ผู้เขียน หัวข้อ: เมื่อรู้สึกท้อแท้กับการเป็นคนดี  (อ่าน 1292 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด

อัสลามุอะลัยกุม วะเราะมาตุลลอฮฺ วะบารอกาตุ

บทความต่อไปนี้...ตั้งใจที่จะเขียนขึ้นเพื่อปลอบใจ
ให้กำลังใจผู้ที่รักในการทำความดี และผู้ที่ใกล้จะหมดหวัง
เต็มทีแล้วกับการเป็นคนดีมาตลอด...

พร้อมกับเป็นการปลุกตัวเอง ให้ตระหนัก ให้หนักแน่นด้วยค่ะ...

ซึ่งจะไม่เขียนอะไรที่มันเป็นการจิตนาการเอาเอง
แต่จะเขียนขึ้นจากประสบการณ์โดยตรง...และจากการได้
มองเห็นชีวิตและความเป็นไปของผู้อื่น...

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อรู้สึกท้อแท้กับการเป็นคนดี
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ก.ย. 28, 2013, 11:13 AM »
0
ทำไมเราถึงได้ท้อแท้กับการเป็นคนดี ท้อแท้กับการทำความดี?

มันช่างเป็นคำถามที่เราอาจจะไม่ได้ค้นหาคำตอบอย่างแท้จริงก็ได้...

ซึ่ง...มันขึ้นอยู่กับว่า...เราทำดีเพื่ออะไร?
และเราทำความดีทำไม?

เราไม่มีความสุขเลยหรือกับการทำความดี
หรือการทำความดีนั้นทำให้เราทุกข์ทรมาน...

หากใครเคยปีนภูเขาสูง...จะรู้ดีว่า...ยิ่งปีนขึ้นไปสูงเท่าไหร่
ก็จะยิ่งหนาว...และเราจะพบกับคนน้อยลงๆเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าทำไมถึงเจอคนน้อยลงเช่นนี้...
แต่พอย้อนถามมาที่ตัวเองว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง เราก็อาจจะได้คำตอบว่า
ทำไมเราถึงพบเจอคนน้อยลงเรื่อยๆ...
เพราะกว่าจะไปถึงยอดเขา...เราต้องผ่านความยากลำบากมากมาย
บางคนอดทนและมานะบากบั่นจนฝ่าฟันไปได้...
บางคนทดท้อจนต้องล้มเลิกความตั้งขอลงไปอยู่ ณ ที่เดิมที่เคยจากมา...

หัวใจสำคัญในการปีนภูเขาก็คือ...เราตั้งใจจะปีนขึ้นไปทำไม และเพื่ออะไร

เป้าหมายในชีวิตของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน...
บางคนปีนภูเขาลูกเดียวกันก็จริงอยู่ และเป้าหมายก็คือ ปีนไปให้ถึงยอดเขา
แต่ความตั้งใจที่จะไปถึงเป้าหมายนั้น ใช่ว่าเราจะคิดเหมือนกัน
หรือมีความตั้งใจเหมือนกันทุกคน...ทุกคนมีเหตุผลว่าทำเพื่ออะไร...
แม้ท้ายที่สุด เราจะปีนถึงยอดเขาเดียวกัน
แต่ด้วยความตั้งใจที่แตกต่าง ผลลัพธ์ที่ได้ก็ย่อมแตกต่างกัน...

เราจะไม่พูดถึงผู้ที่ปีนไปไม่ถึงยอดเขา...แต่ตอนนี้เราจะพูดถึงคน
ที่สามารถปีนไปถึงยอดเขาได้ ว่าเขาเหล่านั้น ทุกผู้ย่อมผ่านความยากลำบาก
มาแล้วทั้งนั้น...และแน่นอนว่า ย่อมต้องผ่านความรู้สึกทดท้อมาแล้วทั้งนั้น
แล้วอะไรเล่าที่ทำให้เขาฝ่าฟันทุกความลำบากและทุกความรู้สึกจนสามารถ
พิชิตยอดเขาได้สำเร็จ...

อาจจะเป็นเพราะ...ความตั้งใจ มุ่งมั่น หนักแน่น และพร้อมจะเผชิญทุกอย่าง
ด้วยหัวใจที่เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ การข่มใจ ยับยั้งชั่งใจ อดทน รู้จักเรียนรู้
ที่จะพักเพื่อจะได้ก้าวต่อไปได้อีกก้าวและอีกก้าว...
เพราะไม่มีใครก้าวได้ทีละมากกว่าหนึ่งก้าว ทุกคนก้าวได้ทีละก้าวทั้งนั้น
ซึ่งแน่นอนว่า ก้าวทีละก้าวที่ว่าของแต่ละคนนั้นสั้นยาวไม่เท่ากัน...
แต่ขอให้แน่ใจว่า...เราก้าวได้ทีละก้าว และทุกๆก้าวของเรานั้น
เราใส่อะไรไปบ้าง...และเราได้อะไรจากก้าวแต่ละก้าวนั้นๆบ้าง...
เราอาจเสียใจ ร้องไห้ เมื่อมีก้าวๆนึงที่เราก้าวไปแล้วมันพลาด
พลาดอย่างไม่น่าให้อภัย...แต่หากเรามองให้แน่ใจ พิจารณา
การก้าวพลาดนั้นมีประโยชน์กับเรา ได้สอนอะไรบางอย่างกับเรา
ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับความคิดเราแล้วว่า เรามองก้าวที่ก้าวพลาดนั้นว่าอย่างไร...
เพราะก้าวที่พลาดนั้น จะมีผลต่อก้าวต่อๆไปของเราเสมอ...

และหากระหว่างเดินทาง เราได้สังเกตสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่บ้าง โดยมิได้เอาแต่
ก้มหน้าก้มตาเดินอย่างเดียว เราก็อาจได้เรียนรู้ความผิดพลาดจากผู้อื่น
และความผิดพลาดของผู้อื่นก็อาจจะเป็นครูสอนเราได้ หากเรารู้จักนำมาปรับใช้

และแน่นอนว่า...ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียวที่ไม่เคยก้าวพลาด...
หากเราจะก้าวพลาดบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องผิดธรรมชาติ...
และก็ไม่ใช่เร่ืองที่เราจะเอาโทษตัวเองหรือคนรอบข้างที่เป็นต้นเหตุ
แห่งการก้าวพลาดนั้นจนไม่อาจให้อภัยได้...และนั่นก็คืออีกหนึ่งบทเรียน
จากการก้าวพลาดอีกเช่นกัน ที่ไม่ได้สอนให้เรากล้าที่จะก้าวไปข้างหน้าได้มากขึ้น
อย่างเดียว แต่มันได้สอนให้เราเรียนรู้ที่จะให้อภัยตนเองและผู้อื่นด้วย...
หากเรามองมันในแง่ดี...ในแง่บวก...ชีวิตเราจะเป็นบวกอยู่ตลอดเวลา...

และด้วยความบากบั่น ความตั้งใจที่จะไปให้ถึงเป้าหมายมันเริ่มชัดเจนในหัวใจ
ขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่า...เขาย่อมไม่คิดที่จะจากไปหรือล้มเลิกความตั้งใจ
ทั้งๆที่ยังปีนไปไม่ถึงยอด...

การมีเป้าหมายที่ชัดเจนนั้นมีข้อดีอยู่ก็คือ...เราจะทำอะไรได้ชัดเจน
และเห็นภาพชัดเจน...ไม่สับสน...คนอื่นมองมาที่เราก็จะเห็นภาพชัดเจน
รู้แน่ว่า นี่แหล่ะคือเราล่ะ...และตัวเราเอง หากเราชัดเจนกับตัวเอง
ชัดเจนกับความรู้สึกของตัวเอง เราก็จะเป็นคนที่ชัดเจน...มิใช่ผู้สับสน...


ในโลกนี้ มีไม่กี่อย่างที่ถูกตามหา ถูกมุ่งหา...

1.ความดี

2.ความรู้

3.ความจริง

4.ความงาม

5.ความมั่งมี

6.อำนาจ


ซึ่ง 6 ข้อดังกล่าวนั้น หากเปรียบไปก็เหมือนภูเขา 6 ลูก

และอยู่ที่เราว่า...เราต้องการพิชิตยอดเขาใด...
ชีวิตคนๆนึง อาจสามารถพิชิตยอดเขาได้มากกว่ายอดเขาเดียว
ในขณะที่ก็มีอีกหลายชีวิต ที่ไปและปีนมาแล้วทุกๆยอดเขาที่ว่ามา
แต่ก็ไม่เคยเลยที่จะสามารถปีนไปถึงยอดเขาเหล่านั้นได้แม้แต่ยอดเขาเดียว...

มีเราเท่านั้นที่จะรู้ดีว่า ทำไมเราถึงไปไม่ถึง...

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อรู้สึกท้อแท้กับการเป็นคนดี
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ก.ย. 28, 2013, 11:52 AM »
0
ต่อมาจะเป็นบทความเกี่ยวกับ การปีนขึ้นสู่ยอดเขาที่ 1
ซึ่งก็คือ "ยอดเขาแห่งความดี"

ต้องออกตัวก่อนว่า คนเขียนก็ยังปีนไปสู่ยอดเขาแห่งนี้ไม่ได้เลยค่ะ
แต่ก็ตั้งใจเหลือเกินที่จะพิชิตยอดเขาแห่งนี้ให้ได้...

ซึ่งวิธีที่เคยใช้มาเมื่อครั้งก่อนไม่ค่อยได้ผลนัก...
เนื่องจากเมื่อก่อน ใช้วิธีที่ ถ้าใครร้ายมาก็ร้ายตอบไป 10 เท่า
และถ้าใครดีกับฉันมา แน่นอนว่าฉันจะดีด้วย 20 เท่า...
ถึงขนาดประกาศว่า ใครอย่าคิดที่จะทำร้ายฉันเด็ดขาด มิเช่นนั้น
จะได้รู้จักฉันในแบบที่ไม่เคยรู้จัก...และใครที่ดีกับฉันจะต้องรักฉันยิ่ง
เพราะฉันจะปฏิบัติดีกับเขายิ่งกว่าที่เขาให้ฉันมาแน่นอน...
ตอนนั้นเป็นคนที่ชัดเจน ชัดเจนที่จะเป็นคนเช่นนั้น...

แน่นอนว่า ตัวเองก่อนหน้านี้นั้น
ไม่มีใครกล้าแหยมหรือกล้าหาเรื่องนัก...แต่ใครจะรู้ว่า...
เมื่อเราเป็นคนเช่นนั้นแล้ว...สิ่งที่ตามมาก็คือ...
จากที่เราแน่ใจว่าเรานั้นเป็นคนที่ชัดเจน คือ เป็นคนแบบนั้นก็คือแบบนั้น
คนอื่นๆเขาก็รู้ว่าเราเป็นคนแบบนั้นแหล่ะ...
แต่ภายในจิตใจมันกลับทะเลาะกันว่า...แท้จริงฉันเป็นคนดีหรือคนไม่ดีกันแน่
และการเป็นคนเช่นนี้ มันดีแล้วจริงๆหรือ....เพราะเท่าที่รู้ก็คือ
ชีวิตฉันมันดูสับสนแปลกๆ...ทั้งๆที่เราค่อนข้างชัดเจนในอุดมการณ์นั้น...

เลยมีเหตุการณ์หลายๆเหตุการณ์มาทดสอบตัวเราว่า...
หากเขาร้ายกับเรามา แล้วเราร้ายตอบ...เราจะกลายเป็นคนร้าย ณ ตอนนั้น
และอาจจะร้ายยิ่งกว่าเขาเสียอีก เพราะเราเล่นเอาคืนเขาไปหลายเท่าตัว...

