ผู้เขียน หัวข้อ: คุฏบะฮฺมัสญิดอัร-ริฎวาน(นานา)วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม 2552 / 24 เราะญับ 1430  (อ่าน 2063 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

หนี้ที่จำเป็นต้องชำระ
                  
17 กรกฎาคม 2552 / 24 เราะญับ 1430


   พี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงยำเกรงอัลลอฮฺด้วยการปฏิบัติความดีและละเว้นความชั่วอย่างจริงจัง และท่านทั้งหลายจงอย่าได้ตาย จนกว่าท่านจะเป็นผู้ยอมจำนนต่ออัลอิสลามโดยสิ้นเชิง
   พี่น้องครับ อัลลอฮฺทรงบังเกิดมนุษย์ขึ้นมาพร้อมกับประทานปัจจัยยังชีพสำหรับทุกคน บางคนก็ได้รับน้อย บางคนก็ได้รับมาก ข้อสำคัญสำหรับมุสลิมก็คือ จะได้รับมากหรือน้อยก็ต้องใช้จ่ายอย่างพอเพียง ไม่สุรุ่ยสุร่าย แม้กระนั้นก็ตาม ครั้งหนึ่งชีวิต ทุกคนไม่ว่าจะมีหรือจน มีโอกาสเป็นหนี้สินได้ทั้งนั้น ภาษิตไทยบอกว่า บางครั้งเศรษฐีก็ยังขาดเกลือ
   บางคนพยายามใช้จ่ายแต่ในส่วนที่จำเป็น ใช้อย่างประหยัด แต่ปัจจัยยังชีพไม่พอเพียงก็จำเป็นต้องกู้หนี้ยืมสิน
   บางคนใช้จ่ายเกินตัว ใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น ถูกอิทธิพลของการค้าแบบเสรีที่โฆษณาประชาสัมพันธ์จนหลงเชื่อ ซื้อหาสิ่งของฟุ่มเฟือยด้วยระบบเงินผ่อน ก็เกิดเป็นหนี้สิน
   บางคนตามกระแส ธนาคารมาชวนเป็นสมาชิกบัตรเครดิตก็ยอมทำ ใช้ก่อนผ่อนทีหลัง มีเงินสดก็ไม่ยอมใช้ ใช้บัตรเครดิตแล้วเท่ดี โก้ดี ใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิต รายการละเล็กละน้อย ถ้าไม่มีวินัยการเงิน พอเอาทุกรายการมารวมกัน ปรากฏว่าเป็นหนี้จำนวนมากกว่าที่คาด
   บางคนไม่มีเงินลงทุนในการประกอบอาชีพ ต้องกู้จากคนอื่นมาเพื่อการลงทุน ซึ่งไม่รู้ว่าการลงทุนนั้นจะประสบกับกำไรหรือขาดทุน ถ้ากำไรก็มีเงินใช้หนี้ ถ้าขาดทุนหนี้ก็เพิ่มขึ้นไปอีก
   คนเป็นหนี้แล้วมักไม่มีความสุข กลางคืนก็กังวลนอนไม่หลับ กลางวันก็รู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า อิสลามจึงสอนให้หลีกหนีการเป็นหนี้สิน เช่นด้วยการขอดุอาอุ์ต่ออัลลอฮฺว่า

 

“ข้าแต่อัลลอฮฺข้าพระองค์ขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากบาปและหนี้สิน”
   
       มีชายคนหนึ่งได้ยินท่านนะบียฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมขอดุอาอุ์เช่นนี้ จึงถามว่า
 

“โอ้ท่านเราะสูลของอัลลอฮฺ ทำไม่ท่านจึงขอความคุ้มครองอย่างมากมายให้พ้นจากหนี้สิน”
ท่านตอบว่า


“เมื่อชายคนหนึ่งเป็นหนี้ พอเขาพูดก็มักโกหก พอเขาให้สัญญาก็มักผิดสัญญา” บุคอรี

   การเป็นหนี้จึงอาจทำให้คุณธรรมจริยธรรมของคนดี ๆ เสียไป เช่น วันนั้นบอกว่าจะใช้หนี้ ก็ไม่นำมาใช้ วันนี้มีเงินพอผ่อนหนี้ได้ ก็บอกว่าไม่มีเพราะเกิดความเสียดาย ขอยืมก็กลายเป็นขอลืม เคยพูดคุยสนิทสนมทักทายกันก็เปลี่ยนเป็นคอยหลบหน้า เสียความสัมพันธ์ที่ดีในสังคม ยืมไปนานเข้า ไม่มีจะใช้คืน บางคนก็เบี้ยวหนี้ เจ้าหนี้เห็นลูกหนี้ผัดผ่อนบ่อย ๆ ก็ทำเป็นลืมยอดหนี้ นึกขึ้นได้ทีไรยอดหนี้เพิ่มขึ้นจากเดิมทุกที
   ดังนั้นเพื่อป้องกันการเบี้ยวหนี้ของลูกหนี้ และป้องกันการเพิ่มยอดหนี้ของเจ้าหนี้ อิสลามจึงกำหนดให้การกู้หนี้ยืมสินกันนั้นต้องมีการทำสัญญาระหว่างผู้กู้กับผู้ให้กู้โดยมีพยานรับรอง ในอัลกุรฺอานอัลลอฮฺดำรัสว่า


