงโทษทัณฑ์อันเจ็บแสบ โดยจะถูกฆ่าตายในภพนี้ และถูกส่งเข้าขุมนรกในภพหน้าโน้น


คำอ่าน
179. วะละกุมฟิลกิศอศิหะยาตุย..ยาอุลิลอัลบาบิ ละอัลละกุมตัตตะกูน

คำแปล R1.
179. And there is (a saving of) life for you in Al-Qisas (the Law of Equality in punishment), O men of understanding, that you may become Al-Muttaqun (the pious - see V.2:2).

คำแปล R2.
179. และสำหรับพวกเจ้า ในการให้ฆ่าตกตามกันไปนั้น เป็นการสงวนชีวิต (อื่น ๆ ไว้โดยตรง) โอ้ผู้มีวิจารณญาณทั้งหลาย เพื่อพวกเจ้าจะได้มีความยำเกรง (ไม่ล่วงละเมิดอธิปไตยแห่งชีวิตของกันและกัน)

คำแปล R3.
179. โอ้ผู้มีสติเอ๋ย ในกฎหมายแห่งการตอบแทนที่เท่าเทียมกันนั้นมีความมั่นคงปลอดภัยแห่งชีวิตสำหรับสูเจ้า หวังว่าสูเจ้าจะละเว้นจากการละเมิดกฎหมายนี้

คำแปล R4.
179. และในการประหารฆาตกรให้ตายตามนั้น คือการธำรงไว้ซึ่งชีวิตสำหรับพวกเจ้า โอ้ผู้มีสติปัญญาทั้งหลาย! เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้ยำเกรง

คำแปล R5.
๑๗๙. และโอ้บรรดาผู้หมายจะทำฆาตกรรมโดยทุจริต ย่อมเป็นผลดีสำหรับพวกเจ้า เกี่ยวกับการมีบัญญัติฆ่าฆาตกรเป็นการทดแทนนั้นคือ การคงชีวิตอยู่อย่างใหญ่หลวงของมหาชน โอ้ผู้ครองปัญญา ทั้งนี้เพราะผู้ที่มุ่งจะทำฆาตกรรมนั้นเมื่อรู้ตัวว่าตนจะต้องถูกฆ่าให้ตายตกไปตามกัน ก็ทำให้หวั่นเกรง แล้วที่สุดเขาก็จะรักษาชีวิตทั้งของตัวและของผู้จะถูกฆ่าให้คงไว้ การที่ทรงมีข้อบัญญัติว่า ด้วยการฆ่าฆาตกรทดแทนให้ตายตกไปตามกันนี้ก็เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้หวั่นเกรงการฆ่าอย่างไร้ความเป็นธรรม เพราะเกรงว่าตนจะต้องถูกฆ่า



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #82 เมื่อ: เม.ย. 10, 2010, 06:30 AM »
0

สูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 180 – 182


คำอ่าน
180. กุติบะ อะลัยกุม อิซา หะเฎาะเราะ อะหะดะกุมุลเมาตุ อิน..ตะเราะกะ ค็อยเราะนิลวะศียะตุ ลิลวาลิดัยนิ วัลอักเราะบีนะ บิลมะอฺรูฟ, หักก็อน อะลัลมุตตะกีน

คำแปล R1.
180. It is prescribed for you, when death approaches any of you, if he leaves wealth, that he make a bequest to parents and next of kin, according to reasonable manners. (This is) a duty upon Al-Muttaqun (the pious - see V.2:2).

คำแปล R2.
180. ได้ถูกบัญญัติแก่พวกเจ้าทั้งหลาย เมื่อความตายได้มาสู่คนหนึ่งของพวกเจ้า หากเขาทิ้งความดี(คือทรัพย์สินไว้เบื้องหลัง)ก็ให้เขาทำพินัยกรรมไว้แก่ผู้ให้กำเนิดทั้งสอง และบรรดาญาติสนิทโดยชอบธรรม เป็นสิทธิหน้าที่สำหรับมวลผู้ยำเกรงทั้งหลาย(แต่บัญญัติเรื่องพินัยกรรมนี้ถูกยกเลิกด้วยบัญญัติเรื่องการมรดก)

คำแปล R3.
180. ได้เป็นที่กำหนดไว้สำหรับสูเจ้าว่า เมื่อความตายย่างกรายเข้าสู่ผู้ใดในหมู่สูเจ้าและเขามีทรัพย์สมบัติทิ้งไว้บ้าง เขาก็ควรที่จะยกให้แก่พ่อแม่และญาตสนิทโดยชอบธรรม มันเป็นหน้าที่สำหรับผู้เกรงกลัวอัลลอฮฺ

คำแปล R4.
180. การทำพินัยกรรมให้แก่ผู้บังเกิดเกล้าทั้งสอง และบรรดาญาติที่ใกล้ชิดโดยชอบธรรมนั้นได้ถูกกำหนดขึ้นแก่พวกเจ้าแล้ว เมื่อความตายได้มายังคนหนึ่งคนใดในพวกเจ้า หากเขาได้ทิ้งทรัพย์สมบัติไว้ ทั้งนี้เป็นหน้าที่แก่ผู้ยำเกรงทั้งหลาย

คำแปล R5.
๑๘๐. ได้ถูกอัลเลาะห์กำหนดไว้เป็นฟัรดูเหนือพวกเจ้าแล้ว เมื่อเหตุแห่งความตายมาสู่คนใดในหมู่พวกเจ้าที่เจ็บหนักขนาดถึงตายว่า หากผู้นั้นได้ทิ้งสมบัติไว้ ก็ให้ทำพินัยกรรมยกสมบัติเป็นของบิดามารดา และวงศ์ญาติใกล้ชิดโดยความเป็นธรรม เป็นต้นว่า มิให้ทำพินัยกรรมเกินกว่าหนึ่งในสามของสมบัติทั้งหมด และอย่าให้บิดามารดาหรือญาติใกล้ชิดที่มั่งมีได้มากกว่าที่ยากจน บัญญัติที่กล่าวข้างต้นนี้ ได้ถูกยกเลิกโดยอัล-กุรอานและอัลหะดีซแล้ว และตกเป็นซุนนะห์โดยบรรยายว่า ผู้เจ็บป่วยจวนจะตายก็ดี ผู้มิได้เจ็บป่วยอยู่ก็ดี มีซุนนะห์ให้ถือเอาทรัพย์เพียงหนึ่งในสามจากกองมรดกไปทำพินัยกรรมได้ดังนี้ คือ
(๑) หากผู้รับพินัยกรรมเป็นสาธารณะก็ดี เป็นบุคคลอื่นที่ไม่มีสิทธิ์ในกองมรดกก็ดี พินัยกรรมนั้นย่อมสำเร็จลงได้โดยไม่มีเงื่อนไข เว้นไว้แต่ทรัพย์ที่ทำพินัยกรรมนั้นเกินกว่าหนึ่งในสาม ส่วนที่เกินนั้นจะตกเป็นทรัพย์มนพินัยกรรมได้ก็ต่อเมื่อได้รับความยินยอมจากผู้มีสิทธิ์ในกองมรดกเสียก่อนตามเงื่อนไขว่า
ก. ถ้ามีมีสิทธิ์ในกองมรดกให้ความยินยอมกันทั้งหมด ส่วนที่เกินกว่าหนึ่งในสามจะตกเป็นทรัพย์ในพินัยกรรมได้หมด
ข. ถ้าผู้มีสิทธิ์ในกองมรดกให้ความยินยอมแต่บางส่วน ส่วนที่เกินกว่าหนึ่งในสามจะตกเป็นทรัพย์ในพินัยกรรมได้เฉพาะส่วนของผู้ที่ยินยอมเท่านั้น แต่ส่วนของผู้ไม่ยินยอมให้ยกเป็นทรัพย์ในกองมรดก
(๒) ถ้าผู้รับพินัยกรรมเป็นทายาทที่มีสิทธิในกองมรดกแล้ว จะต้องได้รับความยินยอมจากทายาทผู้มีสิทธิ์ในกองมรดกแต่อยู่นอกพินัยกรรมตามเงื่อนไขดังในข้อ ก. และ ข. เสียก่อน พินัยกรรมนั้นจึงจะสำเร็จผล
   เนื้อความซึ่งบ่งไว้นี้แหละเป็นที่เที่ยงแท้อยู่เหนือพวกที่ยำเกรงอัลเลาะห์ด้วยการปฏิบัติตามที่ทรงใช้และทรงห้าม



คำอ่าน
181. ฟะมัม..บัดดะละฮู บะอฺดะมาสะมิอะฮู ฟะอิน..นะมา..อิษมุฮู อะลัลละซีนะ ยุบัดดิลูนะฮฺ, อิน..นัลลอฮะสะมีอุนอะลีม

คำแปล R1.
181. Then whoever changes the bequest after hearing it, the sin shall be on those who make the change. Truly, Allah is All-Hearer, All-Knower.

คำแปล R2.
181. ดังนั้นผู้ใดเปลี่ยนแปลงมันภายหลังจากได้ยินมัน(คำสั่งพินัยกรรมจากผู้ตายโดยไม่ทำไปตามพินัยกรรมนั้น) แน่นอน บาปของมันก็จะตกแก่บรรดาที่ทำการเปลี่ยนแปลงมัน แท้จริงอัลลอฮฺทรงได้ยินอีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง

คำแปล R3.
181. แล้วถ้าผู้ใดเปลี่ยนแปลงพินัยกรรมหลังจากที่ได้ยินมันแล้ว บาปก็จะตกแก่เขาผู้นั้น แท้จริง อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงได้ยินและรอบรู้ทุกสิ่ง

คำแปล R4.
181. แล้วผู้ใดเปลี่ยนแปลงพินัยกรรม หลังจากที่เขาได้ยินมันแล้ว โทษแห่งการเปลี่ยนแปลงพินัยกรรมนั้นก็ตกอยู่แก่บรรดาผู้เปลี่ยนแปลงพินัยกรรมนั้นเท่านั้น แท้จริงอัลลอฮ์ทรงได้ยิน ทรงรอบรู้

คำแปล R5.
๑๘๑. ถ้าแม้นว่าพยานก็ดี ผู้จัดการเรื่องพินัยกรรมก็ดี ผู้ใดได้เปลี่ยนแปลงซึ่งคำสั่งให้มันเป็นอื่น ว่าจะด้วยการปฏิเสธคำสั่งหรือด้วยการให้บกพร่องซึ่งคำสั่ง หรือด้วยแปรคุณภาพของทรัพย์มรดกให้หย่อนลง หรือด้วยวิธีการอย่างอื่น ภายหลังจากพวกพยานก็ดี ผู้จัดการพินัยกรรมก็ดีที่ได้รับทราบซึ่งคำสั่งแล้ว บาปอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงคำสั่งนั้นย่อมตกแก่บรรดาผู้เป็นพยานและผู้จัดการพินัยกรรมที่เปลี่ยนแปลงนั้นโดยเฉพาะ แต่บาปนั้นหาได้ตกแก่ผู้ให้พินัยกรรมซึ่งได้ตายลงไปแล้วไม่ ด้วยว่าอัลเลาะห์นั้นทรงได้ยินยิ่ง ซึ่งถ้อยคำของผู้ให้พินัยกรรม ทั้งทรงรอบรู้ยิ่งถึงพฤติการณ์ต่าง ๆ ของผู้จัดการพินัยกรรมอีกด้วย แล้วพระองค์ก็จะทรงสนองแก่ผู้ออกคำสั่งข้างต้นด้วยความดี และทรงสนองแก่ผู้จัดการเรื่องพินัยกรรมที่ละเมิดคำสั่งด้วยความชั่ว

   

คำอ่าน
182. ฟะมันคอฟะมิม..มูศิน..ญะนะฟัน เอาอิษมัน..ฟะอัศละหะบัยนะฮุม ฟะลาอิษมะอะลัยฮฺ, อิน..นัลลอฮะเฆาะฟูรุรฺเราะหีม

คำแปล R1.
182. But he who fears from a testator some unjust act or wrong-doing, and thereupon he makes peace between the parties concerned, there shall be no sin on him. Certainly, Allah is Oft-Forgiving, Most Merciful.