และหากเขาดีกับเรา แล้วเราดีตอบ...เราก็จะกลายเป็นคนดี ณ ตอนนั้น
และเราอาจจะดีกว่าเขาหลายเท่าก็ได้ เพราะว่าเรามอบความดีให้เขาไป
มากกว่าที่เขาให้เราอีกหลายเท่า

แต่พอหันมาถามตัวเองว่า...ตกลงฉันเป็นคนร้ายหรือคนดี...
และก็พอดีว่าช่วงชีวิต ณ ตอนนั้น ดันพบเจอแต่คนร้ายๆ คนที่เห็นแก่ตัวสุดๆเสียด้วย
แล้วเราก็ทำกับเขาเหมือนที่เขาทำกับเรามาแบบตอบแทนไปเป็น 10 เท่า
และเมื่อทำร้ายเขาเสร็จ กลับมาถามตัวเอง...ฉันมีความสุขไหมที่ได้ทำแบบนั้นไป?
สะใจมากเลยหรือที่ได้ทำเช่นนั้น? พอใจแล้วใช่มั้ยที่ได้ทำร้ายคนอื่นให้เจ็บปวด
ยามที่ตัวเองโดนทำร้าย? แน่นอนว่าฉันไม่เคยทำร้ายใครก่อน แต่มันจำเป็นมากเลยหรือ
ที่เราต้องเอาคืนเขาโดยที่เราก็ไม่ค่อยจะแน่ใจแล้วว่า นี่คือ ความสุข
คือความพอใจที่แท้จริง...แล้วที่ทำๆอยู่นั้น เราทำแล้วได้อะไร...เราต้องการอะไรกันแน่

นั่นคือ ห้วงเวลาที่ความสับสนเข้ามาเยี่ยม...วันนี้ที่ข้ามผ่านความสับสนนั้นมาได้
ก็ได้แต่ขอบคุณความสับสนในหัวใจวันนั้นที่พลิกชีวิตคนนึงให้คิดใหม่ทำใหม่
ทำให้ได้เจอและได้สัมผัสกับภูเขาอีกลูกนึงซึ่งยังไม่เคยได้ปีนมาก่อน
นั่นคือ "ภูเขาแห่งความจริง" มันมีเสน่ห์น่าหลงใหลจนทำให้อยากปีนเขาอีกลูกนึงขึ้นมา
นั่นคือ "ภูเขาแห่งความดี"

วันนั้น วันที่หลุดพ้นมาจากวังวนอันสับสนดังกล่าวมาได้
สิ่งที่บอกกับตัวเองก็คือ...

หากชีวิตเราต้องเจอกับคนไม่ดี คนที่ทำร้ายเราอยู่ตลอด
จนหาคนที่ทำดีกับเราไม่ค่อยได้เลย
เราจะต้องกลายเป็นคนร้าย คนชั่ว เพราะว่าคิดแต่จะเอาคืนคนเหล่าน้ันที่พบเจอหรือ?
เราจะยอมให้สังคมแย่ๆแบบนั้นกลืนความดีของเราไปจริงๆหรือ
ในเมื่อเราก็มีความคิดที่จะทำดีอยู่แล้ว แต่เราจะทำดีเฉพาะกับบางคน
และเฉพาะบางสถานการณ์หรือ...คนดีเขาไม่เลือกที่จะปฏิบัติใช่ไหม
เพราะคนดี เขาย่อมปฏิบัติดีตลอดเวลา ไม่ได้เลือกปฏิบัติมิใช่หรือ...
เนื่องจาก เราเลือกที่จะทำดี เพราะพอใจท่ีจะเป็นคนดี รักที่จะทำความดี
อยากเป็นคนดี...เพื่อ...เพื่ออะไรล่ะ?
เหตุผลหนึ่งก็คือ...ทำดีแล้วมีความสุขกว่าทำชั่วน่ะสิ...
เพราะเมื่อได้ลองทำแล้ว...ดอกผลแห่งความดีมันดีกว่าดอกผลแห่งความชั่วมากมาย
หลายเท่านัก...แม้คนอื่นจะมองไม่เห็นดอกผลแห่งความดีหรือชื่นชม
ดอกผลแห่งความดีนั้นก็ตาม...แต่เรารู้ เราเห็น เห็นมันได้ชัดเจนกว่าคนอื่น
เนื่องจากเราเป็นคนปลูกต้นแห่งความดีขึ้นในหัวใจเราเอง...
มันสวยในสายตาเรา มันบานอยู่ในหัวใจเรา...
มันก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือที่จะทำให้เราอยากเห็นดอกผล
แห่งความดีงามที่เราปลูกและรดน้ำพรวนดินตลอดไป...
และปุ๋ยที่จะเสริมให้ต้นแห่งความดีงอกงามได้ ก็คือ ความตั้งมั่น...
ตั้งมั่นอยู่กับสิ่งที่เราปลูก หากเราปลูกความดี เราก็ต้องตั้งมั่นบนความดี
ไม่ว่าจะเจอแดด ฝน หรือพายุ เราก็จะประคองและปกป้องต้นแห่งความดี
จนสุดกำลังของเรา หากมันมีอันต้องเหี่ยวเฉาเพราะเจอแดดแรง
หรือโดนราดน้ำร้อนใส่ หรือหากว่าต้นของมันมีอันต้องล้มลงเพราะโดนพายุหนัก
กระหน่ำเข้าใส่...ก็ขอให้เรายืนหยัดที่จะปลูกมันขึ้นมาใหม่ให้ได้อีกครั้ง...
เพราะหากเรารักต้นแห่งความดี เราก็ย่อมต้องการจะเห็นมันกลับมา
ยืนต้นอีกครั้ง และเบ่งบานในใจเราอีกครั้งมิใช่หรือ...

เหมือนเราตั้งใจจะปีนขึ้นยอดเขาแห่งความดี ซึ่งแน่นอนว่าเราต้องเจออุปสรรค
หนักขึ้นเรื่อยๆ จนบางครั้งเราก็ต้องหยุดก้าวเดินด้วยความเหนื่อยล้า
ทำให้เวลาที่จะไปถึงยอดเขาช้าขึ้น แต่ถึงจะไปถึงช้า มันก็ยังดีกว่าเราล้มเลิกความตั้งใจ
แล้วเลิกปีนมิใช่หรือ ไปถึงช้ามันก็ยังดีกว่าไปไม่ถึงมิใช่หรือ...


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อรู้สึกท้อแท้กับการเป็นคนดี
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ก.ย. 28, 2013, 12:07 PM »
0
เมื่อมีความมุ่งมั่น คู่กับการตั้งมั่น เราก็จะมีแรงและกำลังใจ
ที่จะมุ่งสู่เป้าหมายนั้นๆ...

ซึ่งต่อมา...เมื่อเจอคนที่ไม่ดี และเดินเข้ามาเพื่อตั้งใจจะมาหลอกเรา
เราเห็น เพราะที่เราเห็นชัดเจนว่าเขาตั้งใจมาหลอกเรา
ก็เนื่องมาจากว่า เรารู้จักคนประเภทนั้นแล้ว...
ข้าน้อยที่ตั้งใจที่จะเป็นคนใหม่แล้ว ก็เลยเลือกที่จะเปิดประตูต้อนรับเขาด้วยไมตรี
และด้วยความจริงใจอย่างที่ไม่คิดว่าเราจะทำได้เลยจริงๆ...
รอฟังเขา รอดูเขาด้วยความอยากรู้ว่า เขามาหาเราด้วยต้องการอะไรจากเรากัน
แน่นอนว่า ตอนนั้น ไม่ได้รังเกียจคนเช่นนั้นอีกแล้ว...เพราะตั้งใจว่า
จะช่วยคนเดือดร้อน แม้ว่าเขาจะเดินมาหาเราด้วยวิธีการใดหรือใช้วิธีการใด
กับเราก็ตาม...ขอแค่ให้แน่ใจว่า...เขามาหาเราเพราะเขาเดือดร้อนมาจริงๆ...
แค่นั้น เพียงแค่นั้นที่ต้องการ...
ส่วนวิธีการที่เขาใช้กับเรานั้น...ช่างมัน! ฉันไม่อยากสนใจแล้ว...
ถ้าเขาใช้วิธีการไม่ดีกับเรา จุดด่างดำจะเกิดขึ้นในจิตใจเขาหนึ่งจุด
ยิ่งเขาทำแบบนั้นกับคนอื่นๆด้วย จุดด่างดำในจิตใจก็จะเกิดขึ้นในใจเขาเพิ่มอีก...
และเมื่อเราทำดีกับเขา เราก็จะลดจุดดำในหัวใจเราได้หนึ่งจุด พร้อมกับเพิ่มจุดสว่าง
ให้กับหัวใจเราได้อีกหนึ่งจุด และหากเราทำดีอยู่เช่นนี้กับคนที่ตั้งใจจะหลอกลวงเรา
หรือตั้งใจจะทำร้ายเรา นั่นจะเป็นการช่วยเหลือเขาไปโดยอัตโนมัติ
หากว่าหัวใจของเขาไม่มีจุดดำจนกลายเป็นจุดมืดดำในหัวใจมากเกินไป...
แสงแห่งความดีที่เราปลูกมันจะไปช่วยลดจุดดำในใจคนอื่นได้เช่นกัน
และมีเพียงเราเท่านั้นที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงนั้น...โดยที่บางครั้งเจ้าตัว
หาได้รู้ตัวเลย...จากเดิมที่เขาชอบหลอกลวงชาวบ้าน เขาก็เริ่่มรู้จักที่จะ
จริงใจกับคนอื่นเรื่อยๆ เขาไม่รู้ตัว และเรารู้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงนั้น
เนื่องจากเราเห็นเขามาแต่ต้น และก็เห็นความเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่ีอยๆ...

เลยทำให้รู้สึกว่า...การทำสิ่งดีๆ ไม่ได้ก่อให้เกิดสิ่งดีๆแก่หัวใจเราเพียงแค่นั้น
แต่ดอกผลแห่งความดีอาจจะไปบานในหัวใจคนอื่นที่เรานำมันไปฝากไว้ก็ได้
(ที่บอกว่าก็ได้นั้น เพราะว่าไม่อยากให้เราคาดหวัง เนื่องจากว่า ดอกผลแห่งความดี
ที่เรานำไปฝากไว้กับคนอื่น อาจจะไม่ได้บานได้ทุกต้น แค่บางต้นเท่านั้น
และอาจจะบานได้ไม่นานก็เหี่ยวได้อีกเช่นกัน...) จึงไม่อยากให้คนทำดี
คาดหวังอย่างสุดโต่งนักว่าการปลูกความดีในหัวใจคนอื่นจะต้องได้ผลเช่นนั้นเช่นนี้
แค่เราตั้งใจปลูกมันอย่างดี และพยายามรดน้ำพรวนดินต้นแห่งความดีในหัวใจเรา
พร้อมกับรดหัวใจให้คนอื่นไปด้วย แค่นั้น ก็นับว่า ดีมากแล้ว
ส่วนดอกผลจะงอกงามขนาดไหน อยากให้เรามอบหมายกิจการงานนี้
แก่เจ้าของทุกๆสรรพสิ่ง นั่นคือ อัลลอฮฺ ตะอาลา...พระองค์คือผู้ทรงทำให้มันงอกงาม
อีกทั้งยังสามารถทำให้มันเติบโตสวยงามได้...เนื่องจากแท้ที่จริง
ทุกอย่างมิได้เกิดจากอำนาจของเราโดยแท้จริง แต่เกิดจากเราได้รับอำนาจนั้น
มาจากอัลลอฮฺอีกทีนึง...ความดีก็มาจากพระองค์ ดอกผลแห่งความดีก็มาจากพระองค์

การปลูกความดีนั้น ทำได้ไม่ยากเท่ากับการรักษาความดีเอาไว้ให้ได้...

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อรู้สึกท้อแท้กับการเป็นคนดี
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ก.ย. 28, 2013, 01:04 PM »
0
ได้ยินคำพูดผ่านจากคนหลายๆคนรอบๆกายท่ีพูดว่า

"ทำดีแทบตาย แต่ดูพวกเขาไม่เคยเห็นค่าของมันเลย ดูเขาทำกับฉันสิ...
ฉันดีกับเขาขนาดนี้ แต่ดูเขาทำกับฉันสิ..."

เสียงคนพูด แววตาคนพูดเหมือนสิ้นหวังกับการทำดี จนคนฟังอย่างข้าน้อย
ไม่ได้รู้สึกใจหายแต่อย่างใด เพราะได้ยินประโยคเช่นนี้มาจนชินหู
และก็เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ความรู้สึกแบบนี้เป็นเช่นไร ทำไมข้าน้อยจะไม่เข้าใจ...

