ผู้เขียน หัวข้อ: พระเจ้าของวะฮาบีย์เป็นชายหนุ่มรูปงาม ผมดก ซุบฮานัลเลาะฮ์!  (อ่าน 10334 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sufriyan

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 526
  • เพศ: ชาย
  • 0000
  • Respect: +16
    • ดูรายละเอียด
อ้าว  ผมอ่านว่าระริกระรี้นะ  นั่น

ออฟไลน์ laliklalee

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 92
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ผมคิดว่าคงไม่มีผู้ที่ยอมรับในฉายานี้หมดทุกคนหรอกครับ แต่หากใครชอบชื่อนี้ก็คงไม่ออกไปปกป้องสิทธิ์ของเขาผู้นั้น เพราะเขาอาจคิดว่าเป็นชื่อที่ดี และสอดคล้องกับผู้ถูกตั้งชื่อในความรู้สึกตนเอง แต่ผมกลับเห็นว่าชื่อนี้เป็นชื่อที่เป็นซีฟัตหนึ่งของพระองค์อัลลอฮ์ ความรู้สึกจึงเป็นเช่นเดียวกันของการถูกตั้งชื่อว่า เราะฮ์มานี หรือเราะฮ๊มีย์ คือรู้สึกไม่เหมาะสม เพราะเราคือบ่าว ถ้าจะยอมรับก็สมควรมีคำว่าอับดุลอยู่ข้างหน้าด้วย

ฝั่งผู้ตั้งฉายาต่างหากครับที่สำคัญยิ่งกว่าความหมายเพียงประการเดียว คือการจับคู่ที่สัมพันธ์กับเจตนาผู้เรียก หากผู้เรียกมีความรู้สึกด้านลบแก่ผู้ถูกเรียกแล้วยังนำซีฟัตของพระองค์อัลลอฮ์มาตั้งเป็นฉายา โดยคิดตื้นๆเพียงว่าจะนำนามสกุลของท่าน มุฮำมัด อิบนิ อับดุลวะฮาบ มาตั้งให้เฉยๆ  โดยคิดเพียงความหมายว่า "พวกวะฮาบ" ผมก็รู้สึกแย่เต็มทนจริงๆ คือยังไม่ต้องไปพิสูจน์ว่าผู้ถูกเรียกมีอากีดะฮ์ถูก หรือผิดอย่างไร? แค่การตั้งฉายาแบบนี้ ให้กับคนที่รู้สึกแบบนี้ โดยไม่คำนึงถึงสิ่งอื่น แง่มุมอื่น ก็รู้สึกเป็นสิ่งน่ารังเกียจ ที่บ่งบอกถึงการเอาจริงเอาจังในการยึดมั่นแนวทางอิสลามแล้วครับ

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
เล่นเอาวิชานิรุกติศาสตร์มาสู้แล้วหรือ หมดปัญญาแล้วหรือถึงต้องเป็นแบบนี้
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

salaff

  • บุคคลทั่วไป
คืออย่างนี้คับ

กลุ่มวะฮาบีย์นั้นแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม :

1. กลุ่มวะฮาบียะฮ์ที่มั๊วะตะดิละฮ์  หมายถึงกลุ่มวะฮาบีย์ที่เป็นกลาง  ไม่กล่าวหาฮุกุ่มบิดอะฮ์ต่อกลุ่มอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูรีดียะฮ์แบบเหมารวมว่าเป็นกลุ่มที่บิดอะฮ์เบี่ยงเบน  ซึ่งวะฮาบีย์กลุ่มนี้ถือว่าอยู่ในแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์โดยความหมายรวม โปรดดูกระทู้ ตัวอย่างของจุดยืนนี้ จากกลุ่มที่หนึ่ง