คำแปล R2.
182. แต่ผู้ใดที่กลัวว่าผู้ทำพินัยกรรมจักลำเอียง หรือทำบาป(ด้วยการฉ้อฉลในพินัยกรรมนั้น) และเขาก็ประนีประนอมในระหว่างพวก(ทายาท)เหล่านั้นได้ แน่นอนย่อมไม่เป็นบาปแก่เขาแต่ประการใด ๆ แท้จริงอัลลอฮฺทรงให้อภัยยิ่ง อีกทั้งทรงเมตตายิ่ง

คำแปล R3.
182. แต่ถ้าผู้ใดเกรงว่าผู้ทำพินัยกรรมได้ทำสิ่งที่ไม่ยุติธรรมหรือทำผิดแน่(จะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม)ก็ให้มีการประนีประนอมกันระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้อง ในกรณีเช่นนั้นก็จะไม่มีบาปอันใดแก่เขา แท้จริง อัลลอฮฺ เป็นผู้ทรงอภัยและผู้ทรงเมตตาเสมอ

คำแปล R4.
182. แล้วผู้ใดเกรงว่า ผู้ทำพินัยกรรมมีความไม่เป็นธรรม (โดยไม่รู้) หรือกระทำความผิด(โดยเจตนา) แล้ว แล้วเขาได้ประนีประนอมในระหว่างพวกเขา ก็ไม่มีโทษใด ๆ แก่เขา แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ

คำแปล R5.
๑๘๒. แม้นว่าผู้จัดการพินัยกรรมคนใดเกรงว่า ผู้ให้พินัยกรรมจะลำเอียง ไม่ถือเอาความเที่ยงหรือเกิดบาปเพราะเจตนาจะยกทรัพย์เกินกว่าหนึ่งในสามของทั้งหมด หรือเจาะจงพินัยกรรมให้แก่ผู้ร่ำรวยอยู่แล้วโดยเฉพาะ แล้วเขา(ผู้จัดการพินัยกรรม)ก็ได้ไกล่เกลี่ยกันระหว่างพวกที่ทรงสิทธิ์ในทรัพย์พินัยกรรม และผู้ให้พินัยกรรมนั้นให้ออมชอมกันด้วยความยุติธรรมย่อมไม่เป็นบาปแก่เขา ที่จะทำการประนีประนอมไกล่เกลี่ยเช่นว่านั้น เพราะแท้จริงอัลเลาะห์ทรงอภัยโทษยิ่ง ทั้งทรงโปรดปรานยิ่ง



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #83 เมื่อ: เม.ย. 10, 2010, 11:54 PM »
0
สูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 183 - 184


คำอ่าน
183. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู กุติบะอะลัยกุมุศศิยามมุกะมากุติบะอะลัลละซีนะมิน..ก็อบลิกุม ละอัลละกุม ตัตตะกูน

คำแปล R1.
183. O you who believe! Observing As-Saum (the fasting) is prescribed for you as it was prescribed for those before you, that you may become Al-Muttaqun (the pious - see V.2:2).

คำแปล R2.
183. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! ได้มีบัญญัติแก่พวกเจ้าทั้งหลายให้ทำการถือศีลอด ประดุจที่เคยบัญญัติมาแล้วแก่บรรดาชนในยุคก่อนหน้าพวกเจ้า ทั้งนี้เพื่อพวกเจ้าจะได้มีความยำเกรง

คำแปล R3.
183. บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย การถือศีลอดได้ถูกกำหนดแก่สูเจ้า เช่นเดียวกับที่ได้ถูกกำหนดแก่บรรดาผู้ปฏิบัติตามบรรดานบีก่อนเจ้า ทั้งนี้เพื่อที่สูเจ้าจะได้สำรวมตนจากความชั่ว

คำแปล R4.
183. บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! การถือศีลอดนั้นได้ถูกำหนดแก่พวกเจ้าแล้ว เช่นเดียวกับที่ได้ถูกกำหนดแก่บรรดาผู้ก่อนหน้าพวกเจ้ามาแล้วเพื่อว่าพวก เจ้าจะได้ยำเกรง

คำแปล R5.
๑๘๓. โอ้บรรดาผู้เป็นมุอ์มิน บัญญัติว่าด้วยการถือศีลอดบฝิลในเดือนรอมดอนคือเดือนที่เก้าทางจันทรคติแห่งปฏิทินอาหรับนั้นบิล ได้ถูกกำหนดไว้เป็นฟัรดูเหนือพวกเจ้าแล้ว เช่นเดียวกับที่ได้เคยถูกกำหนด เป็นฟัรดูไว้เหนือบรรดาศาสดาและมวลประชากรของท่านเหล่านั้น ที่อยู่ในสมัยก่อนจากพวกเจ้านับแต่อาดัมจนถึงสมัยของพวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจักได้หวั่นเกรงความชั่ว เพราะว่าการถือศีลอดนั้นจะสามารถบั่นทอนกิเลสซึ่งจดว่าเป็นต้นเหตุแห่งการประพฤติความชั่วได้

 
คำอ่าน
184. อัยยามัม..มะอฺดูดาด, ฟะมัน..กานะมิน..กุม..มะรีฎ็อน เอาอะลาสะฟะริน..ฟะอิดดะตุม..มินอัยยามินอุค็อรฺ, วะอะลัลละซีนะยุฏีกูนะฮูฟิดยะตุน เฏาะอามุมิสกีน, ฟะมัน..ตะฏ็อวฺ วะอะค็อยรอน..ฟะฮุวะค็อรรุลละฮฺ, วะอัน..ตะศูมูค็อยรุลละกุม อิน..กุน..ตุมตะอฺละมูน

คำแปล R1.
184. [Observing Saum (fasts)] for a fixed number of days, but if any of you is ill or on a journey, the same number (should be made up) from other days. And as for those who can fast with difficulty, (e.g. an old man, etc.), they have (a choice either to fast or) to feed a Miskeen (poor person) (for every day). But whoever does good of his own accord, it is better for him. And that you fast, it is better for you if only you know.

คำแปล R2.
184. (ให้ทำการถือศีลอด)ตามกำหนดวัน(ที่แน่ชัด คือในเดือนรอมะฎอน) แต่ถ้าผู้ใดจากพวกเจ้าทั้งหลายป่วยหรือกำลังเดินทาง(ก็ผ่อนผันมิต้องถือศีลอด) ดังนั้น(จงถือศีลอดชดเชย)ในกำหนดวันอื่น และบังคับแก่บรรดาผู้ไร้สามารถในการถือศีลอดให้ชำระค่าชดเชย คือให้อาหารแก่คนอนาถา(หนึ่งทะนานต่อหนึ่งวัน) แต่ผู้ใดก็ตามทที่อาสากระทำดี(โดยชดเชยเกินกว่าอัตราที่กำหนดไว้)ก็จะเป็นความดีแก่เขาอย่างแน่นอน และการถือศีลอดของพวกเจ้าทั้งหลาย(ในภาวะได้รับการผ่อนผันนั้น)ย่อมเป็นความดีแก่พวกเจ้าเอง ทั้งนี้หากพวกเจ้ารู้

คำแปล R3.
184. การถือศีลอดจะถูกปฏิบัติตามวันที่ถูกกำหนดไว้ แต่ถ้าผู้ใดในหมู่สูเจ้าป่วยหรืออยู่ในระหว่างการเดินทางก็ให้ถือศีลอดวันอื่นแทนในจำนวนวันที่ขาด ส่วนบรรดาผู้ที่ลำบากยิ่งในการถือศีลอด เขาจะต้องให้อาหารแก่คนขัดสนหนึ่งคนเป็นการชดใช้สำหรับวันที่ขาดถือศีลอด แต่ถ้าผู้ใดสมัครใจให้มากกว่านี้ มันก็เป็นการดีสหรับเขาเอง แต่ถ้าหากสูเจ้าเข้าใจ การถือศีลอดนั้นเป็นการดีกว่าสำหรับสูเจ้า

คำแปล R4.
184. (คือถูกกำหนดให้ถือ) ในบรรดาวันที่ถูกนับไว้ แล้วผู้ใดในพวกเจ้าป่วยหรืออยู่ในการเดินทางก็ ให้ถือใช้ในวันอื่น และหน้าที่ของบรรดาผู้ที่ถือศีลอดด้วยความลำบากยิ่ง (โดยที่เขาได้งดเว้นการถือ) นั้น คือการชดเชยอันได้แก่การให้อาหาร(มื้อหนึ่ง)แก่คนมิสกีนคนหนึ่ง (ต่อการงดเว้นจาการถือหนึ่งวัน) แต่ผู้กระทำความดีโดยสมัครใจ มันก็เป็นความดีแก่เขา และการที่พวกเจ้าจะถือศีลอดนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ดียิ่งกว่าพวกเจ้า หากพวกเจ้ารู้

คำแปล R5.
๑๘๔. พวกเจ้าจงถือศีลอดในเดือนรอมดอนตามจำนวนวันเวลาที่ถูกกำหนดไว้เพียงเล็กน้อยเพื่อให้เป็นภาระที่เบาสำหรับพวกเจ้าที่ถูกบังคับ ฉะนั้นถ้าเข้าสู่เดือนรอมดอนแล้ว ถ้าคนใดในหมู่พวกเจ้า ผู้บรรลุศาสนภาวะ มีสติสัมปชัญญะและมีพลานามัยดี เป็นผู้ป่วยไข้หรืออยู่ในภาวะเดินทางที่อย่างต่ำสุดต้องอยู่มนช่วงของการเดินทางโดยฝีเท้าของอูฐบรรทุกประมาณวันกับคืนหนึ่ง และให้เกิดความลำบากแก่เขาที่จะถือศีลอดในขณะเดินทางและเจ็บป่วย เขาจึงละการถือศีลอดเสียแล้วไซร้ ก็จำเป็นที่เขาจะต้องถือศีลอดโดยคิดเอาจากวันอื่นให้เท่ากับจำนวนวันที่เขาละศีลอดนั้น อาจจะโดยการชดใช้ด้วยจำนวนวันที่ต่อเนื่องกันหรือไม่ต่อเนื่องกันและอาจจะเร่งหรือประวิงการชดใช้และย่อมเป็นความจำเป็นเหนือบรรดาผู้ไร้ความสามารถในอันที่จะถือศีลอด อาจเป็นเพราะชราภาพบ้าง หรือเพราะเจ็บป่วยที่ไม่มีหวังหายบ้าง ต้องเสียค่าปรับ (กัฟฟาเราะห์) เป็นอาหารที่ประเทศนั้น ๆ นิยมกันเป็นอาหารหนัก เช่น บริจาคข้าวสารวันละประมาณ ๑ ลิตร ให้แก่บรรดาผู้ยากจน ถ้าผู้ใดสมัครใจทำการดีโดยจำหน่ายค่าปรับให้เกินกว่าอัตราประมาณ ๑ ลิตรต่อวัน นั่นก็เป็นความดีแก่เขา ส่วนการที่พวกเจ้าจะถือศีลอดในขณะเจ็บไข้หรือกำลังเดินทางอยู่นั้นย่อมเป็นความดีแก่พวกเจ้าแม้นว่าพวกเจ้าตระหนักดีว่า การถือศีลอดในสองกรณีนั้นเป็นการดีโดยแท้ ฉะนั้นพวกเจ้าพึงกระทำการถือศีลอดกันเถิดในโอกาสที่ทรงอนุญาตให้ละการนั้นได้


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 13, 2010, 11:24 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #84 เมื่อ: เม.ย. 13, 2010, 11:22 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 185


คำอ่าน

185. ชะฮฺรุเราะมะฎอนัลละซี..อุน..ซิละฟีฮิลกุรฺอานุฮุดัลลิน..นาสิ วะบัยยินาติม..มินัลฮุดาวัลฟุรฺกอน, ฟะมัน..ชะฮิดะมิน..กุมุชชะฮฺเราะ ฟัลยะศุมฮฺ  วะมัน..กานะมะรีฎอน เอาอะลาสะฟะริน..ฟะอิดดะตุม..มินอัยยามินอุค็อรฺ ยุรีดุลลอฮุบิกุมุลยุสเราะวะลายุรีดุ บิกุมุลอุสเราะ วะลิตุกมิลุลอิดดะตะ วะลิตุกับบิรุลลอฮะอะลามาฮะดากุม วะละอัลละกุม ตัชกุรูน

คำแปล R1.
185. The month of Ramadan in which was revealed the Qur'an, a guidance for mankind and clear proofs for the guidance and the criterion (between right and wrong). So whoever of you sights (the crescent on the first night of) the month (of Ramadan i.e. is present at his home), He must observe Saum (fasts) that month, and whoever is ill or on a journey, the same number [of days which one did not observe Saum (fasts) must be made up] from other days. Allah intends for you ease, and He does not want to make things difficult for you. (He wants that you) must complete the same number (of days), and that you must magnify Allah [i.e. to Say Takbeer (Allahu-Akbar; Allah is the Most Great) on seeing the crescent of the months of Ramadan and Shawwal] for having guided you so that you may be grateful to Him.