ก็เลยบอกแก่ทุกคนที่พูดอย่างสิิ้นหวังแบบนั้นไปว่า

"หากเราแน่ใจว่าเราเป็นคนดี ก็ต้องเป็นคนดีให้ดีที่สุด
อย่าให้อะไรหรือความรู้สึกไหนมาพรากมันไปจากเรา...
การทำไม่ดีของคนอื่น ก็คือการทำไม่ดีของคนอื่น...
เขาไม่ดี เราจะต้องไม่ดีไปกับเขาด้วยหรือ...
เขาร้ายกับเรา เราต้องร้ายไปกับเขาด้วยหรือ...
หากสังคมเป็นเช่นไร เราก็ต้องเป็นเช่นนั้นหรือ...
หากสังคมมีคนดีมาก และเขายกย่องคนดี ให้เกียรติคนดี
เราก็อยากทำความดี เพราะว่าเราจะโดนยกย่อง และถูกให้เกียรติ
ถูกมองว่าเป็นคนที่มีคุณค่ายิ่งด้วยกับความดีที่เราได้ทำไป...
แต่พอสังคมเหยียบย่ำคนดี ไม่ได้ชื่นชมยกย่องคนดี ไม่ได้ให้คุณค่าแก่ความดี
และมองคนดีว่าเป็นแค่ลาโง่เสียแล้ว
เราก็จะเลิกทำความดี เพราะว่าเราจะโดนคนอื่นเหยียบย่ำด้วยกับการทำความดีของเรา
อีกทั้งอาจโดนสังคมเอาเปรียบอีก ซ้ำอาจจะโดนมองว่าเป็นคนโง่
ที่โดนคนฉลาดแกมโกงเอาเปรียบอยู่ร่ำไป...

เราอยากทำความดีเพียงเพราะต้องการแค่นี้จริงๆหรือ
แต่ต้องการการยอมรับ ต้องการการยกย่องให้เกียรติ
ต้องการการถูกมองอย่างมีคุณค่าจากผู้อื่น...
นี่คือเหตุผลของการทำความดีของเราหรือ...ดังนั้นมันก็ไม่เห็นแปลก
หากนีี่จะเป็นสาเหตุนึงที่ทำให้เราล้มเลิกความตั้งใจที่จะเป็นคนดีได้ง่ายๆแบบนี้...
ก็เพราะความมุ่งหวังในการทำความดีของเรามันมีเพียงแค่นี้...
หัวใจเราก็เลยเหี่ยวได้ง่ายๆเมื่อสังคมมันเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้ว...
เราก็เลยไม่อยากทำความดีเหมือนเดิม เพราะการทำความดีเหมือนเดิมที่เคยทำมา
มันไม่ได้ส่งผลให้เราได้รับการยอมรับจากผู้อื่นเหมือนอย่างแต่ก่อนอีกแล้ว..

คนที่ทำความดีด้วยสาเหตุนี้หรือด้วยเป้าหมายเช่นนี้
ก็ต้องเลิกล้มพับโครงการไปได้อยู่แล้ว
เมื่อมาพบเจอกับสังคมแบบที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้...มันคืออนาคตอัตโนมัติ
เมื่อวันนี้คิดเช่นนี้ อนาคตก็ย่อมต้องเป็นเช่นนี้อย่างอัตโนมัติ"

มันอาจจะเป็นประโยคที่แรงไปก็จริงนะคะ แต่มันก็เป็นประโยคที่ทำให้
คนที่เคยได้ฟังถึงกับมีกำลังใจขึ้นมาได้อยู่หลายคนเลยทีเดียวค่ะ...


บางคน...ทำดีมาตลอด...เป็นคนดี คนน่่ารัก คนที่มองโลกในแง่ดี
ไม่รังแกชาวบ้านมาตลอด...
แต่สุดท้ายก็หมดสิ้นความหวังที่จะทำมันด้วยกับปัจจัยบางอย่าง
และด้วยความการทดสอบอันรุนแรงจากอัลลอฮฺ...
จนทำให้เขาถึงกับบอกลาความดีที่เคยทำมา
แล้วหันไปทำในสิ่งที่ตรงข้าม...
คนเช่นนี้ก็เคยผ่านมาในชีวิตให้ข้าน้อยได้พบเจอ...
และก็ไม่อาจช่วยอะไรเขาได้เลย...นอกจากบอกเขาให้ปลูกมัน
ขึ้นมาใหม่...มองความดีเสียใหม่...ว่าเราทำไปเพื่ออะไร...
แต่รู้มั้ยคะว่า...มันยากมากที่จะกู้หัวใจของคนสิ้นหวังชนิดนี้ได้...
เขาหมดกำลังใจ...เพราะความคาดหวังที่จะเห็นดอกผล
แห่งความดีที่เขาได้กระทำมันยังไม่ยอมบานให้เห็นเสียที
อีกทั้งยังซ้ำให้เขาถูกเหยียดหยาม ไม่ถูกเลือก...

การที่เราไม่ถูกเลือก...ก็ไม่ใช่เหตุผลให้เราต้องเลิกล้มกับการ
ทำความดีเสียหน่อย...เขาไม่เลือกเราที่ความดี
เราก็จงภูมิใจและดีใจเสียเถิด ที่คนๆนั้นไม่เลือกเรา...
และจงตั้งหน้าทำดีต่อไปเถิด...
แม้จะไม่มีใครเห็นมันเลยแม้แต่คนเดียว...
แต่อัลลอฮฺ ตะอาลาเห็น และพระองค์จะปลอบใจเรา
เมื่อเราผ่านความรู้สึกอันแสนเจ็บปวด ผ่านบททดสอบ
อันหนักหน่วงนั้นมาได้แล้ว...

แล้วแน่นอนว่า ต่อให้ความดีที่เราทำไปหรือมอบให้กับคนอื่น
จะไม่อาจเบ่งบานในหัวใจของใครเลยแม้แต่คนเดียวก็ตามแต่...
แต่เมื่อมันถูกปลูกจากหัวใจที่ตั้งใจและบริสุทธิ์ใจของเราแล้วล่ะก็
มันนั่นแหล่ะที่จะบานในหัวใจของเรา...
ให้เราได้เห็นความงามของมัน ได้ชื่นชมความงามของมัน
แม้คนอื่นจะมองไม่เห็นมันแม้แต่คนเดียวก็ตาม...
เพราะอัลลอฮฺ คือ ผู้ปกปักษ์รักษาและรดน้ำดูแลต้นไม้แห่งความดี
ที่ปลูกในใจเราให้งอกงามด้วยความเมตตาจากพระองค์เอง...

ต้นไม้บางชนิดขึ้นได้ดีในผืนดินและอากาศแบบหนึ่ง
แต่กับผืนดินอีกชนิดหนึ่งหรือในอากาศอีกแบบหนึ่ง
มันอาจจะไม่ยอมโตและอาจจะเหี่ยวเฉาได้ฉันใด

ต้นแห่งความดีก็เฉกเช่นกัน
มันก็เลือกที่จะงอกงามบนหัวใจในแบบที่ถูกสร้างมา
เพื่อมันด้วยเช่นกัน

แล้วหัวใจเช่นใดเล่า ท่ีต้นแห่งความดีจะสามารถเติบโต
และงอกงามเบ่งบานได้สวยงาม...


ถ้าข้าน้อยจะบอกว่า...หัวใจที่รำลึกถึงอัลลอฮฺ
คือหัวใจที่ต้นแห่งความดีจะเติบโตงอกงามได้ดีเล่า...

ท่านผู้อ่านจะอยากลองผสมดินเพื่อจะปลูกต้นไม้
แล้วจะลองปรับสภาพจิตใจเราให้เหมาะกับการปลูกต้นแห่งความดี
กันดูด้วยการรำลึกถึงอัลลอฮฺดูก็ได้นะคะ...

เพราะตราบใดที่หัวใจเรายังไม่ลืมอัลลอฮฺ...
และรำลึกถึงพระองค์ กล่าวพระนามของพระองค์
ตามเสียงจังหวะของหัวใจ ซ่ึงมี 2 จังหวะอยู่เรื่อยๆ
หัวใจเราก็จะเต้นไปพร้อมกับพระนามของพระองค์...
ต้นไม้แห่งความดีที่ปลูกในหัวใจเรา
ก็จะไม่ยอมเหี่ยวลงอย่างง่ายดายหรอกค่ะ...
และอาจจะแตกกอออกไปให้ขยายไปยังหัวใจของคนรอบข้าง
ได้อีกด้วย...แต่อย่าได้คาดหวังมากนะคะว่ามันจะต้องบาน
ในหัวใจคนอื่นเช่นนั้นเช่นนี้...แต่จงเพิ่มความหวัง
ให้กับมันอยู่เรื่อยๆ...เมื่อพบว่าหัวใจใครสิ้นหวัง
ก็จงรดน้ำให้หัวใจของเขาให้กลับมาชุ่มชื่นอีกครั้ง...
เพื่อที่ต้นไม้แห่งความดีจะไม่เหี่ยวไปมากกว่าที่เป็น...
และอาจจะกลับมาสดชื่นได้อีกครั้ง หากเจ้าของหัวใจ
จะหัดรดน้ำให้หัวใจตัวเองเป็น...





"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อรู้สึกท้อแท้กับการเป็นคนดี
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ก.ย. 28, 2013, 02:53 PM »
0
ในชีวิต และในที่ทำงาน เราอาจจะต้องเจอกับปัญหา
เจอกับเหตุการณ์ที่เราไม่อาจควบคุมได้...

แต่หากเรายึดมั่นอยู่บนความดี อินชาอัลลอฮฺ
อัลลอฮฺจะช่วยเราให้ผ่านปัญหาเหล่านั้นไปได้อย่างดีเลยทีเดียวค่ะ...

เคยมีหลายๆคนในที่ทำงาน เดินเข้ามาหาข้าน้อย
พร้อมกับปัญหาด้วยแววตาขอร้องปนสั่งบ้าง ด้วยท่าทางวางอำนาจบ้าง...
บางคนเข้ามาด้วยเพราะเดือดร้อนบางอย่าง
และคิดว่าข้าน้อยน่าจะช่วยเขาได้...

ซึ่งไม่ว่าใครจะเข้ามาด้วยความรู้สึกแบบใด
ข้าน้อยตั้งใจเสมอว่า หากเขาเดือดร้อนและต้องการการช่วยเหลือ
แล้วเราช่วยได้ ก็จะช่วยอย่างเต็มที่...เต็มความสามารถเท่าที่ทำได้ ณ ตอนนั้น...

บางคนก็มีกลวิธีที่จะใช้งานเราหรือให้เราช่วยเหลือเขาในแบบที่แตกต่างกันออกไป
ข้าน้อยเช่ือคำสอนของพ่อที่ว่า

หากเราอยากรู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร จงอยู่กับความจริง
และหากเราอยากเห็นว่าความเท็จเป็นอย่างไร จงเรียนรู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร
และหากอยากรู้ว่าใครคือคนหลอกลวง ก็จงเป็นคนจริง...

เราจะเห็นในสิ่งที่ตรงข้ามกับเราได้ชัดเสมอ...ขอแค่ให้เราชัดเจนในจุดที่เรายืนอยู่

แล้วก็ได้เห็นเช่นที่พ่อว่าเสมอ...เห็นก็ไม่ได้แสดงว่าเราต้องประกาศออกไป
ต่อหน้าเขาว่าเรารู้หรือเราเห็นนะ....
อยู่ที่เราว่าจะจัดการกับปัญหาและตัวปัญหาตรงหน้าอย่างไรมากกว่า...

เมื่อตั้งใจจะช่วยเป็นทุนอยู่แล้ว ก็ช่วยไปเถิด...
เขาจะมาแบบจริงใจหรือไม่จริงใจก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขาเถิด
หรือเขาจะมองเราว่าโง่ให้เขาหลอกจนสำเร็จได้ก็ปล่อยให้เขาคิดไปเถิด...
เราไปบังคับให้เขาคิดแบบที่เราอยากให้คิดไม่ได้...
แต่เราสามารถควบคุมความคิดและความรู้สึกของตัวเองได้...

ทุกครั้งเมื่อคิดว่าช่วยได้ ก็จะช่วยเหลือค่ะ...
เพราะการได้ช่วยเหลือผู้อื่นนั้น นอกจากว่าจะได้ช่วยเขาให้หลุดพ้น
จากความเดือดร้อนได้แล้ว เรายังได้อะไรดีๆติดไม้ติดมือมาด้วย
ที่บอกว่าอะไรติดไม้ติดมือนั้น ไม่ได้หมายถึงสิ่งตอบแทนจากคนเหล่านั้นหรอกค่ะ
แต่หมายถึง...เราจะได้ความสามารถมาเพิ่ม...ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้น
และได้เข้าใจอะไรมากขึ้น...

