ผู้เขียน หัวข้อ: ยังจะลูบหน้าหลังสลามอีกหรือ  (อ่าน 14307 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ บาชีร

  • ปีสามสักที
  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2164
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +59
    • ดูรายละเอียด
Re: ยังจะลูบหน้าหลังสลามอีกหรือ
« ตอบกลับ #60 เมื่อ: ม.ค. 12, 2010, 04:05 PM »
0



นักปราชบางท่านได้ถือว่า หะดีษเมาดูอฺนั้นเป็นประเภทหนึ่งจากหะดีษดออีฟครับ เช่น คอตตอบี และอิบนุซอลาฮฺ

แล้วเกดทำสีแดงๆไว้ทำไม ไม่อธิบาย



يرى الخطابي، وابن الصلاح أن الحديث الموضوع شر أنواع الضعيف ، لانه في الدرك الأسفل منه ، ومما هو معلوم أن الحديث الذي عدم شروط الصحة والحسن كان ضعيفا ، وهذا الضعيف أنواع متععدة وأسوأ أنواعه الموضوع.

( المختصر في قواعد المصطلح دكتور مصطفى محمد أبو عمارة)



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 12, 2010, 04:15 PM โดย bashir »
นักเรียนปีสาม กฎหมายอิสลาม อัซฮัร ไคโร

ออฟไลน์ GeT

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 453
  • اللهم اعط منفقا خلفا
  • Respect: +25
    • ดูรายละเอียด
Re: ยังจะลูบหน้าหลังสลามอีกหรือ
« ตอบกลับ #61 เมื่อ: ม.ค. 12, 2010, 08:03 PM »
0

กรณีที่  2  คือข้อชี้ขาดว่าด้วยการนำเอาหะดีษฎ่ออีฟมาปฏิบัติ  (حكم العمل به)  กรณีนี้นักวิชาการมีความเห็นต่างกัน  ตามทัศนะปวงปราชญ์ถือว่า  ส่งเสริม  (มุสตะฮับ)  ให้นำหะดีษฎ่ออีฟมาปฏิบัติในเรื่องความประเสริฐหรือกุศลกิจต่าง ๆ (فَضَاﺋﻞ الأَعمَال)  แต่มีเงื่อนไขอยู่  3  ประการตามที่อิบนุ  ฮะญัร  (ร.ฮ.)  ได้ระบุเอาไว้  คือ

1. ความอ่อนของหะดีษนั้น ๆ ต้องไม่รุนแรง
2. หะดีษนั้นเข้าอยู่ภายใต้หลักมูลฐานที่มีการปฏิบัติกันอยู่แล้ว
3. ในขณะที่นำมาปฏิบัติ  จะต้องไม่ปักใจเชื่อ  (อิอฺติกอด)  ว่าหะดีษนั้นถูกต้องแข็งแรงและเป็นสิ่งที่แน่นอนเด็ดขาด  หากแต่เผื่อเอาไว้เท่านั้น

http://www.alisuasaming.com/qa/index.php?topic=552.0


คำว่า "ความอ่อนของหะดีษนั้น ๆ ต้องไม่รุนแรง"  หมายถึง  "ต้องไม่เป็นฮะดีษเมาฏั๊วะอฺ" ตามที่เป้าหมายที่ปราชญ์ฮะดีษได้ระบุไว้   ส่วนบรรดาฮะดีษเรื่องการลูบหน้าพร้อมดุอานั้น  ประมวลแล้วไม่ใช่ฮะดีษเมาฏั๊วะอฺ!  


ขนาดฮะดิษฏออีฟเกินไปหรือฏออีฟอย่างมาก  ก็ไม่อนุญาตนำมาเป็นฮะดิษฟาฏออิลเพื่อเป็นกำลังใจนะครับ   ;D   

เงื่อนไขในการอนุญาตให้ปฏิบัติหะดิษฏออีฟ

1. หะดิษต้องไม่ฏออีฟมากเกินไป ซึ่งหากว่าฏออีฟเป็นอย่างมาก ก็ไม่อนุญาตให้นำมาปฏิบัติ เงื่อนไขนี้ เป็นมติสอดคล้อง ดังที่ท่าน อัลหาฟิซฺ อัลอะลาอีย์ และท่าน ตะกียุดดีน อัสศุบกีย์ ได้กล่าวไว้ ตัวอย่างหะดิษที่ฏออีฟมากๆก็คือ มีนักรายงานหะดิษที่ถูกกล่าวหาว่าโกหก หรือผิดพลาดอย่างน่าเกลียด หรือหลงลืมเป็นอย่างมาก หรือความชั่วของเขาปรากฏให้เห็น และอื่นๆ

(จากบทความเรื่อง การปฏิบัติหะดีษฎออิฟกับบิดอะฮ์ที่น่ารังเกียจ)