คำแปล R2.
185. เดือนรอมะฎอนซึ่งอัลกุรอานถูกประทานลงมา เพื่อเป็นสิ่งชี้นำแก่มนุษย์ชาติ และเป็น(หลักฐาน)ที่ชัดแจ้งจากสิ่งชี้นำ และเป็นการจำแนก(ระหว่างความผิดกับความถูก) ดังนั้นบุคคลใดจากเจ้าทั้งหลายได้ประจักษ์ชัดแก่เดือนนั้น เขาก็จงถือศีลอดมันเถิด และผู้ใดเจ็บป่วยหรือกำลังเดินทาง ก็ให้เขาถือศีลอดชดใช้ในกำหนดวันอื่นต่อไป อัลเลาะฮฺทรงประสงค์ความสะดวกแก่พวกเจ้าทั้งหลาย และไม่ประสงค์ความลำบากแก่พวกเจ้าเลย และพวกเจ้าจงนับจำนวนวันให้ครบถ้วน และจงสดุดีความเกรียงไกรแก่อัลเลาะฮฺเถิด เนื่องในสิ่งที่พระองค์ทรงชี้นำพวกเจ้าและเพื่อพวกเจ้าทั้งหลายจะได้ขอบคุณพระองค์

คำแปล R3.
185. เดือนรอมฎอนเป็นเดือนที่อัล-กุรอานได้ถูกประทานลงมาเป็นทางนำสำหรับมนุษยชาติ และมีคำสอนที่แสดงให้เห็นถึงแนวทางที่ถูกต้องและมีข้อจำแนกระหว่างความจริงและความเท็จ ดังนั้น ผู้ใดในหมู่สูเจ้าที่รู้ว่าเข้าเดือนนี้แล้วก็จงถือศีลอด แต่ถ้าหากผู้ใดป่วยหรืออยู่ในระหว่างการเดินทาง ก็ให้เขาถือในวันอื่นแทนวันที่ขาด อัลลอฮฺทรงปรารถนาที่จะให้สูเจ้าสะดวก และไม่ต้องการที่จะให้สูเจ้าลำบาก ทั้งนี้เพื่อที่สูเจ้าจะได้ถือศีลอดได้ครบวัน และสดุดีความเกรียงไกรของอัลลอฮฺที่พระองค์ได้ทรงนำทางสูเจ้า และเพื่อสูเจ้าจะได้ขอบคุณต่อพระองค์

คำแปล R4.
185. เดือนรอมฏอนนั้น เป็นเดือนที่อัลกรุ-อานได้ถูกประทานลงมาในฐานะเป็นข้อแนะนำสำหรับมนุษย์ และเป็นหลักฐานอันชัดเจนเกี่ยวกับข้อแนะนำนั้น และเกี่ยวกับสิ่งที่จำแนกระหว่างความจริงกับความเท็จ ดังนั้นผู้ใดในหมูพวกเจ้าเข้าอยู่ในเดือนนั้นแล้ว ก็จงถือศีลอดในเดือนนั้น และผู้ใดป่วย หรืออยู่ในการเดินทาง ก็จงถือใช้ในวันอื่นแทน อัลลอฮ์ทรงประสงค์ให้มีความสะดวกแก่พวกเจ้า และไม่ทรงให้มีความลำบากแก่พวกเจ้าและเพื่อที่พวกเจ้าจะได้ให้ครบถ้วน ซึ่งจำนวนวัน(ของเดือนรอมฏอน) และเพื่อพวกเจ้าจะได้ให้ความเกรียงไกรแด่อัลลอฮ์ในสิ่งที่พระองค์ทรงแนะนำ แก่พวกเจ้า และเพื่อพวกเจ้าจะขอบคุณ

คำแปล R5.
๑๘๕. เดือนรอมดอนเป็นเดือนที่อัล-กุรอานได้ถูกประทานโดยผ่านทางยิบรออีลลงมาจากแผ่นทะเบียน(เลาหุลมะห์ฟูต)ในฟ้าชั้นเก้าสู่ฟ้าชั้นที่หนึ่งในคืนที่ ๒๔ แห่งเดือนดังกล่าว และท่านยิบรออีลได้เก็บรักษาอัล-กุรอานนี้ไว้ในวิหารอัล-อิซซะห์ ต่อแต่นั้นท่านจึงนำทยอยมายังหน้าแผ่นดิน เพื่อมอบแก่มูฮำหมัดเป็น ๒๓ วาระสิ้นเวลาประมาณ ๒๓ ปี โดยอัล-กุรอานนั้นเป็นแนวนำไปสู่หลักอีหม่าน(ศรัทธา)ประการต่าง ๆ สำหรับมวลมนุษย์ นี่เป็นภาคที่หนึ่งแห่งศาสนาอิสลามทั้งชี้แจงหลักการอิสลาม ซึ่งเป็นภาคที่สองแห่งศาสนาอิสลาม และชี้แจงข้อจำแนกกันระหว่างศาสนาอิสลามกับศาสนากุฟร์(ไม่เชื่อ)และศาสนาที่หลงผิด
โองการส่วนต่อไปนี้มีนัยแห่งคำบรรยาย

ก. ตามหลักวิชาบะดีอ์ (วิชาวาทศิลป์) ว่า ฉะนั้นผู้ใดในหมู่พวกเจ้าผู้มีสติสัมปชัญญะ มีบรรลุศาสนภาวะ มีความสามารถในการถือศีลอด ได้แลเห็นดวงจันทร์ ผู้นั้นจงถือศีลอดในเดือนรอมดอนนั้นเถิด ส่วนบุคคลที่เชื่อตามผู้เห็นดวงจันทร์ ก็ต้องถือศีลอดในเดือนนั้นเช่นเดียวกัน
การเชื่อเรื่องการเห็นดวงจันทร์ ในวิชาฟิกห์ให้คำอรรถาธิบายไว้ดังนี้คือ
ข้อหนึ่ง ผู้เห็นจะต้องแลเห็นดวงจันทร์ในเขตมัตละอ์ของผู้เชื่อ
ข้อสอง ถ้าผู้เห็นได้แลเห็นดวงจันทร์ในเขตมัตละอ์หนึ่ง ผู้ที่อยู่ต่างมัตละอ์กับผู้เห็นจะเชื่อตามก็ย่อมได้

ข. ตามหลักวิชาลุเฆาะห์(พจนานุกรมวิทยา)ว่า ฉะนั้นผู้ใดในหมู่พวกเจ้าผู้มีสติสัมปชัญญะ มีบรรลุศาสนภาวะ มีความสามารถในการถือศีลอดได้เข้าสู่เดือนรอมดอนแล้วผู้นั้นจงถือศีลอดในเดือนนั้นเถิด

การเข้าสู่เดือนรอมดอนนั้นยอมให้ดำเนินตามเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้
๑. เนื่องจากเดือนชะอ์บานครบ ๓๐ วัน
๒. เนื่องจากแลเห็นดวงจันทร์ด้วยตนเอง
๓. มีข่าวแพร่เกี่ยวกับการเห็นดวงจันทร์แม้ว่าข่าวนี้จะรายงานมาโดยพวกกาฟิรก็ตาม
๔. ปรากฏชัดว่าเป็นเดือนรอมดอนโดยมีพยานยืนยัน
๕. ปรากฏชัดว่าเป็นเดือนรอมดอน เพราะคำวินิจฉัยชี้ขาดของผู้พิพากษาในศตวรรษที่ ๑-๓ พร้อมกับมีข้ออ้างของตนเองอย่างใดอย่างหนึ่ง ข้อนี้เลิกใช้แล้วตั้งแต่ศตวรรษที่ ๔ แห่งฮิจเราะห์ศักราช
๖. โดยการเชื่อตามคนกาฟิรบ้าง เด็ก ๆ บ้างคนฟาซิกบ้างหรือหญิงบ้างหรือหญิงบ้างที่แลเห็นดวงจันทร์
๗. โดยได้พิจารณาด้วยตนเองแล้ว เชื่อค่อนข้างแน่ว่าเข้าสู่เดือนรอมดอน ข้อนี้สำหรับผู้ถูกกักกันตัว
๘. โดยคำบอกเล่าของนักโหราศาสตร์หรือนักดาราศาสตร์ สำหรับข้อนี้ปราชญ์ทางฟิกห์ยังมีความเห็นต่างกันอยู่ บ้างว่าใช้ได้ และบ้างก็ว่าใช้ไม่ได้
๙. เนื่องจากชาวชนบทมองเห็นกระโจมไฟซึ่งแขวนอยู่บนหอสูงในกรุงบ้าง เห็นเครื่องหมายใด ๆ บ้าง ที่เป็นอาณัติสัญญาณบอกว่าเข้าสู่รอมดอนแล้ว
หมายเหตุ ท่านนักปราชญ์ทางฟิกห์ได้กำหนดเขตมัตละอ์เดียวกันไว้ว่า เป็นปริมณฑลที่ดวงอาทิตย์ขึ้นและตกเวลาเดียวกันจากการทดลองสอบสวนดูของนักปราชญ์เทียบได้เท่ากับ ๗๒ ไมล์อาหรับ
และถ้าผู้ใดป่วยไข้หรืออยู่ในภาวะเดินทางที่อย่างต่ำสุด ต้องอยู่ในช่วงของการเดินทางโดยฝีเท้าขงอูฐบรรทุกประมาณวันกับคืนหนึ่ง และยังความลำบากที่จะถือศีลอดในขณะเจ็บป่วยและเดินทาง เขาจึงละการถือศีลอดเสีย ก็จำเป็นที่เขาจะต้องถือศีลอดชดใช้โดยคิดเอาจากวันอื่นให้เท่ากับจำนวนวันที่เขาละศีลอดนั้น อาจจะโดยการชดใช้ด้วยจำนวนวันที่ต่อเนื่องกันหรือไม่ต่อเนื่องกัน และอาจจะเร่งหรือประวิงการชดใช้ก็ได้
อัลเลาะห์ทรงมุ่งหวังให้พวกเจ้าได้ซึ่งความสะดวกแต่จะไม่ทรงมุ่งหวังให้พวกเจ้าได้ซึ่งความยากเลย และเพื่อที่พวกเจ้าจะได้สรรเสริญอัลเลาะห์ในฐานะที่พวกเจ้าถือศีลอดชดใช้จนครบจำนวน เพื่อที่จะได้อ่านตักบีร เนื่องในดิถีแห่งวันอีด-อัล-ฟิตร์เมื่อได้ถือศีลอดครบ ๓๐ วันในเดือนรอมดอนแล้ว ตามที่พระองค์ได้ทรงแนะนำไว้แก่พวกเจ้าไปสู่สัญลักษณ์แห่งศาสนา และแน่นอนพวกเจ้าจะต้องขอบพระคุณต่ออัลเลาะห์ที่ทรงแนะนำให้พวกเจ้าไปสู่แก่นสารแห่งศาสนา




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 13, 2010, 11:24 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #85 เมื่อ: เม.ย. 14, 2010, 09:09 PM »
0

สูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 186-187


คำอ่าน
186. วะอิซาสะอะละกะอิบาดี อัน..นี ฟะอิน..นีเกาะรีบ อุญีบุดะอฺวะตัดดาอิ อิซาดะอานิ ฟัลยัสตะญีบูลี วัลยุอ์มินูบี ละอัลละฮุม ยัรฺชูดูน

คำแปล R1.
186. And when My slaves ask you (O Muhammad) concerning Me, Then (answer them), I am indeed near (to them by My Knowledge). I respond to the invocations of the supplicant when he calls on Me (without any mediator or intercessor). So let them obey Me and believe in Me, so that they may be led aright.

คำแปล R2.
186. และเมื่อมวลบ่าวของข้าได้ถามเจ้าถึงข้า (เจ้าก็จงตอบไปเถิดว่า) แท้จริงข้าเป็นผู้ใกล้ชิด (กับพวกเจ้า) ข้าคอยสนองตอบคำวอนขอของผู้วอนขอ เมื่อเขาได้วอนขอต่อข้า ดังนั้นพวกเขาจงขอการสนองตอบต่อข้าเถิด และพวกเขาจงมีศรัทธาในข้าเถิด เพื่อพวกเขาจะได้รับการชี้นำ(ให้อยู่ในทางที่ถูกต้อง)

คำแปล R3.
186. และถ้าบ่าวของฉันถามเจ้าเกี่ยวกับฉัน จงบอกพวกเขาว่าฉันอยู่ใกล้พวกเขา ฉันตอบการวิงวอนของผู้วิงวอนขอเมื่อเขาวิงวอนขอต่อฉัน ดังนั้น จงให้พวกเขาตอบคำเรียกร้องฉันและศรัทธาฉัน ทั้งนี้เพื่อที่พวกเขาจะได้อยู่ในหนทางที่ถูก

คำแปล R4.
186. และเมื่อบ่าวของข้าถามเจ้าถึงข้าแล้วก็ (จงตอบเถิดว่า) แท้จริงนั้นอยู่ใกล้ ข้าจะตอบรับคำวิงวอนของผู้ที่วิงวอน เมื่อเขาวิงวอนต่อข้าดังนั้น พวกเขาจงตอบรับข้าเถิด และศรัทธาต่อข้า เพื่อว่าพวกเขาจะได้อยู่ในทางที่ถูกต้อง

คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ มีชนกลุ่มหนึ่งถามมูฮำมัดว่า อัลเลาะห์นั้นอยู่ใกล้ ไกล พวกเราหรือไฉน? เพื่อว่าถ้าอยู่ใกล้แล้ว พวกเราจะได้วอนขอต่อพระองค์ด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา แต่ถ้าอยู่ไกลจากพวกเรา พวกเราจะได้วอนขอต่อพระองค์ด้วยน้ำเสียงอันดัง
๑๘๖. โอ้มูฮำมัด และเมื่อบรรดาบ่าวของข้าได้ไต่ถามเจ้าเกี่ยวกับข้า เจ้าจงตอบแก่พวกนั้นให้รู้เถอะว่า แน่แท้ข้าก็ใกล้พวกนั้นในรูปที่ข้ารู้ถึงถ้อยคำและพฤติการณ์ตลอดจนอาการของพวกนั้นอยู่แล้ว มิใช่อยู่ใกล้โดยทิศและสถาน พระองค์ตรัสแก่พวกนั้นว่า ข้าจะรับซึ่งคำขอของผู้ขอเมื่อเขาได้วอนขอต่อข้า ด้วยให้เขาได้รับทุกสิ่งตามที่เขาขอ ฉะนั้นพวกนั้นจงวิงวอนต่อข้าให้รับคำขอโดยประพฤติตนตามใช้และตามห้ามของข้า และจงศรัทธามั่นคงต่อข้าเถิด เพื่อที่พวกนั้นจะได้มีปฏิภาณ ได้พบสิ่งถูกต้องและเที่ยงตรงเป็นแน่แท้
 