2. กลุ่มวะฮาบียะฮ์ฆุลาฮ์  หมายถึงกลุ่มวะฮาบีย์สุดโต่ง  ซึ่งกลุ่มนี้จะทำการฮุกุ่มบิดอะฮ์ต่อทุกแนวทางที่ไม่เหมือนกับตน  เช่น  ฮุกุ่มแนวทางอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูรียะฮ์และแนวทางอื่น ๆ ที่ต่างจากแนวทางของตนเองว่าเป็นพวกบิดอะฮ์เบี่ยงเบน  ซึ่งวะฮาบีย์กลุ่มนี้จะพรรณาคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์โดยมีหลักการที่ตัชบีห์(พรรณาคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์คล้ายกลับมัคโลค) และมีหลักการตัจญ์ซีม(พรรณาคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์โดยเป็นรูปร่าง)  แน่นอนพวกเขาที่มีคุณลักษณะเช่นนี้ถือว่าเป็นกลุ่มบิดอะฮ์เบี่ยงเบนไม่ใช่อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ โปรดดูกระทู้ ตัวอย่างที่1 , ตัวอย่างที่2 จากกลุ่มที่สองนี้

ดังนั้นแนวทางใดที่ฮุกุ่มตัดสินอะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์ว่าบิดอะฮ์  ผู้นั้นย่อมอยู่ในแนวทางบิดอะฮ์ , ผู้ใดฮุกุ่มพวกเขากลุ่มหลง  ผู้นั้นคือผู้ที่ลุ่มหลง , และผู้ใดที่ฮุกุ่มพวกเขากาเฟร  ผู้นั้นย่อมเป็นกาเฟรกลับไปหาตัวเขา  ตามคำฟัตวาของนักปราชญ์ผู้มีคุณธรรมดังต่อไปนี้

ท่านอิมาม อะบุลมุซ็อฟฟัร  อัลอิสฟิรอยีนีย์  ร่อฮิมะฮุลลอฮ์  กล่าวว่า  "และท่านจะทราบว่า  ทุกคนที่ยอมรับด้วยกับหลักการของศาสนานี้ที่เราได้พรรณามันไว้จากหลักศรัทธาของกลุ่มที่ปลอดภัย(คือกลุ่มอะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูรียะฮ์) เขาย่อมอยู่บนสัจธรรมและอยู่บนหนทางที่เที่ยงตรง  ดังนั้นผู้ใดที่ฮุกุ่มบิดอะฮ์ต่อเขา(ผู้อยู่แนวทางดังกล่าว)  ผู้นั้นย่อมเป็นคนบิดอะฮ์ , และผู้ใดฮุกุ่มเขาว่าลุ่มหลง  ผู้นั้นย่อมเป็นคนลุ่มหลง , และผู้ใดฮุกุ่มเขาเป็นกาเฟร  ผู้นั้นย่อมเป็นคนกาเฟรด้วย"  หนังสืออัตตับซีร ฟิดดีน หน้า 111 ของท่านอิมามอัลอัสฟิรอยีนีย์

