ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 36 สูเราะฮฺ ยาสีน)  (อ่าน 11041 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

 salam

ฟังเสียงอ่านยาสีนโดย อับดุรฺเราะหฺมาน อัสสุดัยสฺ

http://173.193.202.112/sds/036.mp3

คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺ (R3.)
   ชื่อ : ซูเราะฮฺนี้ได้ชื่อมาจากตัวอักษร 2 ตัวแรก ในตอนเริ่มต้นของซูเราะฮฺ
   ระยะเวลาของการประทานซูเราะฮฺ : จากการศึกษาลีลาของซูเราะฮฺนี้แสดงให้เห็นว่า ซูเราะฮฺนี้ได้ถูกประทานมาในระหว่างช่วงกลางหรือไม่ก็ช่วงสุดท้ายที่ท่านนบีมุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) อยู่ในมักกะฮฺ
   เนื้อหาสาระของซูเราะฮฺ : วัตถุประสงค์ของคำพูดในซูเราะฮฺนี้ ก็เพื่อที่จะเตือนพวกกุเรชให้รู้ถึงผลของการไม่เชื่อในการเป็นรอซูลของท่านนบีมุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) และการต่อต้านคำสอนของท่าน การเตือนนี้มีอยู่ทั่วไปอย่างชัดเจน และตลอดคำเตือนดังกล่าวนี้ก็มีข้อโต้แย้งให้ไว้เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ผู้คน
   ข้อโต้แย้งที่มีอยู่ในซูเราะฮฺเป็นข้อโต้แย้งเพื่อ 3 สิ่งด้วยกันนั่นคือ (1) เพื่อหลักเตาฮีดจากสัญญาณต่าง ๆ ของจักรวาลและจากสามัญสำนึก (2) เพื่อหลักความเชื่อในเรื่องโลกหน้าจากสัญญาณต่าง ๆ ของจักรวาล และจากสามัญสำนึกและจากการมีอยู่ของมนุษย์เอง และ (3) เพื่อหลักศรัทธาในการเป็นรอซูลของท่านนบี มุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน)  จากความจริงที่ว่าท่านกำลังเผชิญกับความยากลำบากต่าง ๆ ในการเผยแผ่คำสอนของท่านโดยไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตัว และจากความจริงที่ว่าสิ่งที่ท่านกำลังเชิญชวนผู้คนนั้นเป็นสิ่งที่มีเหตุผลและการยอมรับคำสอนนั้นก็เป็นประโยชน์ของคนที่ยอมรับเอง
   ในการนำเสนอข้อโต้แย้งเหล่านี้ได้มีการตำหนิและการเตือนครั้งแล้วครั้งเล่าในลักษณะที่รุนแรง ทั้งนี้เพื่อที่หัวใจของพวกที่ต่อต้านจะได้หวั่นไหวและเพื่อคนที่มีความสามารถพอจะรับสัจธรรมได้ จะได้ไม่อยู่นิ่งเฉย
   อิมามอะหฺมัด, อะบูดาวูด, นะซาอี, อิบนุมาญะฮฺและเฏาะบะรอนี ได้รายงานจากมะกิล บิน ยะซารฺว่าท่านรอซูลุลลอฮฺได้กล่าวว่า “ซูเราะฮฺยาซีน เป็นหัวใจของกุรฺอาน” นี้ก็เช่นเดียวกันกับที่ได้มีการอธิบายว่า ซูเราะฮฺฟาติฮะฮฺเป็น อุมมุลกุรอาน (แก่นสารของกุรอาน) เพราะว่าฟาติฮะฮฺเป็นบทรวมเนื้อหาสาระของคำสอนในคัมภีร์กุรอานทั้งหมด ซูเราะฮฺยาซีนได้ถูกเรียกว่าหัวใจที่กำลังเต้นของกุรอาน ก็เพราะว่ามันนำเสนอสาระของกุรอานในลักษณะที่รุนแรงที่สุดที่ทำลายความเฉื่อยชาและปลุกวิญญาณของมนุษย์ให้เคลื่อนไหว
   อิมามอะหฺมัด, อะบูดาวูดและอิบนุมาญะฮฺ ยังได้รายงานจาก มะกิล บิน ยะซารฺอีกเช่นกันว่าท่านรอซูลุลลอฮฺได้กล่าวว่า : “จงอ่านซูเราะฮฺยาซีนให้แก่คนที่กำลังจะเสียชีวิตในหมู่สูเจ้า” วัตถุประสงค์มิใช่เพียงเพื่อทำให้ความเชื่อในจิตใจของผู้ที่กำลังจะเสียชีวิตกลับฟื้นคืนมาอีกเท่านั้น แต่ยังเป็นการนำภาพที่ชัดเจนของชีวิตในโลกหน้ามาแสดงให้ผู้ที่กำลังเสียชีวิตได้เห็นด้วย ทั้งนี้เพื่อที่คนผู้นั้นจะได้รู้ว่าเขาจะต้องไปผ่านอะไรบ้างหลังจากที่ข้ามขั้นตอนจากชีวิตโลกนี้ไปแล้ว ดังนั้น ตลอดซูเราะฮฺนี้ การแปลของเราจึงต้องเป็นไปในลักษณะที่ทำให้คนที่ไม่รู้ภาษาอาหรับได้รับประโยชน์มากที่สุด เพื่อที่การตักเตือนของซูเราะฮฺนี้จะได้บรรลุถึงเป้าหมายของมัน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 02, 2010, 09:15 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Muftee

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1899
  • เพศ: ชาย
  • ตั้งใจเข้าไว้นะ มุฟตีย์น้อย
  • Respect: +190
    • ดูรายละเอียด
ญะซากัลลอฮุ ค็อยรอน ครับ....ได้ความรู้เพิ่มขึ้นไปอีกขั้นแล้ว  myGreat: myGreat: mycool: mycool:
// อะฮฺลิสสุนนะฮฺ อัล-อะชาอิเราะฮฺ...สักวันนึง เราต้องเป็นอุละมาอฺที่ยิ่งใหญ่ อินชาอัลลอฮฺ //

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด



สูเราะฮฺที่ 36 ยาสีน อายะฮฺที่ 1-4

 



   
คำอ่าน
1. ยาสีน..  ออกเสียง ยา-ซีน แต่ที่เขียนด้วย ส.เสือ เพื่อให้ทราบว่า ถอดมาจากอักษร س
2. วัลกุรฺอานิลหะกีม
3. อิน..นะกะละมินัลมุรฺสะลีน 
4. อะลาศิรอฏิม..มุสตะกีม


คำแปล R1.
1. Ya - Sin. [These letters are one of the miracles of the Quran, and none but Allah (alone) knows their meanings.]
2. By the Quran, full of wisdom (i.e. full of laws, evidences, and proofs),
3. Truly, you (O Muhammad) are one of the Messengers,
4. On a Straight Path (i.e. on Allah's Religion of Islamic Monotheism).


คำแปล R2.

1. ยา ซีน
2. ขอยืนยันด้วยคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งยิ่งด้วยวิทยญาณ
3. แท้จริงเจ้านั้น เป็นหนึ่งจากบรรดาผู้ถูกส่งลงมาเป็นศาสนทูต
4. บนแนวทางอันเที่ยงตรง


คำแปล R3.
1. ยา ซีน
2. ขอสาบานด้วยอัล-กุรอานที่ทรงวิทยปัญญา
3. แท้จริงเจ้าเป็นหนึ่งในบรรดารอซูล
4. บนแนวทางที่ถูกต้องเที่ยงตรง


คำแปล R4.
1. ยาซีน(อิบนุอับบาสกล่าวว่า ยาซีน มีความหมายว่า โอ้มนุษย์เอ๋ย ! ในภาษาของชาวฏ็อยอฺ และกล่าวกันว่าเป็นชื่อหนึ่งของท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม โดยหลักฐานจากคำตรัสของพระองค์ในอายะฮฺที่ 3)
2. ขอสาบานด้วยอัลกุรอานที่มีคำสั่งอันรัดกุม
3. แท้จริง เจ้าเป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้ถูกส่งมาอย่างแน่นอน
4. (เป็นผู้) อยู่บนแนวทางอันเที่ยงธรรม


คำแปล R5.
๑. ยาซีน (อัลเลาะห์ทรงรอบรู้ความหมายตามพระประสงค์ของพระองค์)
๒. ขอสาบานต่ออัลกุรอาน ซึ่งยิ่งด้วยวิทยญาณ เป็นคัมภีร์ที่เรียบเรียงถ้อยคำทางภาษาเป็นที่อัศจรรย์ มีความหมายอันลึกล้ำ และประมวลไว้ด้วยสรรพวิทยาการทุกแขนง
๓. โอ้มุฮำมัด แท้จริงเจ้านั้นเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาศาสนทูต
๔. ซึ่งตั้งมั่นอยู่บนแนวทางอันเที่ยงตรง



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ ยาสีน อายะฮฺที่ 5-8






คำอ่าน
5. ตัน..ซีลัลอะซีซิรฺเราะหีม
6. ลิตุน..ซิเราะก็อวฺมัม..มาอุน..ซิเราะอาบา..อุฮุม ฟะฮุมฆอฟิลูน
7. ละก็อดฺหักก็อลก็อวฺลุอะลา..อักษะริฮิม ฟะฮุมลายุอ์มินูน
8. อิน..นาญะอัลนาฟี..อะอฺนากิฮิม อัฆลาลัน..ฟะฮิยะอิลัลอัซกอนิฟะฮุม..มุกมะหูน


คำแปล R1.
5. (This is) a Revelation sent down by Allah, the Mighty, the Most Merciful,
6. In order that you may warn a people whose forefathers were not warned, so they are heedless.
7. Indeed the word (of punishment) has proved true against most of them, so they will not believe.
8. Verily! We have put on their necks iron collars reaching to chins, so that their heads are forced up.


คำแปล R2.
5. (เป็นคัมภีร์) จากผู้ทรงอำนาจยิ่ง ผู้ทรงเมตตายิ่ง
6. เพื่อเจ้าได้ตักเตือนกลุ่มชนหนึ่ง ซึ่งบรรพบุรุษของพวกเขา มิเคยได้รับการตักเตือน (โดยปรากฏศาสดาใด ๆในพวกเขาเลย) ดังนั้นพวกเขาจึงหลงลืม
7. ขอยืนยัน แท้จริงประกาศิต (แห่งการลงโทษ) ได้อุบัติจริงบนคนส่วนมากของพวกเขา เพราะพวกเขาไม่ศรัทธา
8. แท้จริงเราได้คล้องโซ่ตรวนไว้ในต้นคอของพวกเขา แล้วมันก็ค้ำอยู่ที่ลูกคางของพวกเขา จนพวกเขาหน้าแหงนพร้อมทั้งหลับตา


คำแปล R3.
5. (และกุรอานนี้)  เป็นการประทานมาของพระผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงเมตตา
6. เพื่อที่เจ้าจะได้เตือนหมู่ชนที่บรรพบุรุษของพวกเขาไม่ได้ถูกเตือน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ใส่ใจ
7. คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้รับประกาศิตลงโทษไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ศรัทธา
8. เราได้คล้องคอพวกเขาด้วยโซ่ที่ห้อยลงมายังคางของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงยืนแหงนคอขึ้น


คำแปล R4.
5. อัลกุรอานนี้เป็นการประทานลงมาจากพระผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงเมตตาเสมอ
6. เพื่อเจ้าจะได้ตักเตือนกลุ่มชนหนึ่งซึ่งบรรพบุรุษของพวกเขามิได้ถูกตักเตือนมาก่อนดังนั้น พวกเขาจึงไม่สนใจ
7. โดยแน่นอน พระประกาศิตได้เป็นที่สมจริงแล้วแก่ส่วนมากของพวกเขา เพราะพวกเขาไม่ศรัทธา
8. แท้จริงเราได้คล้องพันธนาการที่คอของพวกเขา มันจึงห้อยลงมาที่คางของพวกเขา ดังนั้น (ศีรษะของ)พวกเขาจึงเงยขึ้น

