มีผู้รู้เปรียบเทียบการดำเนินชีวิตของคนเราว่าเหมือนกับการเดินทาง
เดินทางไปพบอะไรน่าสนใจก็จะพลิกก้อนหินดู
ถ้ายังไม่เข้าใจ ยังติดค้างอยู่ก็จะแบกใส่หลังเอาไว้
การรู้และเข้าใจ จะปล่อยวางได้ ก็เหมือนกับการโยนก้อนหินที่แบกอยู่ทิ้งไป
ผู้เดินทางอาจพลิกดูก้อนหิน (เรียนรู้ประสบการณ์)
แต่ไม่ควรเก็บเอามาใส่เป้สะพายหลังให้หนักกายหนักใจโดยใช่เหตุ
จิตใจจะได้มีอิสระ...เสียที
(สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ ..นายแพทย์เทอดศักด์ เดชคง)
พ่อแม่ของคนอื่นจะดีอย่างไร ก็ไม่ใช่พ่อแม่ของเรา
รถเก่าๆของเราดีเสมอ เพราะเป็นรถของเรา ( รวมถึงเมียด้วย)
งานของเพื่อนอาจดูดี มีเงินเดือนสูง แต่งานของเราก็ดีเสมอเพราะเป็นงานของเรา
คุณจะมีหน้าตา ฐานะอย่างไรก็เป็นสิ่งดีเสมอ เพราะนี้คือตัวคุณ.....มิใช่คนอื่น
เมื่อใส่เกือกได้พอดี ก็ไม่ต้องคิดถึงตีน....
เมื่อใส่เข็มขัดได้พอดี ก็ไม่ต้องคิดถึงพุง......
เมื่อใจถูกต้อง ไม่ต้องคิดค้านหรือสนับสนุน......จางจื้อ
มีกับไม่มีเกิดขึ้นด้วยการรับรู้
ยากกับง่ายเกิดขึ้นด้วยความรู้สึก
สูงกับตำเกิดขึ้นด้วยการเทียบเคียง
เสียงดนตรีกับเสียงสามัญเกิดขึ้นด้วยการรับฟัง
หน้ากับหลังเกิดขึ้นด้วยการนึกคิด
เต๋าเต็กเก็ง บทที่ 2
ฉันชอบสะสมหนังสือ
เธอชอบสะสมเปลือกหอย
ความชอบของเราต่างกันแน่อน
แต่มีสิ่งหนึ้งที่ฉันสังเกตเห็น
ที่เราชอบสะสมคล้ายคลึงกัน
ทั้งที่มันนำความปวดร้าวมาให้แก่เรา
นั่นคือการสะสมความวิตกกังวล ความกลัว ความกลัดกลุ้ม
เราสะสมมันเอาไว้วันแล้ววันเล่า
ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า
สิ่งที่เรากังวลนั้น
แทบไม่เกิดขึ้นอย่างที่นึกกลัวเลย
มันช่างเป็นการสูญเปล่าพลังแห่งความสุข
อย่างมหาศาลเสียเหลือเกิน
เธอชอบพูดว่า ชีวิตคือการแข่งขัน
เธอมีความสุขถ้าเป็นผู้ชนะ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน ธุรกิจ หรือความรัก
เธอต้องชนะจึงจะพอใจ
เธอเคยคิดบ้างไหมว่า
การต้องเป็นผู้ชนะเสมอ
ทำให้เธอมีเพื่อนน้อย
เธอแลกความสัมพันธ์กับการเป็นฝ่ายชนะ
เธอคิดว่ามันเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มกันงั้นหรือ ?
........เพราะคุณเลือกสอนแต่นักเรียนดีๆไม่ได้
และเลือกไม่ได้ว่าจะมีใครเป็นหัวหน้าแต่ คุณเลือกได้ว่า
คุณจะรู้สึกอย่างไรและทำอย่างไร ด้วยตนเอง.......ขอขอบคุณที่มา....
http://sites.google.com/site/cakkimcm1/