หลายคนเคยเดินเข้ามาพร้อมกับให้ข้าน้อยช่วยเจรจากับอีกฝ่ายให้เขาหน่อย
เขาเจรจาไม่สำเร็จ...ทั้งๆที่คนที่เดินเข้ามาหาข้าน้อยชอบตำหนิข้าน้อยประจำว่า
ข้าน้อยชอบเผยไต๋ให้คนอื่นรู้ประจำ อย่างนี้เขาก็รู้ทันเราหมดน่ะสิ...
แล้วจะไปต่อรองอะไรกับเขาได้เล่า ก็ไปโง่ให้เขาเห็นซะแล้ว...
ซึ่งคนที่คิดแบบนั้นกลับเดินมาหาข้าน้อยให้ช่วยเจรจากับคนที่เขาหมดหนทาง
จะเจรจาเรื่องปัญหาที่เกิดข้ีนได้แล้ว...ข้าน้อยกำลังนึกอยู่ว่า
เขาคิดอย่างไรถึงได้ให้ข้าน้อยมาเจรจา หากมิใช่เพราะว่า
คนที่แข็งที่สุดในบริษัทและแรงที่สุดยังเคยยอมรับฟังการเจรจาของข้าน้อยมาก่อน

บางครั้ง...การเจรจากับมนุษย์ เราจะใช้แค่สมองในการเจรจาอย่างเดียวมันไม่ได้
เราต้องใช้ใจในการเจรจา หากเราพูดให้เขารู้สึกว่าเขาโง่ แล้วเขากำลัง
โดนเราต้อนอยู่ ใครเขาอยากจะเจรจากับเรา...หรือต่อให้เราแสร้งทำเป็นจริงใจ
แต่ความจริงใจมันไม่อาจเป็นธรรมชาติได้หากว่ามันมาจากคนเสแสร้ง...
และมนุษย์เรามักรับรู้ได้ด้วยสัญญาณบางอย่างที่มองไม่เห็นก็จริง
แต่มันจะคอยกระซิบบอกเขาว่า
คนที่กำลังเจรจากับเขาอยู่นั้นจริงใจกับเขาแค่ไหน...
และหัวใจมนุษย์นั้นไม่ค่อยจะยอมรับอะไรที่ไม่น่าไว้วางใจ...
แล้วพร้อมจะหวาดระแวงสิ่งนั้นอยู่ตลอดเวลา

การเจรจาของข้าน้อยส่วนใหญ่ ไม่ค่อยกินระยะเวลานาน
แค่เราพูดกับเขาอย่างคนที่มีมารยาท พูดดี ไม่มีกระชากน้ำเสียง
ใช้คำพูดสุภาพตลอดการสนทนา...อย่าให้อารมณ์อยู่เหนือสติ...
จับสติอย่าให้มันหลุด...แล้วพูดกับเขาด้วยความจริงใจ...
เหมือนเขาคือมนุษย์คนนึง...มิได้อยากจะเข้าไปฉกชิง
เอาผลประโยชน์จากเขาเสียจนทำให้เขาต้องพยายามหลีกหนีเรา
อยากได้อะไรบอกเขา อยากให้ทำอะไรให้บอกเขาไปให้ชัดเจน
ไม่ต้องไปเล่นแง่กับเขาให้เหนื่อยหรอกค่ะ เพราะข้าน้อยรู้ตัวดีว่า
ไม่มีทางชนะอีกฝ่ายแน่หากจะต้องใช่เล่ห์เหลี่ยมเข้าหากัน...
ปกติจึงใช้อาวุธที่คนอื่นมองว่า มันไม่ค่อยคมและไม่ค่อยจะได้เรื่องในความคิดเขา
ซึ่งก็คือ ความจริงใจ จริงจัง และอารีย์อารอบ ประณีประนอม
ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ และขอความรู้จากเขาเสียตรงน้ันเลย...
แล้วก็จะพยายามไม่ทำให้เขารู้สึกว่าเขาโง่ แล้วเรากำลังล่อหลอกเขาอยู่

แน่นอนว่าเขาจะไม่รู้สึกเช่นนั้นเลย หากว่าเราไม่ได้ตั้งใจทำกับเขาแบบนั้น
ก็เพราะเราจริงใจและแสดงความจริงใจออกไปจริงๆ...
ปาฏิหาริย์ในบริษัทจึงเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ
เมื่อการเจรจาที่คนอื่นๆมองว่า
มันไม่มีทางเป็นไปได้ว่าจะสำเร็จกลับสำเร็จได้...

มันอาจจะยากสำหรับคนที่มีสมองอันชาญฉลาด
ที่พร้อมจะงาบคอเหยื่ออยู่ตลอดเวลาเมื่อเขาพลาดพล้ัง

แต่มันง่ายมากสำหรับคนทีี่มีความจริงเป็นเกราะป้องกัน
และมีความจริงใจเป็นอาวุธ...
แม้จะดูโง่ๆและซื่อๆ แต่อาวุธนี้ก็ไม่เคยไม่คม
และยังคงใช้ได้ผลเสมอมา...ข้าน้อยขอการันตี
เพราะว่าใช้อาวุธนี้ในการเจรจาเป็นประจำ...
สิ่งที่คนมาขอให้ช่วยไม่คาดคิดว่าจะได้รับก็สามารถเกิดขึ้นได้...


แล้วนี่จะไม่การันตีได้อย่างไรว่า มนุษย์เรายังรักความดีอยู่
แม้ว่าจะไม่อยากทำมันสักเพียงใดก็ตามที
แต่เขาก็ยังอยากจะคุยกับคนที่จริงใจกับเขาอยู่ดี
แม้ว่าเขาจะเป็นจอมเจ้าเล่ห์สักเพียงใดก็ตาม...
เพราะเขาสบายที่จะคุยด้วยและไม่ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยม
ไม่ต้องงัดอาวุธที่น่าเกลียดแบบนั้นออกมาใช้...
มันเหนื่อยนะคะกับการต้องใช้สมองในการปั้นเรื่องโกหก
ชาวบ้านแล้วต้องพยายามจดจำเนื้อหาที่เราปั้นขึ้นมาอยู่ตลอด
เพราะหากเราทำมันตกหล่น เนื้อเรื่องของเราต่อมาจะไม่ปะติด
ปะต่อกัน ค้านกันจนคนอื่นจับเราได้ในที่สุดว่าเราหลอกลวงเขา...
คราวนี้ก็เป็นอันว่า จบกัน!ที่ทำๆมาทั้งหมด...

ข้าน้อยจึงมักจะปิดทางให้คนที่เจรจาด้วยหยิบอาวุธแบบนั้นมาใช้
ด้วยการยื่นอาวุธที่เรามีให้เขาแทน...หากเขาจะเอาอาวุธ
ที่เรายื่นให้เขามาฟาดเรากลับก็ไม่เห็นจะเป็นอย่างไรเลย
ในเมื่อเรามีอาวุธแบบเดียวกัน มีความจริงเป็นเกราะป้องกัน

แต่ปัญหาก็คือ...เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เขาพูดความจริง...

นั่นคือ การบ้านของเราค่ะ การบ้านที่เราต้องค้นหาความจริง
เกี่ยวกับปัญหานั้นก่อนการเจรจาเสมอ...

แล้วเวลาคุยกันเราต้องให้ความสนใจเขาและฟังเขาให้มากๆ
พูดให้น้อยที่สุด เมื่อถึงเวลาฟังเขาเราก็ต้องฟังจริงๆ
ฟังไปและคิดตามไปด้วย และแล้วเมื่อถึงเวลาที่เราต้องพูดบ้าง
เราก็จะพูดได้ตรงเป้าหมายที่สุด กระชับที่สุด...
พูดไปตามความจริงนั่นแหล่ะค่ะ...การพูดความจริง
ไม่ได้น่าเกลียดเท่ากับการพูดเท็จ...แม้ใครจะมองว่าการพูดความจริงจะดูโง่ๆ แต่ขอให้รู้ไว้ว่า ความจริงที่ว่าก็เคยพลิกปัญหา
จากหลังมือเป็นหน้ามือมาได้หลายต่อหลายครั้งแล้ว

หากเราเชื่อในความดี เชื่อในความจริง และอยู่กับมัน...
เรายังต้องกลัวอะไรอีก...ยังต้องหวาดหวั่นอะไรอีก...

อาจไม่มีใครชมข้าน้อยว่า เจรจาได้ฉลาด...
แต่เขาก็มักจะเดินเข้ามาแล้วขอให้ช่วยเจรจากับลูกค้าให้เสมอ...

อาจจะเนื่องมาจาก เขายังมองไม่เห็นว่าความจริงใจ
นั้นสำคัญกว่าสมองอันชาญฉลาดเสียอีกน่ันเอง...
เขาเลยไม่อาจชมเราว่าฉลาดได้ แต่ก็อดที่จะขอความช่วยเหลือ
จากเราไม่ได้ เมื่อเรานั้นเคยช่วยเขาเจรจามาได้แล้ว...

เขาแค่คิดว่า...คู่เจรจาของข้าน้อยแค่พึงพอใจข้าน้อย
แล้วก็เลยยอมรับการขอจากทางเราโดยง่ายเพียงแค่นั้น...

หากข้าน้อยจะบอกว่า...ในโลกนี้ไม่มีอะไรบังเอิญ
แต่มันมีเหตุของมันทั้งนั้น...การที่เขาพอใจเรานั้นก็ย่อม
หมายความว่ามันต้องมีเหตุแห่งความพอใจอยู่ด้วย...
มิใช่อยู่ๆเขาจะรู้สึกพอใจเราขึ้นมาเสียเฉยๆ ไม่มีป่ีไม่มีขลุ่ย


ที่เขียนมายาวๆนั้น เพื่อต้องการจะบอกกับผู้อ่านว่า...

การเป็นคนจริงใจ ไม่ใช่สิ่งท่ีน่ากลัวเลยค่ะ...
หากเรากลัวว่า เราจริงใจกับใครไปแล้วจะโดนเขาหลอกลวง
อย่าไปกังวลให้เสียกำลังใจเลยค่ะ...
เพราะต่อให้เราเป็นคนหลอกลวง
เราก็หนีไม่พ้นที่จะเจอคนหลอกลวงอยู่ดี...

จุดสำคัญ...จึงอยู่ที่ว่า...เราอยากเป็นคนจริงใจหรือจอมหลอกลวง

คนที่หลอกลวงคนอื่นได้อย่างชาญฉลาดมักถูกชมว่า
เป็นคนฉลาดเสมอค่ะ...

แต่จะมีใครกล้าชมเขาบ้างว่า เขาคือ คนดี...

เราอยากเป็นคนที่ถูกชมว่า เป็นคนดี
หรือว่า เป็นคนฉลาด มากกว่ากันคะ...

แน่นอนค่ะว่า...คนดีก็ฉลาดได้...แต่บางครั้งการกระทำ
ของคนที่ทำดี มันก็อาจจะทำให้คนมองเข้าใจไปได้ว่า
เป็นการกระทำของคนโง่ๆคนนึง...ไม่อยากยกตัวอย่างขึ้นมา
แต่คิดว่า คนที่ทำความดีจะรู้ดีว่า หลายครั้งกับการกระทำความดี
ของเรานั้นถูกตึความเป็นความโง่...ไม่ทันคนอื่นไป...

และก็อยากจะบอกอีกอย่างนึงก็คือ...
บางครั้งผลงานที่เราทำไว้ ก็อาจจะกลายเป็นผลงานของคนอื่น
หรือจะพูดง่ายๆก็คือ...ผลงานที่เราทำโดนคนอื่นปาดหน้า
เอาหน้าไปหรือได้หน้าไปแทนที่จะเป็นเรา...
แต่ก็ขอให้เราต้ังใจทำสิ่งดีๆ ทำผลงานดีๆต่อไปเถิดค่ะ
เพราะน่ันหมายถึง เรามีความสามารถที่ทำมันได้
ส่วนใครจะได้หน้าก็ช่างมันเถิดค่ะ ผลงานที่เกิดจากเรา
มีเรารู้ดี และตัวคนได้หน้าไปก็รู้ดีว่าที่เขาได้หน้าอยู่นั้น
เพราะความสามารถของเขาโดยแท้จริงหรือเป็นของใคร

เนื่องจากที่อยากให้เราคิดเช่นนั้น ก็เพราะว่า...
ผลงานที่เราทำนั้น แท้จริงแล้วเราต้องยกความดีความชอบ
ให้กับเจ้าของอำนาจที่แท้จริงมากกว่า ซึ่งนั่นก็คือ อัลลอฮฺค่ะ

ดังนั้น...แม้เราจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วกลับกลายเป็นคนอื่นได้หน้าไป
ก็ไม่ใช่เหตุให้เราต้องเศร้าสลดหดหู่เลย...
ก็ในเมื่อปกติ เราก็ไม่ได้คิดอยู่แล้วว่า เราทำมันมาได้ด้วยกับ
อำนาจที่แท้จริงของเรา...ทุกการสรรเสริญเราหวนกลับไปหา
เจ้าของ...เมื่อเขาสรรเสริญเรา เราก็ยกความดีความชื่นชมนั้น
ไปยังอัลลอฮฺ...เมื่อเราทำแต่กลับเป็นคนอื่นถูกสรรเสริญแทน
เราก็ไม่เศร้าใจอยู่แล้ว เพราะเราก็ได้มอบทุกอย่าง
ไปยังเจ้าของมาแต่เดิมแล้ว...