คำแปล R5.
๕. อัลกุรอานเป็นคัมภีร์ที่ถูกประทานลงมาจากพระองค์อัลเลาะห์ผู้ทรงอำนาจยิ่งผู้ทรงเมตตายิ่ง
๖. เพื่อเจ้าตักเตือนกลุ่มชนหนึ่ง ซึ่งบรรพบุรุษของพวกเขามิได้รับการตักเตือนมาก่อน ในสมัยที่ว่างเว้นศาสดา ดังนั้นพวกเขาจึงหลงลืมต่อหลักศรัทธา
๗. แท้จริงประกาศิตแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ได้บัญชาให้เกิดวินาศภัยนานานัปการ ย่อมเป็นจริงเหนือคนส่วนมากของพวกเขา ด้วยเหตุที่พวกนั้นเลือกการเนรคุณแทนการศรัทธา แต่แล้วพวกเขาก็ยังไม่ศรัทธา
๘. แท้จริงเราได้บันดาลโซ่ตรวนให้คล้องมือของเขารวมเหนือคอของพวกเขาแล้วมือที่ถูกคล้องโซ่ตรวนนั้น มันก็ถูกค้ำยังลูกคาง ดังนั้นพวกเขาจึงแหงนหน้าขึ้นสู่เบื้องบนพร้อมกับปิดตาสนิท ด้วยความตกใจและหวาดกลัว พวกเขาไม่สามารถจะก้มลงมาในระดับเดิมตามปกติวิสัยได้




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ ยาสีน อายะฮฺที่ 9


คำอ่าน
9. วะญะอัลนามิม..บัยนิอัยดีฮิม สัดเดา..วะมินค็อลฟิฮิมศัดดัน..ฟะอัฆชัยนาฮุม ฟะฮุมลายุบศิรูน

คำแปล R1.
9. And We have put a barrier before them, and a barrier behind them, and We have covered them up, so that they cannot see.

คำแปล R2.
9. และเราได้บันดาลไว้ต่อหน้าพวกเขาให้ถูกปิดกั้น และจากเบื้องหลังของพวกเขาก็ถูก ครั้นแล้วเราก็ครอบงำดวงตาของเขาให้ฝ้ามัว จนพวกเขามองไม่เห็น

คำแปล R3.
9. และเราได้ทำเครื่องกีดขวางไว้ข้างหน้าพวกเขาและเครื่องกีดขวางไว้ข้างหลังพวกเขา และเราได้ครอบคลุมพวกเขาไว้ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่สามารถมองเห็นสิ่งใด

คำแปล R4.
9. และเราได้ทำเครื่องกีดขวางไว้ข้างหน้าพวกเขา และเครื่องกีดขวางไว้ข้างหลังพวกเขา และเราได้คลุมพวกเขาไว้อย่างมิดชิด ดังนั้นพวกเขาจึงมองไม่เห็น

คำแปล R5.
๙. และเราได้บันดาลทางปิดไว้ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังของพวกเขา แล้วเราก็ปิดตาของพวกเขาไว้ ดังนั้นพวกเขาจึงมองไม่เห็นทางที่จะทอดไปสู่หลักศรัทธา



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺยาสีน อายะฮฺ ที่ 10 - 12




คำแปล R1.  
10. It is the same to them whether you warn them or you warn them not, they will not believe.
11. You can only warn him who follows the reminder (the Quran), and fears the most beneficent (Allah) unseen. Bear you to such one the glad tidings of forgiveness, and a generous reward (i.e. Paradise).
12. Verily, we give life to the dead, and we record that which they send before (them), and their traces [their footsteps and walking on the earth with their legs to the Mosques for the five compulsory congregational prayers, Jihad (holy fighting in Allah's Cause) and All other good and evil they did, and that which they leave behind], and All things we have recorded with numbers (as a record) in a clear book.


คำแปล R2.
10. และย่อมเท่าเทียมกันสำหรับพวกเขา ไม่ว่าเจ้าจะตักเตือนพวกเขา หรือเจ้ามิได้ตักเตือนพวกเขาก็ตาม นั่นคือ พวกเขาไม่ศรัทธา (อยู่นั่นเอง)
11. อันที่จริงเจ้าจะตักเตือน (ได้อย่างสัมฤทธิ์ผลก็เฉพาะ) แก่บุคคลที่ประพฤติตามคำเตือน (จากอัลกุรอาน) และเขาเกรงกลัวอัลเลาะฮฺผู้ทรงเมตตา (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง) ในยามลับตาคน ดังนั้นเจ้าจงแจ้งแก่เขาเถิด ด้วยการนิรโทษ และด้วยรางวัลอันยิ่งใหญ่ (ที่เขาพึงประสบ)
12. ที่จริงเราจะชุบชีวิตแก่ผู้ตาย และเราจะบันทึกสิ่งที่พวกเขาได้กระทำล่วงหน้าและร่องรอย (ผลงาน) ของพวกเขาไว้ และทุก ๆ สิ่งนั้น เราได้กำหนดมันไว้ในบันทึกอันชัดแจ้ง


คำแปล R3.
10. และไม่ว่าเจ้าจะตักเตือนพวกเขาหรือไม่ตักเตือนพวกเขา มันก็มีผลเท่ากันสำหรับพวกเขา พวกเขาจะไม่ศรัทธา
11. เจ้าสามารถจะเตือนได้ก็แต่เพียงผู้ที่ปฏิบัติตามคำตักเตือนและเกรงกลัวพระผู้ทรงกรุณาปรานีเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่เขาไม่สามารถมองเห็นพระองค์ ดังนั้น จงแจ้งข่าวดีแก่เขาถึงเรื่องการให้อภัยและรางวัลอันมีเกียรติ
12. แน่นอน วันหนึ่งเราจะทำให้คนตายกลับฟื้นคืนชีวิต เรากำลังบันทึกการกระทำทั้งหมดที่พวกเขาได้ทำไว้และที่พวกเขาทิ้งไว้ข้างหลังด้วย เราได้เก็บรักษาทุกสิ่งไว้ในบันทึกอันชัดแจ้ง


คำแปล R4.
10. และมีผลเท่ากันแก่พวกเขา เจ้าจะตักเตือนพวกเขาหรือไม่ตักเตือนพวกเขาก็ตาม พวกเขาก็จะไม่ศรัทธา
11. แท้จริงเจ้าเพียงแต่ตักเตือนผู้ที่ปฏิบัติตามข้อตักเตือนเท่านั้น และเขาเกรงกลัวพระผู้ทรงกรุณาปรานีโดยทางลับ ดังนั้น จงแจ้งข่าวดีแก่เขาด้วยการอภัยโทษและรางวัลอันมีเกียรติ
12. แท้จริงเราเป็นผู้ให้คนตายกลับมีชีวิตขึ้น และเราบันทึกสิ่งที่พวกเขาได้ประกอบไว้แต่ก่อน และร่องรอยของพวกเขาและทุกสิ่งนั้น เราได้รวบรวมไว้อย่างครบถ้วนในบันทึกอันชัดแจ้ง


คำแปล R5.
๑๐. และย่อมเท่าเทียมกันสำหรับพวกเขาไม่ว่าเจ้าจะตักเตือนพวกเขาหรือไม่ตักเตือนก็ตาม พวกเขาก็จะไม่ศรัทธาใด ๆ ทั้งสิ้นต่อคำตักเตือนของเจ้านั้น
๑๑. ความเป็นจริง เจ้าจะตักเตือนอย่างได้ผลก็เฉพาะแก่ผู้ที่ถือตามคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งเป็นสิ่งตักเตือนและที่ยำกลัว ในองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงเมตตายิ่ง โดยความลี้ลับ แม้จะไม่เห็นพระองค์ก็ตาม ดังนั้นเจ้าจงแจ้งแก่เขา ผู้ถือตามอัลกุรอานและยำกลัวพระเจ้าเกี่ยวกับการให้อภัยของพระองค์ และรางวัลอันทรงเกียรติว่า เขาจะต้องได้รับอย่างแน่นอน
๑๒. อันที่จริง เราจักยังชีวิตแก่ผู้ที่ตายไปแล้ว เพื่อให้เขาฟื้นขึ้นจากสุสาน และเราจักลิขิตไว้ในเลาฮุลมัฮฟูซ ถึงสิ่งที่พวกเขาได้ก่อไว้ ในขณะที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ในโลก และร่องรอยของพวกเขาที่มีผู้ประพฤติตาม ภายหลังจากพวกเขาได้ตายจากโลกไปแล้ว และทุก ๆ สิ่งนั้นเราย่อมจำกัดมันไว้ในบันทึกอันแจ้งชัด ซึ่งได้แก่เลาฮุลมัฮฟูซ
โดยไม่ขาดและไม่เกิน



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มี.ค. 16, 2010, 06:55 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺยาสีน อายะฮฺที่ 13 – 19







 

คำอ่าน
13. วัฎริบละฮุม..มะษะลัน อัศหาบัลก็อรฺยะติ อิซญา..อะฮัลมุรฺสะลูน
14. อิซอัรฺสัลนา..อิลัยฮิมุษนัยนิ ฟะกัซซะบูฮุมา ฟะอัซซัซบิษาลิษ, ฟะกอลู..อิน..นา..อิลัยกุม..มุรฺสะลูน
15. กอลูมา..อัน..ตุมอิลลาบะชะรุม..มิษลุนา วะมา..อัน..ซะลัรฺเราะหฺมานุ มิน..ชัยอิน อินอัน..ตุมอิลลาตักซิบูน
16. กอลูร็อบบุนายะอฺละมุอิน..นาอิลัยกุมละมุรสะลูน
17. วะมาอะลัยนา..อิลลัลบะลาฆุลมุบีน
18. กอลู..อิน..นาตะฏ็อยยัรฺนาบิกุม ละอินลัมตัน..ตะฮู ละนัรฺญุมัน..นะกุม วะละยะมัสสัน..นะกุม..มิน..นาอะซาบุนอะลีม
19. กอลูฏอ...อิรุกุม..มะอะกุม อะอิน..ซุกกิรฺตุม..บัลอัน..ตุมก็อวฺมุม..มุสริฟูน


คำแปล R1.
13. And put forward to them a similitude; the (story of the) dwellers of the town, [It is said that the town was Antioch (Antakiya)], when there came Messengers to them.
14. When we sent to them two Messengers, they belied them both, so we reinforced them with a third, and they said: "Verily! we have been sent to you as Messengers."
15. They (people of the town) said: "You are only human beings like us, and the Most Beneficent (Allah) has revealed nothing, you are only telling lies."
16. The Messengers said: "Our Lord knows that we have been sent as Messengers to you,
17. "And our duty is only to convey plainly (the Message)."
18. They (people) said: "For us, we see an evil omen from you, if you cease not, we will surely stone you, and a painful torment will touch you from us."
19. They (Messengers) said: "Your evil omens are with you! (Do you call it "evil omen") because you are admonished? Nay, but You are a people Musrifun (transgressing all bounds by committing all kinds of great sins and by disobeying Allah).


