โดยอิบนุอาลี อัลนัดวีย์
เส้นทางสู่ชัยชนะ
เมื่อไม่กี่วันมานี้ มีการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างทหารอิสรอเอลกับพี่น้องของเราชาวปาเลสไตน์ ทำให้มีผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์การปะทะกันครั้งนี้เป็นจำนวนมาก สาเหตุของการปะทะกันเนื่องจากว่ารัฐบาลอิสรอเอลต้องการยึดมัสยิดอัลอักศอ ให้อยู่ในอำนาจของตน โดยกระทำการทำลายล้างแหล่งศาสนสถานที่สำคัญของพวกเราชาวมุสลิม เหตุการณ์ครั้งนี้พี่น้องของเราทั้งในตุรกี เยเมน จอร์แดน และตลอดจนประเทศต่างๆ ทั่วโลก ต่างขึ้นคุฎบะฮ์ปราศรัยตามมัสยิด และสถานที่สำคัญอื่นๆ เพื่อประท้วงการกระทำของยิวหัวรุนแรงที่กระทำต่อพี่น้องของเราชาวปาเลสไตน์ ... แสดงถึงความตื่นตัวของพี่น้องมุสลิมต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ทั้งนี้เพื่อแสดงจุดยืนและเรียกร้องเพื่อปลุกให้รัฐบาลและพี่น้องมุสลิมทุกคนได้ตื่นขึ้นจากการหลับใหล ให้ลุกขึ้นเพื่อต่อสู้และช่วยเหลือ อัลกุดส์ให้พ้นจากน้ำมือของยิวโฉดผู้ป่าเถื่อน ... แล้วอะไรล่ะ คือหนทางแห่งการต่อสู้ ช่วยเหลือและการได้รับชัยชนะ ?
หากเราพิจารณาสักนิด ว่าในโลกใบนี้มีสองกฎ ซึ่งกฎข้อหนึ่งคือกฎธรรมชาติที่พระผู้เป็นเจ้าสร้างมา และเลือกมันเป็นครรลองในการดำรงชีวิตของมนุษย์ คือ สิ่งที่มีจำนวนมากและเข้มแข็งกว่า ย่อมชนะสิ่งที่มีจำนวนน้อยและอ่อนแอกว่า ความมีเกียรติ ความร่ำรวย ย่อมมีชัยเหนือความต่ำต้อยและความยากจน สิ่งต่างๆ เหล่านี้คือกฎที่อัลลอฮฺตะอาลานั้นได้สร้างขึ้นมา โดยที่มันนั้นมิเคยเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของมัน แม้ว่ามันจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยก็ตาม ไฟที่มันร้อนมันก็ยังคงใช้ความร้อนของมันแผดเผาและทำอันตรายสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวมันได้ทุกครา น้ำก็เช่นเดียวกัน มันยังคงดับกระหายและให้ความเปียกชื้นแก่สิ่งที่มันประสบ ซึ่งสิ่งดังกล่าวนี้มันเป็นความยุติธรรมที่อัลลอฮฺตะอาลานั้นได้มอบให้บ่าวของพระองค์ โดยที่สิ่งต่างๆ เหล่านี้เมื่อมันประสบกับใครแล้ว มันไม่สามารถแยกแยะหรือจำแนกได้เลยว่า คนๆ นั้นจะเป็นที่ยิ่งใหญ่หรือต่ำต้อย เป็นคนดีหรือคนเลว เป็นคนที่ฟื้นฟูหรือทำลาย เป็นคนที่อีหม่านหรือปฎิเสธ ... หากมันประสบกับใครแล้ว มันมิเคยเกรงกลัวเลยว่าบั้นปลายของมันนั้นจะเป็นเช่นไร ......