ดังนั้น ไม่ว่าการทำดีหรือทำผลงานดีๆของเรา
จะได้รับการสรรเสริญจากผู้อื่นหรือไม่...
จึงไม่ใช่จุดสำคัญ...ในเมื่อเราหวนกลับมันไปยังเจ้าของที่แท้จริง
เรียบร้อยแล้ว...

แล้วเราได้อะไรบ้างกับการเหน็ดเหนื่อยนั้น...

ตอบได้แต่เพียงว่า...
มันขึ้นอยู่กับใจเราและความตั้งใจ(เหนียต)ของเราค่ะ...

เราจะได้ตามที่เราเหนียตไว้...อินชาอัลลอฮฺฺ...


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อรู้สึกท้อแท้กับการเป็นคนดี
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ก.ย. 28, 2013, 11:30 PM »
0
ครั้งหนึ่งเคยถูกปล่อยให้บินไปสู่อิสรภาพอย่างที่ใครอีกหลายคนปรารถนา...
ความปรารถนาที่หลายๆคนที่ยังไม่ได้สัมผัสกับคำว่าอิสรภาพยังคาดหวัง
และโหยหามันอยู่ทุกลมหายใจ...

วันนั้น...ราวกับอัลลอฮฺได้มอบปีกให้กับเราเพื่อที่เราจะได้บินไปอย่างอิสระ
อย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน...

แต่ใครเล่าจะรู้ว่า...ปีกที่ว่านั้น...เมื่อเราได้สวมใส่มันจริงๆแล้ว
บนฟากฟ้าไกลที่แสนกว้างไกลสุดแต่ใจจะบินไปนั้น...
เรากลับสับสน ไม่รู้จะบินไปทางใดดี...ไม่มีเข็มทิศ ไม่เห็นสุดขอบฟ้า...
เห็นแค่เส้นขอบฟ้า แต่ยิ่งบินไปก็ยิ่งรู้ว่าเราไม่มีวันบินไปถึงขอบฟ้านั้นได้แน่ๆ...
มันคือ ภาพลวงตา หาใช่ความจริงไม่...เพราะความจริงก็คือ
ฉันกำลังกางปีกที่ว่าบินไปมา หาที่พักหรือที่ยึดเหนี่ยวอย่างมั่นคงไม่ได้

อิสรภาพที่แสนหอมหวาน ไม่ได้หอมหวานอย่างที่เคยจิตนาการ...

แปลกที่ ณ ตอนนั้น รู้สึกอยากกลับไปอยู่ในกรอบ ในขอบเขต
ท่ีทำให้เรารู้สึกปลอดภัย อบอุ่นใจ...ไม่อ้างว้างเดียวดายอย่างยามที่ได้รับอิสระ
จึงเป็นเหตุให้ได้ตระหนักและเห็นคุณค่าของกรอบที่เคยอยู่
เห็นประโยชน์ของกฎเหล่านั้นที่ห้อมล้อมเราเอาไว้เพื่อให้เราปลอดภัย...
เป็นความปลอดภัยที่แสนอบอุ่นในหัวใจ...

เลยอยากฝากสาส์นไปยังผู้ที่โหยหาอิสรภาพว่า...มันไม่ได้หอมหวาน
อย่างที่จินตนาการไว้หรอกค่ะ...

เพราะเมื่อใดที่ลูกแกะในฝูงอยากจะเดินออกนอกเส้นทาง
เพื่อจะได้ไปยังทิศทางที่ตนปรารถนา อยากมีอิสระ ไม่ต้องอยู่ในวงล้อม
ที่ถูกต้อนอยู่...จงรู้ไว้ว่า...แกะตัวนั้น...กำลังพาตัวเองไปเจอกับอันตราย
ที่มันไม่อาจคาดถึงได้...และมันพร้อมจะตกเป็นเหยื่อของนักล่า
ที่คอยจ้องมันอยู่ตลอดเวลาที่มันเดินอยู่ในฝูง...หมาป่าไม่กล้าจะเข้าไปกิน
แกะในฝูงใหญ่ได้ มันได้แต่รอเวลาให้มีแกะสักตัวหลุดออกมาจากฝูง...
แล้วมีหรือที่มันจะปล่อยให้แกะหลงฝูงหลุดรอดเงื้อมมือมัน...
หากว่าแกะตัวนั้น ไม่มีผู้ปกป้องเอาไว้...

ดังนั้น...เราจะเดินหลุดฝูงไปไหนให้ไกลแค่ไหนก็ได้...
แต่จงรู้ไว้แค่เพียงว่า...อย่าไปไกลจากผู้ที่ปกป้องเรา
หรือหันเหออกจากผู้เป็นเจ้าของชีวิตเรา...
และอย่าลืมว่าเรานั้นไม่อาจปกป้องตัวเองได้อย่างแท้จริงหรอก
เพราะเรานั้นมีเจ้าของ...อย่าหนีห่างจากเจ้าของ หากเรายังหวังความปลอดภัย...
และความอบอุ่นในหัวใจ...เพราะหากเจ้าของไม่แยแสเรา เพราะความดื้อดึงของเรา
เราจะเดือดร้อนแค่ไหน...

แกะทีี่หลุดฝูงไปจะต้องเดือดร้อนแค่ไหน หากว่าเจ้าของมิได้ออกตามหา
แล้วนำมันกลับมายังฝูง...

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อรู้สึกท้อแท้กับการเป็นคนดี
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ต.ค. 05, 2013, 12:11 AM »
0
กลับมาที่เรื่องงานและการดำเนินชีวิตในเมืองค่ะ...

เมื่อเดือนก่อน ได้ยื่นเรื่องลาออกจากงานให้กับเจ้านายที่กำลังไปติดต่อธุรกิจ
ที่ต่างประเทศทราบ...ก่อนหน้านั้น พยายามใคร่ครวญว่าเราควรจะทำอย่างไร
เมื่อรู้สึกว่าตอนนี้ เราพร้อมจะไปจากที่นี่แล้ว...

หลายครั้ง นัฟซูหรืออารมณ์ได้สั่งให้คิดลาออกจากงาน...
แต่ด้วยภาระหน้าที่ที่ไม่มีใครจะมาแบกต่อจากเราเลยทำให้ต้องทำงานต่อไป
จนคนทำงานด้วยกันได้จากลาไปทีละคนสองคน จนแทบไม่เหลือใคร
และงานของคนที่จากไป ก็มาตกเป็นภาระอันแสนหนักอึ้งของเรา
อันตัวเราเองก็อยากจะไปอยู่เหมือนกัน เคยอยากจะไปก่อนคนอื่นๆด้วยซ้ำ
แต่เมื่อเห็นใครๆก็พากันลาออก ก็เลยตั้งใจว่าจะอยู่ช่วยงานเจ้านายต่อ
ให้พอผ่านพ้นช่วงวิกฤตที่เขายังหาคนมาทำงานในตำแหน่งต่างๆที่ว่างลง
ให้ได้ก่อน...และ ณ ตอนนั้น คนที่รักและหวังดีทุกคนต่างบอกว่า
ข้าน้อยกำลังทำร้ายตัวเอง...ด้วยการแบกรับงานหนักๆทั้งๆที่เงินเดือนก็ได้เท่าเดิม
แต่ต้องทำงานเพิ่มอีกหลายเท่าตัว มื้อเที่ยงบางมื้อไม่ได้กิน ส่วนมื้อค่ำ
ก็ไปกินเอาตอนสี่ทุ่ม...ชีวิตแบบนี้มันมีแต่จะทำให้เราพังกับพัง...
ร่างกายเราอาจจะรับกับสภาพแบบนี้ไม่ได้ แล้วคราวนี้ใครจะซ่อมมัน
หากไม่ใช่เราที่ต้องแบกร่างนี้ไปจนกว่าจะตาย...

ตอนนั้นยอมรับว่าไขว้เขว และคิดว่า เราน่าจะลาออกไปเลย
ไม่ต้องแคร์อะไรแล้วทั้งนั้น เพราะตัวเจ้านายเองเขาก็ยุ่งจนลืมสนใจ
ชีวิตความเป็นอยู่ของลูกน้อง...ไม่ได้จะสนใจเราเลยสักนิดเดียว...
ซึ่งนั่นเป็นเพราะอารมณ์ของเราค่ะ อารมณ์ที่อยากจะทำเช่นนั้น...
และเพราะรู้ว่านั่นคือ อารมณ์ และอารมณ์ของเราตอนนั้นมันไม่นิ่งพอ
จึงต้องรอให้อารมณ์มันนิ่ง เพื่อที่จะได้สติกลับมา...
เนื่องจากชีวิตที่ผ่านมาได้ลิ้มรสชาติแล้วว่า การตัดสินใจอะไรก็แล้วแต่
หากตัดสินใจด้วยอารมณ์หรือให้อารมณ์อยู่เหนือสติ...
ย่อมเป็นการตัดสินใจที่ขาด "ปัญญา" ซึ่งการตัดสินใจในลักษณะเช่นนั้น
จะเป็นการนำมาซึ่ง "ปัญหา" ให้ต้องปวดหัวไม่จบไม่สิ้น...

และเพราะด้วยสติ สติสัมปชัญญะ(ตัวนี้) สติ...ซึ่งเป็นตัวที่ก่อให้เกิดปัญญาตามมา
ที่เมื่ออารมณ์นิ่งพอแล้ว สติที่ว่าทำให้ต้องฉุดคิดว่า

...ว่าเราน่าจะทำทุกอย่างให้เต็มที่...
แล้ววันนี้ที่เราทำ วันหน้ามันจะกลายเป็นอดีต
อย่าลืมว่า วันนี้ของเรา สักวันมันจะต้องกลายเป็นอดีต...
เราอยากมีอดีตแบบไหน วันนี้แหล่ะที่เราจะต้องสร้างมัน...
หลายคนอาจจะมุ่งสร้างอนาคต จึงมุ่งแต่คิดถึงอนาคต ราวกับว่าเราสามารถ
สร้างมันได้หรือสามารถมองเห็นมันได้...ทั้งที่จริงๆแล้ว เราไม่อาจรู้ได้เลยว่า
พรุ่งนี้ที่เรากำลังคิดถึงอยู่นั้น มันจะมาเยือนเราอย่างเคยหรือเปล่า...
แม้หลายๆคนจะพยามก่อร่างสร้างตัวในวันนี้เพื่ออนาคตที่วาดฝันไว้

แต่ข้าน้อยคือคนนึงที่คิดที่จะสร้้างอดีต...
ด้วยการทำวันนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้...
พยายามเลือกทางที่ดีที่สุดเท่าที่จะสามารถเลือกได้ ณ วันนี้...
เพราะเหมือนว่าตัวเองได้รับมันมาแค่นี้ ได้รับมาแค่วันนี้ ที่เมื่อวันพรุ่งนี้มาถึง
วันนี้ก็จะกลายเป็นอดีต ดังนั้น...การสร้างอดีตให้สวยงามจึงดูง่ายดาย
กว่าการสร้างอนาคตที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงหรือไม่ให้สวยงาม...
เพราะสิ่งที่ยังมาไม่ถึง มันก็ไม่แน่ไม่นอนว่าจะมีจริงสำหรับเราหรือเปล่า...
แต่สิ่งที่เรามีจริงๆคือ "วันนี้" "เวลานี้" กับ "อดีต" ซึ่งก็คือ "เมื่อวาน" "เมื่อกี้"
ที่ผ่านมาแล้ว...