       
   บรรดาผู้ศรัทธาทั้ง หลาย! เมื่อพวกเจ้าต่างมีหนี้สินกันจะด้วยหนี้สินใด ๆก็ตาม จนกว่าจะถึงกำหนดเวลา(ใช้หนี้) ที่ถูกระบุไว้แล้ว ก็จงบันทึกหนี้สินนั้นเสีย และผู้เขียนก็จงบันทึกระหว่างพวกเจ้าด้วยความเที่ยงธรรม และผู้เขียนคนหนึ่งคนใดก็จงอย่าปฏิเสธที่จะบันทึก ดังที่อัลลอฮฺได้ทรงสอนเขา ดังนั้นเขาจงบันทึกเถิด และจงให้ผู้ที่มีสิทะเหนือเขา(ลูกหนี้) บอกให้บันทึกและเขาจงยำเกรงอัลลอฮฺผู้เป็นพระเจ้าของเขา และจงอย่าให้บกพร่องแต่อย่างใดจากสิทธินั้น และถ้าผู้มีสิทธิเหนือเขา(ลูกหนี้) เป็นคนโง่ หรือเป็นผู้อ่อนแอหรือไม่สามารถจะบอกให้บันทึกได้ ก็จงให้ผู้ปกครองของเขาบอกด้วยความเที่ยงธรรม และพวกเจ้าจงให้มีพยานขึ้นสองนายจากบรรดาผู้ชายในหมู่พวกเจ้า แต่ถ้ามิปรากฏว่า พยานทั้งสองนั้นเป็นชายก็ให้มีผู้ชายหนึ่งกับผู้หญิงสองคน จากผู้ที่พวกเจ้าพึงใจในหมู่พยานทั้งหลาย เพื่อว่าหญิงใดในสองคนนั้นหลงไป คนหนึ่งในสองคนนั้นก็จะได้เตือนอีกคนหนึ่ง และบรรดาพยานนั้นก็จงอย่าได้ปฏิเสธ เมื่อพวกเขาถูกเรียกร้อง และพวกเจ้าจงอย่าเบื่อหน่ายที่จะบันทึกหนี้สินนั้นไม่ว่าน้อยหรือมากก็ตาม จนกว่าจะถึงกำหนดเวลาของมัน นั่นแหละคือสิ่งที่ยุติธรรมยิ่งกว่า ณ ที่อัลลอฮฺ และเที่ยงตรงยิ่งกว่าสำหรับเป็นหลบักฐานยืนยัน และเป็นสิ่งใกล้ยิ่งกว่าที่พวกเจ้าจะไม่สงสัย นอกจากว่ามันเป็นสินค้าที่ปรากฏอยู่ต่อหน้า ซึ่งพวกเจ้าหมุนเวียนมัน (ซื้อขายแลกเปลี่ยน) ระหว่างพวกเจ้าก็ไม่มีโทษอันใดแก่พวกเจ้าที่พวกเจ้าจะไม่บันทึกมัน และพวกเจ้าจงให้มีพยานขึ้น เมื่อพวกเจ้าต่างซื้อขายกัน และผู้เขียนก็จงอย่าก่อให้เกิดความเดือดร้อนขึ้น และผู้เป็นพยานด้วย และหากว่าพวกเจ้ากระทำ แน่นอนมันก็เป็นการฝ่าฝืนเนื่องด้วยพวกเจ้า และพวกเจ้าจงพึงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และอัลลอฮฺนั้นทรงให้ความรู้แก่พวกเจ้าอยู่ และอัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง”                   
อัลบะเกาะเราะฮฺ 2 : 282
   ผู้ที่เป็นลูกหนี้ ถ้าสามารถจะชำระหนี้ได้ ก็ต้องชำระโดยเร็วตามกำหนด ส่วนผู้ที่เป็นเจ้าหนี้ ถ้าลูกหนี้มีความจำเป็นก็ควรที่จะผ่อนผันให้แก่ลูกหนี้ตามสมควร
   ลูกหนี้ที่ตั้งใจไม่ชำระหนี้นั้น มีความผิด ถึงกับท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไม่ทำญะนาซะฮฺให้ นอกจากเจ้าหนี้จะยกหนี้ให้หรือมีผู้อื่นรับใช้หนี้แทนเสียก่อน ญาบิรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า



“ปรากฏว่าท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จะไม่ละหมาดให้กับผู้ที่ตายไปโดยยังมีหนี้สินติดค้างอยู่”   
      
บุคอรี,มุสลิม,อะบูดาวูด,ติรฺมิซียฺและนะสาอียฺ
   และมีบันทึกโดย ติรฺมิซียฺ จากอะบูอุมามะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่าท่านนะบียฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า