และเช่นเดียวกันหากเราได้มองย้อนสักนิดถึงการพิชิตและชัยชนะของการต่อสู้กันของผู้คนในอดีต เราก็จะพบว่าอาณาจักรหรือแคว้นใดในอดีตที่มีพละกำลังและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหนือกว่า อาณาจักรนั้นแคว้นนั้นย่อมได้เปรียบและมีชัยในการทำศึก กฎที่อัลลอฮฺตะอาลาได้สร้างขึ้นซึ่งเป็นที่ประจักษ์แก่มนุษย์ทั้งหลายว่ามันคือความสัจจริงและเป็นแก่นแท้ในการดำรงชีวิตอยู่ ณ โลกใบนี้ ก็คือ ความเข้มแข็งย่อมชนะความอ่อนแอ ....
แต่ทว่ามีอีกกฎหนึ่งที่เป็นกฎที่บรรดานบีทั้งหลายและบรรพชนของเราชาวสลัฟศอลิฮ์ได้ยึดมั่น นั่นคือ กฎแห่งอีหม่านและการยึดมั่นศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ซึ่งเป็นกฎแห่งทางนำที่อัลลอฮฺตะอาลานั้นได้มอบไว้แก่บ่าวที่ศรัทธาต่อพระองค์เพียงผู้เดียว และเป็นกฎที่พระองค์นั้นได้สร้างบ่าวของพระองค์มา “และฉันมิได้สร้างญินและมนุษย์มาเพื่ออื่นใด นอกจากเพื่อที่จะให้เขาภักดี” (อัชชาริยาต : 56) ดังนั้น เมื่อสองกฎนี้มาเผชิญกัน กฎแห่งทางนำที่อัลลอฮฺมอบให้แก่มนุษย์นั้นย่อมเหนือกว่า จะเห็นได้จากไฟ หน้าที่ของมันคือการแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่าง มันทำหน้าที่นี้มานับพันๆปี โดยมิได้มีการบันทึกไว้บนหน้าประวัติศาสตร์มนุษยชาติเลยว่าไฟนั้นจะหยุดแผดเผาเนื่องจาก คนๆนั้นเป็นกษัตย์หรือเป็นคนที่มีอำนาจ แต่ทว่าเมื่อกฎแห่งทางนำซึ่งอัลลอฮฺได้สร้างมนุษย์มาเพื่อดำรงอยู่บนหน้าแผ่นดินได้เผชิญกับกฎแห่งธรรมชาติที่อัลลอฮฺสร้างขึ้น เพื่อรับใช้มนุษย์ โดยจากคุณสมบัติของไฟจากที่ให้ความร้อน อัลลอฮฺก็ทรงถอดถอนธรรมชาติของมันและได้สั่งให้มันนั้นจำนนต่อกฎแห่งทางนำ โดยที่พระองค์นั้นได้สั่งมันให้เกิดขึ้นแล้วครั้นเมื่อท่านนบีอิบรอฮีมได้ถูกกษัตริย์นัมรูดจับมานั่งบนกองเพลิงจุดไฟเผา อัลลอฮฺตะอาลาได้สั่งว่า “เรา (อัลลอฮฺ) กล่าวว่า ไฟเอ๋ย จงเย็นลงและให้ความปลอดภัยแก่อิบรอฮีมเถิด” (อัล อัมบิยาอฺ :69 )
และหากเรามองย้อนกลับไปสักนิด และนึกถึงสมรภูมิบะดัร ซึ่งเราก็เคยได้ยินได้ฟังมาแล้วตั้งแต่ครั้นยังเป็นเด็ก ว่ามุสลิมมีจำนวนน้อย ทั้งชาวมุฮาญิรีนและชาวอันศอร รวมๆกันแล้วมีเพียงสามร้อยสิบสามคน ส่วนพวกกุฟฟารชาวมักกะฮ์มีจำนวนมากกว่าทั้งในด้านอาวุธยุทโธปกรณ์และพลทหาร พวกเขามีกำลังและอาวุธเหนือกว่า ซึ่งท่านรอซู้ล ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัมก็รู้ดีว่า หากพิจารณาถึงกฎแห่งธรรมชาติที่อัลลอฮฺสร้างขึ้นแล้ว แน่นอนมุสลิมไม่มีทางได้รับชัยชนะเหนือเหล่าศัตรูอย่างแน่นอน .....