คำแปล R2.
13. และเจ้าจงยกอุทาหรณ์หนึ่งแก่พวกเขาเถิด นั่นคือ บรรดาชาวเมืองหนึ่งเมื่อครั้งบรรดาผู้ถูกส่งตัวมาเป็นศาสนทูตได้มายังพวกเขา
14. เมื่อเราได้แต่งตั้งศาสนทูตมายังพวกเขาสองคน (คือ ซอดิ๊กและมัซดู๊ก) แต่แล้วพวกเขาก็ว่าคนทั้งสองมุสา ดังนั้นเราจึงเสริมด้วยคนที่สาม (คือซัมอูน) แล้วพวกเขาทั้งสามก็ประกาศแก่ชาวเมืองว่า “แท้จริงพวกเราเป็นทูตที่ส่งตัวมายังพวกท่าน”
15. พวกเขาก็กล่าวว่า “ที่จริงท่านทั้งสามมิใช่ใครเลย นอกจากเป็นมนุษย์ธรรมดาเยี่ยงพวกเรานี้เอง และ (อัลเลาะฮฺ) ผู้ทรงเมตตามิได้ลงสิ่งใด ๆ มาเลย พวกท่านนั้นไม่มีอะไรหรอก นอกจากพวกท่านมุสาเท่านั้น
16. พวกเขา(ทูตทั้งสาม)กล่าวว่า “องค์อภิบาลของเราทรงรอบรู้ว่า แท้จริงพวกเราถูกส่งตัวมาเป็นทูตยังพวกท่าน”
17. ส่วนพวกเรานี้ไม่มีหน้าที่อื่นใดทั้งสิ้นนอกจากการเผยแพร่อันชัดแจ้งเท่านั้น
18. พวกเขากล่าวว่า “แท้จริงพวกเราโชคร้ายเพราะพวกท่านโดยแท้ ดังนั้น ขอสาบาน หากพวกท่านไม่ยุติ(การประกาศศาสนา)พวกเราจะต้องจัดการขว้างพวกท่านจนตายเป็นแน่ และการลงโทษอันทรมานที่สุดจากพวกเราจะประสบแก่พวกท่านอย่างแน่นอน
19. พวกเขากล่าวว่า “ความโชคร้ายอยู่กับพวกท่านนั่นเอง ก็พวกท่านมิถูกตักเตือนดอกหรือ ยิ่งไปกว่านั้น พวกท่านเป็นกลุ่มชนผู้ละเมิด”


คำแปล R3.
13. และจงยกตัวอย่างเรื่องราวของผู้คนในเมืองนั้นเมื่อตอนที่มีบรรดาศาสนทูตถูกส่งมา
14. เราได้ส่งทูตสองคนไปยังพวกเขาและพวกเขาได้ปฏิเสธทูตทั้งสองนั้น ดังนั้นเราจึงได้ส่งทูตคนที่สามไปเพื่อทำให้พวกเขาเข้มแข็งขึ้น แล้วพวกเขาได้กล่าวว่า “เราได้ถูกส่งมายังพวกท่านในฐานะศาสนทูต
15. แต่ผู้คนได้กล่าวว่า “พวกท่านมิได้เป็นอะไรมากไปกว่ามนุษย์เหมือนอย่างพวกเรา และพระผู้ทรงกรุณาปรานีมิได้ส่งสิ่งใดมา พวกท่านมิได้มีอะไรนอกไปจากการโกหก”
16. บรรดาศาสนทูตจึงกล่าวว่า “พระผู้อภิบาลของเราทรงรู้ดีว่าเราได้ถูกส่งมายังพวกท่าน
17. และเราไม่มีหน้าที่อะไรนอกไปจากนำสาส์นมาประกาศเท่านั้น”
18. ผู้คนจึงกล่าวว่า “เราถือว่าท่านเป็นลางร้ายสำหรับพวกเรา ถ้าหากพวกท่านไม่หยุดยั้ง(จากสิ่งนี้)เราจะเอาหินขว้างพวกท่านและพวกท่านจะได้รับการลงโทษอันเจ็บปวดจากเรา”
19. บรรดาทูตจึงได้ตอบว่า “ลางร้ายของพวกท่านนั้นอยู่กับพวกท่านเอง พวกท่านกล่าวเช่นนี้เพราะพวกท่านได้ถูกตักเตือนมาแล้วมิใช่หรือ? ความจริงแล้วพวกท่านเป็นหมู่ชนที่ฝ่าฝืนทุกอย่าง”


คำแปล R4.
13. และจงเล่าเรื่องชาวเมือง (อันฏอกียะฮฺ) แก่พวกเขา เมื่อมีทูตหลายคนมายังเมืองนั้น
14. เมื่อเราส่งทูตสองคนไปยังพวกเขา พวกเขาได้ปฏิเสธเขาทั้งสอง ดังนั้น เรา (อัลลอฮฺ) จึงเพิ่มพลังด้วยการส่งทูตคนที่สามแล้วพวกเขา (บรรดาทูต) ได้กล่าวว่า “แท้จริงพวกเราถูกส่งมายังพวกท่าน“
15. พวกเขา (ชาวเมือง) กล่าวว่า “พวกท่านมิใช่ใครอื่น นอกจากเป็นสามัญชนเช่นเดียวกับพวกเรา และพระผู้ทรงกรุณาปรานีมิได้ประทานสิ่งใดลงมา พวกท่านมิได้เป็นอื่นใดนอกจากกล่าวเท็จ”
16. พวกเขา (บรรดาทูต) กล่าวว่า “พระเจ้าของเราทรงรู้ดียิ่งว่า แท้จริงเราถูกส่งมายังพวกท่านอย่างแน่นอน
17. และไม่มีหน้าที่อื่นใดแก่พวกเรานอกจากการประกาศเชิญชวนอันชัดแจ้งเท่านั้น”
18. พวกเขากล่าวว่า “แท้จริงพวกเราถือเป็นลางร้ายต่อพวกท่าน หากพวกท่านไม่ยอมหยุดยั้ง เราจะเอาหินขว้างพวกท่านจนตายและแน่นอน การลงโทษอันเจ็บปวดจากพวกเราจะประสบแก่พวกท่าน”
19. พวกเขา (บรรดาทูต) กล่าวว่า “ลางร้ายของพวกท่านเพราะพวกท่านเอง พวกท่านได้ถูกตักเตือนมาก่อนแล้วมิใช่หรือ ? เปล่าดอกพวกท่านเป็นหมู่ชนผู้ฝ่าฝืนต่างหาก”


คำแปล R5.
๑๓. โอ้มุฮำมัด และเจ้าจงยกอุทาหรณ์แก่พวกเขา โดยเล่าถึงประวัติของชาวเมืองอันตอกียะฮ เมืองหลวงของเจ้าเมืองกอยซอร ซึ่งสมัยนั้นอยู่ในแผ่นดินโรม ซึ่งมีกำแพงเมืองล้อมรอบ เป็นระยะทางถึง 12 ไมล์ เมื่อบรรดาทูตของนบีมูซาได้มาถึงเมืองนั้น เล่ากันว่า นบีมูซาได้ส่งทูตมา ๒ คน เพื่อเชิญชวนชาวเมืองดังกล่าวให้เลิกกราบไหว้บูชาเจว็ด และหันมานมัสการพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง
๑๔. เมื่อเราได้ส่งคน ๒ คนมายังพวกเขาซึ่งมีนามว่า ซอดิ๊กและมัสดู๊กตามลำดับ แต่แล้วคนเหล่านั้นได้กล่าวหาคนทั้งสองว่ามุสา ดังนั้นเราจึงสนับสนุนแก่คนทั้งสองนั้น ด้วยการเพิ่มบุคคลที่สามให้มาสมทบ ซึ่งมีชื่อว่าซัมอูน และคนทั้งสามก็ได้ร่วมกันเดินทางเข้าสู่เมืองอันตอกียะฮ จากนั้นพวกเขาก็กล่าวประกาศตัวเองว่า แท้จริงพวกเราเป็นทูตจากนบีอีซา มายังพวกท่านเพื่อเชิญชวนพวกท่านทั้งหลายให้นมัสการอัลเลาะห์และยอมรับในความเป็นหนึ่งของพระองค์
๑๕. พวกเขาชาวอันตอกียะฮฺกล่าวแย้งทูตทั้งสามว่า พวกท่านนั้นมิใช่ทูตหรือตำแหน่งอื่นใดทั้งสิ้น นอกจากเป็นเพียงปุถุชนเยี่ยงพวกเรา และพระองค์อัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตามิได้ประทานสิ่งใด ๆ แก่พวกเรา ไม่ว่าจะเป็นโองการใช้หรือห้ามก็ตาม พวกท่านนั้นหาใช่อื่นใดไม่ นอกจากพวกท่านมุสาในการประกาศตัวของพวกท่านดังกล่าว
๑๖. พวกทูตทั้งสามเขากล่าวตอบคนพวกนั้นว่า พระผู้ทรงอภิบาลของเรา ทรงรอบรู้ว่าพวกเราทั้งสามเป็นทูตมายังพวกท่านทั้งหลายจริง
๑๗. และพวกเรามิมีหน้าที่อื่นใดทั้งสิ้น นอกจากการเผยแพร่อันชัดแจ้ง สู่พวกท่านทั้งหลาย โดยมีมหัศจรรย์เป็นหลักฐานอันแน่ชัด คือ การบำบัดโรคต่าง ๆ เช่น โรคตาบอด โรคเรื้อน และการเสกให้คนตายฟื้น เป็นต้น
๑๘. พวกเขากล่าวว่า แท้จริงพวกเราได้รับลางร้ายเพราะพวกเจ้า ทำให้เกิดความแห้งแล้งติดต่อกันถึงสามปี นับแต่พวกเจ้าได้เข้ามาอยู่ในเมืองของเรา ดังนั้นพวกเราขอสาบานว่า มาดแม้นพวกท่านไม่ยุติการประกาศศาสนาของพวกท่านในหมู่พวกเรา เราก็จักขว้างปาพวกท่าน และการลงโทษอันแสนสาหัสจากพวกเรา จะประสบกับพวกท่านอย่างแน่นอน
๑๙. พวกทูตของนบีอีซา เขากล่าวโต้ตอบพวกชาวเมืองนั้นว่า ลางร้ายของพวกเจ้าได้ปรากฏกับพวกเจ้ามาเป็นเวลาช้านานแล้ว โดยสาเหตุที่พวกเจ้าไม่ยอมศรัทธาในพระเจ้า มาดแม้นพวกเจ้าได้รับการตักเตือนแล้ว พวกเราก็ยังจะโชคร้ายอีกหรือ แต่ทว่าพวกเจ้าเป็นกลุ่มชนผู้ละเมิด โดยเหตุแห่งความทรยศ


สูเราะฮฺ ยาสีน อายะฮฺที่ 20 - 21


คำอ่าน
20. วะญา...อะมินอักศ็อลมะดีนะติ เราะญุลุย..ยัสอา กอละยาก็อวมิตตะบิอุลมุรฺสะลีน
21. อิตตะบิอูมัลลายัสอะลุกุม อัจญร็อว วะฮุม..มุฮฺตะดูน

คำแปล R1.
20. And there came running from the farthest part of the town, a man, saying: "O my people! Obey the Messengers;
21. "Obey those who ask no wages of you (for themselves), and who are rightly guided.


คำแปล R2.
20. และได้มีชายผู้หนึ่งรีบวิ่งมาจากท้ายเมือง เขากล่าวว่า โอ้ชุมชนของฉัน พวกท่านจงตามบรรดาทูตเหล่านี้เถิด
21. “พวกท่านจงปฏิบัติตามผู้ (มาประกาศ) ที่ไม่ได้ขอค่าจ้างใด ๆ จากพวกท่านเถิด และพวกเขาเป็นผู้ได้รับการชี้นำทาง


คำแปล R3.
20. ขณะเดียวกัน มีคนผู้หนึ่งจากส่วนที่ไกลของเมืองได้วิ่งมาถึงและกล่าวว่า “หมู่ชนของฉันเอ๋ย จงปฏิบัติตามบรรดาศาสนทูตเหล่านี้เถิด
21. จงปฏิบัติตามผู้ที่มิได้เรียกร้องสิ่งตอบแทนใด ๆ จากพวกท่าน และพวกเขาเป็นผู้ที่อยู่ในหนทางที่ถูกต้อง


คำแปล R4.
20. และมีชายคนหนึ่งจากสุดหัวเมืองได้มาอย่างรีบเร่ง เขากล่าวว่า โอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย! จงปฏิบัติตามบรรดาทูตเหล่านี้เถิด
21. พวกท่านจงปฏิบัติตามผู้ที่มิได้เรียกร้องรางวัลใด ๆ จากพวกท่าน และพวกเขาเป็นผู้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง


คำแปล R5.
๒๐. และมีชายผู้หนึ่งวิ่งมาจากท้ายเมืองนั้นเมื่อเขาทราบข่าวว่าในเมืองมีทูตเข้ามาประกาศศาสนา เขาคือ “ฮะบีบุนนัจย๊ารด” ซึ่งเป็นช่างแกะสลักรูปเจว็ดแก่ชาวเมืองนั้น แล้วเขากล่าวว่า โอ้พวกพ้องของฉัน จงตามบรรดาทูตทั้งสามคนนี้เถิด
๒๑. พวกท่านจงตามผู้ที่ไม่ขอค่าจ้างจากพวกท่านในการประกาศตนเป็นศาสนทูตและพวกเขาเป็นผู้ได้รับการชี้นำโดยแท้จริง



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 25, 2011, 06:00 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
 salam

ผมค่อนข้างจะสับสนการการแปลอัล-กุรอาน 7 อายะฮฺข้างต้นนี้

1. ในR5.(ฉบับครูต่วน)อายะฮฺที่ 13 ระบุว่า
......นบีมูซาได้ส่งทูตมา ๒ คน เพื่อเชิญชวนชาวเมืองดังกล่าวให้เลิกกราบไหว้บูชาเจว็ด........