--------------------------------------------------------
ปล. แค่เป็นข้อสังเกต มันดูๆแล้ว เหมือนจะขัดแย้งกันเอง เพราะที่เข้าใจคำว่า "เมาฎูอฺ" موضوع กับ "ฎออิฟมากเกินไป" หรือ "ฎออิฟเป็นอย่างมาก" ضعيف جدا  มันน่าคนละประเภทกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 12, 2010, 08:05 PM โดย GeT »

ออฟไลน์ As-Zaleek

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 804
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +33
    • ดูรายละเอียด
Re: ยังจะลูบหน้าหลังสลามอีกหรือ
« ตอบกลับ #62 เมื่อ: ม.ค. 12, 2010, 09:43 PM »
0

กรณีที่  2  คือข้อชี้ขาดว่าด้วยการนำเอาหะดีษฎ่ออีฟมาปฏิบัติ  (حكم العمل به)  กรณีนี้นักวิชาการมีความเห็นต่างกัน  ตามทัศนะปวงปราชญ์ถือว่า  ส่งเสริม  (มุสตะฮับ)  ให้นำหะดีษฎ่ออีฟมาปฏิบัติในเรื่องความประเสริฐหรือกุศลกิจต่าง ๆ (فَضَاﺋﻞ الأَعمَال)  แต่มีเงื่อนไขอยู่  3  ประการตามที่อิบนุ  ฮะญัร  (ร.ฮ.)  ได้ระบุเอาไว้  คือ

1. ความอ่อนของหะดีษนั้น ๆ ต้องไม่รุนแรง
2. หะดีษนั้นเข้าอยู่ภายใต้หลักมูลฐานที่มีการปฏิบัติกันอยู่แล้ว
3. ในขณะที่นำมาปฏิบัติ  จะต้องไม่ปักใจเชื่อ  (อิอฺติกอด)  ว่าหะดีษนั้นถูกต้องแข็งแรงและเป็นสิ่งที่แน่นอนเด็ดขาด  หากแต่เผื่อเอาไว้เท่านั้น

http://www.alisuasaming.com/qa/index.php?topic=552.0


คำว่า "ความอ่อนของหะดีษนั้น ๆ ต้องไม่รุนแรง"  หมายถึง  "ต้องไม่เป็นฮะดีษเมาฏั๊วะอฺ" ตามที่เป้าหมายที่ปราชญ์ฮะดีษได้ระบุไว้   ส่วนบรรดาฮะดีษเรื่องการลูบหน้าพร้อมดุอานั้น  ประมวลแล้วไม่ใช่ฮะดีษเมาฏั๊วะอฺ!  


ขนาดฮะดิษฏออีฟเกินไปหรือฏออีฟอย่างมาก  ก็ไม่อนุญาตนำมาเป็นฮะดิษฟาฏออิลเพื่อเป็นกำลังใจนะครับ   ;D   

เงื่อนไขในการอนุญาตให้ปฏิบัติหะดิษฏออีฟ

1. หะดิษต้องไม่ฏออีฟมากเกินไป ซึ่งหากว่าฏออีฟเป็นอย่างมาก ก็ไม่อนุญาตให้นำมาปฏิบัติ เงื่อนไขนี้ เป็นมติสอดคล้อง ดังที่ท่าน อัลหาฟิซฺ อัลอะลาอีย์ และท่าน ตะกียุดดีน อัสศุบกีย์ ได้กล่าวไว้ ตัวอย่างหะดิษที่ฏออีฟมากๆก็คือ มีนักรายงานหะดิษที่ถูกกล่าวหาว่าโกหก หรือผิดพลาดอย่างน่าเกลียด หรือหลงลืมเป็นอย่างมาก หรือความชั่วของเขาปรากฏให้เห็น และอื่นๆ

(จากบทความเรื่อง การปฏิบัติหะดีษฎออิฟกับบิดอะฮ์ที่น่ารังเกียจ)

--------------------------------------------------------
ปล. แค่เป็นข้อสังเกต มันดูๆแล้ว เหมือนจะขัดแย้งกันเอง เพราะที่เข้าใจคำว่า "เมาฎูอฺ" موضوع กับ "ฎออิฟมากเกินไป" หรือ "ฎออิฟเป็นอย่างมาก" ضعيف جدا  มันน่าคนละประเภทกัน

อย่างไรก็ตาม  ฮะดีษต้องไม่ดออีฟเกินไปนั้น  คือต้องไม่ใช่ฮะดีษเมาฎุอฺ ตามที่บังอัซฮะรีย์ได้แจกแจงรายละเอียดเพิ่มเติมไว้จากคำยืนยันของอุลามาฮะดีษ

ท่านมุฮัดดิษ อัลลามะฮ์ มะห์มูด สะอีด มัมดั๊วะห์  กล่าวว่า

قد يظن من لا يعرف أن فاحش الغلط يدخل فيه متوسط الضعف وليس كذلك فمعني ( من فحش غلطه ) أن حديثه في معني الموضوع