ท่าน อิมาม อิบนุ รุชดฺ อัลมาลิกีย์ (ผู้เป็นปู่) (รอฮิมะฮุลลอฮ์) ที่ได้รับฉายานามว่า ชัยค์อัลมัซฮับ (ปรมาจารย์แห่งมัซฮับมาลิกีย์) ฟัตวาว่า "ปราชญ์อัลอะชาอิเราะฮ์เหล่านั้น ที่ท่านได้กล่าวชื่อพวกเขามา เป็นส่วนหนึ่งจากนักปราชญ์ที่เป็นแกนนำของนักปราชญ์แห่งความดีงามและอยู่ในทางนำ  และเป็นบรรดาบุคคลที่จำเป็นต้องดำเนินตามพวกเขา  เนื่องจากพวกเขาเป็นผู้ยืนหยัดช่วยเหลือหลักชาริอะฮ์(บทบัญญัติแห่งอิสลาม) และทำลายสิ่งคลุมเครือต่าง ๆ ของพวกเบี่ยงเบนและลุ่มหลง  พวกเขาได้ทำให้ประเด็นปัญหาต่าง ๆ มีความคลี่คลายและชัดเจน  พวกเขายังอธิบายถึงสิ่งที่จำเป็นต้องยอมรับจากบรรดาหลักการศรัทธา  ดังนั้น  ด้วยการรอบรู้ถึงบรรดาหลักพื้นฐาน(อุซูล)ของศาสนา จึงทำให้พวกเขาเป็นนักปราชญ์ที่แท้จริง  เนื่องจากพวกเขารู้ดียิ่งเกี่ยวกับอัลเลาะฮ์  ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่วายิบสำหรับพระองค์  สิ่งที่อนุญาติต่อพระองค์ และสิ่งที่(มุสตะฮีล)เป็นไปไม่ได้จากพระองค์  เพราะประเด็นนิติบัญญัติข้อปลีกย่อยจะไม่สามารถรู้ได้นอกจากต้องรู้หลักอุ ศูล(หลักศรัทธา)เสียก่อน   เพราะฉะนั้น  จึงมีความจำเป็นที่จะต้องรู้ถึงความประเสริฐและยอมรับถึงสถานะความเป็นแกนนำ ของพวกเขา  ฉะนั้น  พวกเขาย่อมเป็นจุดมุ่งหมายของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ที่ว่า  "ความรู้นี้  ได้แบกรับจากทุก ๆ ผู้สืบทอด(ต่อ ๆ กันมา)  โดยบรรดาผู้ทรงคุณธรรม  ซึ่งพวกเขาจะทำการปฏิเสธจากการบิดเบือนของผู้ที่เลยเถิด  , (ปฏิเสธ)การประกาศศาสนาของบรรดาผู้ที่อธรรม และจากการตีความของบรรดาบุคคลโง่เขลา"  ดังนั้น จะไม่มีการเชื่อว่าพวกเขา(อัลอะชาอิเราะฮ์)ได้อยู่บนความลุ่มหลงและความโง่เขลา นอกจากผู้ที่เขลาเบาปัญญาหรือผู้ที่อุตริกรรมอีกทั้งเบี่ยงเบนออกจากสัจจะธรรมเท่านั้น  และคนหนึ่งจะไม่ประณามอัลอะชาอิเราะฮ์และพาดพิงกล่าวหาไปยังพวกเขาด้วยกับสิ่งที่ไม่พวกเขาไม่ได้ยึดถืออยู่  นอกจาก(คนกล่าวหานั้น)เขาคือคนชั่ว  แท้จริงอัลเลาะฮ์ อัซซะวะญัลล่า ทรงตรัสว่า "บรรดาบุคคลที่สร้างความเดือนร้อนแก่บรรดาผู้ศรัทธาชายและบรรดาผู้ศรัทธา หญิง  ด้วยกับสิ่งที่พวกเขาไม่ได้พากเพียรไว้  แน่นอน พวกเขาย่อมแบกรับความมุสาและบาปอันชัดแจ้ง" ฟะตาวา อิบนุ รุชด์ เล่ม 2 หน้า 802  ตีพิมพ์ ดารุลฆ่อร่อบิลอิสลามีย์ เบรุต ฮ.ศ. 1407

