salam
บทนำ หลายต่อหลายครั้งที่พวกตะวันตกประสบความล้มเหลว
พ่ายแพ้ในสงครามครูเสดนานถึงเกือบ 2 ศตวรรษ
ที่พวกเขาพยายามวางแผนทำลายล้างอิสลาม
กระทั่งพวกเขามีการค้นคว้าศึกษาวิจัยอย่างละเอียดลออ
เพื่อหาแนวทางทำลายล้าง อิสลามและประชาชาติมุสลิม
ในการศึกษาดังกล่าวพวกเขาประสบความสำเร็จในการวางแผนที่รัดกุม
ขณะที่พวกเขาได้ทุ่มเทด้วยความมั่นใจ
และเป็นการปฏิบัติตามแผนที่พวกเขาได้วางไว้
สาเหตุของสงครามมีทรรศนะต่างๆ หลายทรรศนะที่เราสามารถค้นหาจากประวัติศาสตร์
ถึงสาเหตุของสงครามนี้ทำไมที่พวกเขา (ผู้ปฏิเสธ)
จึงต้องทุ่มเทอย่างยิ่งยวดในการต่อสู้กับอิสลาม?
เพราะเหตุผลทางการเมืองหรือเหตุผลทางการทหาร
ซึ่งพวกเขากำลังจะได้ยึดจุดยุทธศาสตร์หรือเพราะเหตุผลทางการค้า
หนังสือประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยฝ่ายอาณานิคม หรือนักบูรพาคดี
หรือนักเขียนในเครือประเทศที่เป็นอาณานิคมเอง
ที่ได้รับการศึกษาจากชาติตะวันตก ส่วนใหญ่มักจะเน้นในเหตุผลทางด้านการค้า
เป็นเหตุผลหลัก และหนังสือเหล่านี้แหละที่ถูกนำไปบรรจุ
ในการศึกษาประวัติศาสตร์ในโรงเรียน สถาบันการศึกษา
โดยธาตุแท้แล้ว เหตุผลทางประวัติศาสตร์นั้นเป็นเหตุผลจอมปลอมทั้งสิ้น
มันมีเป้าหมายเพื่อตบตาประชาชนในอาณานิคมของตนเอง
ให้เข้าใจว่าพวกเขาไม่ได้ มาเพื่อเป็นศัตรู
หลังจากที่มีการศึกษาอย่างละเอียดรอบคอบแล้วพบว่าข้ออ้างดังกล่าว
ขัดแย้งกับ ความเป็นจริงทุกประการ
จากการศึกษาของนักประวัติศาสตร์ที่มีความเป็นธรรม
ปรากฏว่าการต่อสู้ดังกล่าว นั้นเกิดจากเหตุผลทางศาสนา
มิใช่เหตุผลทางการเมือง หรือเหตุผลทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด
หลักฐานทางประวิติศาสตร์ชิ้นแรกที่เราหยิบยกขึ้นมาได้คือ
บทเพลงปลุกใจของชาวอิตาลี ซึ่งมีเนื้อหา ดังนี้
โอ้มารดา...
จงขอพรเถิด อย่าได้ร้องให้เลย
แต่จงหัวเราะและจงมองเถิด
แม่ไม่รู้หรือว่าอิตาลี ได้เรียกร้องฉัน
ฉันจะไปตริโปลี
ด้วยความสนุกสนานเบิกบานใจ
มาตรแม้นว่าฉันจะได้ถวายเลือดของฉัน เพื่อทำลายล้างอิสลาม
ประชาชาติที่ถูกสาปแช่ง
และเพื่อต่อสู้กับศาสนาอิสลาม
ฉันจะต่อสู้อย่างสุดกำลัง เพื่อลบล้างอัลกุรอ่าน
หากมีคนถามแม่ว่า ทำไมไม่เสียใจในการจากไปของฉัน
ก็จงตอบเขาไปเถิดว่า เขาจากไปเพื่อต่อสู้กับอิสลาม
โอ้...มารดา เสียงกลองดังขึ้นแล้ว...
มารดาไม่ได้กลิ่นคาวของสงครามดอกหรือ?
โอ้มารดา...
ให้ฉันได้โอบกอดมารดาเถิดและให้ฉันได้ไปเดี๋ยวนี้เถิด...