“บาง ครั้งผู้ที่ไม่รู้คิดว่า  ผู้ที่ผิดพลาดอย่างน่าเกลียจ  เข้าอยู่ในหมวดด่ออีฟขนาดกลาง  ซึ่งความจริงมิใช่เช่นนั้น  เพราะความหมายที่ว่า (ผู้ที่ผิดพลาดอย่างน่ารังเกียจ)นั้น  คือฮะดีษของเขาที่อยู่ในความหมายเมาฏุอฺ”  หนังสืออัตตะรีฟ บิเอาฮาม มัน ก็อซซะมัสสุนัน อิลา ศ่อเฮี๊ยะห์ วะ ดออีฟ เล่ม 1 หน้า 129

ท่านกล่าวอีกว่า

فقولهم في شرائط العمل بالضعيف ( أن يكون غير شديد الضعف ) يقصد به الموضوع وما في معناه ، والإستثناء قائم لكل ما سواهما فتنبه، وهو ما صرح به الحفاظ : ابن الصلاح ، والنووي، والعراقي، السخاوي، وغيرهم، وشرحه البيهقي رحمهم الله جميعا

“คำกล่าวของนักปราชญ์ฮะดีษในเรื่องเงื่อนไขการปฏิบัติฮะดี ษดออีฟ (ต้องไม่ดออีฟอย่างมาก)  เป้าหมายคือ  ต้องไม่ใช่ฮะดีษเมาฏุอฺหรือฮะดีษที่อยู่ในความหมายฮะดีษเมาฏุอฺ  และการยกเว้นให้ปฏิบัติฮะดีษดออีฟได้ยังคงอยู่นอกจากฮะดีษทั้งสองที่มาจาก เมาฎุอฺหรืออยู่ในความหมายเมาฏุอฺ  ดังนั้นท่านจงตระหนักให้ดี  และมันก็คือสิ่งที่นักปราชญ์ผู้จำฮะดีษได้ระบุไว้อย่างชัดเจน  เช่น  ท่านอิบนุอัศศ่อลาห์  ท่านอันนะวาวีย์ ท่านอัลอิรอกีย์ ท่านอัศศะคอวีย์ และคนอื่นๆ และได้อธิบายหลักการดังกล่าวโดยท่านอัลบัยฮะกีย์  ขออัลเลาะฮ์ทรงเมตตาพวกเขาทั้งหมดด้วยเถิด” หนังสืออัตตะรีฟ บิเอาฮาม มัน ก็อซซะมัสสุนัน อิลา ศ่อเฮี๊ยะห์ วะ ดออีฟ เล่ม 1 หน้า 131

والله تعالي أعلم


الأيام تمضى       والعمر يزيد         ولكن الحب بالقلب أكيد

ออฟไลน์ บาชีร

  • ปีสามสักที
  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2164
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +59
    • ดูรายละเอียด
Re: ยังจะลูบหน้าหลังสลามอีกหรือ
« ตอบกลับ #63 เมื่อ: ม.ค. 12, 2010, 10:12 PM »
0
ชัดครับ
นักเรียนปีสาม กฎหมายอิสลาม อัซฮัร ไคโร

ออฟไลน์ GeT

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 453
  • اللهم اعط منفقا خلفا
  • Respect: +25
    • ดูรายละเอียด
Re: ยังจะลูบหน้าหลังสลามอีกหรือ
« ตอบกลับ #64 เมื่อ: ม.ค. 12, 2010, 10:24 PM »
0
เงื่อนไขในการอนุญาตให้ปฏิบัติหะดิษฏออีฟ

1. หะดิษต้องไม่ฏออีฟมากเกินไป ซึ่งหากว่าฏออีฟเป็นอย่างมาก ก็ไม่อนุญาตให้นำมาปฏิบัติ เงื่อนไขนี้ เป็นมติสอดคล้อง ดังที่ท่าน อัลหาฟิซฺ อัลอะลาอีย์ และท่าน ตะกียุดดีน อัสศุบกีย์ ได้กล่าวไว้ ตัวอย่างหะดิษที่ฏออีฟมากๆก็คือ
1. มีนักรายงานหะดิษที่ถูกกล่าวหาว่าโกหก
2. หรือผิดพลาดอย่างน่าเกลียด
3. หรือหลงลืมเป็นอย่างมาก
4. หรือความชั่วของเขาปรากฏให้เห็น และอื่นๆ

(จากบทความเรื่อง การปฏิบัติหะดีษฎออิฟกับบิดอะฮ์ที่น่ารังเกียจ)

อยากได้คำยืนยันว่า ตัวอย่างที่ยกมาข้างต้น คือคุณลักษณะของหะดีษเมาฎูอ์ หรือว่า เฎาะอีฟญิดดันกันแน่ (สับสน)

ออฟไลน์ As-Zaleek

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 804
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +33
    • ดูรายละเอียด
Re: ยังจะลูบหน้าหลังสลามอีกหรือ
« ตอบกลับ #65 เมื่อ: ม.ค. 13, 2010, 12:13 AM »
0
เงื่อนไขในการอนุญาตให้ปฏิบัติหะดิษฏออีฟ