แม้เราอาจจะกำหนดทุกอย่างไม่ได้ และเราไม่ใช่ผู้กำหนด
แต่เราสามารถเลือกที่จะกระทำได้...เมื่อเราเลือกที่จะทำแต่สิ่งดีงาม
มุ่งมั่นที่จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้...เราก็น่าจะลองทำดูสักตั้ง...
แม้เขาจะไม่แคร์ ไม่สนใจเรา แต่เรารู้ว่าเราได้ทำทุกอย่างอย่างดีที่สุดก่อนไปแล้ว
สิ่งดีๆย่อมต้องเกิดขึ้นกับเราและผู้อื่นๆที่ผ่านมาพบเจอกับเราในสักวัน...

อย่างน้อยเมื่อวันที่เราเดินจากไป แล้ววันนี้ได้กลายเป็นอดีตของเรา
เราจะได้หันกลับมามองมันด้วยรอยยิ้มภูมิใจ
และไม่ต้องมานั่งเสียใจหรือเสียดาย...

เมื่อคิดได้ดังนั้น...จึงทำให้ต้องคิดต่อว่า...เราต้องใช้ความอดทนมากมายแค่ไหนหนอ
กับการต่อสู้กับงานและต่อสู้กับอารมณ์ที่พร้อมจะโน้มนำเราให้ล่่าถอยไป...
กำลังใจนั้นเป็นสิ่งสำคัญมากค่ะ ในเวลาแบบนี้ แต่ใครหรือจะให้กำลังใจเราได้ดี
เท่ากับตัวเรา...

ทุกวันที่ตื่นขึ้นไปทำงาน จึงได้แต่บอกตัวเองว่า...เราจะทำมันให้ดีที่สุด
ใครจะเห็นเป็นเช่นไรหรือจะไม่เห็นความมุ่งมั่นนี้ของเราก็ไม่เป็นไร...

และแน่นอนค่ะ...วันนั้น...วันที่เดินไปทำงานด้วยหัวใจที่อยากจะทำมันให้เสร็จ
และสำเร็จ แล้วอยากจะเต็มที่กับมันจริงๆ คือวันเดียวกับวันที่ได้ตัดสินใจเรื่องลาออกไปแล้ว...

เป็นเวลานานค่ะกับการพิสูจน์ตัวเองว่าจะอยู่ในสภาพที่จะเคลียร์ทุกอย่างให้ออกมาดี
ให้ได้ ซึ่งที่ยากก็คือ ความรู้สึกที่เราไม่อยากนำความเกลียดชังหรือความรู้สึกไม่ดี
ทั้งต่อผู้คนและต่อสถานที่ทำงานติดหัวใจไป...นั่นจึงเป็นการเคลียร์หัวใจเรา
ให้สะอาดไปพร้อมๆกับการเคลียร์งาน...

จึงทำให้เห็นสิ่งแปลกประหลาดหลายอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น
นั่นก็คือ...การปฏิบัติดีจากเพื่อนร่วมงาน การปฏิบัติดีจากเจ้านาย...
การเอาใจใส่จากเจ้านายที่มอบให้เรามากขึ้น...

จนทำให้คำถามนึงผุดขึ้นมาอย่างอัตโนมัติว่า...

ทำไมนะ...เวลาอยู่ด้วยกัน เราถึงไม่ยอมทำดีต่อกันและกันให้มากๆ
แต่พอใกล้เวลาจะจากกัน...เราถึงได้ทุ่มเททำความดีต่อกันขนาดนี้...

หากที่ผ่านๆมาทุกคนรวมทั้งเจ้านายดีกับข้าน้อยแบบนี้...
การตัดสินลาออกมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร...

แต่เพราะรู้ว่า...นี่คือ...มนุษย์...
มนุษย์ที่เมื่อใกล้จะสูญเสียหรือได้สูญเสียอะไรไปแล้ว
จึงพยายามที่จะทำทุกอย่างเพื่อจะยื้อหรือพยายามที่จะคว้ามันกลับมา...

และข้าน้อยก็คือ มนุษย์...ที่เมื่อได้ตัดสินใจไปแล้ว ก็จะทำตามนั้น
เพราะเราไม่ได้ตัดสินใจด้วยอารมณ์ ทุกอย่างผ่านการกลั่นกรองมาแล้วอย่างดี
จากสติ...และวันนี้แม้อารมณ์จะโน้มนำเราให้อยากอยู่ต่อ...มันก็คือเรื่องของอารมณ์
ที่ไม่สามารถเอาแน่เอานอนกับมันได้ วันๆนึงมันเปลี่ยนไปไม่รู้กี่ฤดูด้วยซ้ำ
จึงจำเป็นที่จะต้องยึดเอาสติไว้เป็นที่มั่น เนื่องจากสติปัญญามันบอกแล้วว่า
ทำไม...เราต้องไป...และเมื่อได้หักห้ามอารมณ์ลงได้...จึงได้เห็นว่า...

มีพบก็ต้องมีจาก...คนอยู่เขาก็มีเหตุผลที่จะอยู่ต่อ คนไปก็มีเหตุผลที่ต้องไป
ส่วนคนที่ก้าวเข้ามาใหม่ เขาก็มีเหตุผลของเขาเช่นกัน...

เราทุกคนอาจมีโจทย์ชีวิตที่แตกต่างกัน ซึ่งก็แล้วแต่ว่าใครจะแก้โจทย์ชีวิตตัวเองอย่างไร
แล้วจะใช้สูตรใดในการแก้โจทย์...เมื่อโจทย์ชีวิตของแต่ละคนแตกต่างกัน
จึงเป็นที่มาของคำตอบหรือผลลัพธ์ที่ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องตอบตรงกันกับใคร...

และที่แน่ใจตัวเองที่สุดก็คือ พยายามทำทุกอย่างมาอย่างดีที่สุดมาตลอด
และหากมันจะกลายเป็นอดีต ก็แน่ใจว่า ไม่มีอะไรเลยในอดีตที่ผ่านมา
ที่อยากกลับไปแก้ไขมัน
เพราะเราก็ทำมันเต็มที่ที่สุดตามความสามารถ ณ ห้วงเวลานั้นแล้ว...



สิ่งที่อยากฝากสาส์นไปยังผู้อ่านในรอบนี้ก็คือ...

เมื่อมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันในวันนี้ ก็จงอย่ามัวคิดแต่เรื่องของวันพรุ่งนี้
จนลืมใส่ใจคนในวันนี้นะคะ...รักพวกเขา ดูแลพวกเขา
เอาใจใส่พวกเขาให้มากๆเท่าที่จะทำได้ในวันนี้...
มีอะไรอยากมอบให้พวกเขา ก็รีบให้พวกเขาเสียเลย อย่ารอวันสำคัญๆเลยค่ะ
เพราะหากเรารู้ว่า วันพรุ่งนี้สำหรับเราหรือเขาจะไม่มาถึง...
วันนี้สำหรับเราย่อมเป็นวันสำคัญที่สุด...

ดังนั้นอย่ารอให้ถึงวันพรุ่งนี้ หรือรอเวลาอยู่เลยค่ะ...
อยากทำอะไรเพื่อพวกเขา ก็จงทำเสียแต่ตอนนี้ เสียตั้งแต่เวลานี้...
เผื่อว่า เขาหรือเราอาจจะไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันอีกในวันพรุ่งนี้
ที่เรามักคาดว่ามันต้องมาถึง...ซึ่งแท้จริงแล้วไม่มีใครรู้เลยว่า...พรุ่งนี้จะมาถึงหรือเปล่า...

และสิ่งสำคัญในชีวิต และมีค่ามากๆเลย ก็คือ สติค่ะ...
หากเราพยายามเรียกใช้มันอยู่เป็นประจำ มันจะไม่ทำให้เราผิดหวัง
แม้ก้าวที่เราเดินจะผิดพลาดก็ตาม...

แต่กับอารมณ์...เวลามันอยู่เหนือทุกอย่าง
ณ ตอนนั้นมันทำให้เรารู้สึกดีและดูมีพลังอำนาจมหาศาลเหลือเกิน...
แต่เมื่อมันสงบลง มีเพียงเราเท่านั้นที่จะรู้ดีว่า...มันได้ทำร้ายเราและคนอื่นไปเท่าไหร่
แล้วเราต้องสูญเสียอะไรไปบ้างกับอารมณ์ในครั้งนั้นของเรา...
และกี่ครั้งแล้วที่อารมณ์ได้ทำให้ภาพอดีตของเรามัวหมอง...แทนที่จะสวยงาม
เมื่อยามที่เราได้มองกลับไปในวันนี้...

ปล.สำหรับข้าน้อย...การสร้างสรรค์อดีตให้สวยงามนั้นทำได้ง่ายกว่า
การวาดฝันและสร้างสรรค์อนาคตค่ะ...โดยเราเลือกจะใช้วัสดุในการสร้างสรรค์
ครั้งนี้เหมือนกัน ซึ่งวัสดุที่ว่าก็คือ "ปัจจุบัน"

เราทุกคนมี "ปัจจุบัน" เป็นวัสดุเหมือนกัน...และเราต้องไม่ลืมว่า
นอกจากจะมี "ปัจจุบัน"แล้ว เรายังมี "อดีต" ไว้เป็นกระจกสะท้อนให้กับเราอีก
ส่วน "อนาคต" ยังเป็นอะไรสักอย่างที่ยากจะหยั่งถึง...

หากคนๆนึงหันกลับไปยังวันวานแล้วยิ้มด้วยความสุขใจ...
เนื่องจากได้สร้างคุณงามความดีเอาไว้มาแล้วอย่างมากมาย...

กับอีกคนที่มองไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้มหวาน...
โดยทิ้งขว้างอดีตเอาไว้อย่างไม่ใส่ใจ เนื่องจากไม่มีอะไรในอดีต
ให้อยากหันกลับไปมอง...

ท่านคิดว่า...ท่านอยากเป็นบุคคลใด เมื่อท่านได้รับโอกาสให้มีอายุยืนยาว...


ส่วนข้าน้อย...เพราะมีบางช่วงของอดีตที่ผิดพลาด
และเป็นภาพที่ไม่สวยงาม เนื่องจาก ณ ห้วงเวลานั้น
มัวแต่คิดถึงอนาคต...จนทำให้สูญเสียภาพบางภาพที่สวยงาม
ที่ควรจะมีในภาพอดีตของเราไป...เมื่อได้คิดว่า...
อดีตสำคัญกว่าอนาคตขนาดไหน...จึงจำต้องพยายามสร้างสรรค์
วันนี้ให้สุดฝีมือค่ะ...

เพราะท้ายที่สุดแล้ว...อัลลอฮฺ...จะไต่สวนเราจากสิ่งที่เราทำมา...
ไม่ได้ไต่สวนในสิ่งที่เรามีแปลนว่าจะทำแต่ไม่ได้ทำ...

บ้านจะสวยงามหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่แปลนที่เราวาดไว้
แต่อยู่ที่เราค่อยๆลงมือทำมันตั้งแต่วินาทีนี้
ไปจนกว่าจะหมดวาระ...

และความจริงก็คือ ไม่มีบ้านหลังไหนเลยที่จะทำออกมา
ได้ตามแบบแปลนที่วาดไว้เป๊ะๆแบบ 100%...

แต่การมีแบบแปลนเอาไว้ ย่อมเป็นสิ่งที่ดีค่ะ...
เพราะเราจะได้รู้ว่าเราควรจะทำอย่างไรต่อไป
และมีเป้าหมายอะไร...แต่ทุกอย่างจะแล้วเสร็จลงได้
ก็ด้วยกับการปฏิบัติหรือทำมัน!

วัสลามค่ะ

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อรู้สึกท้อแท้กับการเป็นคนดี
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: ต.ค. 12, 2013, 08:20 PM »
0
...ภูเขาแห่งความรู้...

เมื่อตอนเด็กๆ...ตอนนั้นจำได้ถนัดว่าไม่อยากไปโรงเรียน...
เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไปโรงเรียนด้วย ที่นั่นมันมีอะไรดีกว่า
การเล่นขายของสนุกสนานกับเพื่อนๆ โรงเรียนถูกจินตนาการ
ว่าเป็นที่ที่พรากความสนุกไปจากเรา ทำให้เพื่อนๆของเราต้องไปอยู่ที่นั่น
แล้วเราก็อดเล่นสนุกๆด้วยกันในสวนกว้างอย่างเดิม...

