ผู้เขียน หัวข้อ: คุฏบะฮฺมัสญิดอัรฺ-ริฎวาน(นานา) วันที่ 22 มกราคม 2553  (อ่าน 1887 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

 salam

รำลึกถึงความตาย
22 มกราคม 2553 / 6 เศาะฟัรฺ 1431

   พี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงยำเกรงอัลลอฮฺด้วยการปฏิบัติความดีและละเว้นความชั่วอย่างจริงจัง
และท่านทั้งหลายจงอย่าได้ตาย จนกว่าท่านจะเป็นผู้ยอมจำนนต่ออัลอิสลามโดยสิ้นเชิง
   พี่น้องครับ ข่าวความสูญเสียจากภัยธรรมชาติในระยะนี้คงไม่มีข่าวใดใหญ่กว่าข่าวการเกิดแผ่นดินไหวที่ประเทศเฮติ
ซึ่งเป็นประเทศที่อยู่บนเกาะทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศสหรัฐอเมริกา ข้อมูลระบุว่า แผ่นดินไหวขนาด 7 ริกเตอร์
ทำให้อาคารบ้านเรือนพังพินาศจำนวนมาก ผู้คนเสียชีวิต มีรายงานตัวเลขแตกต่างกันตั้งแต่ 50,000 ไปจนถึง 500,000 คน
แต่ตัวเลขจากประมาณการของรัฐบาลเฮติเองระบุว่า มีผู้เสียชีวิตจนถึงวันที่ 20 มกราคม ประมาณ 75,000 คน
บาดเจ็บ 250,000 คน และไร้ที่อยู่อาศัยกว่า 1 ล้านคน
   สองวันต่อมามีข่าวเด็กอายุ 1 ปี 2 เดือน กินข้าวโพดต้มแล้วเม็ดข้าวโพดติดหลอดลมตาย
   ไล่ ๆ กันอีก 3 วัน ชายสูงอายุ 66 ปี แข่งขันกินผัดไทย แต่รีบกลืนไปหน่อย กินหมดไปแล้ว 1 จาน กำลังจะเริ่มจานที่ 2
ก็หมดสติไป เอาส่งโรงพยาบาลไม่ทันเพราะเสียชีวิตก่อน หมอตรวจพบเส้นก๋วยเตี๋ยวติดคอจำนวนมาก
   และสองสัปดาห์ติด ๆ กัน ที่พี่น้องมุสลิมบ้านเราเรา อายุกลางคน 1 คนและสูงอายุอีก 1คน เสียชีวิต
คนหนึ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ อีกคนหนึ่งเสียชีวิตด้วยวัยชรา
   ข้อเท็จจริงเหล่านี้น่าจะให้ข้อคิดอะไรกับเราบ้างไม่มากก็น้อย
   อัลลอฮฺดำรัสว่า


 

   “และสำหรับทุก ๆ ประชาชาตินั้นจะมีกำหนดเวลาหนึ่ง ครั้นเมื่อกำหนดเวลาของพวกเขามาแล้ว
พวกเขาจะขอให้ล่าช้าไปสักชั่วโมงหนึ่งก็ไม่ได้ หรือขอให้เร็วก็ไม่ได้”
         อัลอะอฺรอฟ 7:34
     ตัวอย่างที่อัลลอฮฺให้เราได้ประจักษ์ตามข่าวที่ได้ยกมาทำให้เราต้องคิดว่า ถ้าเราไม่เตรียมพร้อม เราอาจจะประสบกับความตายเมื่อใดก็ได้
คนบางคนอัลลอฮฺให้เวลาเตรียมตัวนาน เจ็บออด ๆ แอด ๆ เก็บคืนไปทีละอย่าง ๆ บางคนก็ให้ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง บางคนป่วยด้วยโรคร้ายแรง
แต่บางคนไม่ได้มีอะไรเตือนเลย แผ่นดินไหวโครมเดียวก็ต้องจากโลกไปแล้ว เด็กที่เพิ่งเริ่มโต เม็ดข้าวโพดยังอุดหลอดลมตายได้
คนสูงวัยกำลังกินอาหารและสนุกกับการแข่งขันแท้ ๆ เมื่อถึงกำหนด ก็ต้องกลับไปหาอัลลอฮฺตามเวลานาทีที่พระองค์ได้กำหนดไว้
เราจึงต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอว่า ชีวิตในดุนยานี้ไม่มีอะไรแน่นอน วันนี้ยังสุขสดชื่นอยู่กับครอบครัว พรุ่งนี้อาจต้องพลัดพรากจากกัน
บางทีเราเป็นฝ่ายสูญเสีย แต่บางทีเราก็ต้องเป็นฝ่ายจากไปเสียเอง อัลลอฮฺจึงกำชับเราว่า