คำอ่าน
187. อุหิลละละกุม ลัยละตัศศิยามิรฺเราะฟะสุอิลานิสา...อิกุม ฮุน..นะลิบาสุลละกุม วะอัน..ตุมลิบาสุลละฮุน, อะลิมัลลอฮุอัน..นะกุมกุน..ตุมตัคตานูนะอัน..ฟุสะกุม ฟะตาบะอะลัยกุมวะอะฟา...อัน..กุม ฟัลอานะบาชิรูฮุน..นะวับตะฆูมากะตะบัลลอฮุละกุม วะกุลู วัชเราะบู หัตตายะตะบัยยะนะละกุมุลค็อยฏุลอับยะฎุ มินัลค็อยฏิลอัสวะดิ มินัลฟัจญรฺ ษุม..มะอะติม..มุศศิยามะอิลัลลัยลฺ วะลาตุบาชิรูฮุน..นะวะอัน..ตุมอากิฟูนะ ฟิลมะสาญิด ติลกะหุดูดุลลอฮิฟะลาตักเราะบูฮา กะซาลิกะยุบัยยุนุลลอฮุอายาติฮี ลิน..นาสิละอัลละฮุมยัตตะกูน

คำแปล R1.
187. It is made lawful for you to have sexual relations with your wives on the night of As-Saum (the fasts). They are Libas [i.e. body cover, or screen, or Sakan, (i.e. you enjoy the pleasure of living with her - as In Verse 7:189) Tafsir At-Tabari], for you and you are the same for them. Allah knows that you used to deceive yourselves, so He turned to you (accepted your repentance) and forgave you. so now have sexual relations with them and seek that which Allah has ordained for you (offspring), and eat and drink until the white thread (light) of dawn appears to you distinct from the black thread (darkness of night), then complete your Saum (fast) till the nightfall. And do not have sexual relations with them (your wives) while you are in I'tikaf (i.e. confining oneself in a mosque for prayers and invocations leaving the worldly activities) in the mosques. These are the limits (set) by Allah, so approach them not. Thus does Allah make clear his Ayat (proofs, evidences, lessons, signs, revelations, verses, laws, legal and illegal things, Allah's set limits, orders, etc.) to mankind that they may become Al-Muttaqun (the pious - see V.2:2).

คำแปล R2.
187. ได้อนุมัติแก่พวกเจ้าทั้งหลายในค่ำแห่งการถือศีลอด ให้ทำการร่วมเพศสัมพันธ์กับภริยาของพวกเจ้าได้ เพราะพวกนางเป็น(ประหนึ่ง)อาภรณ์ของพวกเจ้า และพวกเจ้าก็เป็น(ประหนึ่ง)อาภรณ์ของพวกนาง อัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ว่าพวกเจ้าทั้งหลายได้เคยคดโกงตัวเอง(ด้วยการร่วมเพศสัมพันธ์กับภริยาในยามค่ำของการถือศีลอด) และพระองค์ก็ทรงรับการสารภาพผิดแก่พวกเจ้า และทรงให้อภัยแก่พวกเจ้าทั้งมวล ดังนั้น ณ บัดนี้ เจ้าทั้งหลายจงสัมผัสพวกนางเถิด และจงแสวงหา (ความสุขจากพวกนางได้อย่างเสรี) ตามที่อัลเลาะฮฺได้ทรงลิขิตไว้แก่พวกเจ้า พวกเจ้าจงรับประทานและจงดื่มจนกระทั่งได้ชัดเจนแก่พวกเจ้าซึ่งเส้น(แสง)สีขาว(ที่ทอดอยู่ขอบฟ้า) อันมาจากเส้น(แสง)สีดำ(อันมืดสนิท)จากแสงอรุณ หลังจากนั้นเจ้าทั้งหลายต้องถือศีลอดให้เต็มวันจวบจนถึงกลางคืน (คือตอนตะวันตกอันเป็นเวลาละศีลอด) และพวกเจ้าจงอย่าสัมผัส(ร่วมเพศสัมพันธ์)แก่พวกนางในขณะที่พวกเจ้าทำการสำรวมจิตใจในมัสยิด นั้นเป็นขอบเขตของอัลเลาะฮฺ (ที่ทรงกำหนดไว้) ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าเข้าใกล้มัน (เป็นอันขาด) เช่นนั้นแหละ อัลเลาะฮฺทรงแจ้งบรรดาโองการของพระองค์แก่มวลมนุษย์ เพื่อพวกเจ้าจะได้ยำเกรง

คำแปล R3.
187. มันเป็นที่อนุมัติสำหรับสูเจ้าที่จะร่วมเสน่หากับภรรยาของสูเจ้าในคืนถือศีลอด พวกนางเป็น (เสมือน)อาภรณ์สำหรับสูเจ้าและสูเจ้าก็เป็น(เสมือน)อาภรณ์สำหรับนาง ถึงแม้อัลลอฮฺทรงรู้ว่าสูเจ้าไม่ซื่อตรงต่อตัวของสูเจ้าเอง พระองค์ก็ได้ทรงนิรโทษสูเจ้าโดยปรานีและทรงอภัยสูเจ้า เพราะฉะนั้น บัดนี้จงสมสู่กับภรรยาของสูเจ้าและจงหาความสุขจากสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงทำให้เป็นที่อนุมัติสำหรับสูเจ้า และจงกินและจงดื่มในระหว่างกลางคืนของเดือนถือศีลอด จนกระทั่งสูเจ้าสามารถที่จะแยกแนวเส้นสีขาวแห่งรุ่งอรุณออกจากความมืดแห่งกลางคืน ดังนั้น (จงละเว้นจากสิ่งเหล่านี้และ) จงถือศีลอดให้ครบถ้วนจนกระทั่งพลบค่ำ และจงอย่าสมสู่กับภรรยาของสูเจ้าขณะที่สูเจ้าจำสมาธิอยู่ในมัสญิด (ระหว่าง 10 วันสุดท้ายของเดือนรอมฎอน) เหล่านี้คือกฎเกณฑ์ของอัลลอฮฺ ดังนั้น จงอย่าแม้แต่จะเข้าใกล้มัน ด้วยวิธีการเช่นนี้เองที่อัลลอฮฺได้ทำให้บัญญัติของพระองค์เป็นที่ชัดเจนสำหรับมนุษยชาติ ทั้งนี้เพื่อที่พวกเขาจะได้ปกป้องตัวเองให้พ้นจากสิ่งที่ผิด

คำแปล R4.
187. ได้เป็นที่อนุมัติแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งการสมสู่กับบรรดาภรรยาของพวกเจ้าในค่ำคืนของการถือศีลอด นางทั้งหลายนั้นคือเครื่องนุ่งห่มของพวกเจ้า และพวกเจ้าก็คือเครื่องนุ่งห่มของพวกนางอัลลอฮ์ทรงรู้ว่า พวกเจ้านั้นเคยทุจริตต่อตัวเอง แล้วพระองค์ก็ทรงยกโทษให้แก่พวกเจ้า และอภัยให้แก่พวกเจ้าแล้ว บัดนี้พวกเจ้าสมสู่กับพวกนางได้ และแสวงหาสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงกำหนดให้แก่พวกเจ้าเถิด และจงกิน และดื่ม จนกระทั่งเส้นขาว จะประจักษ์แก่พวกเจ้า จากเส้นดำ เนื่องจากแสงรุ่งอรุณ แล้วพวกเจ้าจงให้การถือศีลอดครบเต็มจนถึงพลบค่ำ และพวกเจ้าจงอย่าสมสู่กับพวกนางขณะที่พวกเจ้าเอียะติก๊าฟอยู่ในมัสยิด นั่นคือบรรดาขอบเขตของอัลลอฮ์ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าเข้าใกล้ขอบเขตนั้น ในทำนองนั้นแหละอัลลอฮ์จะทรงแจกแจงบรรดาโองการของพระองค์แก่มนุษย์ เพื่อว่าพวกเขาจะได้ยำเกรง

คำแปล R5.
มูลเหตุแผ่งการลงโองการต่อไปนี้ ในระยะเริ่มต้นแห่งอิสลามยุคมูฮำมัดนั้น เมื่อชายใดละจากการถือศีลอดแล้ว ก็ไม่มีข้อห้ามเรื่องกินและดื่มตลอดจนเรื่องการทำประเวณี จนกว่าจะทำละหมาดอิชาอ์ หรือกว่าจะนอนก่อนทำละหมาดอิชาอ์ แต่ถ้าได้ทำละหมาดอิชาอ์หรือนอนก่อนทำละหมาดอิชาอ์เสียแล้ว บัญญัติจึงจะบ่งห้ามว่ามิให้กิน ดื่ม ตลอดจนทำประเวณีเรื่อยไปจนถึงเวลาการละศีลอดของวันรุ่งขึ้น มีอยู่คราวหนึ่งอุมัรบุตรค๊อตต๊อบ ได้ทำประเวณีด้วยภรรยาของตนหลังจากกระทำละหมาดอิชาอ์แล้วเขาก็ได้อาบน้ำชำระกายเป็นที่เรียบร้อย เหตุดังนี้ยังผลให้เขาต้องเศร้าสลดใจมากถึงกับร้องไห้ และนึกน้อยเนื้อต่ำใจที่เห็นว่าตัวนี้เลวนัก แล้วในที่สุดเขาก็ได้เรียนให้พระนบีมูฮำมัดทราบพร้อมกับให้การสารภาพในความผิดต่อพระนบีด้วย ยังมีชายอีกหลายคนที่มีสภาพแห่งความผิดทำนองนั้น พวกเขาจึงพร้อมกันยืนขึ้นเพื่อสารภาพซึ่งความผิดแห่งตนต่อหน้าพระนบีด้วยเหมือนกันเกี่ยวกับข้อห้าม ๓ อย่างสำหรับในค่ำคืนแห่งเดือนรอมดอน ซึ่งอุมัรบุตรค๊อตต๊อบก็ดี ชายเหล่านั้นก็ดีได้กระทำผิด ก็ถูกโองการต่อไปนี้ยกเลิกดังเนื้อความว่า
๑๘๗. โอ้บรรดามุอ์มิน การร่วมสังวาสกับภรรยาในค่ำคืนแห่งการถือศีลอดนั้นได้เป็นที่อนุญาตแก่พวกเจ้าแล้ว พวกหล่อนเป็นดังเครื่องอาภรณ์สำหรับเจ้า และพวกเจ้าก็เป็นดั่งอาภรณ์ของพวกหล่อน นั่นแปลว่า สามีภรรยา คือคู่อภิรมย์ชมชอบแก่กันและกันซึ่งจะเปรียบไปก็เหมือนเครื่องนุ่งห่มที่เนื่องกายอยู่ อัลเลาะห์ทรงรู้ว่าพวกเจ้านั้นทำทุจริตแก่ตนเองอยู่ด้วยการทำประเวณีกับภรรยาในค่ำคืนแห่งเดือนรอมดอน พระองค์จึงทรงรับซึ่งคำสารภาพผิดของพวกเจ้าและทรงนิรโทษแก่พวกเจ้า จึงในขณะนี้ข้อบัญญัติว่าห้ามการทำประเวณีในยามค่ำคืนแห่งเดือนรอมดอนได้ถูกยกเลิกและเปลี่ยนมาเป็นข้ออนุญาต พวกเจ้าจงทำประเวณีด้วยพวกหล่อนตามที่ทรงอนุญาต และจงใฝ่หาสิ่งที่ได้ทรงอนุญาตให้แก่พวกเจ้า เช่นการทำสังวาส และบุตรผู้สืบสันดานตามที่อัลเลาะห์ได้ทรงจดบันทึกไว้แล้วสำหรับพวกเจ้าเถิด
มูลเหตุแห่งการลงโองการส่วนต่อไปนี้ มีเรื่องบรรยายว่า ชายผู้หนึ่งมีนามว่า ซ็อรมะห์บุตรกีส ได้ประกอบธุรกิจอยู่ในที่ดินของเขาทั้ง ๆ ที่กำลังถือศีลอดอยู่ ครั้นพอถึงเวลาจวนค่ำ เขาก็มุ่งหน้ากลับไปยังภรรยาด้วยอาการอ่อนเพลีย พลางเอ่ยถามภรรยาว่า นี่แน่ะน้องหญิง เธอจัดหาอาหารไว้แล้วหรือไฉน นางผู้ภรรยาตอบว่า ยังมิได้จัดหาเลย ทันใดนั้นเขาจึงเอนกายลงนอนจนหลับสนิทเพราะความอ่อนเพลีย อีกสักครู่ต่อแต่นั้นนางก็เร่งไปจัดหาอาหาร พอเสร็จสรรพแล้ว เธอจึงไปปลุกสามีแต่ปรากฏว่า เขาไม่ยอมรับประทานอาหารเพราะความยำเกรงอัลเลาะห์ รุ่งขึ้นในตอนเช้าเขาก็ถือศีลอดต่อและเริ่มออกจากบ้านไปปฏิบัติภารกิจตามปกติ แต่ทว่ามิทันได้ครึ่งวันเขาก็เป็นลม เมื่อฟื้นขึ้นจนมีอาการเป็นปกติแล้ว เขาก็รีบไปเรียนให้พระนบีมูฮำมัดทราบถึงความเป็นไปของเขาโดยตลอด ดังนั้นอัลเลาะห์จึงได้ประทานโองการส่วนต่อไปนี้ลงมาว่า
และโอ้พวกมุอ์มิน พวกเจ้าจงกินและดื่มตลอดคืนจนกว่ารุ่งสางแห่งอรุณจะปรากฏขึ้นแก่พวกเจ้าเถิด จากนั้นพวกเจ้าจงถือศีลอดให้ครบบริบูรณ์ตลอดวัน ตั้งแต่รุ่งอรุณไปจนถึงดวงอาทิตย์ตก และพวกเจ้าจงอย่าทำการประเวณีด้วยพวกหล่อน ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน พลางที่พวกเจ้ายังกำหนดตัวพำนักอยู่ในมัสยิดด้วยหมายจะเอาบุญกุศล แม้เวลาจะยาวนานสักกี่มากน้อย ซึ่งพวกเจ้ากำหนดว่าจะพำนักอยู่ ณ มัสยิด ก็ยังมีข้อห้ามสำหรับพวกเจ้ามิให้ออกไปพ้นแดนมัสยิดเพื่อประกอบการประเวณีกับภรรยาแล้วย้อนกลับมาพำนักต่อจนครบตามเวลาที่กำหนดไว้ ข้อห้ามทั้งนั้นตั้งแต่โองการที่ ๑๘๓ จนถึงโองการที่ ๑๘๗ นี่แหละ คือขอบเขตของอัลเลาะห์ที่ทรงบัญญัติกั้นไว้สำหรับบรรดาข้าของพระองค์เพื่อให้ยับยั้งอยู่ในขอบเขตนั้น ฉะนั้นพวกเจ้าจงอย่างล่วงขอบเขตกันเลย ทำนองเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงแจ้งใช้และห้ามด้วยบรรดาโองการเรื่องถือศีลอดนี้แหละอัลเลาะห์ก็จะทรงแจ้งบรรดาโองการของพระองค์ อื่นจากเรื่องใช้และห้ามเกี่ยวกับการถือศีลอดให้มวลมนุษย์ได้รู้ไว้อีก เพื่อว่าพวกเขาจะได้กลัวเกรงข้อห้ามต่าง ๆ ของพระองค์