เมื่อก่อนสวนส้มและกลิ่นดอกส้มเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกรัก...
ทุกวันนี้ยังจำความรู้สึกของช่วงเวลานั้นได้อยู่...
เพราะตอนนั้น...สวนส้มดูจะแสนกว้างใหญ่ วิ่งเล่นเท่าไหร่ก็ไม่เคยเบื่อหน่าย
พอพ่อมีคำสั่งว่า ต่อจากนี้จะต้องไปโรงเรียนแล้วนะ...
เหมือนกับเป็นคำสั่งที่ทำให้เรารู้สึกว่ากำลังถูกบังคับให้ไปพบกับกรง
และคงจะไม่ได้วิ่งเล่นสนุกๆในสวนส้มอีกแล้ว...ก็เลยไม่ยอมไปโรงเรียน...

ยังจำวันที่ถูกลากไปโรงเรียนได้เลยว่า วันนั้นไม่ยอมให้ใครมาลากไปอย่างเด็ดขาด
และใครที่เข้ามาลากไปต้องได้แผลกลับไปทุกราย ไม่เว้นแม้แต่ว่าที่ครูประจำชั้น
ก็ยังโดนข้าน้อยฝากรอยเขี้ยวและรอยเล็บเอาไว้เช่นกัน...

วันนั้น...พ่อเฆี่ยนแล้วต่อว่า แม่จึงกลายเป็นกำบังอย่างดีให้กับไม้เรียวของพ่อ
วันนั้น...แม่ดูเป็นนางฟ้ามาโปรด...เป็นหญิงแกร่งที่คอยปกป้องเราจากผองภัย...
วันนั้น...รักแม่มาก! และเกลียดพ่อเหลือเกิน

ยังจำได้ว่า...วันนัั้นพูดกับพ่อไปว่า...

"โรงเรียนมันมีอะไรดี ทำไมหนูต้องไปอยู่ที่นั่น อยู่ที่บ้านเราก็ดีอยู่แล้ว
ที่บ้านก็มีทุกอย่างแล้ว ทำไมต้องไล่ให้หนูไปอยู่ทีี่นั่นด้วย...หนูไม่ไปหรอก"

พ่อบอกว่า

"แกต้องไปเรียนที่นั่น...ไม่เห็นหรือไงว่าคนอื่นเขาก็ไปเรียนกันหมดแล้ว
หรือแกอยากเป็นคนโง่ ไม่รู้หนังสือ..."

ก็เลยพูดกลับไปว่า...

"ก็ให้พ่อกับแม่สอน...ไม่เห็นต้องไปโรงเรียนเลย...อยู่กับพ่อ
ดูพ่อสร้างบ้านก็ทำบ้านเป็นแล้ว...ดูแม่ทำกับข้าว ช่วยแม่ทำกับข้าว
เดี๋ยวก็ทำกับข้าวได้แล้ว...ตอนนี้หนูทำอะไรๆได้ตั้งหลายอย่าง...
ไม่เห็นต้องไปเรียนทีี่โรงเรียนเลย อยู่กับพ่อกับแม่ก็เรียนได้..."
ตอนนั้นคิดแบบนั้นจริงๆค่ะ และก็ไม่เคยลืมความคิดนั้นเลยแม้ทุกวันนี้...
เพราะรู้สึกว่า ทำไมต้องไปที่นั่น ทำไมต้องไปโรงเรียน...
ไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไมต้องไป...

เพื่อนๆและพี่ๆมองว่าข้าน้อยนั้นขี้เกียจก็เลยหาข้ออ้างเพื่อจะไม่ไปโรงเรียน
แต่จริงๆแล้วไม่มีใครรู้ความคิดของเด็กคนนึงเลยว่า...แท้จริงแล้ว
มันไม่ใช่ความขี้เกียจ เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไปโรงเรียนเท่านั้นเอง...
ไม่เข้าใจว่าทำไมใครๆเขาต้องไปอยู่ที่นั่น...ในเมื่ออยู่ที่บ้าน
เราก็ทำอะไรๆได้ดีกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน...พ่อแม่สอนอะไร ข้าน้อยก็เอาหมด
สอนให้หัดซักเสื้อผ้า ก็ซัก สอนให้หัดตำน้ำพริกก็ทำ สอนให้กวาดขยะก็กวาด
แล้วเด็กขี้เกียจที่ไหนจะทำอะไรแบบนั้น...
ตอนนั้นยังจำได้เลยว่า ชอบกวาดขยะทีี่สุด แล้วใครๆก็ชมว่ากวาดขยะได้เก่ง
แม้แต่คนข้างบ้านก็ยังชมว่ากวาดขยะเก่ง ^^

วันนั้นพ่อบอกข้าน้อยว่า...

"คนหัวแข็งและดื้อแบบนี้ คนคิดแบบนี้ มันต้องเรียนให้เยอะๆ ต้องรู้ให้เยอะๆ
อย่างแกมันต้องเรียนให้เยอะๆเข้าไว้...และแกต้องไปโรงเรียน..."

นั่นเป็นคำสั่งมากกว่าจะเป็นคำอ้อนวอน...

และแม้สุดท้าย พ่อจะทำสำเร็จโดยการลากลูกสาวที่ใครๆก็ครหาว่า
หัวแข็งและหัวดื้อ แสนจะเกียจคร้านเรียนหนังสือไปโรงเรียนได้
แต่ข้าน้อยก็หนีออกมาได้ทุกครั้ง...อนุบาลก็เลยไม่ได้เรียนเหมือน
ชาวบ้านชาวช่องเขา...ก.ไก่ถึงฮ.นกฮูกก็ยังเขียนไม่ได้ ในขณะที่
เพื่อนรุ่นเดียวกันแถมรุ่นน้องกว่าหนึ่งปีก็ยังเขียนได้นำหน้าข้าน้อยไปแล้ว
อีกด้วย...แต่ตอนนั้นหาได้แคร์สิ่งใดไม่...ยังดื้ออยู่เช่นเดิม...

จนพ่อกับแม่ถอดใจ ปล่อยเลยตามเลย ราวกับไม่แยแสแล้ว...
และแล้ววันนึงเพื่อนๆที่ไปโรงเรียนก็เดินมาหาพร้อมกับสมุด
ที่เขาเอามาอวดว่าเขาเขียน ก.ไก่และพยัญชนะในภาษาไทย
ได้อีกหลายตัวแล้ว...และได้ทำโน่นทำนี่ในโรงเรียนให้ฟัง

พร้อมกับถามว่า...ข้าน้อยล่ะ...เขียนอย่างเขาได้หรือเปล่า...
ตอนนั้นข้าน้อยไม่ได้สนใจว่าจะเขียนได้อย่างเขาหรือเปล่า
สนแค่ว่า ทำไมเพื่อนๆจึงดูมีความสุขกับการไปโรงเรียนจัง ที่นั่นมันมีดีอะไร
ทำไมเพื่อนๆถึงได้ชอบมันนัก...แถมพวกพี่ๆก็ดูจะพอใจกับการไปที่นั่นกันเหลือเกิน


พอคิดได้แบบนั้น เช้าวันใหม่ที่ตื่นขึ้นมา ก็ลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่เช้าก่อนใคร
แล้วไปหยิบชุดนักเรียนมาสวมใส่(ขอบอกว่าสวมเองเป็นค่ะ)เพราะเห็นพี่ๆ
เขาใส่กันทุกวัน...แล้วก็ตัั้งใจจะเดินไปโรงเรียนทั้งอย่างนั้น
แต่พี่สาวตื่นมา ทักว่า นั่นจะไปไหน...
ก็เลยบอกพี่สาวไปว่า จะไปโรงเรียน...

จำสีหน้าพี่ๆในวันนั้นได้ดีว่า เขาตกใจแค่ไหน...
แล้วเขาก็ถามว่า

"รู้หรือว่าตอนนี้ได้อยู่ห้องไหนน่ะ..."ข้าน้อยส่ายหน้าด้วยไม่รู้จริงๆ
พี่สาวเลยพาไปฝากไว้กับคุณครูประจำชั้นคนเดิม...แล้วก็ได้เริ่มเรียนหนังสือ
อย่างจริงๆจังๆตั้งแต่นั้นมา โดยก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องเรียน...

แต่เพราะอยากรู้ว่าทำไม เลยต้องไปเรียน...
ซึ่งตอนนั้นก็ยังหาเหตุผลไม่ได้อยู่ดี
แต่ก็ตั้งใจฟังในสิ่งทีี่คุณครูสอน เขาให้ทำอะไรก็ทำตามเขา...
พอเขาให้พักออกไปเล่นกับเพื่อนก็เล่นกับเพื่อน...
ไม่เคยขาดหรือไปเรียนสายเลย...

พอเกรดออก ก็ไม่รู้ว่าสมุดเล่มนั้นที่คุณครูให้มามันคืออะไร
แล้วทำไมคุณครูถึงดูมีความสุขเหลือเกินตอนยื่นมันให้กับเราและบอกเราว่า
เราได้เกรด4 ทุกวิชาและยังได้คะแนนสูงสุด เป็นที่1 ของห้อง

ตอนเดินกอดสมุดเล่มนั้นออกจากห้องที่เพื่อนๆต่างเข้ามาห้อมล้อม
ของดูใบเกรดของเรากันแทบทุกคน ราวกับในนั้น
มันมีอะไรน่าสนใจเหลือเกิน...พี่สาวที่เดินมาเจอเข้า
ก็เข้ามาขอดูกับเขาบ้าง...ก่อนจะยิ้มดีใจแล้วรีบพาข้าน้อยกลับบ้าน
นำใบเกรดนั้นไปให้พ่อกับแม่ดู...

สิ่งที่ข้าน้อยได้รับในวันนั้น และได้รู้ถึงเหตุผลที่ต้องอยู่โรงเรียนก็คือ
รอยยิ้มพอใจของพ่อกับแม่เมื่อมองมายังเรา...

ข้าน้อยชอบรอยยิ้มแบบนั้นที่สุด!
และยังอยากเห็นมันมาตลอดจวบจนทุกวันนี้...



และนัั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ข้าน้อยลุกขึ้นอาบน้ำเพื่อไปโรงเรียน...
แม้ตอนนั้นจะยังไม่เข้าใจเรื่องเกรด 4 ไม่เข้าใจอะไรมากมายนัก
แต่รู้ว่า หากเราตั้งใจเรียน ตั้งใจทำในสิ่งที่คุณครูสั่ง...
เราก็จะทำข้อสอบได้ และเราจะได้คะแนนเยอะๆ
แล้วก็ได้เกรด 4 แล้วก็ได้ที่ 1 ของห้อง
แล้วพ่อกับแม่ก็จะยิ้มอย่างพอใจในตัวเรา...

ตอนนั้นไม่เคยคิดจะเรียนแข่งกับใครเลย แม้ใครจะท้าชิงก็ไม่สนใจ
ใครอยากได้ที่ 1 ก็เอาไปสิ ฉันไม่หวง ที่ทำๆมาทั้งหมดก็เพราะอยากให้
พ่อกับแม่พอใจ และมีความสุข มีรอยยิ้มแบบที่เคยมอบให้มา...
ก็เลยพยายามทำทุกอย่างอย่างเต็มที่เต็มกำลังมาเสมอ...
เคยมีที่ต้องได้ที่ 2 อยู่ครั้งหนึ่ง แต่ก็แปลกทีี่ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกผิดหวัง
หรือเสียใจ เพราะเราก็ทำมาเต็มที่แล้ว...แถมยังได้เกรด 4 ทุกวิชาอย่างเคย
เพียงแต่คะแนนน้อยกว่าที่ 1 ตอนนั้นแบบสูสีแค่นั้นเอง

แล้วยังจำได้ว่า พี่สาวบอกว่า เด็กที่ได้ที่ 1 ตัดหน้าเราไปนั้น
เป็นลูกหลานคุณครูเขา เขาก็ต้องให้ลูกหลานของเขาดีเด่นกว่าเราสิ...

แต่ตามประสาเด็กๆแล้ว ข้าน้อยก็ไม่ได้คิดอะไรมาก...เพราะรู้สึกว่า
ตัวเองก็ทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว ให้ทำมากกว่านี้คงทำไม่ได้...

พ่อกับแม่ก็ไม่ได้ตำหนิอะไร
ข้าน้อยก็เลยรู้สึกว่า...ในเมื่อพ่อกับแม่ไม่ได้ตำหนิอะไร
รอบหน้าเราก็น่าจะพยายามเพิ่มอีกนิด
เพื่อที่จะทำให้ทั้งสองพอใจมากกว่านี้...