นี่คือบทเพลงด้วยเสียงกังวาน เพื่อปลุกกำลังใจกองทัพ
ที่เตรียมพร้อมเพื่อสู่สมรภูมิครูเสด นอกจากนี้ยังมีหลักฐานอื่น ๆ
ที่ยืนยันถึงการต่อสู้ระหว่างตะวันตกกับอิสลาม
คือคำปราศรัยของผู้นำของเขาเอง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา
คือ ยูเจน รุสโต เขาได้ยืนยันในการปราศรัยของเขาว่า
เราจะต้องมีความสำนึกอยู่เสมอว่า ความขัดแย้งระหว่างเรา
กับโลกอาหรับไม่ใช่เป็นความขัดแย้งระหว่างคนกับประเทศเท่านั้น
แต่เป็นความขัดแย้งระหว่างอิสลามกับคริสต์
ความขัดแย้งอันนี้เกิดมาช้านานแล้ว ตั้งแต่สมัยกลางจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
เพียงวิธีการเท่านั้นที่แตกต่างกัน...เป้าหมายของการล่าอาณานิคมในตะวันออกนั้น
ก็เพื่อทำลายล้างอิสลามและเพื่อก่อตั้ง ประเทศอิสราเอล
เป็นส่วนหนึ่งของแผนการนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่มีวิธีการอื่นๆ อีกแล้ว
นอกจากการทำสงครามครูเสดให้ดำเนินต่อไป...อดีตรัฐมนตรีบริติชที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง คือ มร.แกลดสโตน
เคยพูดว่า
การทำลายอิสลามเป็นงานที่ต้องกระทำบรรณาธิการนิตยสาร อัลอะอฺลามุลอิสลามีย์ ได้เขียนว่า
โลกคริสเตียน แม้พวกเขาจะมีพื้นฐานและชาติพันธ์ที่แตกต่างกัน
แต่พวกเขา คือ ศัตรูตัวยงที่คอยขัดขวางและทำสงครามกับโลกตะวันออก
โดยเฉพาะอิสลาม ประเทศยิวทุกประเทศได้มีข้อตกลงร่วมกัน
ในการที่จะโค่นล้มอิสลาม ในทุกวิถีทางที่พวกเขากระทำได้พวกเขาเหล่านั้นมองอิสลามในแง่ความเป็นศัตรูตลอดเวลา
จิตใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา อคติต่ออิสลาม
พวกเขาได้ตกลงกันเป็นปากเสียงเดียวกันที่จะทำลายล้างอิสลาม
และประชาชาติมุสลิม ซึ่งตรงกับที่อัลลอฮฺได้กล่าวว่า
"และชาวยิวและชาวคริสต์นั่น จะไม่ยินดีแก่เจ้า (มุฮัมมัด) เป็นอันขาด
จนกว่าเจ้าจะปฏิบัติตามศาสนาของพวกเขา
จงกล่าวเถิด แท้จริงคำแนะนำของอัลลอฮฺเท่านั้น คือ คำแนะนำ
แน่นอนถ้าเจ้าปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา
หลังจากที่มีความรู้มายังแล้ว ก็ย่อมไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใด ๆ
สำหรับเจ้าให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺได้" (อัลบะกอเราะ : 120)
การสมาคมและการช่วยเหลือร่วมมือกันทำงานของพวกเขา
มีความกระชับแน่นมาก เราสามารถเห็นตัวอย่างจากสถานการณ์
ของประเทศฮอลแลนด์ ยึดครองประเทศอินโดนีเซีย
มันสมเหตุสมผลหรือไม่ที่ประเทศยากจนอย่างฮอลแลนด์ซึ่งอยู่คนละทวีป
แต่สามารถปกครองคนหนึ่งร้อยล้านคนที่กระจัดกระจาย
อยู่ตามหมู่เกาะนับร้อยนับพัน?
และฮอลแลนด์สามารถกระทำได้โดยไม่ได้รับความช่วยเหลือทางกำลังอากาศ
จากอังกฤษ และความช่วยเหลือทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์
จากสหรัฐอเมริการได้หรือ?
และเราสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อฮอลแลนด์อ่อนแอ
ไม่สามารถเอาชนะจิตใจ ประชาชนได้เพราะการต่อต้าน
และการลุกฮือของประชาชนเจ้าของประเทศ
อังกฤษจึงต้องยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือทันที
เช่น เดียวกันเมื่ออิสราเอลไม่สามารถเผชิญหน้ากับโลกอาหรับ
สามอภิมหาอำนาจใหญ่ในสมัยนั้น ได้แก่ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส
ยื่นมือให้ความช่วยเหลือทันที
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนหนึ่ง
ชื่อ มาเซีย บิโด ได้ให้คำยืนยันต่อการทำศึกที่โมร็อกโคว่า
นั่นคือสงครามระหว่างไม้กางเขนกับพระจันทร์เสี้ยวในขณะเดียวกัน คริสเตียน ยิว คอมมิวนิสต์ ต่างก็ร่วมกันกินโต๊ะอิสลาม
คอลัมน์หนึ่งในหนังสือพิมพ์ของคอมมิวนิสต์ ชื่อ กิซิล ออรบากิสตาน
(KIZIL ORBAKISTAN) ฉบับที่ 22 ปี 1952 ได้เขียนว่า
เป็นไปไม่ได้ที่คำสอนของคอมมิวนิสต์ยืนหยัดอยู่ได้
จนกว่าอิสลามอิสลามจะถูกทำลายถึงรากเหง้าของมัน มิชชั่นนารีคริสเตียนคนหนึ่งกล่าวว่า
พลังที่แฝงอยู่ในตัวของอิสลามนั้นมันเป็นอุปสรรคที่หนาเตอะ
ต่อการขยายตัวของคริสเตียน...มีต่อ...