1. หะดิษต้องไม่ฏออีฟมากเกินไป ซึ่งหากว่าฏออีฟเป็นอย่างมาก ก็ไม่อนุญาตให้นำมาปฏิบัติ เงื่อนไขนี้ เป็นมติสอดคล้อง ดังที่ท่าน อัลหาฟิซฺ อัลอะลาอีย์ และท่าน ตะกียุดดีน อัสศุบกีย์ ได้กล่าวไว้ ตัวอย่างหะดิษที่ฏออีฟมากๆก็คือ
1. มีนักรายงานหะดิษที่ถูกกล่าวหาว่าโกหก
2. หรือผิดพลาดอย่างน่าเกลียด
3. หรือหลงลืมเป็นอย่างมาก
4. หรือความชั่วของเขาปรากฏให้เห็น และอื่นๆ

(จากบทความเรื่อง การปฏิบัติหะดีษฎออิฟกับบิดอะฮ์ที่น่ารังเกียจ)

อยากได้คำยืนยันว่า ตัวอย่างที่ยกมาข้างต้น คือคุณลักษณะของหะดีษเมาฎูอ์ หรือว่า เฎาะอีฟญิดดันกันแน่ (สับสน)

ท่านอัลฮาฟิซฺ อัศศ่าคอวีย์ได้กล่าวคำพูดของท่านอิบนุฮะญัรเกี่ยวกับเงื่อนไขฮะดีษดออีฟว่า

وهو أن يكون الضعف غير شديد، فيخرج من انفرد من الكذابين والمتهمين ومن فحش غلطه

“คือ ฮะดีษไม่ดออีฟอย่างมาก  ดังนั้นถูกคัดออกจากผู้ที่รายงานเพียงลำพังคนเดียวจากนักรายงานที่โกหก  และถูกกล่าวหาโกหก  และผู้ที่ผิดพลาดอย่างน่ารังเกียจ” หนังสืออัลเกาลุลบะดีอฺ หน้า 195
คำว่า หลงลืมอย่างมากหรือผิดพลาดอย่างน่ารังเกียจนั้น  หากรายงานเพียงลำพังคนเดียว  ย่อมอยู่ในความหมายของฮะดีษเมาฎุอฺ

ท่านมุฮัดดิษ อัลลามะฮ์ มะห์มูด สะอีด มัมดั๊วะห์  กล่าวว่า

وقد علمت أن الضعيف درجات منها : الخفيف، والمتوسط، والشديد الذي ليس في معني الموضوع، وكل هذه الأنواع يعمل بها في الفضائل كما صرح الأئمة

“แท้ จริงท่านรู้มาแล้วว่า  ฮะดีษดออีฟมีหลายระดับ  ส่วนหนึ่งคือ  ระดับเบาบาง  ระดับปานกลาง  และระดับดออีฟมากที่ไม่ได้อยู่ในความหมายของฮะดีษเมาฎุอฺ  และทุก ๆ ประเภทนี้  สามารถนำมาปฏิบัติในเรื่องฟะฏออิลุลอะมาลได้ตามที่ปวงปราชญ์ได้ระบุไว้อย่าง ชัดเจน” ” หนังสืออัตตะรีฟ บิเอาฮาม มัน ก็อซซะมัสสุนัน อิลา ศ่อเฮี๊ยะห์ วะ ดออีฟ เล่ม 1 หน้า 135

والله تعالي أعلم
الأيام تمضى       والعمر يزيد         ولكن الحب بالقلب أكيد

ออฟไลน์ blackjack

  • เพื่อนแรกพบ (^^)/
  • *
  • กระทู้: 5
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ยังจะลูบหน้าหลังสลามอีกหรือ
« ตอบกลับ #66 เมื่อ: ม.ค. 13, 2010, 12:25 AM »
0
ที่จริง การเคลื่อนไหวโดยการลูบหน้าหลังการให้สลามจากการละหมาดนั้น ถือเป็นการกระทำ หรือการเคลื่อนไหวที่อยู่นอกการละหมาด เพราะการสิ้นสุดของการละหมาด ไม่จะเป็นสุนัต หรือฟัรฎู (วาญิบ) ก็ตาม ก็จะสิ้นสุดที่การให้สลาม แม้จะมีความเห็นแตกต่างกันว่า จะถือสิ้นสุดที่การให้สลามครั้งที่หนึ่ง (ชาฟิอีย์) หรือครั้งที่สอง (หันบาลีย์) ก็ตาม แต่โดยการปฏิบัติของมุสลิมบ้านเราส่วนใหญ่ จะกระทำหลังการให้สลามครั้งที่สอง

               ดังนั้น การเคลื่อนไหวนอกละหมาดย่อมเป็นสิทธิที่สามารถกระทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการขอดุอาอ์ หรือลูบหน้าก็ตาม โดยเฉพาะอย่างหลังนั้น แม้แทบทั้งหมดที่รายงานในเรื่องนี้จะมีสถานะอ่อน (เฎาะอีฟ) ก็ตาม แต่เนื่องจาการรายงานที่มากมายของมัน ซึ่งก็อยู่ในระดับเฎาะอีฟเฉยๆ นั้น ถือเป็นสิ่งที่สามารถนำกระทำได้ตามแง่ของการส่งเสริมคุณค่าของอมัล