   
   “แต่ละชีวิตนั้นจะได้ลิ้มรสแห่งความตาย และแท้จริงพวกเจ้าจะได้รับรางวัลของพวกเจ้าโดยครบถ้วน นั้นคือในวันปรโลก
แล้วผู้ใดที่อยู่ห่างไกลจากไฟนรกและถูกให้เข้าสวรรค์แล้วไซร้ แน่นอนเขาก็ชนะแล้ว และชีวิตความเป็นอยู่ในโลกนี้มิใช่อะไรอื่น
นอกจากสิ่งอำนวยประโยชน์ที่หลอกลวงเท่านั้น”   
                         อาละอิมรอน 3:185
   ในอายะฮฺนี้อัลลอฮฺทรงชี้ชัดว่าไม่มีใครหนีความตายพ้น สมัยก่อนที่การสาธารณสุขยังไม่เจริญ มนุษย์ป่วยด้วยโรคต่าง ๆ
และเสียชีวิตตั้งแต่อายุน้อย ๆ ต่อมาเมื่อการแพทย์และสาธารณสุขเจริญขึ้น รู้จักวิธีรักษาโรค ทั้งโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ
โรคที่เกิดจากความเสื่อม โรคที่เกิดจากอุบัติเหตุ  อายุขัยของมนุษย์ก็น่าจะยืนยาวขึ้น แต่ผลกลับเป็นไปว่า อายุเฉลี่ยของมนุษย์
ก็ไม่ได้เพิ่มสักเท่าไร เพราะมีวิธีรักษามากขึ้น ก็มีโรคใหม่ ๆ มาให้รักษามากขึ้น โรคร้ายแรงมากขึ้น โรคบางโรคไม่เคยพบเคยเห็น
ก็ระบาดคร่าชีวิตมนุษย์ มิหนำซ้ำยังมีภัยพิบัติที่ทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตครั้งละมาก ๆ น้ำท่วม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด คลื่นยักษ์ทสินามึ ตึกถล่ม ฯลฯ
   สิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงรับรองไว้ในอายะฮฺนี้ก็คือ แท้จริงพวกเจ้าจะได้รับรางวัลของพวกเจ้าอย่างครบถ้วนในวันกิยามะฮฺ
   รางวัลที่ว่านี้ก็คือ ผลของการปฏิบัติของเราในโลกดุนยา คำว่ารางวัลจึงอาจจะเป็นของที่ดี พึงใจของมนุษย์หรือของที่เลวร้าย
ทุกข์ทรมานก็ได้ เพราะในโลกดุนยานี้ เราไม่รู้ตัวเองหรอกว่า สิ่งที่เราประพฤติปฏิบัตินั้น ดีหรือชั่วมากกว่ากัน
   สิ่งใดที่อัลลอฮฺทรงใช้ เราปฏิบัติจนสุดความสามารถของเราหรือไม่ สิ่งใดที่พระองค์ทรงห้าม เราหลีกเลี่ยงอย่างจริงจังหรือเปล่า
   ชีวิตที่ผ่านไปแต่ละวัน ๆ เรานึกถึงอัลลอฮฺผู้ทรงสร้างสักเท่าไร เราเตรียมเสบียงอาคิเราะฮฺไว้อย่างไร ลองถามตัวเองและตอบตัวเองว่า
ถ้าอัลลอฮฺให้เราประสบภัยพิบัติ เสียชีวิตไปในวันนี้ เราพร้อมที่จะพบกับอัลลอฮฺหรือยัง เราพร้อมที่จะตอบคำถามของมะลาอิกะฮฺ
ในหลุมฝังศพหรือยัง บางคนตอบว่า พร้อมแล้ว ท่องจำไว้หมดแล้ว
   มะลาอิกะฮฺถามว่า مَنْ رَبُّكَ   ใครคือพระเจ้าของเจ้า
   ท่องไว้แล้วว่า  اللهُ رَبِّيْ    อัลลอฮฺคือพระเจ้าของฉัน แต่จะตอบได้อย่างไร ถ้าสิ่งที่พระองค์ทรงใช้ไม่ได้ทำ สิ่งที่อัลลอฮฺทรงห้ามก็ไม่ละเว้น
   มะลาอิกะฮฺถามว่า وَمَنْ نَبِيُّكَ   ใครคือนะบียฺของเจ้า
   ท่องไว้แล้วว่า محمد نبِيِّي   มุหัมมัดคือนะบียฺของฉัน แต่จะตอบได้อย่างไร ถ้าไม่เคยศึกษาเลยว่านะบียฺสั่งอะไร ห้ามอะไร
   มะลาอิกะฮฺถามว่า وَمَادِيْنُكَ   ศาสนาของเจ้าคืออะไร
   อุตส่าห์ท่องไปว่า الإسلام ديني   อิสลามคือศาสนาของฉัน แต่ลิ้นมันไม่ยอมตอบออกมา เพราะคำถามเหล่านี้ต้องใช้อีมานตอบ
เที่ยวไปกราบไหว้รูปปั้น จอมปลวก ต้นไม้ใหญ่ ขอหวย สิ่งนั้นมันไม่ใช่อิสลาม ตอบมะลาอิกะฮฺไม่ได้หรอกว่า อิสลามคือศาสนาของฉัน
   มะลาอิกะฮฺถามว่า وَمَنْ إِمَامُكَ   ใครเป็นอิมามของเจ้าหรือเจ้าตามใคร
      คำตอบที่ถูกต้อง คือ القرآن إِمَامِيْ   กุรอานคือทางนำของฉัน จะตอบได้ไหม ถ้าอ่านกุรฺอานก็ยังไม่ได้ และไม่ใฝ่ศึกษา
กุรฺอานสั่งให้ทำอย่างหนึ่งแต่ไปทำอีกอย่างหนึ่ง กุรฺอานบอกไม่ให้ ดื่มสุรา เที่ยวประเวณี ห้ามการพนัน ทุกอย่างที่กุรฺอานห้ามไว้
ทำไปทั้งหมด แต่ที่กุรอานบอกให้ละหมาด บอกให้จ่ายซะกาฮฺ บอกให้ถือศีลอด ยังไม่เคยลองปฏิบัติ แล้วจะเรียกว่ามีกุรฺอานเป็นอิมามได้อย่างไร
   พอได้ตายไปแล้วจะขอกลับมาทำความดีใหม่อีกก็ไม่ได้แล้ว ไปขอมะลาอิกะฮฺกลับมาละหมาด กลับมาทำเศาะดะเกาะฮฺ
กลับมาขอโทษขอมะอัฟกับคนที่ล่วงเกินไว้ ขอกลับมารำลึกถึงอัลลอฮฺให้มาก ๆ ไม่มีทาง บางคนอุตส่าห์ใช้ชีวิตคู่กับมุสลิม แต่ไม่ยอมรับอิสลาม
ใครไปสอนไปชวนก็ยังผัดผ่อน นับว่าเสียโอกาส จะรอให้วิญญาณถึงลูกกระเดือกแล้วบอกว่า ฉันเป็นมุสลิมนะ ฉันถืออิสลามนะ
อัลลอฮฺเป็นพระเจ้าของฉันนะ ก็สายไปเสียแล้ว
    อยากจะฝากอายะฮ์ที่พี่น้องได้ยินได้ฟังบ่อย ๆ ให้กับพี่น้องไปคิดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเป็นการเตือนตัวเองและพี่น้องว่า
มีโอกาสแล้วต้องรีบทำความดี ละเว้นความชั่ว ก่อนจะสายเกินไป






