สง่า วังทอง สร้างสุขให้ชีวิตด้วยภูมิปัญญาไทย
โดยหลักๆแล้ว อ.สง่า วังทองนับได้ว่ามีอาชีพเป็นอาจารย์ โดยเริ่มจับชอล์คครั้งแรกที่โรงเรียนหนองจอกพิทยานุสรณ์ ก่อนจะวนเวียนไปช่วยสอนและบริหารที่หลายโรงเรียน ล่าสุดเข้าไปช่วยบริหารที่โรงเรียนกุรรอ์วิทยา พอโรงเรียนกุรรออฺวิทยาอยู่ตัว ก็ตัดสินใจ ออกมาทำโรงเรียนของตัวเองในปีหน้าที่จังหวัดชุมพร
แต่ที่จะมาคุยกันในวันนี้คือบทบาทของอ.สง่าในฐานะครูภูมิปัญญาไทย สาขาแพทย์แผนไทย ซึ่งที่มาของความรู้ที่สั่งสมนั้นได้มาจากพ่อของอ.สง่าเอง
“ผมมันคนขี้โรค คุณพ่อก็เป็นคนที่รู้อะไรมากหน่อย ตั้งแต่เรื่องกวาดยา ตั้งแต่เกิดยัน 5 ขวบ คุณพ่อผมก็กวาด ไม่ต้องไปหาหมอที่ไหน พ่อเขาก็ทำเรื่อยมา ผมก็รู้ว่าคุณพ่อใช้ยาอะไร ก็เก็บๆไว้เป็นตำราเรื่อยมา พอตอนผมอายุยี่สิบห้า ผมเป็นหวัดเป็นๆหายๆ ก็ไปหาหมอ แล้วมีโอกาสได้เจอกับคนอีสานที่มารับจ้างทำงานที่บ้านพ่อ คนอีสานก็บอกว่า อาการแบบนี้รักษาได้ด้วยหญ้าหมอน้อย ซึ่งหาได้ง่ายเยอะแยะทั่วไป พอผมกินก็หาย ผมก็บอกต่อทั่วๆไป แก้ไข้ได้ มาลาเรียนี่หายแน่นอน แก้ไข้หัวลมได้”
พอรู้จักยาสมุนไพรใกล้บ้านตัวแรกจากพี่น้องชาวอีสาน อ.สง่า ก็เริ่มค้นหายาตัวต่อๆมาจากคำแนะนำ จากหนังสือ จนเรียกได้ว่าเป็นผู้ทรงความรู้ด้านสมุนไพรไทยคนหนึ่ง และทุกครั้งที่ชุมชนหรือองค์กรที่รู้จักกันจะไปทำกิจกรรมที่ไหนก็มักจะชวนอ.สง่าไปช่วยดูแลเรื่องพยาบาล แต่พยาบาลคนนี้ก็ไปแบบมือเปล่าทุกที 'ผมไปหายาเอาข้างหน้า' ตามรั้ว สองข้างทางเดิน นั่นคือตู้ยาของ อ.สง่า
ยกตัวอย่างยาตามข้างทางของ อ.สง่าสักเล็กน้อยก็เช่น รางจืด
“ตัวนี้ใช้กับพวกเลิกยาเสพติด เพราะกินแล้วมันเบื่อ กินยาด้วยแล้วเบื่อไปเมาไป ก็ไม่อยาก สูบบุหรี่ก็เบื่อ ผสมเหล้าก็จืด”
ตัวที่อ.สง่าแนะนำอย่างมากก็คือ มะรุม
“ถ้าไม่สบาย มะรุมช่วยได้เกือบทุกโรค มะเร็งก็ได้ กินแล้วจะดีวันดีคืน แต่อย่ากินเกิน 8 แคปซูลต่อวัน กินได้แค่ตอนเช้ากับตอนเที่ยงเท่านั้น ตอนเย็นกับกลางคืนกินไม่ได้”
อีกตัวคือ น้ำลูกยอ
“หากคุณเป็นไซนัส เป็นภูมิแพ้ มันไม่ใช่เรื่องยาก กินน้ำลูกยอเดี๋ยวก็หาย”
ด้วย องค์ความรู้ที่มีเมื่อขยับมาเป็นครูภูมิปัญญาไทย รวมทั้งการที่ได้ไปเข้าร่วมอบรมในโรงเรียนผู้นำสุขภาวะมุสลิมของแผนงานสร้าง เสริมสุขภาวะมุสลิมไทย ซึ่ง อ.สง่าบอกว่าได้รับมา เต็มๆคือความรู้ในเรื่องการบริหาร ซึ่งตัวอาจารย์เองบอกว่า คนที่เข้ารับการอบรมส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่มีความรู้ ดังนั้นสิ่งที่ได้รับหลังจากการอบรมก็คือ การสามารถบริหารจัดการองค์ความรู้ที่มีอยู่ติดตัวให้เผยแพร่ไป
“ผมเริ่มทำออฟฟิศ ใครอยากได้ความรู้ก็มานั่งคุยกัน จะคุยเป็นการส่วนตัว หรือนั่งตีวงคุยกันก็ได้ หรืออย่างวันอาทิตย์ที่คลอง 20 กับคลอง 15 เขาจัดอบรมจริยธรรม เขาก็ให้ผมไปพูดเรื่องสุขภาพ เพราะมุสลิมเป็นมะเร็งเป็นเบาหวานกันเยอะ”
ความรู้ด้านการบริหารจัดการอีกข้อที่อ.สง่า ได้จากโรงเรียนผู้นำสุขภาวะมุสลิมก็คือการบริหารด้วยคุณธรรมนำความรู้ ซึ่งเขาตั้งใจจะนำไปใช้บริหารในโรงเรียนอนุบาลของตัวเองที่ชุมพรซึ่งกำลังจะ เปิดในปีหน้า
“ใน โรงเรียนนี้ผมจะใช้คุณธรรมนำความรู้ ผมจะสอนเรื่องชีวิต อาจารย์อาจอง ชุมสายบอกว่า เด็กนี่เติมความดีให้เขาเยอะๆเขาก็เรียนเก่งเอง และโรงเรียนเราจะเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคม เราจะไปช่วยสังคม อบต. อบจ.”
ไม่ ว่าจะบทบาทการเป็นครู บทบาทหมอแผนไทยหรือบทบาทใหม่ในฐานะเจ้าของโรงเรียน ทุกบทบาทของชายที่ชื่อสง่า วังทอง ไม่เคยห่างหายจากการใช้ภูมิปัญญาไทยๆมาสร้างชีวิตที่เป็นสุขให้กับทุกผู้คน
เพราะคนอย่างเขาชมชอบกับการเป็นผู้ให้มากกว่าการแบมือรับอยู่แล้