ท่านชัยคุลิสลาม อิบนุ ฮะญัร อัลฮัยตะมีย์ ตอบฟัตวาความว่า "บรรดาปวงปราชญ์(อัลอะชาอิเราะฮ์)เหล่านั้น  มิได้เป็นเฉกเช่นที่ผู้ที่แหวกแนวทาง  ออกนอกหลักศาสนา  คาดเดา  ลุ่มหลง  เลยเถิด  โง่เขลา  และเอนเอียงออกจากสัจธรรมเลย  ยิ่งกว่านั้น  พวกเขาเป็นนักปราชญ์แห่งศาสนา  เป็นนักปราชญ์มุสลิมีนที่ยิ่งใหญ่  ดังนั้น  จึงจำเป็นต้องเจริญรอยตาม  เนื่องจากพวกเขาได้ยืนหยัดช่วยเหลือชะรีอะฮ์ (อิสลาม) และแจกแจงบรรดาข้อสงสัยต่าง ๆ  และทำการโต้ตอบความคลุมเครือจากพวกที่เบี่ยงเบน  และทำการชี้แจงสิ่งที่จำเป็นของหลักความเชื่อ(เอี๊ยะติก๊อต)และหลักการต่าง ๆ ของศาสนา  เนื่องจากพวกเขามีความรู้เกี่ยวกับอัลเลาะฮ์  ในสิ่งที่จำเป็นสำหรับพระองค์  สิ่งที่มุสตะฮีล(เป็นไปไม่ได้)ต่อพระองค์  และสิ่งที่อนุญาตในสิทธิของพระองค์  และจะไม่สามารถบรรลุถึงเป้าหมายได้นอกจากรู้จักถึงหลักศรัทธาพื้นฐานเสีย ก่อน  และจำเป็นต้องยอมรับถึงความประเสริฐของบรรดานักปราชญ์ที่ถูกกล่าวมาข้างต้น และนักปราชญ์ก่อนหน้าพวกเขาด้วย  และพวกเขาก็คือกลุ่มเป้าหมายจากคำกล่าวของท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้กล่าวว่า "ความรู้นี้  ได้แบกรับจากทุก ๆ ผู้สืบทอด(ต่อ ๆ กันมา)  โดยบรรดาผู้ทรงคุณธรรม  ซึ่งพวกเขาจะทำการปฏิเสธจากการบิดเบือนของผู้ที่เลยเถิด  , การประกาศศาสนาของบรรดาผู้ที่อธรรม และจากการตีความของบรรดาบุคคลโง่เขลา"  ดังนั้นจะไม่กล่าวหาว่าอัลอะชาอิเราะฮ์ลุ่มหลงนอกจากผู้ที่โฉดเขลาหรือผู้ทำบิดอะฮ์ ที่เบี่ยงเบนจากสัจธรรม  ดังนั้น  จึงจำเป็นให้คนไม่รู้ได้ประจักษ์ถึงพวกเขา  คนชั่วต้องถูกลงโทษ  ผู้บิดอะฮ์ที่เบี่ยงเบนจากสัจธรรมที่กระทำมักง่ายด้วยบิดอะฮ์ต้องถูกใช้ให้ เตาบะฮ์" อัลฟะตาวา อัลฮะดีษียะฮ์ อัลกุบรอ หน้า 227  ตีพิมพ์ เอี๊ยะห์อุษตุร๊อษ เบรุต 

ท่านชัยค์  อะบุล  หะซัน  อัลนัดวีย์  ได้กล่าวถึงแนวทางอัลอะชาอิเราะฮ์  ความว่า  "ทั่วทุกมุมโลกอิสลาม  ต้องน้อมรับให้กับวิชาความรู้และและความสำเร็จของปวงปราชญ์อัลอะชาอิเราะฮ์...และด้วยความประเสริฐของพวกเขาเหล่านั้น  ทำให้แกนนำเชิงแนวคิดแห่งโลกอิสลามมีการขับเคลื่อน  และสามารถชี้นำกลุ่มมั๊วะตะซิละฮ์ให้กลับไปสู่แนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์"  หนังสือ ริญาลุล ฟิกร์วัดดะอฺวะฮ์ ฟีลอิสลาม หน้า 137 ของท่านอะบุลฮะซัน อัลนัดวีย์

ดังนั้น  ผมจึงอยากให้ท่าน ลาลิกละลี้  แสดงจุดยืนว่าเป็นวะฮาบีย์กลุ่มไหนจากทั้ง2กลุ่มที่อุลามะเขาแบ่งเอาไว้

ออฟไลน์ laliklalee

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 92
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
นิรุกติศาสตร์ เป็นศัพท์บัญญัติ จากคำว่า philology ในภาษาอังกฤษ (มีความหมายว่า ความรักในคำศัพท์) นิยามที่ตรงที่สุดของคำนี้ ก็คือ การเรียนรู้ถึงภูมิหลัง และการใช้ในปัจจุบัน ของการสื่อสารของมนุษย์ ไม่ว่าด้วยวิธีการพูดหรือการเขียน แม้ว่าคุณลักษณะทั่วไปของภาษาที่ถูกศึกษา จะมีความสำคัญมากกว่าที่มา หรืออายุ แต่การศึกษาเรื่องที่มาและอายุของคำก็มีความสำคัญเช่นกัน