แต่ในอายะฮฺที่ 19 ระบุว่า
..........พวกทูตของนบีอีซา เขากล่าวโต้ตอบพวกชาวเมืองนั้นว่า

ตกลงเป็นนบีมูซา หรือ นบีอีซา กันแน่ เผอิญ ฉบับครูต่วนที่อยู่ในมือผมเป็นฉบับเก่า ตีพิมพ์ พ.ศ. 2530

ไม่รู้ว่า Edition ล่าสุดได้มีการตรวจสอบแก้ไขให้ตรงกันหรือยัง

แต่ถ้าดูตามเจตนารมณ์ โดยเทียบกับตัฟซีรฺอื่น ๆ น่าจะเป็น
นบีอีซา

2. ใน R3. (ตัฟฮีมุลกุรอาน)มีคำอธิบายที่แตกต่างออกไปสำหรับอายะฮฺที่ 13 คำว่า อัลก็อรฺยะฮฺ - เมืองนั้น ดังนี้

"นักอรรถาธิบายกุรฺอานในยุคต้นได้ให้ความเห็นว่า "เมืองนั้น" หมายถึงเมืองอันติออคของซีเรีย และบรรดาทูตที่ถูกเอ่ยถึงในที่นี่

คือคนที่นบีอีซาได้ส่งไปเผยแผ่สาส์นของท่าน อีกสิ่งหนึ่งที่ถูกกล่าวไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ ในตอนนั้น อันติโอคุส (Antiochus)

เป็นกษัตริย์ของเมืองนั้น แต่โดยทางประวัติศาสตร์แล้ว เรื่องที่อิบนุอับบาส, เกาะตาดะฮฺ, อิคริมะฮฺ, กะอับ, อะฮฺบารและวะฮับ บินมุนับบิฮฺ

และคนอื่น ๆ ที่รายงานสืบทอดจากคำบอกเล่าที่ไม่มีหลักฐานของชาวคริสเตียนนั้นเป็นสิ่งที่ไร้เหตุผล ในราชวงศ์เซลูซิด(Seleucid) มีกษัตริย์

13 คนที่ชื่อ อันติโอคุส ปกครองเมืองอันติออกและการปกครองของกษัตริย์คนสุดท้ายที่ชื่อเดียวกันนี้ สิ้นสุดลงเมื่อ 65 ปีก่อนคริสตกาล

ในสมัยของนบีอีซา แผ่นดินซีเรียและปาเลสไตน์ทั้งหมดรวมทั้งเมืองอันติออกได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของพวกโรมัน ดังนั้นจึงไม่มีหลักฐาน

จากบันทึกที่เชื่อถือได้ของพวกคริสเตียน มายืนยันว่า นบีอีซาเองได้ส่งสานุศิษย์ ของท่านคนใดไปยังเมืองอันติออก เพื่อเผยแผ่คำสอนของท่าน

ในทางตรงข้าม คัมภีร์ไบเบิ้ล ถาคพันธสัญญาใหม่ ฉบับกิจการของอัครทูตก็แสดงให้เห็นว่า นักเผยแพร่ชาวคริสเตียน ได้ไปถึงเมืองอันติออก

เป็นครั้งแรก หลังจากเหตุการณ์ตรึงไม้กางเขน ตอนนี้จึงเห็นได้ชัดเจนว่า คนที่มิใช่ศาสนทูตที่อัลลอฮฺทรงแต่งตั้ง และคนที่เราะสูลของพระองค์

ได้ส่งไปนั้น ไม่อาจถูกถือว่าเป็นเป็นรอซูลของอัลลอฮฺได้โดยการตีความใด ถึงแม้ว่าคนเหล่านั้น อาจเดินทางไปเพื่อเผยแผ่ศาสนาด้วยความ

สมัครใจของตนเองก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้น ตามคัมภีร์ไบเบิล เมืองอันติออกก็เป็นเมืองแรกที่คนที่มิใช่ชาวอิสราเอลเข้ารับนับถือศาสนาคริสต์

เป็นจำนวนมาก และเป็นเมืองที่ศาสนาคริสต์ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ในขณะที่เมืองที่กุรอานเอ่ยถึงนั้น เป็นเมืองที่ปฏิเสธการ

เชิญชวนของบรรดาศาสนทูต และถูกอัลลอฮฺลงโทษในที่สุด ประวัติศาสตร์ก็มิได้มีหลักฐานอะไรที่ได้แสดงว่า เมืองอันติออก เคย

ได้รับความเสียหายจากการถูกทำลายเพราะการปฏิเสธนบี

จากเหตุผลข้างต้นดังกล่าวนี้ จึงไม่อาจจะยอมรับได้ว่า "เมืองนั้น" หมายถึงเมืองอันติออก คัมภีร์กุรอานและหะดีสที่เชื่อถือได้ ก็มิได้

กล่าวถึงเมืองนั้นไว้อย่างชัดเจน ใครเป็นศาสนทูตเหล่านั้น และทูตเหล่านั้นถูกแต่งตั้งเมื่อใด ก็ไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ยืนยัน

การที่จะเข้าใจวัตถุประสงค์ที่อัลกุรอานเล่าเรื่องนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องไปรู้ชื่อเมืองและชื่อของทูตเหล่านั้น วัตถุประสงค์ของกุรอานที่เล่า

เรื่องนี้ก็เพื่อจะเตือนพวกกุเรช เหมือนกับจะกล่าวว่า
"พวกเจ้ากำลังเดินทางตามเส้นทางแห่งการดื้อรั้น ดันทุรัง ความอคติ และ

ปฏิเสธสัจธรรมเช่นเดียวกับที่คนเมืองนี้ได้เคยเดินมาก่อน และพวกเจ้าก็กำลังจะพบกับความหายนะ เช่นเดียวกับพวกเขาที่เคยพบมาแล้ว"


ผู้นำเสนอ ให้น้ำหนักไปทางข้อเขียนของ เมาลานา ซัยยิด อะบุลอะลา เมาดูดี ใน ตัฟฮีมุลกุรฺอานที่ยกมาข้างต้นนี้มากที่สุด

วัสสลาม

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺยาสีน อายะฮฺที่ 22 - 27


คำอ่าน
22. วะมาลิยะลา..อะอฺบุดุลละซี ฟะเฏาะเราะนี วะอิลัยฮิตุรฺญะอูน
23. อะอัตตะคิซุมิน..ดูนิฮี..อาลิฮะตัน อี..ยุริดนิรฺเราะหฺมานิ บิดุรฺริลลาตุฆนิ อัน..นี ชะฟาอะตุฮุม ชัยเอา..วะลายุน..กิซูน
24. อิน..นี..อิซัลละฟีเฎาะลาลิม..มุบีน
25. อิน..นี..อามัน..ตุบิร็อบบิกุม ฟัสมะอูน
26. กีลัดคุลิลญัน..นะตะ กอละยาลัยตะก็อวมียะอฺละมูน
27. บิมาเฆาะฟะเราะลี ร็อบบี วะญะอะละนี มินัลมุกเราะมีน

คำแปล R1.
22. "And why should I not worship Him (Allah Alone) who has created me and to whom you shall be returned.
23. "Shall I take besides Him Aliha (gods), if the Most Beneficent (Allah) intends me any harm, their intercession will be of no use for me whatsoever, nor can they save me?
24. "Then verily, I should be in plain error.
25. Verily! I have believed in your Lord, so listen to me!"
26. It was said (to him when the disbelievers killed him): "Enter Paradise." He said: "Would that my people knew!
27. "That my Lord (Allah) has forgiven me, and made me of the honoured ones!"


คำแปล R2.
22. “และมีเหตุผลใดหรือที่ฉันจะไม่นมัสการพระผู้ทรงบันดาลฉันมา? และพวกท่านเองก็ต้องถูกส่งตัวกลับไปสู่ (การพิพากษาของ) พระองค์
23. “สมควรหรือที่ฉันจะอุปโลกน์บรรดาพระเจ้าอื่น ๆ นอกเหนือจากพระองค์ หากว่าพระผู้ทรงเมตตา ทรงปรารถนาจะให้อุบัติเภทภัยหนึ่ง แน่นอน บารมีของสิ่งเหล่านั้นก็หาได้ป้องกันฉันไม่แม้สักสิ่งเดียว และพวกเขาไม่สามารถจะปลดปล่อยฉัน (ให้พ้นจากเภทภัยนั้น) ได้
24. แท้จริงฉันนี้ (หากปฏิบัติการที่เป็นภาคีเช่นนั้น) ก็จะตกอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้งโดยพลัน
25. แท้จริงฉันได้ศรัทธามั่นในองค์อภิบาลของพวกท่านแล้ว ดังนั้นท่านทั้งหลายจงฟังฉันเถิด
26. (ก่อนที่ชายผู้นั้นจะถึงแก่ความตาย) มีผู้พูดว่า “ท่านจงเข้าสวรรค์เถิด!” เขากล่าวตอบว่า “โอ! พวกของฉันน่าจะรู้ความจริง”
27.  “เกี่ยวกับกรณีที่องค์อภิบาลของฉันได้ทรงนิรโทษแก่ฉัน และทรงบันดาลฉันให้เป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้ได้รับการยกย่อง!”