               และเนื่องจากการลูบหน้าหลังละหมาดนั้น ก็เป็นเช่นเดียวกับการลูบหน้าหลังการขอดุอาอ์ เพราะขณะให้สลามนั้น จะมีการขอดุอาอ์แทรกด้วย จึงทำให้บางคนก็ลูบด้วยมือทั้งสองข้างเลย แต่ส่วนใหญ่บ้านเราจะลูบด้วยมือขวาเพียงข้างเดียวเท่านั้น โดยถือปฏิบัติตามหะดีษที่มีการรายงานในเรื่องนี้ แม้จะเฎาะอีฟก็ตาม แต่ตามทัศนะของผู้ที่กระทำ ก็ยึดทัศนะว่าการนำหะดีษเฎาะอีฟมาใช้ได้ในแง่ของการส่งเสริมคุณค่าของอมัล

               ฉะนั้น ความไม่ลงรอยในเรื่องนี้ จึงดูเหมือนจะประจบกันไม่ได้เลย เพราะรากฐานของการทัศนะในการรับหะดีษมาใช้ระหว่างทั้งสองฝ่าย ก็ต่างกันแล้ว ฉะนั้น จงเคารพทัศนะของกันและกันเถิด และหากความหวังดีของบางคนที่มีต่ออีกฝ่ายหนึ่งนั้น ไม่ได้ยังผลใดๆ นั้น สิ่งที่สมควรกระทำต่อจากนั้นก็คือการทำความเข้าใจทัศนะของอีกฝ่าย ส่วนท่านจะยอมรับหรือไม่นั้น นั่นก็เป็นสิทธิของท่าน - วัลลอฮุอะอ์ลัม - วัสสลามุอลัยกุม

ผมเห็นด้วยคับความเห็นนี่
เเต่ส่วนพี่น้อง ilham หรือ ท่านอื่นๆที่บอกว่า ผมเป็นพวกวะฮาบีเนียนๆอะไรนั้น
ผมไม่ว่าอะไรหรอกคับ จะไม่โต้อะไรทั้งสิ้น
เพราะผมก็ไม่รู้ซะด้วยซ้ำว่า วะฮาบีชั่วๆตามที่พี่น้องบอกนั้น มันมีตัวตนจริง
เเละผมก้ไม่รู้อะไรมากด้วย

เเต่อย่างหนึ่งที่ผมได้รู้ตอนนี้ก็คือ
พวกเราทะเลาะกัน
เเละด่าว่ากัน วะฮาบง วะฮาบี ซะจนไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จเเล้ว

เพราะฝ่ายที่ถูกหาว่าวะฮาบีก็เอาเเต่ยกหลักฐานมา เเล้วก็โต้ๆ
อีกฝั่งก็โต้กลับ เเล้วบอกว่าวะฮาบีเเย่ยังงู้นยังงี้
เเต่เป็นวิธีโต้ ที่ไม่เป็นในเเบบพี่น้องกันเลย ตกลงพวกเราเป็นอะไรกันเเน่

ผมเเค่งงนิดหน่อย ที่ต้องมาเจอบรรยากาศเเบบนี้
ผมไม่โต้ เเละ ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น
เชิญพี่น้องใส่ผมเลยล่ะกัน ว่าจะให้เปนวะฮาบี ฮาบี อะไร หรือ ยังไงก้ตามเเต่ วัลลอฮอะลัม

ขออัลลอฮฺตอบเเทนทุกท่านคับ
รัก...เเมว

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
Re: ยังจะลูบหน้าหลังสลามอีกหรือ
« ตอบกลับ #67 เมื่อ: ม.ค. 13, 2010, 01:20 AM »
0
             คือการตำหนิวะฮาบีย์ในบางเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่นี้ มันเหมือนเป็นการนำความรู้สึกที่เกิดกับที่หนึ่ง แล้วเอามาใช้กับอีกที่หนึ่ง ซึ่งทั้งสองที่ต่างก็มีบุคคลที่สังกัดแนวคิดแบบเดียวกัน เพียงแต่ว่า ทั้งสองที่นั้น มีระดับความรุนแรงของการตอบโต้ที่แตกต่างกัน ดังนั้น พี่น้องบางท่านที่เคยชินกับภาพที่ไม่น่าดู จนบางครั้งไม่ให้อภัยที่ตนพบมาจากที่หนึ่งนั้น แล้วนำความรู้สึกนั้น มาแสดง ณ อีกที่หนึ่งที่มีบุคคลที่สังกัดแนวคิดเดียวกันอยู่ แต่ระดับความรุนแรงในการตอบโต้กลุ่มอื่นของกลุ่มนี้จะน้อยกว่า

          ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น ฝ่ายที่ตอบโต้กลับกลุ่มวะฮาบีย์นั้น ค่อนข้างที่จะตอบโต้อย่างรุนแรงต่อกลุ่มวะฮาบีย์เมืองไทยที่ส่วนใหญ่จากกลุ่มนี้จะตอบโต้ไม่ค่อยรุนแรงเท่ากับที่ต่างประเทศที่ตนรับรู้และประสบมา ดังนั้น ผลที่ออกมาก็คือ กลุ่มวะฮาบีย์เมืองไทยจะรู้สึกงงกับสิ่งที่ตนได้รับการตอบโต้มา เพราะสิ่งที่ตนรับรู้เกี่ยวกับแนวทางนี้นั้น คือจะเป็นแนวทางที่บริสุทธิ์และอื่นๆ แต่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ก็มองในอีกภาพหนึ่งที่ตนรับรู้และประสบมาจากอีกทีหนึ่ง มันจึงเหมือนเป็นการนำความรู้สึกที่มีต่อกลุ่มเพียงหนึ่งกลุ่ม ก็คือกลุ่มเดียว แต่ทว่า แสดงความรู้สึกนั้นกับผิดบุคคล แม้จะมีแนวคิดเดียวก็ตาม

          ผลสรุปก็คือ ทั้งสองจะไม่มีวันคุยกันรู้เรื่อง เพราะต่างคนต่างมองสิ่งเดียวกัน แต่ต่างมุมกัน - วัลลอฮุอะอ์ลัม - วัสสลามุอลัยกุม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ บาชีร

  • ปีสามสักที
  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2164
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +59
    • ดูรายละเอียด
Re: ยังจะลูบหน้าหลังสลามอีกหรือ
« ตอบกลับ #68 เมื่อ: ม.ค. 13, 2010, 02:32 AM »
0
แล้วเกดยอมรับรึปล่าวล่ะว่า หะดีษเมาดูอฺนั้นคือประเภทหนึ่งจากหะดีษดออีฟ

หากไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร

แต่พึงรู้เถิดว่านักวิชาการอย่างอิบนุซซอลาฮฺ และคอตตอบีถือว่ามันเป็นประเภทหนึ่งจากดออีฟ

น่าจะเข้าใจได้แล้ว

นักเรียนปีสาม กฎหมายอิสลาม อัซฮัร ไคโร

ออฟไลน์ wahaba

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 219
  • สร้างรูปร่างให้พระเจ้าคือความเชื่อของวะฮาบีและยิว
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ยังจะลูบหน้าหลังสลามอีกหรือ
« ตอบกลับ #69 เมื่อ: ม.ค. 13, 2010, 09:04 AM »
0
ที่จริง การเคลื่อนไหวโดยการลูบหน้าหลังการให้สลามจากการละหมาดนั้น ถือเป็นการกระทำ หรือการเคลื่อนไหวที่อยู่นอกการละหมาด เพราะการสิ้นสุดของการละหมาด ไม่จะเป็นสุนัต หรือฟัรฎู (วาญิบ) ก็ตาม ก็จะสิ้นสุดที่การให้สลาม แม้จะมีความเห็นแตกต่างกันว่า จะถือสิ้นสุดที่การให้สลามครั้งที่หนึ่ง (ชาฟิอีย์) หรือครั้งที่สอง (หันบาลีย์) ก็ตาม แต่โดยการปฏิบัติของมุสลิมบ้านเราส่วนใหญ่ จะกระทำหลังการให้สลามครั้งที่สอง

               ดังนั้น การเคลื่อนไหวนอกละหมาดย่อมเป็นสิทธิที่สามารถกระทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการขอดุอาอ์ หรือลูบหน้าก็ตาม โดยเฉพาะอย่างหลังนั้น แม้แทบทั้งหมดที่รายงานในเรื่องนี้จะมีสถานะอ่อน (เฎาะอีฟ) ก็ตาม แต่เนื่องจาการรายงานที่มากมายของมัน ซึ่งก็อยู่ในระดับเฎาะอีฟเฉยๆ นั้น ถือเป็นสิ่งที่สามารถนำกระทำได้ตามแง่ของการส่งเสริมคุณค่าของอมัล

               และเนื่องจากการลูบหน้าหลังละหมาดนั้น ก็เป็นเช่นเดียวกับการลูบหน้าหลังการขอดุอาอ์ เพราะขณะให้สลามนั้น จะมีการขอดุอาอ์แทรกด้วย จึงทำให้บางคนก็ลูบด้วยมือทั้งสองข้างเลย แต่ส่วนใหญ่บ้านเราจะลูบด้วยมือขวาเพียงข้างเดียวเท่านั้น โดยถือปฏิบัติตามหะดีษที่มีการรายงานในเรื่องนี้ แม้จะเฎาะอีฟก็ตาม แต่ตามทัศนะของผู้ที่กระทำ ก็ยึดทัศนะว่าการนำหะดีษเฎาะอีฟมาใช้ได้ในแง่ของการส่งเสริมคุณค่าของอมัล