   “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย อย่าให้ทรัพย์สินของพวกเจ้าและลูกหลานของพวกเจ้าหันเหพวกเจ้าจากการรำลึกถึงอัลลอฮฺ
และผู้ใดกระทำเช่นนั้น ชนเหล่านั้นคือพวกที่ขาดทุน. และจงบริจาคจากสิ่งที่เราได้ให้ปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้าก่อนที่ความตาย
จะเกิดขึ้นแก่ผู้ใดในหมู่พวกเจ้า แล้วเขาก็จะกล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ มาตรว่าพระองค์ท่านทรงผ่อนผันให้แก่ข้าพระองค์
อีกชั่วเวลาเพียงเล็กน้อยเพื่อที่ข้าพระองค์จะได้บริจาคและข้าพระองค์ก็จะอยู่ในหมู่คนดีทั้งหลาย (ผู้ทรงคุณธรรม). แต่อัลลอฮฺจะไม่ทรงผ่อนผัน
ให้แก่ชีวิตใด เมื่อกำหนดของมันได้มาถึงแล้ว และอัลลอฮฺนั้นทรงรู้ดียิ่งในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ”
   อัลมุนาฟิกูน 63:9-11
   เพราะฉะนั้น รีบเร่งกลับเนื้อกลับตัว ทำความดีหลีกหนีความชั่ว ให้โลกดุนยานี้เป็นเพียงทางผ่านที่เข้าเก็บเกี่ยวเสบียงอาคิเราะฮฺ
หมั่นรำลึกถึงพระองค์ สร้างความเชื่อมั่นแก่ตัวเองว่า ถ้าพระองค์จะเรียกเรากลับไปสู่ความเมตตา เราก็พร้อมเสมอ
ขอดุอาอุ์ให้ตนเองและทุกท่าน อยู่ในหนทางของอัลลอฮฺคลอดไปจนกว่าจะถึงวันสิ้นลม


คัดลอกจากเอกสารเผยแพร่ของมัสญิด อัรฺ-ริฎวาน(นานา) เมื่อ 22 ม.ค. 53 โดย Bangmud

วัสสลาม