คำแปล R3.
22. แล้วทำไมเล่าที่ฉันจะไม่เคารพภักดีผู้ทรงสร้างฉันและผู้ที่พวกท่านทั้งหลายจะถูกนำกลับไป?
23. จะให้ฉันยึดถือพระเจ้าอื่นใดนอกไปจากพระองค์กระนั้นหรือ? ในเมื่อถ้าพระผู้ทรงกรุณาปรานีจะให้ฉันได้รับความทุกข์ยากเดือดร้อน การขอไถ่โทษของพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่สามารถอำนวยประโยชน์ใด ๆ แก่ฉันได้ และพวกเขาก็ไม่สามารถช่วยฉันให้รอดได้
24. ถ้าหากฉันทำเช่นนั้น ฉันต้องตกอยู่ในการหลงผิดอย่างชัดแจ้ง
25. ฉันศรัทธาในพระผู้อภิบาลของพวกท่าน ดังนั้นพวกท่านควรฟังฉัน”
26. (ดังนั้นพวกเขาจึงฆ่าชายผู้นั้น) และได้มีเสียงกล่าวแก่เขาว่า “จงเข้าสวรรค์เถิด” เขาได้กล่าวว่า “หมู่ชนของฉันน่าจะได้รู้
27. ถึงการที่พระผู้อภิบาลของฉันได้ให้อภัยแก่ฉัน และทรงรวมฉันไว้ในบรรดาผู้มีเกียรติ”


คำแปล R4.
22. และทำไมเล่า ฉันจะไม่เคารพภักดี ผู้ทรงบังเกิดฉัน และยังพระองค์เท่านั้นที่พวกท่านจะถูกนำกลับไป
23. จะให้ฉันยึดถือพระเจ้าอื่นนอกจากพระองค์กระนั้นหรือ? หากพระผู้ทรงกรุณาปรานีทรงประสงค์จะก่อความทุกข์ยากแก่ฉัน การชะฟาอะฮฺของพวกเขาจะไม่ก่อประโยชน์อันใดแก่ฉันเลย และพวกเขาก็จะช่วยฉันให้รอดพ้น (จากการลงโทษ) ไม่ได้เลย
24. แท้จริง เมื่อนั้นฉันจะอยู่ในการหลงผิดอย่างชัดแจ้ง
25. แท้จริงฉันศรัทธาต่อพระเจ้าของพวกท่าน ดังนั้น พวกท่านจงฟังฉันซิ!
26. มีเสียงกล่าวว่า จงเข้าไปในสวนสวรรค์ เขากล่าวว่า โอ้ มาดว่าหมู่ชนของฉันได้รู้ (สภาพของฉัน)
27. ถึงการที่พระเจ้าของฉันทรงอภัยให้แก่ฉันและทรงทำให้ฉันอยู่ในหมู่ผู้มีเกียรติ

 
คำแปล R5.
๒๒. และไม่มีสิทธิใด ๆ สำหรับข้าที่ข้าจะไม่นมัสการต่อพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงบันดาลข้ามา และพวกเจ้าทั้งหลายก็ต้องกลับคืนไปยังพระองค์
๒๓. จะให้ข้าอุปโลกน์สิ่งอื่น ๆ นอกจากพระองค์ขึ้นเป็นพระเจ้าจอมปลอมเพื่อทำการกราบไหว้กระนั้นหรือ หากแม้นอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตาประสงค์ที่จะให้เกิดอันตรายหนึ่ง ๆ แน่นอน บารมีของสิ่งเหล่านั้น คือเจว็ดต่าง ๆ ที่พวกเจ้าคิดว่าเป็นพระเจ้านั้นก็ไม่อาจป้องกันอันตรายนั้นให้พ้นไปจากข้าได้แม้สักสิ่งเดียว และพวกนั้นไม่อาจขจัดตัวข้าให้พ้นอันตรายดังกล่าวได้
๒๔. แท้จริงข้านั้น หากทำการกราบไหว้สิ่งอื่น ๆ นอกจากอัลเลาะห์ พลันตัวข้าก็ต้องตกอยู่ในการหลงผิดอันชัดแจ้งอย่างแน่นอน
๒๕. แท้จริงข้าขอศรัทธามั่นในองค์อภิบาลของพวกท่าน ดังนั้นจงฟังข้าเถิด แต่แล้วพวกเหล่านั้นหาได้ฟังคำพูดของเขาไม่ พวกเขาขว้างชายผู้นั้นจนถึงแก่ความตาย
๒๖. ได้มีผู้พูดแก่เขาขณะที่เขาจะเสียชีวิตว่าท่านจงเข้าสวรรค์เถิดเพราะการเสียชีวิตของเขาเป็นการเสียสละไปเพื่อธำรงไว้ซึ่งสัจธรรม เขาจึงมีฐานะเทียบเท่าผู้เสียชีวิตในสงครามอันทรงเกียรติ เขากล่าวว่า โอ้พวกพ้องของฉันผู้ทำการฆาตกรรมตัวฉันหวังว่าคงจะรู้ได้ดี
๒๗. ถึงสิ่งที่องค์อภิบาลของข้าได้ให้อภัยแก่ข้า และดลบันดาลข้าให้เป็นหนึ่จากบรรดาผู้ได้รับการยกย่อง



สูเราะฮฺ ยาสีน อายะฮฺที่ 28-32





 

คำอ่าน
28.   วะมา..อัน..ซัลนาอะลาก็อวฺมิฮี มิม..บะอฺดิฮี มิน..ญุน..ดิม..มินัสสะมา...อิวะมากุน..นามุน..ซิลีน
29.   อิน..กานัต อิลลาศ็อยหะเตา..วาหิดะตัน..ฟะอิซาฮุมคอมิดูน
30.   ยาหัสเราะตันอะลัลอิบาดิ มายะอ์ตีฮิม..มิรฺเราะสูลิน อิลลากานูบิฮียัสตะฮฺซิอูน
31.   อะลัมยะร็อวฺกัมอะฮฺลักนา ก็อบละฮุม..มินัลกุรูนิ อัน..นะฮุมอิลัยฮิมลายัรฺญิอูน
32.   วะอิน..กุลลุลลัม..มาญะมีอุลละดัยนามุหฺเฎาะรูน

คำแปล R1.
28. And we sent not against his people after him a host from heaven, nor do we send (such a thing).
29. It was but one Saihah (shout, etc.) and Lo! They (all) were silent (dead-destroyed).
30. Alas for mankind! There never came a Messenger to them but they used to mock at Him.
31. Do they not see how many of the generations we have destroyed before them? Verily, they will not return to them.
32. And surely, all, every one of them will be brought before us.


คำแปล R2.
28. และเรา(อัลเลาะฮฺ) ไม่ให้มีกองทัพใด ๆ จากฟากฟ้าได้ลงมาทำลายพวกพ้องของเขาภายหลังจากเขา(ได้ตายไปแล้ว)และเราไม่เคยสั่งให้ (กองทัพดังกล่าว) ลงมาเลย
29. (ความพินาศของพวกนั้น) ไม่มีอะไรเลยนอกจากเสียงกัมปนาทเพียงครั้งเดียว ทันใดพวกเขาก็ล้มตายอย่างสงบ
30. โอ!  เป็นที่น่าสังเวชยิ่งนักสำหรับข้าทาส (ของพระเจ้า) ทั้งมวล ซึ่งไม่ว่าศาสนทูตคนใดก็ตามที่มายังพวกเขา นอกจากพวกเขาจักต้องเย้ยหยันศาสนทูตนั้น
31. พวกเขาไม่รู้หรือว่า ตั้งเท่าใดแล้ว ที่เราได้ทำลายล้างมวลชนในศตวรรษต่าง ๆ ก่อนหน้าพวกเขา แท้จริงพวกเขามิได้กลับคืนไปสู่ (การพินิจพิเคราะห์ในประวัติของ) พวกนั้นเลย
32. และทุก ๆ คนนั้นไม่ (รอดพ้นไปไหน) นอกจากทั้งหมดย่อมถูกนำตัวมายังเรา (เพื่อรอรับการพิพากษา)


คำแปล R3.
28. หลังจากเขาแล้ว เราไม่ได้ส่งกองทัพใด ๆ จากฟากฟ้ามายังหมู่ชนของเขา และเราก็ไม่จำเป็นต้องส่งพวกเขาลงมา
29. แค่มีเสียงกัมปนาทกึกก้องเพียงครั้งเดียว พวกเขาทั้งหมดก็สิ้นซาก
30. อนิจจาบ่าวทั้งหลายเอ๋ย ไม่มีรอซูลคนใดมายังพวกเขาแล้วไม่ถูกพวกเขาหัวเราะเยาะเย้ย
31. พวกเขาไม่เห็นหรือว่ากี่ชนชาติแล้วที่เราได้ทำลายไปก่อนหน้าพวกเขา และพวกเขาไม่ได้กลับมาหาพวกเขาอีก
32. วันหนึ่ง พวกเขาทั้งหมดจะถูกนำมาปรากฏต่อหน้าเรา


คำแปล R4.
28. และเรามิได้ส่งไพร่พลลงมาจากฟากฟ้าแก่หมู่ชนของเขาหลังจากเขา และเราก็มิใช่เป็นผู้ส่งพวกเขาลงมา
29. มันมิใช่อื่นใดเลยนอกจากเสียงกัมปนาทเพียงครั้งเดียว แล้วเมื่อนั้นพวกเขาก็ดับเงียบ
30. โอ้ อนิจจาต่อปวงบ่าว ไม่มีร่อซูลคนใดมายังพวกเขา เว้นแต่พวกเขาได้เย้ยหยันเขา
31. พวกเขามิได้พิจารณาดอกหรือว่า กี่ศตวรรษมาแล้วก่อนหน้าพวกเขาเราได้ทำลายโดยที่เขาเหล่านั้นมิได้กลับมายังพวกเขา
32. และแต่ละคนในพวกเขาทั้งหมดจะถูกนำมาปรากฏตัวต่อหน้าเรา


คำแปล R5.
๒๘. และเราไม่ประทานลงมาเหนือพวกพ้องของเขา ภายหลังจากเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งกองทัพมลาอิกะห์ จากฟากฟ้าเพื่อการทำลายล้างพวกเขา และเราไม่เคยได้ให้มลาอิกะห์ลงมาเพื่อแก่การทำลายล้างผู้ใดเลย
๒๙. อันการทำลายล้างวกเหล่านั้น มิต้องใช้มลาอิกะห์เป็นจำนวนมากดังได้พรรณนาไว้ ไม่มีอะไรเลยนอกจากเพียงเสียงกัมปนาทครั้งเดียวของอิสรอฟีล พลันพวกเหล่านั้นก็ตายสนิท
๓๐. โอ น่าสมเพทเหลือเกินแก่บรรดาข้าทาสทั้งหลายที่กล่าวหาศาสนทูตว่าพูดเท็จ ดังนั้นพวกเขาจึงประสบความหายนะ ไม่ว่าศาสนทูตใดก็ตามที่มาหาพวกเขาเพื่อชี้นำพวกเขาให้อยู่ในแนวทางแห่งสัจธรรม นอกจากพวกเหล่านั้นจะต้องสบประมาทต่อศาสนทูตนั้น เพราะความดื้อรั้นและความเนรคุณ
๓๑. พวกเขาไม่รู้หรือ ตั้งมากมายเท่าไรแล้วที่เราได้ทำลายมาก่อนหน้าพวกเขา ประชาชาติต่าง ๆ จากบรรดาศตวรรษที่ล่วงพ้นมาเมื่ออดีต แล้วไฉนเล่าพวกเขาจึงไม่วิเคราะห์ถึงพวกที่ถูกทำลายล้างนั้นเพื่อนำมาเป็นอุทาหรณ์สำหรับตน แท้จริงพวกที่ถูกทำลายล้างเหล่านั้น จะไม่กลับคืนมายังพวกเขา ชาวมักกะห์ที่ยังมีชีวิตอยู่
๓๒. และทุกประชาชาติ มิใช่อื่นใด นอกจากต้องถูกรวมกันอยู่ต่อหน้าเรา ณ ที่รวมเดียวกัน คือ “มะฮ์ซัร” ภายหลังที่พวกเขาได้ฟื้นขึ้นจากสุสานแล้ว อีกทั้งนำตัวมาเพื่อรับการสอบสวน


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 25, 2011, 06:04 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ ยาสีน อายะฮฺที่ 33 – 36
 




คำอ่าน
33.   วะอายะตุลละฮุมุลอัรฺฎุล มัยตะตุ อะหฺยัยนาฮา วะอัคร็อจญนามินฮาหับบัน..ฟะมินฮุยะอ์กุลูน
34.   วะญะอัลนาฟีฮาญัน..นาติม..มิน..นะคีลิว..วะอะอฺนาบิว..วะฟัจญัรฺนาฟีฮามินัลอุยูน
35.   ลิยะอ์กุลูมิน..ษะมะริฮี วะมาอะมิลัตฮุอัยดีฮิม, อะฟะลายัชกุรูน
36.   สุบหานัลละซีเคาะละก็อลอัซวาญะกุลละฮา มิม..มาตุม..บิตุลอัร์ฎุ วะมินอัน..ฟุสิฮิม วะมิม..มาลายะอฺละมูน


คำแปล R1.
33. And a sign for them is the dead land. We gave it life, and we brought forth from it grains, so that they eat thereof.
34. And we have made therein gardens of date-palms and grapes, and we have caused springs of water to gush forth therein.
35. So that they may eat of the fruit thereof, and their hands made it not. Will they not, then, give thanks?
36. Glory be to him, who has created all the pairs of that which the earth produces, as well as of their own (human) kind (male and female), and of that which they know not.