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #86 เมื่อ: เม.ย. 14, 2010, 09:17 PM »
0

สูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 188 – 189


คำอ่าน
188. วะลาตะอ์กุลูอัมวาละกุม..บัยนะกุม..บิลบาฏิลิวะตุดลูบิฮาอิลัลหุกกามมิลิตะอ์กุลูฟะรีก็อม..มินอัมวาลิน..นาสิ บิลอิษมิ วะอัน..ตุมตะอฺละมูน

คำแปล R1.
188. And eat up not one another property unjustly (in any illegal way e.g. stealing, robbing, deceiving, etc.), nor give bribery to the rulers (judges before presenting your cases) that you may knowingly eat up a part of the property of others sinfully.

คำแปล R2.
188. และเจ้าทั้งหลายจงอย่ากินทรัพย์สินของกันและกัน โดยทางอันมิชอบ (ต่อบทบัญญัติ) และจงอย่าหยิบยื่นทรัพย์สินนั้นแก่บรรดาผู้พิพากษา (เพื่อติดสินบนพวกเขา) เพื่อพวกเจ้าจะได้กิน (คดโกง) ทรัพย์สินบางจำนวนของมนุษย์อื่นโดยบาปทั้ง ๆ ที่พวกเจ้าทั้งหลายก็รู้ดี

คำแปล R3.
188. และจงอย่าแย่งชิงทรัพย์สินกันละกันโดยวิธีการที่มิชอบธรรม และจงอย่าเสนอให้กับผู้พิพากษาเพื่อที่ว่า สูเจ้าจะได้กลืนกินสมบัติส่วนหนึ่ง ของคนอื่นโดยไม่เป็นธรรม ทั้ง ๆ ที่สูเจ้ารู้ดีอยู่

คำแปล R4.
188. และพวกเจ้าจงอย่ากินทรัพย์ สมบัติของพวกเจ้า ระหว่างพวกเจ้าโดยมิชอบ และจงอย่าจ่ายมัน ให้แก่ผู้พิพากษา เพื่อที่พวกเจ้าจะได้กินส่วนหนึ่งจากทรัพย์สินสมบัติของผู้อื่น ด้วยการกระทำสิ่งที่เป็นบาป ทั้งๆ ที่พวกเจ้ารู้กันอยู่

คำแปล R5.
๑๘๘. และพวกเจ้าจงอย่ากินทรัพย์สินกันและกันในทางที่บาป อันมีปล้น ตีชิงวิ่งราว พนัน เสพสุรา ทุจริตของฝาก รับสินบนให้เป็นพยานเท็จ เป็นต้น และจงอย่าด่วนขอให้ผู้พิพากษาตัดสินเรื่องทรัพย์สินให้ตกเป็นของตน และจงอย่าด่วนไปยื่นเบี้ยยัดแก่ผู้พิพากษาเพื่อให้ตัดสินความ เป็นผลแก่ฝ่ายตน เพื่อที่พวกเจ้าฝ่ายหนึ่งจะกินบางส่วนจากทรัพย์สินของบุคคลด้วยความบาป และโดยอาศัยคำพิพากษาที่ลำเอียง ทั้ง ๆ ที่พวกเจ้าก็ตระหนักดีอยู่ว่าพวกเจ้ากำลังกระทำความเสื่อมเสีย
 

คำอ่าน
189. ยัสอะลูนะกะอะนิลอะหิลละฮฺ, กุลฮิยะมะวากีตุลิน..นาสิวัลหัจญฺ, วะลัยสัลบิรฺรุ บิอัน..ตะอ์ตุลบุยูตะ มิน..ซุฮูริฮา วะลากิน..นัลบิรฺเราะมะนิตตะกอ, วะอ์ตุลบุยูตะมินอับวาบิฮา วัตตะกุลลอฮะ ละอัลละกุมตุฟลิหูน

คำแปล R1.
189. They ask you (O Muhammad ) about the new moons. Say: These are signs to mark fixed periods of time for mankind and for the pilgrimage. It is not Al-Birr (piety, righteousness, etc.) that you enter the houses from the back but Al-Birr (is the quality of the one) who fears Allah. So enter houses through their proper doors, and fear Allah that you may be successful.

คำแปล R2.
189. พวกเขาเหล่านั้นจะถามเจ้าเกี่ยวกับดวงจันทร์เสี้ยวเริ่มเดือน(ของเดือนต่าง ๆ ) เจ้าจงตอบเถิดว่า มันเป็นเครื่องบอกเวลาแก่มวลมนุษย์ และการประกอบพิธีฮัจย์ และหาใช่ว่าคุณธรรมแท้จะอยู่ที่พวกเจ้าเข้าบ้านทางเบื้องหลังของมัน (โดยเจาะช่องเข้าหลังบ้านเฉพาะในระยะทำฮัจยี ซึ่งเป็นประเพณีโบราณอันงมงายของชาวอาหรับ) แต่ทว่าคุณธรรมแท้นั้น คือ บุคคลที่มีความยำเกรง และเข้าบ้านตามประตูปกติของมัน และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะฮฺเถิด เพื่อพวกเจ้าจะได้ประสบความสมหวัง

คำแปล R3.
189. พวกเขาถามเจ้าเกี่ยวกับขั้นตอนต่าง ๆ ของดวงจันทร์ จงกล่าวเถิด “นี่เป็นสัญญาณสำหรับคนที่จะนับวันและกำหนดระยะเวลาสำหรับการฮัจญ์” และจงบอกพวกเขาด้วยว่า “นั่นไม่ใช่คุณธรรมที่จะเข้าบ้านของสูเจ้าจากทางด้านหลังของบ้าน (ในระหว่างวันแห่งการทำฮัจญ์) คุณธรรมที่แท้จริงนั้นคือ การที่คนสำรวมตนจากความชั่ว ดังนั้น จงเข้าบ้านของสูเจ้าโดยทางประตูของมัน และจงเกรงกลัวอัลลอฮฺเพื่อที่ว่าสูเจ้าจะได้รับผลสำเร็จ (ที่แท้จริง)

คำแปล R4.
189. เขาเหล่านั้นจะถามเจ้า เกี่ยวกับเดือนแรกขึ้น จงกล่าวเถิด มันคือกำหนดเวลาต่างๆ สำหรับมนุษย์ และสำหรับประกอบพิธีฮัจญ์และหาใช่เป็นคุณธรรมไม่ ในการที่พวกเจ้าเข้าบ้านทางหลังบ้าน แต่ทว่าคุณธรรมนั้นคือผู้ที่ยำเกรงต่างหาก และพวกเจ้าจงเข้าบ้านทางประตูบ้าน และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ

คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ มะอาดบุตรยะบัลกับซะอฺละบะห์บุตรฆ่อนำซึ่งทั้งสองเป็นชนชาวมดีนะห์ได้เรียนถามมูฮำมัดว่า จันทร์เสี้ยวนั้นมีอาการอย่างไร ทำไมในระยะต้น ๆ เดือนจึงเล็กแล้วจะค่อย ๆ โตขึ้น จนเต็มดวงในค่ำต่อ ๆ มา จนในกึ่งที่สองของเดือนมันจึงกลับเล็กลง ๆ จนมีขนาดเท่าเมื่อตอนต้นเดือน และทำไม่มันจึงไม่มีขนาดคงที่เหมือนดวงอาทิตย์ อัลเลาะห์ก็ประทานโองการลงมาว่า
๑๘๙. และโอ้มูฮำมัด พวกนั้นจะไต่ถามเจ้าถึงอาการของจันทร์เสี้ยวซึ่งขยายขนาดของมันจากเล็กจนเต็มดวง และพอตกข้างแรมมันก็จะลดขนาดลงเรื่อย ๆ มูฮำมัดเอ๋ย เจ้าจงตอบเถิดว่ามันคือมาตรกาล หรือเครื่องบอกเวลาสำหรับมนุษย์ เพื่อจะได้รู้กำหนดเวลาการเพาะปลูก ฤดูค้า ระยะพักตัวของหญิงที่ถูกสามีหย่าหรือตายจาก ตลอดจนระยะเวลาของการมีหรือขาดเลือดระดู และกำหนดคลอด ทั้งยังเพื่อรู้กำหนดการถือศีลอดการละศีลอดและการทำฮัจย์ ฉะนั้นถ้าดวงจันทร์มีขนาดคงที่เหมือนกับดวงอาทิตย์เสียแล้ว มนุษย์ก็ไม่อาจรู้เวลาของการประกอบการต่าง ๆ ตามที่กล่าวข้างต้นได้ และไม่จัดว่าเป็นบุญกุศลเลย ที่พวกเจ้าจะเข้าบ้านทางด้านหลังระหว่างอยู่ในพิธีเอียะห์รอมฮัจย์ หรืออุมเราะห์ โดยเจาะหลังบ้านให้เป็นช่องเข้าออก ไม่ยอมเข้าออกทางประตูหน้าบ้าน นี่เป็นขนบประเพณีอย่างหนึ่งซึ่งพวกกาฟิรมักกะห์ได้เคยกระทำกันมาตั้งแต่สมัยยาหิลียะห์ จนถึงยุคต้นของอิสลามและคาดคิดว่าการเช่นนั้นเป็นบุญกุศล แต่ผู้ที่จะได้รับบุญกุศลนั้นได้แก่คนผู้ยำเกรงอัลเลาะห์ด้วยการไม่ปฏิบัติตนนอกรีตนอกรอยจากที่พระองค์ทรงบัญชาใช้ ฉะนั้นพวกเจ้าจงเข้าบ้านทางประตูหน้า ไม่ว่าจะอยู่ระหว่างพิธีเอียะห์รอมฮัจย์หรืออุมเราะห์ หรือเวลาใด ๆ และจงยำเกรงอัลเลาะห์เถิดเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้มีชัยด้วยการได้เข้าสู่สรวงสวรรค์



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #87 เมื่อ: เม.ย. 14, 2010, 09:32 PM »
0

สูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 190 – 193
 

คำอ่าน
190. วะกอติลูฟีสะบีลิลลาฮิลละซีนะยุกอติลูนะกุม วะลาตะอฺตะดู, อินนัลลอฮะลายุหิบบุลมุอฺตะดีน

คำแปล R1.
190. And fight in the way of Allah those who fight you, but transgress not the limits. Truly, Allah likes not the transgressors. [This verse is the first one that was revealed in connection with Jihad, but it was supplemented by another (V.9:36)].