คำว่า ฟิโลโลยี (philology) ในภาษาอังกฤษ มาจากคำศัพท์ภาษากรีก ไฟลอส (Φιλος) ความรัก และ ลอกอส (λογος) สนใจ หมายถึง ความรักในคำศัพท์ การศึกษาเชิงนิรุกติศาสตร์ คือการทำความเข้าใจถึง ที่มาของภาษา และมักใช้ในการศึกษาภาษา หรือคัมภีร์โบราณ


แล้ว ILHAM อ่านเข้าใจไปในสาขาวิชานั้นได้อย่างไรกัน?? คนมีปัญญาระดับท่านตีความแล้วผลออกมาเยี่ยงนี้หรือ??
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ค. 24, 2010, 02:34 PM โดย laliklalee »

ออฟไลน์ laliklalee

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 92
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
โอเคเริ่มมีกลุ่มวาฮาบีย์ที่ท่านถือว่ารวมอยู่ในแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์โดยความหมายรวมแล้วสินะครับ ต่อไปเวลาโจมตี "วาฮาบีย์" ถ้าเป็นไปได้ช่วยระบุกลุ่มด้วยก็น่าจะดีกว่าการเหมารวม

เรื่องกลุ่มที่ 2 คงตัดทิ้งไปได้ เพราะการเหมารวมคนที่ไม่เหมือนเราเป็นบิดอะฮ์ เป็นการเอา "ตัวกู" เป็นตัวตั้งซึ่ง ผมคงไม่บังอาจยึดถือแบบนั้นได้

แต่แม้เหลือเพียงข้อ 1. ผมก็ยังไม่อาจยอมรับได้ เพราะยังไม่มีคุณลักษณะอื่นๆที่ท่านไม่ได้ยกมาประกอบด้วย

ทีนี้ผมขอทราบอีกหน่อยว่า แล้วเส้นแบ่งระหว่างแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ที่เข้าใจว่าท่านคงเลือกอยู่กลุ่มนี้ กับแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์แบบวาฮาบีย์ที่มั๊วะตะดิละฮ์ที่ท่านเหลือไว้ให้ผมเลือกนั้นคืออะไร?

ขอช่วยชี้แนะด้วย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ค. 24, 2010, 02:35 PM โดย laliklalee »

ออฟไลน์ sufriyan

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 526
  • เพศ: ชาย
  • 0000
  • Respect: +16
    • ดูรายละเอียด
 salamตกลงว่าคุณlalikฯสังกัดกลุ่มไหนกันครับ     
อีกอย่างเค้าแบ่งกลุ่ม...ก่อนมีเวปอีกครับ 

ออฟไลน์ laliklalee

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 92
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
เค๊านี้ใครครับ? ทำไมผมต้องสังกัดตามนั้น?

แล้วนบีแบ่งให้เป็นกี่กลุ่มครับ สังกัดชื่อกลุ่มตามนบี ยึดแนวทางตามนบีไม่ปลอดภัยกว่าหรือ?
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ค. 24, 2010, 04:11 PM โดย laliklalee »

salaff

  • บุคคลทั่วไป
โอเคเริ่มมีกลุ่มวาฮาบีย์ที่ท่านถือว่ารวมอยู่ในแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์โดยความหมายรวมแล้วสินะครับ