คำแปล R2.
33. และมีสัญลักษณ์หนึ่งสำหรับพวกเขา (ที่จะพิสูจน์ถึงเดชานุภาพและเอกานุภาพของเรา) นั่นคือ แผ่นดินที่ตาย (แห้งแล้ง) ไปแล้ว เราได้ชุบชีวิตให้มันฟื้นขึ้นมา (อุดมสมบูรณ์อีก) และเราได้ทำให้เมล็ดพืช (ที่ใช้เป็นอาหาร) ผลิออกมาจากมัน แล้วพวกเขาก็บริโภคจากมัน
34. และเราได้บันดาลไว้ในแผ่นดิน ซึ่งสวนต่าง ๆ มีทั้งสวนอินทผลัมและองุ่น และเราได้ให้มีตาน้ำแตกกระจายอยู่ในนั้น
35. เพื่อพวกเขาจะได้บริโภคผลของมัน และสิ่งที่พวกเขาไม่ได้กระทำขึ้นด้วยมือของพวกเขาเอง แล้วไฉนพวกเขาจึงไม่กตัญญู?
36. ทรงบริสุทธิ์ยิ่งนัก พระองค์ผู้ซึ่งทรงสร้างบรรดาคู่ต่าง ๆ จากสิ่งที่แผ่นดินงอกเงยไว้ และจากตัวของพวกเขาเอง และจากสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ (อีกมากมาย)


คำแปล R3.
33. และสัญญาณหนึ่งสำหรับคนเหล่านี้ ก็คือแผ่นดินที่แห้งแล้ง เราได้ทำให้มันมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และทำให้เมล็ดพันธุ์พืชงอกเงยออกมาจากแผ่นดินนั้น แล้วพวกเขาก็ได้กินมัน
34. เราได้ทำให้ในนั้นมีสวนอินทผลัมและองุ่นมากมายและได้ทำให้ในนั้นมีตาน้ำ
35. ทั้งนี้เพื่อที่พวกเขาจะได้กินผลของมัน และทั้งหมดนี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจากมือของพวกเขา แล้วพวกเขายังไม่ขอบคุณอีกหรือ
36. มหาบริสุทธิ์ยิ่งคือพระองค์ ผู้ทรงสร้างทุกสิ่งเป็นคู่ ๆ จากสิ่งที่งอกเงยออกมาจากผืนดิน และจากตัวของพวกเขาเองและจากสิ่งที่พวกเขาไม่รู้


คำแปล R4.
33. และสัญญาณหนึ่งสำหรับพวกเขาก็คือ แผ่นดินที่แห้งแล้งเราได้ให้มันมีชีวิตชีวาขึ้นมาและเราได้นำเมล็ดพืชออกมา จากมัน ซึ่งส่วนหนึ่งจากเมล็ดพืชนั้นพวกเขาใช้กิน
34. และเราได้ทำให้มีในแผ่นดินนั้นเรือกสวนมากหลาย จากอินทผลัมและองุ่น และเราได้ทำมีตาน้ำในนั้น
35. เพื่อพวกเขาจะได้กินผลไม้ของมันและจากสิ่งที่มือของพวกเขาได้กระทำมันขึ้นแล้วพวกเขาจะไม่ขอบคุณกระนั้นหรือ ?
36. มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระผู้ทรงสร้างทุกสิ่งทั้งหมดเป็นคู่ ๆ จากสิ่งที่แผ่นดินได้ (ให้มัน) งอกเงยขึ้นมา และจากตัวของพวกเขาเองและจากสิ่งที่พวกเขาไม่รู้

คำแปล R5.
๓๓. และสัญลักษณ์หนึ่งสำหรับพวกเขาที่จะใช้พิจารณาเพื่อยอมรับในการฟื้นขึ้นจากสุสาน คือ แผ่นดินที่ตายแล้ว ซึ่งมันแห้งแล้ง ไร้ต้นไม้และต้นหญ้าใด ๆ เราได้ชุบชีวิตแก่แผ่นดินนั้นให้กลับมามีต้นไม้อันอุดมสมบูรณ์ และเราได้ดลให้มีเมล็ดพืชงอกออกมาจากแผ่นดินที่เคยแห้งแล้งดังกล่าว ดังนั้นพวกเขาจึงได้บริโภคจากสิ่งนั้นเมื่อมันผลิดอกออกผล
๓๔. และเราได้บันดาลไว้ในแผ่นดินซึ่งเรือกสวน มีทั้งต้นอินทผลัมและองุ่น และเราดลบันดาลให้เกิดตาน้ำแตกออกเป็นสาย ๆ ในนั้น
๓๕. เพื่อพวกเขาจะได้บริโภคผลของมันทั้งผลอินทผลัมและองุ่น โดยที่มือของพวกเขามิได้กระทำมันเลย แล้วไฉนพวกเขาจึงไม่ขอบคุณในพระมหากรุณาธิคุณของอัลเลาะห์
๓๖. ทรงบริสุทธิ์ยิ่งนัก อัลเลาะห์ผู้ทรงบันดาลบรรดาคู่ต่าง ๆ ทั้งหมดจากสิ่งที่แผ่นดินได้งอกเงยไว้ นั่นคือเมล็ดพืชและทรัพยากรอื่น ๆ และจากตัวของพวกเขาเอง ทั้งบุรุษและสตรี และอีกมากมายมหาศาลจากสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ เช่น ความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ในด้านชีววิทยา ภูมิศาสตร์ ดาราศาสตร์เป็นต้น




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ ยาสีน อายะฮฺที่ 37 – 40
 




คำอ่าน
37.วะอายะตุลละฮุมุลลัยลุ นัสละคุมินฮุน..นะฮาเราะฟะอิซาฮุม..มุซลิมูน
38.วัชชัมสุ ตัจญรีลิมุสตะก็อรฺริลละฮา ซาลิกะตักดีรุล อะซีซิลอะลีม
39.วัลเกาะมะเราะก็อดดัรฺนาฮุ มะนาซิละหัตตา อาดะกัลอุรฺญูนิลเกาะดีม
40.ลัชชัมสุยัม..บะฆีละฮา..อัน..ตุดริกัลเกาะมะเราะ วะลัลลัยลุสาบิกุนนะฮารฺ, วะกุลลุน..ฟีฟะละกี..ยัสบะหูน


คำแปล R1.
37. And a sign for them is the night, we withdraw therefrom the day, and behold, they are in darkness.
38. And the sun runs on its fixed course for a term (appointed). That is the decree of the All-Mighty, the All-Knowing.
39. And the moon, we have measured for it mansions (to traverse) till it returns like the old dried curved date stalk.
40. It is not for the sun to overtake the moon, nor does the night outstrip the day. They all float, each in an orbit.


คำแปล R2.
37. และมีสัญลักษณ์หนึ่งสำหรับพวกเขา (ได้ตริตรอง) นั่นคือกลางคืนซึ่งเราทำให้กลางวันแยกออกหายไป แล้วพวกเขาก็อยู่ในความมืดโดยพลัน
38. และดวงตะวันมันโคจรสู่ที่อยู่ของมัน นั่นเป็นข้อกำหนดโดยอำนาจแห่งพระองค์ผู้ทรงอำนาจยิ่ง ผู้ทรงรอบรู้ยิ่ง
39. และดวงเดือน เราได้กำหนดตำแหน่งต่าง ๆ ของมันไว้ (ให้เปลี่ยนแปลงที่ปรากฏในสายตา) จนกระทั่งมันมีสภาพประหนึ่งกาบอินทผลัมเก่า ๆ (คือเรียวเล็กในยามข้างแรมแก่)
40. อันดวงตะวันย่อมเป็นไปไม่ได้ที่มันจะไล่ทันดวงเดือน (เพราะอยู่กันคนละตำแหน่ง) และเป็นไปไม่ได้ที่กลางคืนจะล่วงหน้ากลางวัน (คือดวงเดือนจะล่วงหน้าดวงตะวันก็เป็นไปไม่ได้) และทุก ๆ สิ่งต่างก็โคจรอยู่ในระบบจักรวาล


คำแปล R3.
37. อีกสัญญาณหนึ่งสำหรับพวกเขาก็คือกลางคืน เราได้เอากลางวันออกมาจากมัน ดังนั้นพวกเขาจึงถูกปกคลุมอยู่ในความมืดมิด
38. และดวงอาทิตย์ที่กำลังโคจรไปยังจุดที่พักของมัน นี่คือการกำหนดของพระผู้ทรงอำนาจผู้ทรงรอบรู้
39. และดวงจันทร์นั้นเราได้กำหนดขั้นตอนการโคจรสำหรับมัน จนกระทั่งมันได้กลายเป็นเหมือนกับกิ่งอินทผลัมแห้งอีกครั้งหนึ่ง
40. ดวงอาทิตย์จะไม่ไล่ตามดวงจันทร์ และกลางคืนก็จะไม่ล้ำหน้ากลางวัน แต่ละสิ่งจะโคจรไปตามวิถีของมันเอง


คำแปล R4.
37. และสัญญาณหนึ่งสำหรับพวกเขาก็คือกลางคืน เราได้ถอนกลางวันออกจากมัน แล้วพวกเขาก็อยู่ในความมืด
38. และดวงอาทิตย์โคจรตามวิถีของมัน นั่นคือ การกำหนดของพระผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงรอบรู้
39. และดวงจันทร์นั้น เราได้กำหนดให้มันโคจรตามตำแหน่ง จนกระทั่งมันได้กลายมาเป็นเช่นกิ่งอินทผลัมแห้ง
40. ดวงอาทิตย์ก็ไม่สมควร (อนุมัติ) แก่มันที่จะไล่ตามใกล้ดวงจันทร์ และกลางคืนก็จะไม่ล้ำหน้ากลางวัน และทั้งหมดนั้นจะเวียนว่ายอยู่ในจักรราศี


คำแปล R5.
๓๗. และอีกสัญลักษณ์หนึ่งสำหรับพวกเขานั่นคือกลางคืน ซึ่งเราทำให้กลางวันแยกออกไปจากมัน ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่ในความมืดโดยพลัน เพราะพิ้นฐานจากกาลเวลา เป็นกลางคืน ส่วนกลางวันเข้ามาแทรกเท่านั้น เมื่อกลางวันแยกตัวออกไป กาลเวลาก็กลับสู่สภาพกลางคืนอันมืดมนดั่งเดิม
๓๘. และดวงตะวันย่อมโคจรตามตำแหน่งสถิตของมันเองโดยไม่ละเมิด นั่นเป็นการกำหนดของอัลเลาะห์ ผู้ทรงอำนาจยิ่ง ผู้ทรงรอบรู้ยิ่ง เพียงพระองค์เดียว หาใช่มันโคจรโดยอำนาจของตัวมันเองหรืออำนาจของสิ่งอื่น ๆ ไม่
๓๙. และดวงเดือนเราก็ได้กำหนดให้มันมีบรรดาตำแหน่งตกของมันหลายตำแหน่ง คือ ๒๘ ตำแหน่ง ใน ๒๘ คืน ในทุก ๆ เดือน และมันจะถูกปิดบัง ๒ คืนหากเดือนนั้นมี ๓๐ วัน และถูกปิดบังเพียง ๑ คืน หากเดือนนั้นมี ๒๙ วัน จนกระทั่งมันกลับคืนสภาพประดุจดังกาบต้นอินทผลัมที่เก่าแล้ว คือ เรียวเล็กเป็นเส้นโค้งและสีเหลือง
๔๐. อันดวงตะวันย่อมเป็นไปไม่ได้ที่มันจะไล่ทันดวงเดือนในตำแหน่งเดียวกันหรือในเวลากลางคืนเหมือนกัน และกลางคืนก็เป็นไปไม่ได้ที่จะล่วงหน้ากลางวัน แต่ทั้งหมดนั้นไม่ว่าจะเป็น ตะวัน เดือนและดวงดาวต่าง ๆ ล้วนแหวกว่ายอยู่ในจักรวาล




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ ยาสีน อายะฮฺที่ 41 – 46








คำอ่าน
41.    วะอายะตุลละฮุม อัน..นาหะมัลนา ซุรฺรียะตะฮุม ฟิลฟุลกิลมัชหูน
42.   วะเคาะลักนาละฮุม..มิม..มิษลิฮี มายัรฺกะบูน
43.   วะอิน..นะชะอ์นุฆริกฮุม ฟะลาเศาะรีเคาะละฮุม วะลาฮุมยุน..เกาะซูน
44.   อิลลาเราะหฺมะตัม..มิน..นาวะมะตาอันอิลาหีน
45.   วะอิซากีละ ละฮุมุตตะกูมาบัยนะอัยดีกุม วะมาค็อลฟะกุม ละอัลละกุมตุรฺหะมูน
46.   วะมาตะอ์ตีฮิม..มินอายะติม..มินอายาติร็อบบิฮิม อิลลากานูอันฮามุอฺริฎีน


คำแปล R1.
41. And an Ayah (sign) for them is that we bore their offspring in the laden ship [of Nuh (Noah)].
42. And we have created for them of the like thereunto, so on them they ride.
43. And if we will, we shall drown them, and there will be no shout (or Helper) for them (to hear their cry for help) nor will they be saved.
44. Unless it be a Mercy from Us, and as an enjoyment for a while.
45. And when it is said to them: "Beware of that which is before you (worldly torments), and that which is behind you (torments in the hereafter), in order that you may receive Mercy (i.e. if you believe in Allah's Religion, Islamic Monotheism, and avoid polytheism, and obey Allah with righteous deeds).
46. And never came an Ayah from among the Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) of their Lord to them, but they did turn away from it.