คำแปล R2.
190. และเจ้าทั้งหลายจงต่อสู้ในทางของอัลเลาะฮฺกับบรรดาผู้ที่ทำการรบกับพวกเจ้า แต่พวกเจ้าทั้งหลายจงอย่าละเมิด(พวกนั้นด้วยการรุกรานหรือไม่ทำตามสัญญา) แท้จริงอัลเลาะฮฺไม่รักบรรดาผู้ละเมิด

คำแปล R3.
190. และจงต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺกับบรรดาผู้ที่ต่อสู้สูเจ้า จงอย่าละเมิดขอบเขต เพราะแท้จริงอัลลออฺไม่ทรงรักผู้ละเมิด

คำแปล R4.
190. และพวกเจ้าจงต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์ต่อบรรดาผู้ที่ทำร้ายพวกเจ้า และวงอย่ารุกรานแท้จริง อัลลอฮ์ไม่ทรงชอบบรรดาผู้รุกราน

คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ มีว่า ในปีหุไดบียะห์ อันเป็นปีที่ ๖ แห่งฮิจเราะห์ศักราช พระนบีมูฮำมัดถูกพวกกาฟิรชาวมักกะห์ห้ามมิให้เข้าสู่ไบตุลเลาะห์ พระนบีจึงได้เข้าทำสัญญาเพื่อความปลอดภัยกับพวกกาฟิรแห่งนครนั้นว่า ตัวท่านจะกลับมายังนครนี้ในปีหน้า และว่าให้นครมักกะห์ปลอดจากสงครามสัก ๓ วัน เพื่อท่านกับบรรดามุสลิมอีก ๑๔๐๐ คน จะได้เตรียมตัวมากระทำอุมเราะห์ชดใช้ที่เว้นมิได้กระทำในปีก่อน แต่ทว่าพวกมุสลิมเกรงว่าพวกกาฟิรเผ่ากุรอยซ์จะไม่ถือมั่นตามคำสัญญา ทั้งเกรงว่าพวกเหล่านั้นจะทำสงครามกับพวกตน เพราะพวกมุสลิมไม่ชอบที่จะทำสงครามเหนือผืนแผ่นดินที่ประเสริฐเลิศและในขณะทำอุมเราะห์ โดยเฉพาะในเดือนที่ห้ามมิให้กระทำสงคราม อัลเลาะห์จึงทรงประกาศโองการลงมาว่า
๑๙๐. และโอ้บรรดามุอ์มิน พวกเจ้าจงสู้รบในวิถีทางของอัลเลาะห์กับบรรดากาฟิรผู้ทำการสู้รบกับพวกเจ้าเพื่อให้ศาสนาของพระองค์ดำรงมั่นและสูงเด่นอยู่ตลอดกาล แต่จงอย่าละเมิดไปตั้งตัวเป็นศัตรูกับพวกนั้นด้วยเป็นฝ่ายรุกรานเขาก่อน เพราะแท้จริงอัลเลาะห์ไม่โปรดพวกที่ละเมิดขอบเขตอันพระองค์ได้ทรงกำหนดไว้แก่พวกนั้น โองการที่ ๑๙๐ นี้ถูกยกเลิกโดยโองการที่ ๓๖ แห่งซูเราะห์ อัล-เตาบะห์หรือโดยโองการต่อไปนี้


คำอ่าน
191. วักตุลูฮุม หัยษุ ษะกิฟตุมูฮุม วะอัคริญูฮุม..มินหัยษุอัคเราะญูกุม วัลฟิตนะตุ อะชัดดุมินัลก็อตลิ วะลาตุกอติลูฮุม อิน..ดัลมัสญิดิลหะรอมมิ หัตตายุกอติลูกุมฟีฮฺ, ฟะอิน..กอตะลูกุม ฟักตุลูฮุม, กะซาลิกะญะซา...อุลกาฟิรีน

คำแปล R1.
191. And kill them wherever you find them, and turn them out from where they have turned you out. And Al-Fitnah is worse than killing. And fight not with them at Al-Masjid-al-Haram (the sanctuary at Makkah), unless they (first) fight you there. But if they attack you, then kill them. Such is the recompense of the disbelievers.

คำแปล R2.
191. และเจ้าทั้งหลายจงฆ่าพวกนั้นเถิด ไม่ว่าพวกเจ้าเผชิญกับพวกเขา ณ ที่ใดก็ตาม และพวกเจ้าจงขับไล่พวกนั้น เช่นเดียวกับที่พวกเขาเคยขับไล่พวกเจ้ามาก่อน และวิกฤตการ(อันเกิดจากการกดขี่ข่มเหงและการตั้งภาคี)ย่อมร้ายแรงยิ่งกว่าการฆ่ามากนัก และเจ้าทั้งหลายจงอย่าต่อสู้กับพวกเหล่านั้น ณ มัสยิดิลหะรอม นอกจากว่าพวกเหล่านั้นจะทำการรบกับพวกเจ้าในนั้น ดังนั้นหากพวกเขารบพวกเจ้า พวกเจ้าก็จงรบพวกนั้นตอบเถิด เช่นนั้นแหละ เป็นการตอบแทนแก่บรรดาผู้เนรคุณทั้งหลาย

คำแปล R3.
191. และจงต่อสู้พวกเขาไม่ว่าสูเจ้าจะเผชิญหน้าพวกเขา ณ ที่ใดในการรบ และจงขับไล่พวกเขาออกจากที่ที่พวกเขาขับไล่สูเจ้าออกมา ถึงแม้ว่าการฆ่าจะเป็นสิ่งไม่ดี แต่การกดขี่ข่มเหงนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าการฆ่า จงอย่าต่อสู้กับพวกเขาใกล้มัสญิดอัล-หะรอม เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะโจมตีสูเจ้าที่นั่น และถ้าพวกเขาโจมตีสูเจ้าก่อน (แม้แต่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้น) จงต่อสู้พวกเขา (โดยไม่ต้องลังเล) นี่เป็นการลงโทษที่พวกปฏิเสธพึงจะได้รับ

คำแปล R4.
191. และจงประหัตประหารพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าพบพวกเขา และจงขับไล่พวกเขาออกจากที่ที่พวกเขาเคยขับไล่พวกเจ้าออก และการก่อความวุ่นวายนั้น ร้ายแรงยิ่งกว่าการประหัตประหารเสียอีก และจงอย่าสู้รบกับพวกเขา ณ อัล-มัสยิดิลฮะรอม จนกว่าพวกเขาจะทำร้าย พวกเจ้าในที่นั้น หากพวกเขาทำร้ายพวกเจ้าแล้ว ก็จงประหัตประหารพวกเขาเสีย เช่นนั้นแหละคือการตอบแทนแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธา

คำแปล R5.
๑๙๑. และพวกเจ้าจงฆ่าเฉพาะพวก(กาฟิรชาวมักกะห์)นั้นไม่ว่าที่ใดที่พวกเจ้าเผชิญหน้ากับพวกเขา แม้พวกเหล่านั้นจะไม่รุกรานพวกเจ้าก่อนก็ตาม และจงเนรเทศพวกนั้นออกจากนครมักกะห์ที่พวกนั้นเคยเนรเทศพวกเจ้าออกจากที่นั้นมาก่อนแล้ว การฆ่าพวกกาฟิรในทุกหนแห่งที่เผชิญหน้ากันก็ดี การเนรเทศพวกกาฟิรออกจากนครมักกะห์ก็ดี ได้ถูกกระทำขึ้นในปียึดครองมักกะห์ของพวกมุสลิม เพราะการตั้งภาคีเสมอด้วยอัลเลาะห์(ซิรก์จากพวกนั้น)นั้น ย่อมเป็นบาปใหญ่หลวงยิ่งกว่าการฆ่าพวกกาฟิรในแผ่นดินที่ต้องห้าม หรือในเวลาเอียะห์รอมเสียอีก ซึ่งทั้งสถานที่และเวลาดังกล่าวนี้เป็นที่ยกย่องของพวกเจ้า และพวกเจ้าจงอย่าทำการต่อสู้กับพวกนั้น ณ แผ่นดินที่ต้องห้าม อันได้แก่แผ่นดินในนครมักกะห์ที่ถูกจำกัดขอบเขตไว้แน่นอน จนกว่าพวกนั้นจะมาต่อสู้กับเจ้า ณ ที่นั้น ฉะนั้นถ้าพวกนั้นได้ทำการต่อสู้กับพวกเจ้า ณ แผ่นดินดังกล่าว พวกเจ้าก็จงฆ่าเขาเสียที่นั่น การฆ่าก็ดี การเนรเทศก็ดี เช่นนี้แหละคือผลสนองของพวกกาฟิร

 

คำอ่าน
192. ฟะอินิน..ตะเฮา ฟะอิน..นัลลอฮะเฆาะฟูรุรฺเราะหีม

คำแปล R1.
192. But if they cease, Then Allah is Oft-Forgiving, Most Merciful.

คำแปล R2.
192. แต่ถ้าพวกเขายุติ (การรบ) แท้ที่จริงอัลเลาะฮฺทรงอภัยยิ่ง อีกทั้งทรงเมตตายิ่ง

คำแปล R3.
192. อย่างไรก็ตาม ถ้าหากพวกเขาหยุดยั้งการโจมตี (เจ้าก็ควรที่จะทำเช่นนั้นด้วย) แท้จริง อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ

คำแปล R4.
192. แล้วถ้าหากพวกเขายุติ แน่นอน อัลลอฮ์ นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผุ้ทรงเมตตาเสมอ

คำแปล R5.
๑๙๒. แม้นว่าพวก(กาฟิร)นั้นระงับยับยั้งการกุฟร์(ต่อต้านศรัทธา)แล้วสมัครใจเข้ามารับนับถือศาสนาอิสลามได้ แน่แท้อัลเลาะห์ก็ทรงอภัยโทษและทรงโปรดยิ่งแก่พวกนั้น


คำอ่าน
193. วะกอติลูฮุม หัตตาลาตะกูนะ ฟิตนะตู..วะยะกูนัดดีนุลิลลาฮฺ, ฟะอินิน..ตะเฮา ฟะลาอุดวานะ อิลลาอะลัซซอลิมีน

คำแปล R1.
193. And fight them until there is no more Fitnah (disbelief and worshipping of others along with Allah) and (all and every kind of) worship is for Allah (Alone). But if they cease, let there be no transgression except against Az-Zalimun (the polytheists, and wrong-doers, etc.)

คำแปล R2.
193. และเจ้าทั้งหลายจงรบกับพวกนั้นจนกระทั่งปราศจากวิกฤตการ และจนกระทั่งการนมัสการภักดีได้เป็นของอัลเลาะฮฺ(เพียงพระองค์เดียว) ดังนั้นหากพวกเขายุติ แน่นอนก็จะไม่เป็นศัตรู นอกจากแก่บรรดาผู้ฉ้อฉลเท่านั้น

คำแปล R3.
193. และจงต่อสู้พวกเขาต่อไปจนกว่าจะไม่มีการกดขี่ข่มเหง และแนวทางของอัลลอฮฺได้ถูกสถาปนาขึ้นมาแทน ดังนั้น ถ้าพวกเขาหยุดยั้งก็อย่าให้มีการเป็นปรปักษ์ต่อไป เว้นแต่กับผู้ที่กดขี่ข่มเหงและโหดเหี้ยม

คำแปล R4.
193. และจงสู้รบกับพวกเขา จนกว่าการก่อความวุ่นวาย จะไม่ปรากฏขึ้น และจนกว่าการอิบาดะฮ์ ทั้งหลายจะเป็นสิทธิของอัลลอฮ์เท่านั้น แต่ถ้าพวกเขายุติ ก็ย่อมไม่มีการเป็นปฏิปักษ์ใด ๆ นอกจากแก่บรรดาผู้อธรรมเท่านั้น

คำแปล R5.
๑๙๓. และโอ้พวกมุสลิม พวกเจ้าจงสู้รบกับพวกกาฟิรเหล่านั้น แม้จะรบในแผ่นดินที่ต้องห้าม หรือว่าพวกกาฟิรจะไม่มารุกรานก่อนก็ตาม จนกว่าการตั้งภาคีเสมอด้วยอัลเลาะห์(อัล-ซิรก์)จะหาไม่ และจนกว่าการสักการะจะเป็นไปเพื่ออัลเลาะห์โดยเฉพาะ หามีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ควรแก่การได้รับบูชาไม่ ถ้าแม้นพวกนั้นระงับยับยั้งการซิรก์ เปลี่ยนใจมาเข้านับถือศาสนาอิสลามได้แล้วก็จงอย่าเป็นศัตรูกับพวกนั้นเลย โดยการคิดจะฆ่าหรืออื่น ๆ เว้นไว้แต่กับพวกคดโกงด้วยการบูชาเทวรูปเป็นพระเจ้าเท่านั้น ส่วนผู้ทีที่ระงับการถือเทวรูปเป็นพระเจ้าโดยหันเข่ามานับถือศาสนาอิสลามนั้น ไม่นับว่าเป็นพวกผู้คดโกง



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #88 เมื่อ: เม.ย. 15, 2010, 10:00 PM »
0
สูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 194 - 195


คำอ่าน
194. อัชชะฮฺรุลหะรอมุ บิชชะฮฺริลหะรอมิ วัลหุรุมาตุกิศอศ, ฟะมะนิอฺตะดาอะลัยกุมฟะอฺตะดูอะลัยฮิ บิมิษลิมะอฺตะดาอะลัยกุม, วัตตะกุลลอฮะ วะอฺละมูอัน..นัลลอฮะ มะอัลมุตตะกีน
 
คำแปล R1.
194. The sacred month is for the sacred month, and for the prohibited things, there is the Law of Equality (Qisas). Then whoever transgresses the prohibition against you, you transgress likewise against him. And fear Allah, and know that Allah is with Al-Muttaqun (the pious - see V.2:2) .