               ฉะนั้น ความไม่ลงรอยในเรื่องนี้ จึงดูเหมือนจะประจบกันไม่ได้เลย เพราะรากฐานของการทัศนะในการรับหะดีษมาใช้ระหว่างทั้งสองฝ่าย ก็ต่างกันแล้ว ฉะนั้น จงเคารพทัศนะของกันและกันเถิด และหากความหวังดีของบางคนที่มีต่ออีกฝ่ายหนึ่งนั้น ไม่ได้ยังผลใดๆ นั้น สิ่งที่สมควรกระทำต่อจากนั้นก็คือการทำความเข้าใจทัศนะของอีกฝ่าย ส่วนท่านจะยอมรับหรือไม่นั้น นั่นก็เป็นสิทธิของท่าน - วัลลอฮุอะอ์ลัม - วัสสลามุอลัยกุม

ผมเห็นด้วยคับความเห็นนี่
เเต่ส่วนพี่น้อง ilham หรือ ท่านอื่นๆที่บอกว่า ผมเป็นพวกวะฮาบีเนียนๆอะไรนั้น
ผมไม่ว่าอะไรหรอกคับ จะไม่โต้อะไรทั้งสิ้น
เพราะผมก็ไม่รู้ซะด้วยซ้ำว่า วะฮาบีชั่วๆตามที่พี่น้องบอกนั้น มันมีตัวตนจริง
เเละผมก้ไม่รู้อะไรมากด้วย

เเต่อย่างหนึ่งที่ผมได้รู้ตอนนี้ก็คือ
พวกเราทะเลาะกัน
เเละด่าว่ากัน วะฮาบง วะฮาบี ซะจนไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จเเล้ว

เพราะฝ่ายที่ถูกหาว่าวะฮาบีก็เอาเเต่ยกหลักฐานมา เเล้วก็โต้ๆ
อีกฝั่งก็โต้กลับ เเล้วบอกว่าวะฮาบีเเย่ยังงู้นยังงี้
เเต่เป็นวิธีโต้ ที่ไม่เป็นในเเบบพี่น้องกันเลย ตกลงพวกเราเป็นอะไรกันเเน่

ผมเเค่งงนิดหน่อย ที่ต้องมาเจอบรรยากาศเเบบนี้
ผมไม่โต้ เเละ ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น
เชิญพี่น้องใส่ผมเลยล่ะกัน ว่าจะให้เปนวะฮาบี ฮาบี อะไร หรือ ยังไงก้ตามเเต่ วัลลอฮอะลัม

ขออัลลอฮฺตอบเเทนทุกท่านคับ

วะฮาบีก็คือวะฮาบีครับ  พูดเรื่องศาสนาอ้าปากก็เห็นลิ้นไก่  ละหมาดเสร็จแล้วกระโดดหนี กลัวโดนรัสมีดุอาจากอิหม่าม ถ้ารีบก็ไม่ว่ากัน แต่เขาบอกบิดอะ fouet:

ออฟไลน์ อัล-อุม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 92
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ยังจะลูบหน้าหลังสลามอีกหรือ
« ตอบกลับ #70 เมื่อ: ม.ค. 13, 2010, 09:49 AM »
0
ไม่มีชาวซุนนะคนใดที่ขัดแย้งกันในเรื่องของอากีดะ  นอกจาก ชีอะ  อาชาอีรอฮ  มั๊วตาซิลลาฮ และกาเฟร

ผมให้เวลา al-azhary  3ปี ไปหาหลักฐานว่าชาวสลัฟเขาเคยขัดแย้งกันเรื่องอากีดะ
 
               

ผมเองให้เวลาคุณสับสนสักกี่ปีก็ได้ว่า  คุณช่วยไปหาหลักฐานให้ผมทีว่า    มีสลัฟคนไหนบ้างที่ยืนยันว่า อัลลออ์ทรงประทับบนบรรลังค์และมีรูปร่างและตัวตนเหมือรอากีดะของพวกยิวในขณะเดียวกันก็อยากถามต่อว่า

ในช่วงที่มัสหับทั้ง4สมบูรณ์แล้วนั้น  ในสมัยสลัฟ300ปี มีใครไหนบ้างที่ไม่สังกัดมัสหับ   และมีทัศนะเดียวกับวาฮาบีในช่วงนั้น
 
[/color]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 13, 2010, 09:52 AM โดย อัล-อุม »

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
Re: ยังจะลูบหน้าหลังสลามอีกหรือ
« ตอบกลับ #71 เมื่อ: ม.ค. 13, 2010, 12:24 PM »
0
บังอัลอุม สับสน เป็นชื่อของเขา เราต้องดุอาให้
เรื่องอะกีดะ ถ้ายังไม่เข้าใจมาก ไม่น่ามาฟันธง อะไรแบบนี้

ผมไม่ได้ว่าอะไรใครจะพูดเรื่องอะกีดะ
แต่ คุณสับสน เขาความรู้ไม่ได้ตรงนี้ ไม่น่าทำตัวเอง
บังอัลอุม ก็อย่าไปทำให้เขาบาปไปกว่านี้เลย ...