คำแปล R2.
41.และมีสัญลักษณ์หนึ่งสำหรับพวกเขา(ได้ตริตรอง) นั่นคือเราได้บรรทุกเผ่าพันธุ์ของพวกเขาไว้ในเรืออันเพียบแปล้
42.และเราได้สร้างไว้แก่พวกเขา   สิ่งที่พวกเขาใช้โดยสารซึ่งเหมือนกับเรือนั้น
43. และถ้าเราปรารถนา(จะให้เป็นไป) เราก็จะทำให้พวกเขาจมน้ำ  แล้วจะไม่มีผู้ให้การช่วยเหลือแก่พวกเขาเลย  และพวกเขาไม่ได้รับการปลดปล่อย (ให้พ้นจากการจมน้ำนั้น)
44. นอกจากโดยความเมตตาจากเรา(ที่ให้พวกเขา)และความสุข(เพียงชั่วคราวที่ให้พวกเขา)เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
45. และเมื่อมีผู้พูดแก่พวกเขาว่า “พวกท่านจงระมัดระวังสิ่งที่อุบัติต่อหน้า และภายหลังของพวกท่าน เพื่อพวกท่านจะได้รับความเมตตา”
46. และไม่ว่าสัญลักษณ์ใดก็ตามจากบรรดาสัญลักษณ์ต่าง ๆ ได้มาถึงพวกเขา นอกจากพวกเขาจะต้องหันหลังให้มัน (อย่างไม่สนใจใด ๆ ทั้งสิ้น)


คำแปล R3.
41. อีกสัญญาณหนึ่งสำหรับพวกเขาก็คือเราได้บรรทุกลูกหลานของพวกเขาไว้ในเรือที่เต็มเพียบ
42. และเราได้ทำเรือลำใหญ่ในทำนองนี้แก่พวกเขา ซึ่งพวกเขาได้ขึ้นไปโดยสาร
43. และถ้าหากเราประสงค์ เราก็สามารถทำให้พวกเขาจมน้ำโดยที่ไม่มีใครได้ยินเสียงร้องของพวกเขา และพวกเขาก็จะไม่ได้รับการช่วยเหลือใด ๆ ให้รอดพ้นด้วย
44. นอกจากความเมตตาของเราเท่านั้นที่จะช่วยพวกเขาและสามารถทำให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตจนถึงเวลาที่ถูกกำหนดไว้
45. เมื่อได้มีการกล่าวแก่พวกเขาว่า “จงปกป้องตัวเองจากสิ่งที่อยู่ข้างหน้าสูเจ้าและสิ่งที่สูเจ้าทิ้งไว้ข้างหลัง เพื่อที่สูเจ้าจะได้รับความเมตตา
46. (พวกเขาก็ไม่ใส่ใจ) และเมื่ออายะฮฺอะไรก็ตามจากอายะฮฺทั้งหลายของพระผู้อภิบาลของพวกเขาได้มายังพวกเขา พวกเขาก็หันไปจากมัน


คำแปล R4.
41. และสัญญาณหนึ่งสำหรับพวกเขาก็คือ เราได้บรรทุกลูกหลานของพวกเขาไว้ในเรือจนเต็ม
42. และเราได้สร้างทำนองเดียวกันนี้ (เรือใหญ่) แก่พวกเขา เพื่อให้พวกเขาขับขี่
43. และถ้าเราประสงค์เราก็จะจมพวกเขาเสีย แล้วจะไม่มีผู้ร้องตะโกนเพื่อขอความช่วยเหลือให้แก่เขา และพวกเขาก็จะไม่ถูกช่วยให้รอดพ้น (จากการจมน้ำตาย) ด้วย
44. เว้นแต่ด้วยความเมตตาจากเรา และความเพลิดเพลินชั่วระยะหนึ่ง
45. และเมื่อได้มีเสียงกล่าวแก่พวกเขาว่า “จงระวังสิ่งที่อยู่ข้างหน้าพวกเจ้า และสิ่งที่อยู่ข้างหลังพวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา”
46. และไม่มีสัญญาณใดในบรรดาสัญญาณของพระเจ้าของพวกเขาได้มีมายังพวกเขาเว้นแต่พวกเขาจะผินหลังให้แก่ สัญญาณนั้น ๆ


คำแปล R5.
๔๑. และอีกสัญลักษณ์หนึ่งสำหรับพวกเขาที่จะนำมาวิเคราะห์จนยอมรับในอานุภาพของอัลเลาะห์ คือแท้จริงเราได้บรรทุกเผ่าพันธุ์ของพวกเขา อันได้แก่บรรพบุรุษในสมัยอดีต ในเรือของนบีนูห์ ซึ่งเต็มเพียบไปด้วยผู้คนและสิงสาราสัตว์ต่าง ๆ
๔๒. และเราได้บันดาลแก่พวกเขา บรรดาเรือต่าง ๆ ที่พวกเขาใช้ทำขึ้นที่เหมือนกับรือของนูห์ โดยอาศัยเรือนบีนูห์ดังกล่าวเป็นต้นแบบ เป็นสิ่งที่พวกเขาขี่สัญจรไปยังทิศต่าง ๆ ตามแต่พวกเขาต้องการ
๔๓. และหากแม้นเรามีความประสงค์ เราก็จะดลพวกเขาให้จมน้ำตาย ทั้ง ๆ ที่เขาได้อาศัยเรืออยู่นั่นแหละ แล้วจะไม่มีผู้ช่วยเหลือใด ๆ สำหรับพวกเขา ที่จะเข้ามช่วยได้ และพวกเขาไม่ถูกขจัดออกใพ้นไปจากสภาพจมน้ำได้
๔๔. ยกเว้นเพราะความเมตตาอันได้รับไปจากเรา และความสุขเพียงชั่วขณะหนึ่งที่เราได้ดลแก่พวกเขาจนถึงวาระสุดท้ายแห่งอายุไขของพวกเขา
๔๕. และเมื่อมีผู้กล่าวแก่พวกเขาว่า พวกท่านทั้งหลายจงกลัวสิ่งที่มีอยู่ต่อหน้าพวกท่าน นั่นคือการลงโทษในโลกนี้ประดุจเดียวกับคนกลุ่มอื่น ๆ ที่เคยประสบมาแล้ว และสิ่งที่จะอุบัติขึ้นเบื้องหลังของพวกท่าน นั่นคือ การลงโทษในวันปรภพ เพื่อพวกเขาจะได้รับความเมตตา
๔๖. และไม่ว่าโองการใดก็ตามที่มาสู่พวกเขา จากบรรดาโองการต่าง ๆ ขององค์อภิบาลของพวกเขา โดยการประกาศของศาสนทูต นอกจากพวกเขาได้หันเหออกจากโองการนั้น ไม่สนใจและไม่ยอมรับศรัทธาโดยสิ้นเชิง




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ ยาสีน อายะฮฺที่ 47 – 50





คำอ่าน
47.   วะอิซากีละ ละฮุม อัน..ฟิกูมิม..มาเราะซะเกาะกุมุลลอฮุ กอลัลละซีนะกะฟะรู ลิลละซีนะอามะนู..อะนุฏอิมุ มัลเลายะชา...อุลลอฮุ อัฏอะมะฮฺ, อินอัน..ตุมอิลลาฟีเฎาะลาลิม..มุบีน
48.   วะยะกูลูนะมะตาฮาซัลวะอฺดุอิน..กุน..ตุมศอดิกีน
49.   มายัน..ซุรูนะอิลลาศ็อยหะเตา..วาหิดะตัน..ตะอ์คุซุฮุม วะฮุมยะคิศศิมูน
50.   ฟะลายัสตะฏีอูนะ เตาศิยะเตา..วะลา..อิลา..อะฮฺลิฮิม ยัรฺญิอูน


คำแปล R1.
47. And when it is said to them: "Spend of that with which Allah has provided you," those who disbelieve say to those who believe: "Shall we feed those whom, if Allah willed, He (himself) would have fed? You are only in a plain error."
48. And they say: "When will this promise (i.e. Resurrection) be fulfilled, if you are truthful?"
49. They await only but a single Saihah (shout, etc.), which will seize them while they are disputing!
50. Then they will not be able to make bequest, nor will they return to their family.


คำแปล R2.
47. และเมื่อมีผู้พูดกับพวกเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงสละบางสิ่งที่อัลเลาะฮฺได้ประทานโชคผลแก่พวกท่านสิ!” บรรดาพวกไร้ศรัทธาก็กล่าวกับบรรดาศรัทธาชนว่า “จะให้เราให้อาหารแก่บุคคลที่เมื่ออัลเลาะฮฺปรารถนาพระองค์ก็ย่อมให้อาหารแก่เขาเองกระนั้นหรือ? พวกท่านทั้งหลาย(ชาวมุสลิม)มิใช่อื่นใดเลยนอกจากตกอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้งเท่านั้น”
48. และพวกเขากล่าว(ประชด)อีกว่า “เมื่อใดเล่าสัญญา(แห่งการอุบัติของวันชาติหน้า)นี้ จึงอุบัติขึ้น ถ้าพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง”
49. พวกเขามิได้รอสิ่งใดเลย นอกจากเสียงกัมปนาทครั้งเดียวที่เอาชีวิตของพวกเขาไปโดยขณะที่พวกเขากำลังโต้เถียงกัน (ในการงานของพวกเขาจนลืมสิ่งอื่นใด)
50. ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถที่จะสั่งเสียได้ทัน และไม่ทันกลับมาสู่ครอบครัวของพวกเขา


คำแปล R3.
47. และเมื่อได้มีการกล่าวแก่พวกเขาว่า “จงใช้จ่ายในหนทางของอัลลอฮฺจากสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานแก่สูเจ้า” บรรดาผู้ปฏิเสธก็กล่าวแก่บรรดาผู้ศรัทธาว่า “จะให้เราเลี้ยงอาหารคนที่อัลลอฮฺเองทรงเลี้ยงเขาได้ ถ้าพระองค์ทรงประสงค์กระนั้นหรือ? พวกท่านหลงผิดกันชัด ๆ”
48. พวกเขากล่าวว่า “เมื่อใดเล่าที่คำขู่เรื่องการฟื้นคืนชีพจะเป็นจริง? ถ้าหากพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง”
49. ความจริงแล้วสิ่งที่พวกเขากำลังรอคอยอยู่มิใช่อะไรนอกไปจากการระเบิดเพียงครั้งเดียวที่จะทำลายพวกเขาในขณะที่พวกเขากำลังโต้เถียงกันอยู่ (เกี่ยวกับเรื่องของโลกนี้)
50. แล้วพวกเขาก็จะไม่สามารถสั่งเสียและไม่สามารถที่จะกลับไปยังครอบครัวของพวกเขาได้


