salam
ผมไม่ได้จบศาสนาโดยตรง แต่การพูดเรื่องศาสนา ซ้ำๆ เดิมๆ บางครั้งการพูดเรื่องเดิมๆ คิดว่า มันไม่เสียหายอะไรเลยนะ เพราะมันเป็นเรื่องศาสนา ไม่ใช่เรื่องดุนยา หากพูดเรื่องรถยนต์ว่ารถใครสวยกว่า ซ้ำๆเดิมๆ นี่สิถึงจะน่าเบื่อ แต่นี่มันเรื่องศาสนา เรื่องที่ต้องเรียนรู้ทั้งชีวิต ดังนั้น คิดว่ามันไม่ควรจะเบื่อและควรจะค่อยๆเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ผมมีความเห็นที่ต่างจาก al-azhary บางแง่ดังนี้ครับ
ดังนั้นการลูบหน้าพร้อมดุอา อย่างน้อยก็มีดุอาเป็นพื้นฐานเดิมที่อัลเลาะฮ์ทรงโปรด หากกระทำก็ไม่เสียหายเป็นต้นทุนเดิมอยู่แล้ว
วัลลอฮุอะลัม
อยากถามว่า ที่ผมเคยเห็นการซิเกรของชาวซูฟีในยูทูปบางกลุ่ม ที่แรกๆก็ค่อยๆโยก พร้อมซิเกรค่อยๆเบา ยิ่งนานๆ เขาก็เริ่มโยกแรงๆ จากนั้นอีก ก็ยืนขึ้นแล้วกระโดด กระโด กระโดด พร้อมซิเกรเสียงดังมากๆ จนมัสยิดสนั่น อยากทราบว่า การซิเกรโดยการเคลื่อนไหวในลักษณะนั้นพร้อมซิกุรลอฮ ซึ่งอย่างน้อยมีการซิกกุรลอฮเป็นพื้นฐานเดิมที่อัลลอฮทรงโปรดนั้น ท่านเห็นว่าเป็นสุนัต เป็นสิ่งที่ศาสนาส่งเสริมหรือไม่?
แต่สำหรับผม ผมในฐานะที่ไม่ค่อยรู้เรื่องศาสนา คือรู้บ้าง ว่า การโยกแรงๆ กระโดด กระโดด กระโดด แบบนั้น ไม่เคยได้ยินอาจารย์ท่านไหนสอนมาก่อนว่าให้ทำอย่างนั้น ทุกๆท่านแทบจะบอกว่า การซิเกร ต้องซิเกรด้วยความนอบน้อม ผมจึงตัดสินว่า(ทัศนะส่วนตัว) การซิเกรดังกล่าวนั้น ไม่ใช่สุันัตแต่ประการใด เพราะการเคลื่อนไหวของร่างกายแบบนั้น ไม่มีแบบฉบับจากท่านนบี ถึงแม้ว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวจะมีการซิเกร ซึ่งศาสนาส่งเสริมรวมอยู่ด้วยก็ตามแต่....
ในประเด็นการลูบหน้าหลังให้สลามก็เช่นเดียวกัน...
ผมสงสัยว่า al-azhary กำลัง อำพราง และ ค้ำยัน อยู่หรือเปล่า?
เพราะผมคิดว่า al-azhary กำลังเอาดุอาอ์ที่นบีส่งเสริมถึงแม้จะฎออีฟ มาำอำพรางด้วยการบอกว่าอย่างน้อย ในการลูบหน้าก็มีดุอาอ์ และค้ำยันว่าทั้งการลูปหน้าพร้อมดุอาอ์ก็เป็นสุนัต
ผมว่าบทความหน้าแรก เขาเอาประเด็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยการเอามือลูบหน้า เป็นสาระสำคัญนะครับ ผมคิดว่าเรื่องดุอาอ์มันเป็นประเด็นรอง
ในเมื่อมันชัดเจนอยู่แล้ว ว่าการลูบหน้าหลังสลาม ไม่มีหลักฐานรองรับ ไม่ีมีซุนนะห์นบีให้กระทำ(อ.อาลี เสือสมิงค์เอง ยังตอบแบบนั้น และไม่ปรากฏเลยว่าท่านบอกว่าเป็น สุนัต ส่งเสริมให้กระทำเลย )
เสมือนกับเหตุการณ์การโยกแรงๆ กระโดด กระโดด ่ของชาวซูฟีร์บางกลุ่ม (ที่ผมคิดว่า ไม่มีหลักฐานรองรับ)
โดยที่เหตุการณ์ทั้งสอง ก็มีทั้งดุอาอ์ มีทั้งซิเกร ซึ่งเป็นสิ่งที่ศาสนาส่งเสริมแทบทั้งสิ้นนั้น
เราจะเรียกว่าการลูบหน้าเป็นสุนัตได้อย่างไรครับ เพราะมันอาศัยอยู่ในอิริยาบท หรือการเคลื่อนไหวร่างกาย ที่ไม่มีตัวบทหลักฐานจากศาสนา
ผมแยกประเด็นแบบนี้ พี่น้องคงจะมองภาพออกนะครับ...