คำแปล R2.
194. อันเดือนต้องห้าม(ในการทำสงครามหากพวกนั้นเข้ามารุกราน)ย่อม(ได้รับการตอบโต้)ด้วยเดือนต้องห้ามนั้นเอง และบรรดาข้อห้ามทั้งปวง(ที่ถูกละเมิด)โดยพวกนั้นเข้ามารุกราน ย่อมต้องโต้ตอบให้เหมือนกัน (ด้วยการตั้งรับและตอบโต้การรุกรานนั้น) ดังนั้นบุคคลใดก็ตามที่ละเมิดพวกเจ้า(ด้วยการรุกรานก่อน) พวกเจ้าก็จง(โต้ตอบการ)ละเมิดของเขาเถิด ให้เหมือนกับการที่เขาได้ละเมิดพวกเจ้า และเจ้าทั้งหลายจงยำเกรงอัลเลาะฮฺ และจงทราบว่า แท้จริงอัลเลาะฮฺ ทรงอยู่พร้อมกับบรรดาผู้ยำเกรงทั้งหลาย

คำแปล R3.
194. เดือนต้องห้ามจะต้องได้รับการเคารพ ถ้าหากว่าเดือนนั้นเป็นที่เคารพ(โดยฝ่ายศัตรู) และในทำนองเดียวกันก็มีกฎแห่งการแก้แค้นที่เท่าเทียมกันสำหรับการละเมิดสิ่งต้องห้าม ดังนั้น ถ้าผู้ใดละเมิดการต้องห้ามโดยการโจมตีสูเจ้า สูเจ้าก็ทำเช่นนั้นได้ แต่จงยำเกรงอัลลอฮฺและจงรู้ไว้เถิดว่า อัลลอฮฺนั้นทรงอยู่กับบรรดาผู้ยับยั้งจากการละเมิดขอบเขตของอัลลอฮฺ

คำแปล R4.
194. เดือนที่ต้องห้ามนั้น ก็ด้วยเดือนที่ต้องห้าม และบรรดาสิ่งจำเป็นต้องเคารพนั้น ก็ย่อมมีการตอบโต้เยี่ยงเดียวกัน ดังนั้นผู้ใดละเมิดต่อพวกเจ้า ก็จงละเมิดต่อเขา เยี่ยงที่เขาละเมิดต่อพวกเข้า และพึงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และจงรู้ไว้ด้วยว่าแท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงอยู่กับบรรดาผู้ยำเกรงทั้ง หลาย

คำแปล R5.
๑๙๔. เดือนที่ห้ามการสงครามคือ เดือนซุลก็อิดะห์ ในปีที่ ๗ แห่งฮิจเราะห์ศักราช ซึ่งภายในเดือนนี้พวกเจ้าจะมาประกอบพิธีอุมเราะห์ชดใช้ที่ขาดไปในเดือนเดือนเดียวกันของปีที่ ๖ แห่งฮิจเราะห์ศักราชนั้น หากว่าในปีที่ ๗ นี้พวกกาฟิรจะออกมาทำสงครามสกัดพวกเจ้าอีกแล้ว พวกเจ้าก็ต้องแก้กันด้วยการทำสงครามในเดือนที่ห้ามอย่างที่พวกมันเคยทำสงครามกับพวกเจ้าในเดือนนี้ของปีที่ ๖ แห่งฮิจเราะห์ศักราช ณ ตำบลหุไดบียะห์จนกระทั่งพวกเจ้าทำอุมเราะห์ยังไบตุลเลาะห์ในปีนั้นไม่ได้ ส่วนการยกย่องให้เกียรติต่าง ๆ แก่เดือนซุลก็อิดะห์ก็ดี แก่เวลาการทำเอียะห์รอมก็ดี และแก่แผ่นดินมักกะห์ก็ดี ย่อมต้องให้เป็นไปเหมือน ๆ กัน ในเมื่อพวกกาฟิรเลิกเคารพยกย่องเดือนซุลก็อิดะห์แห่งปีที่ ๖ ด้วยกล้าทำสงครามในเดือนดังกล่าวอย่างนั้นแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่พวกเจ้าต้องเคารพยกย่องอะไรกับเดือนนี้หรอก เผื่อว่าพวกกาฟิรจะมาทำสงครามกับพวกเจ้าอีกในปีที่ ๗ พวกเจ้าจงรับมือกับพวกมันเถิด ขอว่าพวกเจ้าอย่านับถือเคร่งครัดเกินไปนัก ถึงกับไม่กล้าจะทำสงครามในเดือนซุลก็อิดะห์ ฉะนั้นใครที่ละเมิดพวกเจ้าโดยการทำสงครามในแผ่นดินที่ต้องห้ามหรือในเวลาเอียะห์รอม หรือในเดือนต้องห้าม พวกเจ้าก็จงแก้มือกับมันเหมือนกับที่มันละเมิดพวกเจ้า และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะห์ในฐานะที่พวกเจ้าได้รับชัยชนะ ในฐานะที่พระองค์ทรงลงโทษฝ่ายศัตรูและโดยการงดเว้นที่จะจัดการกับฝ่ายศัตรูด้วยวิธีการใด ๆ ที่อัลเลาะห์ไม่ทรงอนุญาต เช่น เผาทั้งเป็น หั่นเนื้อเป็นชิ้น ๆ หรือจับขึงพืด เป็นต้น ทั้งจงรู้ไว้เถิดว่า แท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงเป็นฝ่ายช่วยเหลือพวกที่ยำเกรงพระองค์

 

คำอ่าน
195. วะอัน..ฟิกูฟีสะบีลิลลาฮิ วะลาตุลกูบิอัยดีกุม อิลัตตะฮฺลุกะฮฺ, วะอะหฺสินู อิน..นัลลอฮะ ยุหิบบุลมุหฺสินีน

คำแปล R1.
195. And spend in the cause of Allah (i.e. Jihad of all kinds, etc.) and do not throw yourselves into destruction (by not spending your wealth in the cause of Allah), and do good. Truly, Allah loves Al-Muhsinun (the good-doers).

คำแปล R2.
195. และพวกเจ้าจงใช้จ่ายไปในหนทางของอัลเลาะฮฺเถิด และพวกเจ้าจงอย่ายื่นมือของพวกเจ้าเข้าไปสู่ความหายนะ และพวกเจ้าจงทำดี เพราะแท้จริงอัลเลาะฮฺ ทรงรักบรรดาผู้ทำดีทั้งปวง

คำแปล R3.
195. จงใช้จ่ายทรัพย์สินของสูเจ้าในหนทางของอัลลอฮฺแลจงอย่าโยนตัวของสูเจ้าเองลงไปสู่ความพินาศด้วยมือของเจ้าเอง จงทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเรื่องดี เพราะอัลลอฮฺทรงรักบรรดาผู้ทำสิ่งดี

คำแปล R4.
195. และพวกเจ้าจงบริจาคในทางของอัลลอฮ์และจงอย่าโยนตัวของพวกเจ้าสู่ความ พินาศ และจงทำดีเถิด แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงชอบผู้กระทำดีทั้งหลาย

คำแปล R5.
๑๙๕. และพวกเจ้าจงบริจาคทรัพย์สินในวิถีทางแห่งการภักดีต่ออัลเลาะห์ เช่น บริจาคเพื่อการสงครามและอื่น ๆ แต่จงอย่าถลำตัวของพวกเจ้าสู่ความหายนะ เป็นต้นว่า หวงทรัพย์สินไว้ไม่ยอมจ่ายเพื่อสงเคราะห์การสงครามหรือว่าไม่ยอมเสนอตัวเข้าเป็นทหารออกทำสงครามตามที่อัลเลาะห์ทรงตรัสสั่งไว้ในโองการที่ ๑๙๐ เพราะแต่ละอย่างที่ว่านั้นเป็นเหตุให้ฝ่ายศัตรูมีแสนยานุภาพดีขึ้นและจู่โจมพวกเจ้าได้ การออกทรัพย์ผิดวิ๔ทางก็ดี ไม่สมัครเข้าเป็นทหารก็ดี นับว่าเป็นการขัดขืนคำสั่งของอัลเลาะห์ทั้งนั้น และพวกเจ้าจงปฏิบัติให้ดีงามในการเสียสละเถิด แต่อย่าถึงกับเกินขอบเขต และตระหนี่ถี่เหนียวเกินไปนัก เพราะแท้จริงอัลเลาะห์ย่อมโปรดปรานบรรดาผู้ปฏิบัติดีงาม



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #89 เมื่อ: เม.ย. 16, 2010, 05:54 PM »
0

สูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 196


คำอ่าน
196. วะอะติม..มุลหัจญะ วัลอุมเราะตะลิลลาฮฺ, ฟะอินอุหฺศิรฺตุม ฟะมัสตัยสะเราะ มินัลฮัดยฺ, วะลาตะหฺลิกูรุอูสะกุม หัตตายับลุฆ็อลฮัดยุมะหิลละฮฺ, ฟะมัน..กานะมิน..กุม..มะรีฎ็อน เอาบิฮีอะซัม..มิรฺเราะสิฮี ฟะฟิดยะตุม..มิน..ศิยามิน เอาเศาะดะเกาะติน เอานุสุก, ฟะอิซา..อะมิน..ตุม ฟะมัน..ตะมัตตะอะ บิลอุมเราะติ อิลัลหัจญิ ฟะมัสตัยสะเราะมินัลฮัดยฺ, ฟะมัลลัมยะญิด ฟะศิยามุ ษะลาษะติ อัยยามิน..ฟิลหัจญิ วะสับอะตินอิซาเราะญะอฺตุม, ติลกะอะชะเราะตุน..กามิละฮฺ, ซาลิกะลิมัลลัม ยะกุนอะฮฺลุฮู หาฎิริลมัสญิดิลหะรอม, วัตตะกุลลอฮะ วะอฺละมู..อัน..นัลลอฮะ ชะดีดุลอิกอบ

คำแปล R1.
196. And perform properly (i.e.All the ceremonies according to the ways of Prophet Muhammad ), the Hajj and 'Umrah (i.e. the pilgrimage to Makkah) for Allah. But if you are prevented (from completing them), sacrifice a Hady (animal, i.e. a sheep, a cow, or a camel, etc.) such as you can afford, and do not shave your heads until the Hady reaches the place of sacrifice. And whosoever of you is ill or has an ailment in his scalp (necessitating shaving), he must pay a Fidyah (ransom) of either observing Saum (fasts) (three days) or giving Sadaqah (charity - feeding six poor persons) or offering sacrifice (one sheep). Then if you are in safety and whosoever performs the 'Umrah in the months of Hajj, before (performing) the Hajj, (i.e. Hajj-at-Tamattu' and Al-Qiran), He must slaughter a Hady such as he can afford, but if he cannot afford it, he should observe Saum (fasts) three days during the Hajj and seven days after his return (to his home), making ten days in all. This is for him whose family is not present at Al-Masjid-al-Haram (i.e. non-resident of Makkah). And fear Allah much and know that Allah is severe in punishment.