คำแปล R4.
47. และเมื่อมีเสียงกล่าวแก่พวกเขาว่า “จงบริจาคจากสิ่งที่อัลลอฮฺทรงประทานเป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า” บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้กล่าวแก่บรรดาผู้ศรัทธาว่า “เราจะให้อาหารแก่ผู้ที่หากอัลลอฮฺทรงประสงค์ก็จะให้อาหารแก่เขากระนั้นหรือ ? “พวกท่านมิใช่อื่นใดเลยนอกจากอยู่ในการหลงผิดอย่างชัดแจ้ง “
48. และพวกเขากล่าวว่า “เมื่อใดเล่าสัญญานี้จะเกิดขึ้น หากพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง”
49. พวกเขามิได้คอยสิ่งใดเลยนอกจากเสียงกัมปนาทเพียงครั้งเดียว ซึ่งจะคร่าชีวิต พวกเขาในขณะที่พวกเขาโต้เถียงกันอยู่
50. แล้วพวกเขาก็ไม่สามารถจะสั่งเสียอันใด และพวกเขาก็ไม่ทันจะกลับไปยังครอบครัวของพวกเขาได้


คำแปล R5.
๔๗. และเมื่อมีผู้กล่าวแก่พวกเขาว่า พวกท่านจงใช้จ่ายบางสิ่งที่อัลเลาะห์ได้ทรงประทานโชคผลแก่พวกท่านเถิด อันได้แก่ทรัพย์สินต่าง ๆ ที่จะต้องนำมาบริจาค บรรดาผู้เนรคุณก็กล่าวแสดงการล้อเลียนและเยาะหยัน แก่บรรดาผู้มีศรัทธาว่า จะให้พวกเราให้อาหารเลี้ยงดูแก่บุคคลเช่นพวกท่านที่ยึดว่า มาดแม้นอัลเลาะห์ทรงประสงค์ พระองค์ก็จักประทานอาหารแก่เขาเองกระนั้นหรือ พวกท่านนั้นเท่าที่ยึดมั่นแบบนั้นมิใช่เป็นสิ่งถูกต้องอะไรเลย นอกจากว่าพวกท่านได้ตกอยู่ในความหลงผิดและความงมงายอันชัดแจ้งเท่านั้นเอง
๔๘. และพวกเขากล่าวอีกว่า เมื่อไรเล่าสัญญาแห่งการฟื้นฟูจากสุสานตามที่พวกท่านได้พร่ำพรรณนานี้จึงจะอุบัติขึ้น หากแม้นพวกท่านเป็นผู้มีสัจจะในคำกล่าวนั้น
๔๙. อัลเลาะห์ทรงโองการว่า พวกเขาจะไม่รอกาลเวลาแห่งการฟื้นจากสุสานด้วยช่วงเวลาอันยาวนานใด ๆ เลย นอกจากเพียงเสียงกัมปนาทครั้งเดียว อันเกิดจากการเป่าสังข์ครั้งแรกของอิสรอฟีล เสียงกัมปนาทนั้นมันจะคร่าชีวิตของพวกเขาให้ล้มตายกันจนหมดสิ้นไม่เหลือไว้แม้แต่สักคนเดียว โดยพวกเขายังโต้เถียงกันอยู่
๕๐. ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถที่จะสั่งเสียและไม่สามารถที่พวกเขาจะกลับจากสถานที่ต่าง ๆ ที่แยกย้ายกันไปประกอบอาชีพและทำธุระอื่น ๆ มายังครอบครัวของพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในสถานที่ใด เมื่อมีการเป่าสังข์ครั้งแรก พวกเขาก็จะล้มตาย ณ สถานที่นั้นเอง




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺยาสีน อายะฮฺที่ 51 – 53



 


คำอ่าน
51.   วะนุฟิเคาะฟิศศูริ ฟะอิซาฮุม..มินัลอัจญดาษิอิลาร็อบบิฮิม ยัน..สิลูน
52.   กอลูยาวัยละนา มัม..บะอะษะนา มิม..มัรเกาะดินา- ฮาซามาวะอะดัรฺเราะหฺมานุ วะเศาะดะก็อลมุรสะลูน
53.    อิน..กานัตอิลลาศ็อยหะเตา..วาหิดะตัน..ฟะอิซาฮุมญะมีอุลละดัยนามุหฺเฎาะรูน


คำแปล R1.
51. And the trumpet will be blown (i.e. the second blowing) and behold! From the graves they will come out quickly to their Lord.
52. They will say: "Woe to us! Who has raised us up from our place of sleep?" (It will be said to them): "This is what the Most Beneficent (Allah) had promised, and the Messengers spoke truth!"
53. It will be but a single Saihah (shout, etc.), so behold! They will all be brought up before us!


คำแปล R2.
51. และได้ถูกเป่าลงในสังข์ (เพื่อให้ผู้ตายฟื้นขึ้น) พลันพวกเหล่านั้นต่างก็ผุดขึ้นจากสุสานรีบรุดไปหาองค์อภิบาลของพวกเขา
52. พวกเขากล่าวว่า “โอ! ความหายนะของเรา! ใครหนอที่ทำให้เราฟื้นขึ้นมาจากที่นอนของเรา นี่คือสิ่งที่องค์ผู้ทรงเมตตาได้ทรงสัญญาไว้ และบรรดาศาสนทูตทั้งปวงย่อมสัจจะเสมอ
53. สิ่งนั้นมิใช่อะไรเลย นอกจากเป็นเสียงกัมปนาทครั้งหนึ่ง พลันพวกเขาทั้งหมดก็ถูกนำตัวมายังเรา


คำแปล R3.
51. หลังจากนั้น แตรก็จะถูกเป่าและพวกเขาก็จะออกมาจากสุสานเพื่อไปปรากฏตัวต่อหน้าพระผู้อภิบาลของพวกเขา
52. (ด้วยความงุนงง) พวกเขากล่าวว่า “ใครกันที่ทำให้เราลุกขึ้นจากสถานที่หลับนอนของเรา?” “นี่คือสิ่งที่พระผู้ทรงกรุณาได้สัญญาไว้และบรรดาเราะสูลนั้นพูดความจริง”
53. ไม่มีอะไรดอก ? นอกไปจากเสียงระเบิดกัมปนาทเพียงครั้งเดียวและพวกเขาทั้งหมดก็จะถูกนำมาปรากฏต่อหน้าเรา


คำแปล R4.
51. และสังข์ก็จะถูกเป่าขั้น ทันใดนั้นพวกเขาจะออกจากหลุมฝังศพ แล้วพวกเขาก็รีบรุดไปยังพระเจ้าของพวกเขา
52. พวกเขากล่าวว่า “โอ้ความหายนะที่ประสบแก่เรา! ใครเล่าที่ให้เราฟื้นขึ้นจากที่นอนของเรา (กุบูร)” (จะมีเสียงกล่าวขึ้นว่า)  “นี่แหละคือสิ่งที่พระผู้ทรงกรุณาปรานีได้ทรงสัญญาไว้ และบรรดาร่อซูลได้กล่าวสมจริงแล้ว”
53. ไม่มีอะไรดอกนอกจากเสียงกัมปนาทเพียงครั้งเดียว ทันใดนั้นพวกเขาทั้งหมดก็จะถูกนำมาปรากฏต่อหน้าเรา


คำแปล R5.
๕๑. และได้มีการเป่าลงไปในสังข์[/b]อีกเป็นครั้งที่สอง ระยะเวลาห่างกันประมาณ ๔๐ ปี ตามการอธิบายของนักปราชญ์ ดังนั้นพวกเขาจึงผลุดออกมาจากบรรดาสุสานทั่วทั้งพิภพนี้ เพื่อเดินทางไปยังพระผู้อภิบาลของพวกเขาโดยพลัน
๕๒. พวกเขารำพึงว่า โอ ความวิบัติแห่งเรา ใครกันหนอที่ทำให้เราฟื้นขึ้นจากที่นอนในสุสานของเรา การฟื้นขึ้นนี้เป็นสิ่งที่องค์อภิบาลได้สัญญาไว้แล้วนั่นเอง มันได้อุบัติขึ้นแล้ว และบรรดาศาสนทูตที่ทำการประกาศในเรื่องการฟื้นจากสุสานล้วนมีสัจจะด้วยกันทั้งนั้น แต่การยอมรับในวาระเช่นนี้ ไม่ได้อำนวยผลใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากจะต้องประสบกับความโศกเศร้าเสียใจแต่เพียงประการเดียว
๕๓. ที่จริงแล้วการฟื้นจากสุสานไม่ได้อาศัยขั้นตอนการสร้างอันยุ่งยากเลย มันมิใช่อื่นใดนอกจากเสียงกัมปนาทเพียงครั้งเดียวของอิสรอฟีล อันเป็นครั้งที่สองตามที่กล่าวไว้แล้ว ดังนั้นพวกเขาก็มารวมกันอยู่ต่อหน้าเราโดยพลัน โดยถูกนำตัวมาให้ชุมนุมกันอยู่ในสถานที่ชุนุมเดียวกัน นั่นคือ “มะฮ์ซัร”




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
 salam

คำว่า ศูรฺ (صور) ในอายะฮฺที่ 51 และที่ปรากฏในสูเราะฮฺอื่น(คือ สูเราะฮฺอัลกะฮฺฟิ อายะฮฺที่ 99 , สูเราะฮฺ ฏอฮา อายะฮฺที่ 102 , สูเราะฮฺ อัลมุอ์มินูน อายะฮฺที่ 101,  สูเราะฮฺ อันนัมลุ อายะฮฺที่ 87, สูเราะฮฺ อัซซุมัรฺ อายะฮฺที่ 68, สูเราะฮฺ กอฟ อายะฮฺที่ 20, สูเราะฮฺ อัลหากเกาะฮฺ อายะฮฺที่ 13 และสูเราะฮฺ อันนาซิอาต อายะฮฺ ที่ 6 และ7)นั้น มีผู้ให้ความหมายต่างกัน ดังนี้
R1. แปลว่า trumpet
R3. แปลว่า แตร
R2. R4. & R5. แปลว่า สังข์
    หลายคนรวมทั้งผู้นำเสนอเอง เคยเรียนมาเมื่อตอนเป็นเด็กว่า มะลาอิกะฮฺชื่อ อิสรอฟีลนั้นมีหน้าที่เป่าสังข์ในวันสิ้นโลก ผู้นำเสนอเคยนึกถึงภาพสังข์ที่พราหมณ์เป่าในพิธีต่าง ๆ เป็นเครื่องเป่าที่ทำมาจากหอยสังข์ตามรูป



        แต่ที่จริงแล้ว ศูรฺ(صور)นั้น ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ให้คำอธิบายไว้ดังนี้(เล่าจากอับดุลลอฮฺ อิบนิ อุมัรฺ ว่า)
 

   “ชาวอาหรับชนบทคนหนึ่งได้มาหาท่านนะบียฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และถามว่า โอ้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศูรฺนั้นคืออะไร ท่านตอบว่า เขาสัตว์ที่ใช้เป่า” บันทึกโดยติรฺมิซียฺและอะบูดาวูด
   ดังนั้น คำว่าศูรฺ น่าจะมีความหมายว่า “เขา” จึงจะใกล้เคียงที่สุด แต่ผู้นำเสนอจะยังคงใช้คำเดิมที่ผู้แปลอัลกุรฺอานทั้ง 5 references ใช้ แต่ขอให้ผู้อ่านเข้าใจว่า ศูรฺ ( صور) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เป่าในวันสิ้นโลกมีลักษณะคล้ายเขาสัตว์ ส่วนลักษณะที่แท้จริง อัลลอฮฺผู้สูงส่งเท่านั้นทรงรู้



 

GoogleTagged