อธิบายชัดที่คับไม่เข้าใจ

salaff

  • บุคคลทั่วไป
 salam

ดังนั้นเราจะเห็นว่า บังลาลิ้กลาลี้..ไม่มีความชัดเจนในการตอบหรือเคลียร์ปัญหาตนเอง เพียงแต่มีความสงสัยว่า..หรือไม่เข้าใจว่าทำไมเวปนี้ จึงถือว่าว่าวาฮาบีที่ตนเองยึดถือจึงไม่เข้าข่ายหรือใกล้เคียงกับความเชื่อมั่นของชนอะลิสซุนนะวัญญามาอะในอดีต..ที่ท่านนบีกล่าวไว้..เกี่ยวกับประชาชาติ ของยิวของคริสต์ ของอิสลาม..ด้วยเหตุผลว่า บังลาลิ้กลาลี้เข้าใจว่า..ทั้งชนกลุ่มพุทธ ชนกล่มคริสต์หรือชนอื่นๆนั้นถูกนับเป็นกลุ่มที่ท่านนบีกล่าวไว้เช่นกันว่า จริงแล้วถ้าจะนับหลักความเชื่อของการับถือศาสนาแล้วมันมีมากกว่า300กว่าศาสนาในโลกนี้...โดยบังลาลิ้กลาลี้..เข้าใจผิดไปจากทัศนะของบรรดาอุลามะ... เลยรวมเอากลุ่มดังกล่าวเข้าไปในความหมายที่ว่า 73 พวก  เข้าไปด้วยนั้นเอง .... 

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ..ท่านนบีกล่าวว่า ...ประชาชาติของฉัน(หมายถึงชาวอุมมะติในยุคหลังๆที่เขาได้รับอิสลามสมบูรณ์แล้วนั้นเอง) และพวกเขาก็แตกเป็นกลุ่มหรือหมู่คณะในด้านของหลักของศรัทธาหรือด้านอากีดะ(การยึดมั่น) ซึ่งหมายถึงว่า.เดิมทีเขาเหล่านั้เคยรับรู้อิสลามมาก่อนแล้ว  แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็แตกออกเป็นกล่มเป็นคณะต่างและนิกายต่างๆ เช่น กอดยานี มุญับสิมะ มุญับบิอะ ยับบารียะ มัวตะซีละ  ชีอะอัรเราฟิเฎาะ  และวาฮาบียะบางกลุ่มกลุ่มคอวาริจ ฯลฯ..ซึ่งนับรวมกันแล้วสำหรับกล่มที่แยกออกจากอิสลลามนั้นก็ได้ประมาณ72 คงเหลือแต่อัลญามาอะเท่านั้นที่คงอยู่กันอยู่อย่างเหนียวแน่นทั่วทุกมุมโลก

อ้างถึง
บังละลิคลาลี้กล่าวว่า..

เรื่องกลุ่มที่ 2 คงตัดทิ้งไปได้ เพราะการเหมารวมคนที่ไม่เหมือนเราเป็นบิดอะฮ์ เป็นการเอา "ตัวกู" เป็นตัวตั้งซึ่ง ผมคงไม่บังอาจยึดถือแบบนั้นได้..

..... ;Dนี่คือการเข้าใจผิดและคิดไปเองของผู้พูด...

แต่แม้เหลือเพียงข้อ 1. ผมก็ยังไม่อาจยอมรับได้ เพราะยังไม่มีคุณลักษณะอื่นๆที่ท่านไม่ได้ยกมาประกอบด้วย ..


 :o..ที่ไม่ยอมรับว่าเพราะคิดว่า  ตนเองไม่ได้เป็นวาฮาบีทั้งๆที่..พฤติกรรมการกระทำมันฟ้อง.อยู่โทนโท้

ทีนี้ผมขอทราบอีกหน่อยว่า แล้วเส้นแบ่งระหว่างแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ที่เข้าใจว่าท่านคงเลือกอยู่กลุ่มนี้ กับแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์แบบวาฮาบีย์ที่มั๊วะตะดิละฮ์ที่ท่านเหลือไว้ให้ผมเลือกนั้นคืออะไร?ขอช่วยชี้แนะด้วย

*******************************************************************************************
จริงๆแล้ว ถ้าพูดกันถึงเรื่องหลักการยึดมั่นแล้ว วาฮาบีปัจจุบันนั้นมีการศรัทธาที่แตกต่างจากกลุ่มอะลิสซุนนะอย่างสิ้นเชิง ตรงที่ว่า