นอูซุบิลลามิซาลิก
วัสลาม...

ออฟไลน์ KARKOON

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 29
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ยังจะลูบหน้าหลังสลามอีกหรือ
« ตอบกลับ #72 เมื่อ: ม.ค. 13, 2010, 01:10 PM »
0
แล้วเวลาละหมาดเสร็จ(หมายถึงดุอาแล้ว)มีซอลอวาตมั้ย..
ใครรู้ช่วยบอกหน่อยครับ..
ญาซากัลลอฮ์...
วัสลาม

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
Re: ยังจะลูบหน้าหลังสลามอีกหรือ
« ตอบกลับ #73 เมื่อ: ม.ค. 13, 2010, 03:44 PM »
0
แล้วเวลาละหมาดเสร็จ(หมายถึงดุอาแล้ว)มีซอลอวาตมั้ย..
ใครรู้ช่วยบอกหน่อยครับ..
ญาซากัลลอฮ์...
วัสลาม

เราต้องให้นิยามของคำว่ซอลาวาตที่ว่าก่อน ซอลาวาต ถ้าสังเกตดีๆ ก็มีทุกที่ ในละหมาดก็มี ในดูอาปกติก้มี เพราะควรจะเริ่มด้วยบิสมิลลัฮ สรรเสริญอัลลอฮ แล้วก็ซอลาวาต แล้วก็ควรจบลงแบบนั้นเช่นกัน
แต่ไอที่หมายถึงนั้น อาจจะหมายถึงที่เป็นแบบทำนองหลังดูอาเสร็จหมดแล้ว 3จังหวัดไม่ทำกัน แต่ภาคใต้ตอนบนขึ้นไปเขาจะทำ
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ tholib

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 75
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ยังจะลูบหน้าหลังสลามอีกหรือ
« ตอบกลับ #74 เมื่อ: ม.ค. 13, 2010, 04:00 PM »
0

ท่านมุฮัดดิษ อัลลามะฮ์ มะห์มูด สะอีด มัมดั๊วะห์  กล่าวว่า

قد يظن من لا يعرف أن فاحش الغلط يدخل فيه متوسط الضعف وليس كذلك فمعني ( من فحش غلطه ) أن حديثه في معني الموضوع

“บาง ครั้งผู้ที่ไม่รู้คิดว่า  ผู้ที่ผิดพลาดอย่างน่าเกลียจ  เข้าอยู่ในหมวดด่ออีฟขนาดกลาง  ซึ่งความจริงมิใช่เช่นนั้น  เพราะความหมายที่ว่า (ผู้ที่ผิดพลาดอย่างน่ารังเกียจ)นั้น  คือฮะดีษของเขาที่อยู่ในความหมายเมาฏุอฺ”  หนังสืออัตตะรีฟ บิเอาฮาม มัน ก็อซซะมัสสุนัน อิลา ศ่อเฮี๊ยะห์ วะ ดออีฟ เล่ม 1 หน้า 129

والله تعالي أعلم[/size]


อยากทราบว่าท่านอ้างมาจากไหนว่า من فحش غلطه  คือหะดีษของเขาเป็นเมาฎูอฺ
มีอุละมาอ์ท่านไหนบ้างที่เห็นพ้องกับท่าน ?

ท่านอัลหาฟิซอิบนุหะญัรฺกล่าวว่า (นุซฮะตุนนะซ็อรฺ 22)

وكذا الرَّابِعُ والخَامِسُ ، فمَنْ فَحُشَ غَلَطُهُ ، أَو كَثُرَتْ غَفلَتُه ، أَو ظهَرَ فِسْقُه ،فحديثُهُ  مُنْكَرٍ

ชัดเจนว่า อัลหาฟิซอิบนุหะญัรฺ บอกว่านักรายงานที่ فحش غلطه หะดีษของเขาคือมุงกัรฺ
ซึ่งจัดอยู่ในหะดีษที่เฎาะอีฟมาก ไม่ใช่หะดีษเมาฎูอฺแต่ประการใด


وهو أن يكون الضعف غير شديد، فيخرج من انفرد من الكذابين والمتهمين ومن فحش غلطه

แล้ว المتهم بالكذب  ล่ะ
หะดีษเขาจัดอยูในหะดีษเมาฎูอฺด้วยหรือเปล่า ????

ท่านอัลหาฟิซอิบนุหะญัรกล่าวว่า (นุซฮะตุนนะซ็อรฺ 22)
ما يكونُ بسبَبِ تُهمَةِ الرَّاوي بالكَذِبِ ،  و  هُو المَتْروكُ .

ชัดเจนว่า ท่านบอกว่า المتهم بالكذب หะดีษของเขา
คือหะดีษมัตรูก ซึ่งจัดอยู่ในหะดีษที่เฎาะอีฟมาก
และไม่ได้อยู่ในหะดีษที่เมาฎูอฺแต่ประการใด

 

GoogleTagged