ทำไมพี่น้องถึงไม่หลีกเลี่ยงความเสี่ยง โดยการเอาดุอาอ์ ไปอ่านในที่ๆ หรือในอิริยาบท ที่ศาสนารองรับ ที่มีหลักฐานหล่ะครับ นบีบอกว่าอ่านดุอาอ์ก่อนให้สลาม เป็นดุอาอ์มุสตาญาบ เราก็เอามาอ่านสิ ถึงแม้เป็นดุอาอ์ที่เราคิดเอง ไม่มีแบบฉบับจากท่านนบี หรือในอิริยาบท ขณะที่เราสูญูด ซึ่งนบีก็บอกว่าเป็นดุอาอ์มุสตาญาบ เพราะเป็นเวลาที่เราใกล้ชิดกับอัลลอฮมากที่สุด
ลูบหน้า มีฮะดิ อื่นๆ มารองรับอยู่ด้วยมากมาย
นอกจาก ลูบหน้า ยังมีลูบตัว ลูบแขน ลูบขา
แล้ว ทำไม จะลูบหน้าไม่ได้
ฮะดิส ดออีฟ หลายๆ ฮะดิส มันก็แข็งขึ้นมา
ไม่ใช่ ดูฮะดิส ดออีฟ ฮะดิสเดียว แล้วบอกบิดอะดอลาละ
ทั้งๆ ที่ เรื่อง ลูบหน้า ลูบตัว มีกล่าวไว้เยอะแยะ
อ่านอายะนี้ เป่า ใส่ลงบนมือ แล้วก็ทาถูๆ
แค่นี้ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำ
ขอบารอกัต เราไม่ได้ลูบหน้าเฉยๆ แต่เราอ่านดุอาด้วย อันจะได้ความจำเริญ ต่อไปในภายภาคหน้า
วัลลอฮฺอะลัม
วัสลาม...
นี้คงจะหลงประเด็นหรือเปล่าครับ
เพราะที่กล่าวมานั้น คือการรักษาโรค ตามแบบซุนนะห์นบี นะครับ ซึ่งมันเป็นคนละเรื่องกับการละหมาด ที่บอกว่าทาถูๆ ลูบหน้า ลูบตัว มันมีซุนนะห์ในการรักษาโรคของนบี อยู่แล้วครับ
ก็เพราะศึกษาทางวัฮฮาบีไปวัฮฮาบีมา นั่นแหละ เลยเลิกลูบ
ผมเคยเห็นดะอฺวะห์ที่มาจากอินเดียจริงๆ จากปากีจริงๆ เขาก็ไม่ลูบหน้าเหมือนกัน คุณจะสรุปไหมครับว่า ก็เพราะเขาศึกษาทางวะฮาบีย์ เขาถึงไม่ลูบ
หมายเหตุเราละหมาดวันละ 5 เวลา ไม่รวมกับสุนัตอื่นๆ คนๆหนึ่ง ละหมาดทั้งชีวิตกี่วักฏู ดังนั้น จึงไม่ควรที่จะบอกว่า น่าเบื่อ พูดเรื่องเดิมๆ ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เราต้องศึกษาไปเรื่อยๆ และเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเรื่อยๆ เพื่อให้ใกล้ชิดกับการละหมาดให้เหมือนนบีมากที่สุด ทุกวันนี้ตัวผมเอง ยังคงศึกษาเรื่อยๆ ไม่เคยหยุด ยังคงคิลาฟในหัวใจว่า จะ่อ่านฟาฏิหะห์หลังกล่าวอามีน หรือ ไม่ต้องอ่าน เพราะอีหม่ามอ่านแล้ว ยังชี้นิวบ้าง กระดิกนิ้วบ้าง สิ่งไหนที่ยากีนแล้วเชื่อมั่นแล้ว ก็ปฏิบัติไป ผมคิดว่าปลอดถัยมากกว่าครับ