salam
เข้าไปอ่านมาแล้วค่ะ กว่าจะอ่านภาคแรกจบ ตาลายเลย

ขอบคุณเจ้าของกระทู้สำหรับการนำเสนอค่ะ...
ชอบประโยคนึงของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
ปราชญ์ของแผ่นดินได้กล่าวไว้ในปาฐกถาที่อ.อาลี ยกมาให้อ่านกัน
ในบทความนั้นมากเลยค่ะ
ที่ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้กล่าวไว้ว่า
ประเทศไทยนี้มิใช่ของคนของหมู่ใดสร้างขึ้นโดยเฉพาะ
ประเทศไทยเริ่มต้นด้วยคนหลายชาติหลายศาสนามารวมเข้าอยู่ใต้
การปกครองอันเดียวกัน มีโชคชะตาแห่งชีวิตร่วมกัน
ต้องเผชิญข้าศึกศัตรูร่วมกัน....เป็นเช่นนี้มาแต่แรก
การนับถือศาสนาเป็นเรื่องของการเลื่อมใส
เป็นเรื่องของการเห็นดีเห็นชอบในใจของมนุษย์แต่ละท่านแต่ละคน
ไม่มีใครจะบังคับกันได้ ศาสนาไม่ได้เป็นเครื่องกีดขวาง
ที่จะทำให้คนไม่รักชาติของตน ไม่รักคนที่อยู่ในชาติเดียวกัน"ปล.เวลาอ่านหนังสือต่างๆหรืออ่านเรื่องราวของประวัติศาสตร์
จากหนังสือเล่มใดนั้น สิ่งหนึ่งที่ข้าน้อยยึดเอาไว้เสมอเลยคือว่า...
เราต้องวางใจให้เป็นกลางและมีขันติธรรม พยายามมีสมาธิและตั้งสติ
ก่อนหยิบหนังสือเล่มใดขึ้นมาอ่าน...จะไม่เชื่อหนังสือเล่มใดร้อยเปอร์เซ็น
เพราะหนังสือทั่วไปเกิดจากความคิดความอ่านของมนุษย์
ผู้ที่มีความบกพร่องเป็นเรื่องปกติสามัญ...
เวลาศึกษาหาความรู้จากหนังสือจากต่างศาสนิก สิ่งหนึ่งที่ข้าน้อยยึดคือ
อ่านเพื่อเปิดมุมมอง เพื่อจะได้เห็นความคิดของผู้อื่น
หาได้อ่านเพื่อจะเชื่อหรือเลื่อมใส เพราะว่าใจนั้นผูกติดอยู่กับความเชื่อ
ในเอกองค์อัลลอฮฺตาอาลา และแบบฉบับของท่านนบีเอาไว้แล้ว
อีกอย่างที่เคยได้ยินประจำเลยจากคำพูดจากปากของเพื่อนต่างศาสนิกคือ
เขาจะเรียกมุสลิมโดยรวม จะไม่มีมาแยกประเทศนั้นประเทศนี้
ประณามทีก็เรียกว่าพวกมุสลิมเลย...
ซึ่งสำหรับข้าน้อยแล้วมองว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะลึกๆเขาอาจคิดในใจแล้วก็ได้ว่า
มุสลิมไม่ได้แบ่งแยกชนชาติ หรือมองเรื่องชาติพันธุ์
เป็นเรื่องหลักหรือสำคัญกว่าศาสนาและศรัทธาในใจ
ในขณะที่แต่ละประเทศจะแบ่งแยกชนชั้น เหยียดสีผิวกัน...
ตัดสินกันแต่เพียงรูปกายภายนอกหรือทรัพย์สิน
แย่งชิงความเป็นมหาอำนาจทางกายกัน...
แต่มุสลิมเราคือพี่น้องกันทั่วโลก และมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
จนเพื่อนที่มาอยู่ญี่ปุ่นด้วยกันยังทึ่งเมื่อเขาเห็นพี่น้องมุสลิมชาติอื่นเข้ามาพูดคุย
และให้ความช่วยเหลือข้าน้อยทั้งๆที่คนละเชื้อชาติและคุยกันคนละภาษาด้วยซ้ำ
แต่ว่าเราสื่อสารกันด้วยศาสนา...เขาเลยเกิดคำถามว่าเป็นไปได้อย่างไร...
และแน่นอนว่า...นั่นคืออีกหนึ่งความยิ่งใหญ่ของอัลอิสลาม
จนคำถามล่าสุดที่เขาถามเกี่ยวกับพิธีฮัจย์ เขาสงสัยว่ามุสลิมจากทั่วทุกมุมโลก
ไปรวมตัวกันที่นครมักกะฮฺได้ยังไงทั้งมากมายขนาดนั้น
และประกอบพิธีไปในทิศทางเดียวกันได้...
หากอัลลอฮฺทรงเปิดใจเขา ข้าน้อยเชื่อว่าเขาจะเข้าใจมันด้วยหัวใจเขาเอง...
และมีบทความอีกมากมายเหลือเกินที่คล้ายๆกับที่อ.อาลีกำลังโต้ตอบอยู่
เพราะคำพูดของผู้เขียนหนังสือเล่มนั้น เหมือนจะมีความอคติแฝงอยู่ไม่น้อยเลย...
และสิ่งนั้นแหล่ะที่ทำให้คนที่อ่านหนังสือ อาจเกิดอาการร้อนรนได้...
ชอบลักษณะการตอบโต้หนังสือเล่มนั้นของอ.อาลีค่ะ
ขออัลลอฮฺทรงตอบแทนท่านในการทำงานเพื่ออัลอิสลามด้วยเถิด อามีน
วัสลามค่ะ