แต่ทว่าท่านได้ยืนขึ้นในยามค่ำคืนแล้ววิงวอนขอดุอาอฺต่ออัลลอฮฺ เนื่องจากท่านนบีรู้ว่าการช่วยเหลือนั้นมิได้มาจากสิ่งใดนอกจากอัลลอฮฺ ท่านนบีรู้ว่าอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้สร้างกฎธรรมชาติมา ฉะนั้นพระองค์ก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งดังกล่าวได้ ท่านนนบีจึงวิงวอนต่ออัลลอฮฺด้วยคำถ้อยคำที่ว่า “โอ้ อัลลอฮฺ ฉันวิงวอนขอต่อพระองค์ หากกลุ่มชนชาวอิสลามนี้ได้พินาศ จะไม่มีใครที่ภักดีบนหน้าแผ่นนี้” และอัลลอฮฺก็ได้ทำให้สิ่งที่ท่านนบีขอนั้นเป็นความจริง ความจริงที่อัลลอฮฺนั้นได้ทำให้ความน้อยนั้นได้มีชัยเหนือความมาก กองทัพของกาเฟรที่ดูเหมือนจะเข้มแข็งและเหนือกว่ามุสลิมในทุกๆด้าน กลับต้องยอมจำนนและพ่ายแพ้ไปในที่สุด เป็นที่ชัดแจ้งแล้วว่า กฎแห่งการศรัทธานั้นย่อมมีชัยเหนือกฎแห่งธรรมชาติ .... “และแน่นอน อัลลอฮฺนั้นได้ช่วยเหลือพวกเจ้าที่บะดัรมาแล้ว ทั้งๆที่พวกเจ้าเป็นพวกด้อยกว่า ดังนั้นพวกเจ้าพึงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด เพื่อว่าพวกเจ้าจักขอบคุณ” (อะละอิมรอน : 123 )
และทั้งหมดที่กล่าวมานี้ คือสิ่งที่เราทุกคนต้องหันกลับมาทบทวนตัวเองโดยการนำเอาประวัติศาสตร์ของบรรพชนอิสลามที่พวกเขาได้ต่อสู่กับศัตรูของอิสลาม ด้วยกับอีหม่านและหลักการศรัทธาที่ยึดมั่นและเข้มแข็ง ซึ่งมันเป็นอาวุธชิ้นสำคัญที่ใช้ต่อสู้ปะหัตปะหารกับศัตรูของอิสลามได้ และทำให้พวกเขาได้รับชัยชนะมาแล้ว พวกเขาทั้งหลายเป็นดั่งราชสีห์เมื่ออยู่ในสมรภูมรบ แต่เป็นดั่งบ่าวผู้ต่ำต้อยเมื่อครั้นหน้าผากจรดลงพื้นสุญูดวิงวอนขอชัยชนะต่ออัลลอฮฺในยามค่ำคืน และนั่นคือชัยชนะที่เกิดขึ้น ซึ่งมันมิได้เกิดขึ้นเนื่องจากมีอาวุธและกำลังพลมากมาย หากแต่มันเกิดขึ้นเนื่องจากพวกเขามีหัวใจที่อีหม่านและศรัทธาต่ออัลลอฮฺและยึดมั่นในแนวทางของพระองค์และเชื่อว่าชัยชนะนั้นมาจากการช่วยเหลือของอัลลอฮฺตะอาลาเพียงพระองค์เดียว และเมื่อใดพวกเราในยุคปัจจุบันทำได้เฉกเช่นที่กล่าวมา เมื่อนั้นอัลกุดส์ก็จะกลับมาเป็นของเราชาวมุสลิมอีกครั้งหนึ่ง อินชาอัลลอฮฺ!
“لاحول ولا قوة الا بالله العلي العظيم”
“ไม่มีอำนาจและพลังใดใดที่เหนือว่าอำนาจและพลังของอัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่งและยิ่งใหญ่”