คำแปล R2.
196. และพวกเจ้าจงปฏิบัติพิธีฮัจย์และอุมเราะฮฺให้ครบถ้วน(ตามระเบียบข้อบังคับ)เพื่ออัลเลาะฮฺ แต่ถ้าพวกเจ้าถูกปิดล้อม(จากฝ่ายศัตรูจนไม่อาจจะประกอบพิธีได้ครบถ้วน)ก็จงเชือดสัตว์พลีทานเท่าที่จะหาได้ และพวกเจ้าจงอย่า(เพิ่ง)โกนศีรษะ(เพื่อเลิกพิธี) จนกว่าสัตว์พลีนั้นจะถึงที่(บริจาค)ของมันเสียก่อน ดังนั้นผู้ใดจากพวกเจ้าเกิดเจ็บป่วยหรือบังเกิดความเดือดร้อนบนศีรษะของเขา(เช่น เป็นเหาหรือปวดศีรษะ) ก็จงชำระค่าชดเชย จะโดยการถือศีลอด(3 วัน) หรือทำทาน(แก่คนจน 6 คน) หรือเชือดสัตว์พลีทาน(คือแพะหรือแกะ 1 ตัว) ต่อมาเมื่อพวกเจ้าปลอดภัยแล้ว ผู้ใดถือความสะดวกด้วยการรวมอุมเราะฮฺกับฮัจย์ (ในวาระเทศกาลเดียวกัน) เข้าก็จะต้องเชือดสัตว์พลีทาน(เท่าที่จะหาได้)ตามสะดวก (เช่น เชือดแพะ 1 ตัวเป็นต้น แต่ ถ้าเขาไม่นำมารวมกัน คือ ทำคนละวาระ เขาก็ไม่ต้องเชือดสัตว์พลีทานแต่ประการใด ๆ ) แต่ถ้าใครไม่มี (สิ่งที่จะนำมาเชือด) ก็ต้องถือศีลอดอด 3 วันในช่วงประกอบพิธีฮัจย์ และอีก 7 วันเมื่อกลับ (มาถึงบ้านแล้ว) นั้นรวมเป็น 10 วันบริบูรณ์  (ตามที่กล่าวมา)นั้น เฉพาะบุคคลที่ครอบครัวของเขามิได้(ตั้งถิ่นฐาน) อยู่ที่ (บริเวณ)มัสยิดิลหะรอม และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะฮฺ และจงทราบเถิดว่า แท้จริงอัลเลาะฮฺ ทรงลงโทษรุนแรงยิ่งนัก

คำแปล R3.
196. และจงทำพิธีฮัจญ์และอุมเราะฮฺให้ครบถ้วนสมบูรณ์เพื่อให้อัลลอฮฺพึงพอใจ แต่ถ้าหากสูเจ้าถูกรุมล้อมในที่ใด ดังนั้น ก็ให้สูเจ้าอุทิศสิ่งพลีอะไรก็ได้ที่สูเจ้าสามารถหาได้ให้แก่อัลลอฮฺ และจงอย่าโกนผมของสูเจ้าจนกว่าสิ่งพลีนั้นจะถึงที่ของมัน แต่ถ้าหากผู้ใดในหมู่สูเจ้าป่วยหรือเจ็บปวดที่ศีรษะและได้โกนผมก่อน เขาก็จะต้องชดใช้การทำสิ่งนี้ด้วยการถือศีลอดหรือให้ทานหรือเชือดสัตว์พลี ครั้นเมื่อสูเจ้าปลอดภัย (และสูเจ้าถึงมักกะฮฺก่อนการทำฮัจญ์เริ่มต้น) ใครก็ตามที่ถือโอกาสนี้ทำอุมเราะฮฺ เขาก็จะต้องเชือดสัตว์ที่สามารถจะหาได้ถวายอัลลอฮฺ แต่ถ้าหากเขาไม่สามารถหาได้ เขาจะต้องถือศีลอด 3 วันระหว่างการฮัจญ์และอีก 7 วันหลังจากที่ถึงบ้านของเขาแล้ว รวมกันเป็น 10 วันสำหรับบรรดาผู้ที่ครอบครัวของพวกเขาไม่ได้อยู่ใกล้มัสญิดอัล-หะรอม จงละเว้นจากการละเมิดคำบัญชาเหล่านี้ของอัลลอฮฺ และจงรู้ไว้เถิดว่าอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเข้มงวดในการลงโทษ

คำแปล R4.
196. และพวกเจ้าจงให้สมบูรณ์ ซึ่งการทำฮัจญ์ และการทำอุมเราะฮ์เพื่ออัลลอฮ์เถิด แล้วถ้าพวกเจ้าถูกสกัดกั้น ก็ให้เชือดสัตว์พลีที่หาได้ง่าย และจงอย่าโกนศีรษะของพวกเจ้า จนกว่าสัตว์พลีนั้นจะถึงที่ของมัน แล้วผู้ใดในหมู่พวกเจ้าป่วยลง หรือที่เขามีสิ่งก่อความเดือดร้อนจากศรีษะของเขา ก็ให้มีการชดเชย อันได้แก่การถือศีลอด หรือการทำทาน หรือการเชือดสัตว์ ครั้นเมื่อพวกเจ้าปลอดภัยแล้ว ผู้ใดที่แสวงหาประโยชน์จนกระทั่งถึงฮัจญ์ด้วยการทำอุมเราะฮ์แล้ว ก็ให้เชือดสัตว์พลีที่หาได้ง่าย ผู้ใดที่หาไม่ได้ก็ให้ถือศีลอดสามวันในระหว่างการทำฮัจญ์ และอีกเจ็ดวันเมื่อพวกเจ้ากลับบ้านนั่นคือครบสิบวัน ดังกล่าวนั้น สำหรับที่ครอบครัวของเขามิได้ประจำอยู่ที่อัล-มัสยิดิลฮะรอม และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และพึงรู้ด้วยว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงลงโทษที่รุนแรง

คำแปล R52
๑๙๖. และโอ้พวกมุอ์มิน พวกเจ้าจงกระทำฮัจย์และอุมเราะห์ให้เสร็จลงและให้บริบูรณ์ครบตามชะร๊อตและรุก่น(กฎเกณฑ์และองค์ประกอบ)เพื่อตามใช้และตามห้ามของอัลเลาะห์ ฉะนั้นถ้าพวกเจ้าถูกขัดขวางมิให้ทำฮัจย์และอุมเราะห์ได้ครบถ้วน เพราะมีศัตรูคอยสกัดกั้นอยู่ ก็จำเป็นที่พวกเจ้าจะต้องสละสัตว์พลี เช่นแพะหนึ่งตัว ทำนองเดียวกับแพะที่ใช้ทำกุรบบานเท่าที่จะสะดวกกล่าวคือ หาได้ง่ายและราคาพอสมควรและจงอย่าปลงผมของพวกเจ้าไม่ว่าจะโดยการโกนหรือตัด จนกว่าสัตว์พลีนั้นจะถึงจุดหมายของมัน นั่นคือให้พวกเจ้าเชือดแพะ ณ สถานที่ถูกขัดขวางนั้นโดยตั้งจิตปรารถนาว่าตนจะเลิกจากพิธีฮัจย์และอุมเราะห์ แล้วชำแหละเนื้อของมันแจกจ่ายแก่ผู้ยากจนครั้นเมื่อสำเร็จประสงค์แล้ว พวกเจ้าจึงจะโกนหรือตัดผมได้อย่างน้อยที่สุดเพียง ๓ เส้น ถ้าผู้ใดในหมู่พวกเจ้าป่วยไข้หรือที่ศีรษะเขามีความเดือดร้อนรำคาญ เช่น ศีรษะเป็นเหา หรือเป็นโรคปวดศีรษะ เขาจึงตัดหรือโกนออกระหว่างยังอยู่ในพิธีอิห์รอมอัจย์ หรืออุมเราะห์แล้ว ก็จำเป็นที่เขาจะต้องเสียค่าปรับคือถือศีลอด ๓ วันหรือแจกทานอาหาร เช่น ข้าวสาลีประมาณ ๑๒ ลิตรแก่ผู้ยากจน ๖ คนหรือเชือดแพะทำนองเดียวกับแพะที่ใช้ทำกุรบาน ๑ ตัวส่วนผู้โกนหรือตัดผมโดยไม่มีเหตุจำเป็นประการใดก็ดี ผู้ที่ใช้เครื่องหอมหรือใช้เสื้อผ้าที่ต้องห้ามในขณะเอียะห์รอมฮัจย์หรืออุมเราะห์ก็ดี ผู้ที่ใช้น้ำมันใด ๆ ชโลมหรือทาก็ดี พวกเหล่านั้นจะต้องเสียค่าปรับเหมือนกับบุคคลที่ถูกขัดขวางดังกล่าว ครั้นเมื่อพวกเจ้าได้ปลอดภัยจากการถูกขัดขวางแล้ว ใครที่อยากจะสะดวกด้วยการทำอุมเราะห์ในฤดูฮัจย์อันได้แก่เขตเวลา ๒ เดือนกับ ๑๐ วันเริ่มแต่เดือนเชาวาลจนถึงวันที่ ๑๐ เดือนซุลฮิจยะห์ ก็จำเป็นที่เขาจะต้องสละสัตว์พลี เช่นแพะเหมือนกับที่ใช้ทำกุรบาน ๑ ตัวเท่าที่จะสะดวก และให้เขาเชือดแพะนั้นหลังจากเอียะห์รอมฮัจย์ในปีนั้น แต่ถ้าจะประวิงไปเชือดในวันที่ ๑๐ ของเดือนซุลฮิจยะห์ย่อมจะดีมาก เมื่อเชือดเสร็จสรรพแล้วให้จ่ายเนื้อนั้นแก่ผู้ยากจน ฉะนั้นผู้ใดหาแพะไม่ได้หรือหาได้แต่ไม่มีเงินซื้อหรือถูกโก่งราคาแล้วก็ จำเป็นเหนือผู้นั้นต้องถือศีลอด ๓ วัน จณะที่เขากำลังอยู่ในเอียะห์รอมฮัจย์ และจำเป็นที่จะต้องเอียะห์รอมฮัจย์ก่อนวันที่ ๗ ของเดือนซุลฮิจยะห์ แต่ถ้าจะทำเอียะห์รอมก่อนจากวันที่ ๖ ของเดือนนั้นก็จะดี และอีก ๗ วันเมื่อเจ้ากลับสู่ถิ่นเดิมแล้ว รวมเป็น ๑๐ วันบริบูรณ์ ที่ต้องสละสัตว์พลีหรือต้องถือศีลอด ๑๐ วันนี้แหละสำหรับผู้ที่ครอบครัวของเขามิได้อยู่ที่มัสยิดอัล-หะรอม โองการส่วนนี้บรรยายความหมายได้เป็น ๒ นัย
นัยที่หนึ่ง ตามวิชาลุเฆาะห์แปลคำอะห์ลุห์ตามความหมายเดิมได้ความว่า ผู้ต้องสละสัตว์พลีหรือต้องถือศีลอด ๑๐ วันนั้น ได้แก่ผู้ทำอุมเราะห์ในฤดูฮัจย์ ที่ครอบครัวของเขาอยู่ห่างจากมัสยิดอัล-หะรอม คิดเป็นระยะทางที่อูฐบรรทุกใช้ฝีเท้าเดิน ๑ วัน ๑ คืนหรือมากกว่า แต่ถ้าครอบครัวของเขาอยู่ห่างจากมัสยิดอัล-หะรอมเป็นระยะทางหย่อนกว่านั้นก็ดี หรืออยู่ในมักกะห์ก็ดี ผู้นั้นไม่ต้องสละสัตว์พลีหรือถือศีลอดแต่อย่างใด
นัยที่สอง ตามวิชาบะยาน แปลคำว่าอะห์ลุห์โดยกินายะห์จากคำว่านัฟซุห์(ตัวเขาเอง)ได้ความว่า ผู้ต้องสละสัตว์พลี ฯ นั้นได้แก่ผู้ทำอุมเราะห์ในฤดูฮัจย์ที่ตัวเขาเองอยู่ห่างจากมัสยิดอัล-หะรอมเป็นระยะทางดังกำหนดนั้นหรือมากกว่า แต่ถ้าตัวเขาเองอยู่ห่างจากมัสยิดอัล-หะรอมเป็นระยะทางหย่อนกว่านั้นก็ดี หรืออยู่ในมักกะห์ก็ดี ผู้นั้นไม่จำต้องสละสัตว์พลี
ตัวอย่าง ๑ ถ้าคนไทยคนหนึ่งไปถึงท่ายิดดะห์ในฤดูฮัจย์ แล้วเขาได้ทำอุมเราะห์เข้าไปยังนครมักกะห์ ก็ต้องสละสัตว์พลีหรือถือศีลอด ๑๐ วันตามนัย ๑ เพราะครอบครัวของเขา และตามนัย ๒ เพราะตัวเขาเองอยู่ห่างจากมัสยิดอัล-หะรอมเกินกว่าระยะทางที่กหนด
ตัวอย่าง ๒ ถ้าคนไทยคนหนึ่งไปถึงท่ายิดดะห์ก่อนฤดูฮัจย์ แล้วทำอุมเราะห์เข้าสู่นครมักกะห์ แต่พอถึงฤดูฮัจย์เขาก็ทำอุมเราะห์อีกที่นครมักกะห์ กรณีเช่นนี้เฉพาะอุมเราะห์ครั้งหลัง ที่จำเป็นต้องสละสัตว์พลีฯ ตามนัย ๑ เพราะว่าครอบครัวของเขาอยู่ห่างจากมัสยิดอัล-หะรอมเกินกว่าระยะทางที่กำหนด แต่ไม่ต้องสละสัตว์พลีฯ ตามนัย ๒ เพราะตัวเขาเองประจำอยู่ในนครนั้นอยู่แล้ว
ตัวอย่าง ๓  คนไทยคนหนึ่งซึ่งตั้งภูมิลำเนาอยู่ในมักกะห์ แล้วเขาได้กลับมาเยี่ยมเมืองไทย ครั้นแล้วเขาก็กลับไปถึงท่ายิดดะห์ในฤดูฮัจย์ แล้วทำอุมเราะห์เข้าไปยังนครมักกะห์ เช่นนี้ไม่จำต้องเสียสละสัตว์พลีฯตามนัย ๑ เพราะครอบครัวของผู้นั้นอยู่ในนครมักกะห์แล้ว แต่จำต้องสละสัตว์พลีตามนัย ๒ เพราะตัวของเขาอยู่ห่างจากมัสยิดอัล-หะรอม เกินกว่าระยะทางที่กำหนด
และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะห์ ในอันที่พระองค์ทรงใช้และทรงห้ามเถิด และจงรู้ไว้เถิดว่า แท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงให้การลงโทษหนักยิ่งนัก แก่ผู้ที่ขัดขืนคำสั่งของพระองค์




 

GoogleTagged