“ของยืมต้องถูกใช้คืน ของให้เอาประโยชน์ต้องถูกส่งคืน หนี้สินต้องชำระคืน ผู้ค้ำประกันต้องเป็นลูกหนี้”

   ทั้งหมดนี้ เป็นหนี้ดุนยา หนี้ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน แต่ยังมีหนี้อีกประเภทหนึ่ง คือ หนี้อาคิเราะฮฺ หนี้ระหว่างมนุษย์กับอัลลอฮฺ ซึ่งแบ่งเป็นสองกรณี
   กรณีแรก มนุษย์เป็นเจ้าหนี้และอัลลอฮฺทรงเปรียบพระองค์เป็นลูกหนี้ กรณีนี้คือการที่มนุษย์ใช้จ่ายไปในหนทางของอัลลอฮฺ ด้วยการบริจาคช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์หรือบริจาคไปในหนทางของศาสนา โดยไม่ได้มุ่งหวังอื่นใด นอกจากด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่ออัลลอฮฺ พระองค์จะทรงตอบแทนให้ในวันแห่งการตัดสิน เหมือนลูกหนี้ที่ใช้คืนให้แก่เจ้าหนี้ กรณีเช่นนี้พระองค์ได้ดำรัสไว้ในอัลกุรฺอานหลายแห่งด้วยกัน เช่น ในสูเราะฮฺอัลหะดีด(57) อายะฮฺที่ 18



“แท้จริงบรรดาผู้บริจาคทั้งชายและหญิงและเหมือนกับเขาให้อัลลอฮฺกู้ยืมด้วยการกู้ยืมที่ดี อัลลอฮฺจะ (ใช้คืน) เพิ่มให้แก่พวกเขา และสำหรับพวกเขาจะได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ”

   ส่วนกรณีที่สอง มนุษย์เป็นลูกหนี้ของอัลลอฮฺ ได้แก่ผู้ที่มีหน้าที่ต้องประกอบศาสนกิจภาคบังคับ แต่ได้ละทิ้งโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม หรือขาดอิบาดะฮฺภาคบังคับไปเพราะมีอุปสรรคที่จำเป็น เช่น ผู้ที่ขาดศีลอดในเดือนเราะมะฎอนเนื่องจากการเจ็บป่วย หรือหญิงมีประจำเดือนหรือคลอดบุตรมีน้ำคาวปลาหรือให้นมบุตร หรือผู้เดินทางที่งดเว้นการถือศีลอด หรือผู้ที่บนไว้ว่าถ้าอัลลอฮฺให้สำเร็จในกิจการนั้น ๆ แล้วจะถือศีลอด หรือ บริจาคทาน หรืออิอฺติกาฟในมัสญิดเท่านั้นเท่านี้วัน ตราบใดที่ยังไม่ได้ปฏิบัติชดเชยหรือทดแทน ก็ยังถือว่ามีหนี้สินติดค้างอยู่กับอัลลอฮฺ จำเป็นต้องชดใช้ หรือทายาทที่ชอบธรรมจะต้องชดใช้
   ชายคนหนึ่งมาพบท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้วถามว่า



“แม่ของฉันได้เสียชีวิตโดยค้างศีลอดไว้หนึ่งเดือน ฉันจะถือศีลอดแทนท่านได้ไหม” ท่านตอบว่า “ถ้าแม่เธอมีหนี้สินอยู่ เธอต้องใช้แทนไหม” เขาตอบว่า “ต้องใช้ครับ”   ท่านกล่าวว่า “หนี้สินของอัลลอฮฺนั้นทรงสิทธิ์ยิ่งที่จะได้รับการชำระ”
   
กลุ่มผู้รายงานหะดีษ

   นำเรื่องหนี้สินมาเล่าให้พี่น้องฟังก็เพราะว่า อีกไม่นานเท่าไรก็จะถึงเดือนเราะมะฎอน ใครที่ขาดศีลอด ยังไม่ได้ถือชดเชย ยังไม่ได้ใช้คืนหนี้สินของอัลลอฮฺ ก็ขอให้รีบชดใช้ อย่าปล่อยให้ล่วงเลยจนข้ามปี ถ้าเสียชีวิตไปก่อนจะได้ไม่เป็นภาระแก่ทายาท และในแนวคิดของสำนักชาฟิอียฺ ใครที่ไม่ได้ใช้ศีลอดที่ขาดไปข้ามปี นอกจากจะต้องถือใช้แล้ว ยังต้องชดเชยด้วยการแจกข้าวสารประมาณหนึ่งลิตรต่อหนึ่งวันที่ขาดไปด้วย
    ใครมีหนี้ ไม่ว่าหนี้มนุษย์หรือหนี้อัลลอฮฺ  มีความสามารถจะใช้ได้ ก็รีบใช้เสียเถิดครับ


คัดลอกจากเอกสารเผยแพร่ของมัสญิดอัร๒ริฎวาน(นานา) นครราชสีมา เมื่อ 14 พ.ค. 2553 โดย Bangmud

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ค. 15, 2010, 06:04 AM โดย Bangmud »

 

GoogleTagged