ข้าน้อยไปโรงเรียนด้วยความตั้งใจแบบนั้นมาตั้งแต่ตอนนั้น
จวบจนจบมัธยมปลายก็ยังไปเรียนด้วยความตัั้งใจแบบนั้นอยู่...
แต่ไม่ได้พยายามที่จะเป็นที่ 1 ของห้องเหมือนตอนประถมแล้ว
ตอนนั้นตั้งใจแค่จะเรียนให้เต็มที่...แต่เพราะความเต็มที่
และความมุมานะระหว่างเรียน...จึงทำให้ไม่พลาดจากที่ 1 เลยแม้แต่ครั้งเดียว
เพราะรู้ว่าหากเราพยายามถึงที่สุดแล้ว แม้ไม่ได้ที่ 1 พ่อกับแม่ก็จะไม่ตำหนิ
เราเลย (นั่นคือความเมตตาของอัลลอฮฺ เพราะข้าน้อยทำทุกอย่างในวันนั้น
ก็เพื่อหวังให้พ่อกับแม่พอใจด้วยความบริสุทธิ์ใจโดยแท้ และไม่เคย
เอ่ยความรู้สึกนี้ออกไปให้ท่านทั้งสองรู้เลย เราแค่อยากจะทำมันออกมา)

เพราะจริงๆแล้ว หากทำตามความพอใจของตัวเองแล้ว
ข้าน้อยไม่เคยชอบเรียนในที่ๆกักกันเรา...และอยากเรียนในสิ่งอื่น
แต่ก็ไม่เห็นมีใครสอนเราในโรงเรียน
เพราะเป็นคนนึงที่อยากทำอะไรหลายๆอย่างให้เป็น
แต่ก็ไม่มีใครสอนมันในโรงเรียน สิ่งที่โรงเรียนให้มามันไม่ใช่ทั้งหมด
ที่เราอยากจะรู้...มันมีความสงสัยอีกมากมายที่เราอยากจะรู้
แต่ก็ยังไม่ได้รู้มัน...และยังไม่มีที่ใดจะสนองตอบรับความอยากรู้นั้นได้...
ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ...หากไม่ใช่ว่าอยากทำให้พ่อกับแม่พอใจ
ข้าน้อยไม่จำเป็นเลยที่จะต้องเหน็ดเหนื่อยกับการเรียน
ทำตัวสบายๆ ไม่ต้องคิดอะไรให้มากอย่างเพื่อนๆอีกหลายๆคนก็ได้
อยากไปเที่ยวที่ไหนก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเสียการเรียน
หลายครั้งนักทีี่ต้องต่อสู้กับความต้องการของตัวเอง...
แต่สุดท้าย...หน้าที่ก็มาก่อน...

จนรู้สึกได้ว่า...การเรียนในโรงเรียนมันคือภาระหน้าที่ที่ต้องทำให้ลุล่วง
ไปโดยดีให้จงได้ !!!

จนได้ทุนไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น...
ตอนนั้นใครๆก็ลุ้นกันตัวโก่งว่าข้าน้อยจะได้หรือเปล่า
ข้าน้อยเองก็แสนจะตื่นเต้น เพราะรู้ว่าพ่อกับแม่จะต้องภูมิใจในตัวข้าน้อยแน่ๆ
หากว่าข้าน้อยทำสำเร็จ

และอัลลอฮฺก็อนุมัติ...ข้าน้อยได้ไปเรียนที่นั่น
พร้อมกับปีกแห่งอิสรภาพที่จะได้ไปเรียนอะไรก็ได้ตามแต่ใจปรารถนา...
จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งใดในญี่ปุ่นก็ได้
แล้วแต่จะปรารถนาหากมีความสามารถที่จะสอบเข้าไปได้
ซึ่งนั่น เราต้องสอบเอนท์ตามระบบการเอนท์ของประเทศญี่ปุ่น
เข้าไปเรียนเอง จะไม่มีการใช้เส้นใดๆให้...


แต่ข้าน้อยก็แสนจะพอใจกับอะไรแบบนี้...เพราะเรามีสิทธิ์เลือกได้...
สามารถเลือกอะไรก็ได้ในขอบเขตความสามารถของเรา...
และที่สำคัญ...เลือกได้ตามความพอใจของเรา...

ตอนนั้นเหมือนได้พรจากอัลลอฮฺมา พรที่สามารถเลือกทำตาม
ความพอใจของตัวเองไปพร้อมๆกับความพึงพอใจของพ่อกับแม่ได้
ในคราวเดียวกัน...


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 12, 2013, 08:25 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อรู้สึกท้อแท้กับการเป็นคนดี
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: ต.ค. 12, 2013, 09:01 PM »
0
ที่ญี่ปุ่น คือที่ที่เปลี่ยนความคิดของเด็กวัยรุ่นคนนึงไปตลอดกาล...

ที่นั่นทำให้ค้นพบในหลายๆสิ่งที่หามานาน และได้รู้ในสิ่งที่อยากรู้มานาน...
ได้เข้าใจในสิ่งที่ไม่เคยได้เข้าใจมานาน ได้สัมผัสในสิ่งท่ีไม่เคยสัมผัส...

ที่สำคัญ...มันทำให้ข้าน้อยได้รู้ว่า..."อิสรภาพที่แท้จริง" ไม่มีในโลกนี้...
เพราะอัลลอฮฺได้ล้อมชีวิตเราเอาไว้หมดแล้ว...


และการอยู่ในกำหนดของพระองค์ อยู่ในกรอบทีี่พระองค์ทรงขีดไว้ให้นั้น
ปลอดภัยแก่ตัวเราที่สุดแล้วสำหรับมนุษย์ตัวเล็กๆอย่างเรา...

การดิ้นรนไปให้พ้นจากกรอบ เพื่อที่จะค้นพบกับคำว่า "อิสรภาพ"นัั้นดูไร้สาระไปเลยในวันนั้น
วันทีี่ค้นพบบางอย่างในชีวิต...

ปัจจุบัน จึงเลิกเดินทางไขว่คว้าหาอิสรภาพแล้วค่ะ...และพอใจที่จะกลับเข้าไปอยู่ในกรอบ
ที่อิสลามขีดไว้ให้ แม้จะยังทำได้ไม่ดีพอ แต่ก็จะพยายามต่อไปเรื่อยๆ...


เพราะ ณ ญี่ปุ่น ดินแดนที่ไม่มีใครเคยได้รู้จักเรามาก่อนนั้น มันทำให้เราอยากจะทำอะไรก็ได้
โดยไม่ต้องสนใจใคร ไม่ต้องกลัวว่าใครจะนำความไปบอกพ่อกับแม่...

แต่เพราะความเกรงใจพ่อกับแม่ เมื่อยามที่จะทำสิ่งใดแล้วก็อดนึกไปถึงท่านทั้งสองไม่ได้
มันเหมือนกับรัศมีและคำสอนของทั้งสองมันดังออกมาและสาดแสงมาถึงเราได้ตลอดเวลา
ข้าน้อยรู้แค่ว่า แม้ข้างกายจะไม่มีพ่อกับแม่อยู่ด้วยก็จริง แต่สิ่งที่ท่านสอนมาตลอด
มันได้ตามข้าน้อยมาด้วย...และมันยังคงส่งเสียงเตือนอยู่ตลอดเวลา...
และสิ่งนัั้นเองที่หยุดความต้องการผิดๆของเราลงไปได้...

การต่อสู้กับนัฟซูของตัวเองท่ามกลางอิสรภาพอันแสนยั่วยวนนั้นมันไม่ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆเลย
ในเมื่อทุกอย่างสุดจะเป็นใจ...นั่นจึงขึ้นอยู่กับตัวเราล้วนๆแล้วว่า ใจของเรานั้นจะโน้มไปทางใด

ข้าน้อยจึงพยายามบอกกับผู้ทีี่โหยหาอิสรภาพทั้งหลายว่า...
อิสรภาพนั้นน่ากลัวค่ะ...เพราะเมื่อเราได้มันมา หากเราไม่รู้จักควบคุมมัน
หรือไม่รู้จักจัดการกับความรู้สึกต่างๆของตัวเองได้...อิสรภาพที่ว่านั้น
จะเป็นมีดที่ทิ่มแทงเราให้มีบาดแผลลึกจนยากจะรักษาได้ค่ะ...
เพราะอุธาหรณ์จากคนก่อนๆจากข้าน้อยได้สอนให้ข้าน้อยต้องตระหนักถึง
การได้อยู่ในที่ที่พร้อมจะโน้มให้เราลงสู่ที่ต่ำได้เสมอมาแล้วว่า อย่าดีใจหรือตื่นเต้นไปกับ
อิสรภาพตรงหน้า แต่จงใช้มันไปในทางที่ดี จัดการบริหารอารมณ์ตัวเองให้ดีเข้าไว้
แล้วทุกอย่างจะสวยงาม...

ที่ญี่ปุ่นจึงเป็นโรงเรียนขนาดกว้าง กว้างกว่าสวนส้มที่เคยวิ่งเล่นอย่างอิสระเมื่อตอนเด็กๆเสียอีก
ที่นั่นได้สอนหลักสูตรเร่งรัดที่ที่โรงเรียนที่ข้าน้อยเคยเป็นที่ 1 มาตลอดไม่เคยสอนให้เลย

นั่นคือ...การเรียนรู้ที่จะบริหารจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง...
เพราะหากบริหารได้ไม่ดี ชีวิตจะพลาดถึงขั้นที่ตกลงไปอยู่ในก้นเหวลึก
อย่างที่คนก่อนๆเคยพลาดตกลงไป...เนื่องจากที่นั่นไม่มีพ่อแม่พี่น้องคอยประคับประคอง
คอยสัั่งคอยสอนคอยตักเตือนคอยห้ามปรามเราแล้วนั่นเอง...

เราต้องสั่งสอนและตักเตือนตัวเราเอง ห้ามปรามตัวเอง...หากเราแพ้ตัวเอง
เราก็จะไม่สามารถชนะสิ่งใดได้เลย...แล้วก็จะก้าวพลาดไปเรื่อยๆจนพบกับจุดจบ
ที่น่าสยดสยองอย่างที่หลายๆคนก้าวพลาดลงไป...

ดังนั้น...เมื่อไปอยู่ ณ แห่งหนใด จงมอบไปรอบกาย เพื่อที่จะได้เรียนรู้เอาจากเขา
สิ่งใดที่เขาทำแล้วผิดพลาด เราก็จงอย่าทำ...สิ่งใดที่เขาลองแล้วผลลัพธ์ออกมาไม่ดี
เราก็จะไม่ลองมัน...

ที่สำคัญ...อะไรทีี่ขัดกับหลักการศาสนา เราไม่ทำ เราก็จะรอดพ้น! อินชาอัลลอฮฺ

ญี่ปุ่นจึงทำให้ข้าน้อยรู้จักที่จะควบคุมอารมณ์ความรู้สึก และรู้จักจัดระเบียบชีวิต
จัดระเบียบอารมณ์ จัดระเบียบและจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆในชีวิตได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน...

สอนให้รู้จักการแก้ปัญหา สอนให้เข้มแข็ง สอนให้เราเรียนรู้ที่จะต่อสู้กับภัยต่างๆที่ประดังเข้ามา
อย่างรู้สติ...ทำให้รู้ว่า..."สติ"มีค่าแค่ไหน แล้วทำให้เข้าใจแล้วว่า

อะไรที่ทำให้ "สติ" ของเราขาด เราต้องไม่แตะต้องมัน...

ศาสนาอิสลาม ห้ามสิ่งที่ทำให้ขาดสติ...นี่คือ การค้นพบว่า ศาสนาอิสลามสอนเรามาอย่างดี
แต่เรามองข้ามและทำเบากับมันเอง!

การทีี่ต้องไปแบกคนขาดสติกลับที่พัก จึงทำให้รู้ว่า เราต้องไม่ทำเช่นนั้นนะ
เพราะถ้าทำ เราก็จะเป็นเช่นนี้...และมีสภาพเช่นนี้...

บางครั้ง...การเรียนรู้และสังเกตวิถีชีวิตของคนอื่น มันก็ช่วยให้เราได้เรียนรู้ว่า
อะไรทีี่เราไม่ควรแตะต้องเลย...ไม่จำเป็นเลยว่าเราต้องไปเผชิญกับสิ่งนั้นเอาเองก่อน
แล้วค่อยบรรลุ...ของบางอย่างไม่จำเป็นต้องลองเอง แค่มองคนอื่นที่เขาลองทำมาแล้ว
ก็น่าจะเพียงพอแก่ความรู้ที่จะได้จากตรงนั้นแล้ว...






"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

 

GoogleTagged