 ::)กลุ่มวะฮาบียะฮ์นั้นบางกล่มจะที่มีการศรัทธาแบบมั๊วะตะซิละฮ์ แต่พวกเขาไม่รู้ตัวเองนั้นเอง.. หมายถึงว่า กลุ่มที่เพียงตัวเชื่อที่มีความเชื่อว่า จริงอยู่อัลลอฮ์ทรงสร้างมนุษย์มา แต่อัลลอฮ์ก็ให้กำลังกับมนุษย์ที่จะกระทำอะไรก็ได้ แล้วแต่ระดับความรู้ของตนโดยพวกเขาจะเอาความรู้เป็นตัวชี้วัดไปยังสติปัญญา   เช่น  เมื่อมีความชั่วเกิดขึ้น ก็ต้องโทษผู้นั้นผู้นั้นคนนี้.. เช่น..ถ้าใครสอบเลื่อนชั้นไม่ได้ก็ต้องโทษตัวเขาเอง เช่น โทษตัวเองว่า สมองไม่ดี..เลยจำอะไรไม่ได้ เลยสอบไม่ได้..เหล่านี้เป็นต้น 

โดยที่เขาลืมว่า การอนุมัติทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมาจากอัลลอฮ์(วบ)เท่านั้น เราไม่มีความสามารถ

พวกเขาคิดว่า ...ตนเองมีกำลังมีความคิดแล้ว  แต่ไม่ได้ใช้สมองที่มี  กลับไปกระทำผิดพลาดเอง  ฉนั้นอย่าโทษอัลลอฮ์  ต้องโทษตัวเอง ตัวเองเป็นผู้กระทำมันขึ้นมา  โดยลืมไปว่า บางครั้งความชั่วหรือความเลวนั้นแม้เราจะป้องกันดีแล้ว  ก็ไม่สามารถควบคุมได้หากแม้พระองค์ทรงประสงค์ให้มันเกิดขึ้น..

อยากเป็นคนมีความรู้ก็ต้องเรียนหนังสือ  แต่ในความเป็นจริงมีผู้เรียนมากมาย  ที่เรียนแล้วแต่ก็ไม่รู้อะไรเลยซึ่งตัวรู้นั้นไม่สามารรถจะทำให้ตนเองรู้ได้นอกจากอำนาจของอัลลออ์เท่านั้นที่จะประทานให้ 

ดังนั้นจากตัวอย่างที่ผ่านมา กลุ่มมัวะตะซีละนั้น  มีความพยายามที่จะแบ่งกำลังหรือสร้างการผูกมัดกันตลอด.. พวกเขาเชื่อว่า ..ถ้าอยากรวยก็ต้องขยัน ถ้าอยากอิ่มก็ต้องกินฯลฯ


อีกอย่างกลุ่มวาฮาบีจะไม่ส่งเสริมให้พวกตนเองเรียรู้ซีฟัตของอัลลอฮ์  พวกเขา กล่าวว่า แค่รู้ว่าอัลลออ์มี เชื่ออัลลอฮ์สร้างมัคโลกมาก็ถือว่า เป็นมุสลิมแล้วดังนั้นพวกเขา ให้มีการรเรียนรู้แค่ผิวเผินก็เพียงพอแล้ว    โดยไม่จำเป็นต้องเจาะรายละเอียด เหมือน กลุ่ม ตอรีกัตหรือ  ชนซุฟีหรือเพราะพวกเขาอ้างว่าการเรียนรู้เรื่องดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งบิดอะ เขาอ้างเหตุผลอย่างนี้

นี่คือส่วนหนึ่งของการขยายความคำว่าอะลิสซุนนะวัลยามาอะ ที่ท่านนบีกล่าวถึง จากตัวฮาดิสดังกล่าว ..ส่วนในเรื่อง.การปฏิบัติที่แตกต่างในด้านฮุกมชารีอัตของมัสหับทั้ง4 นั้นถือว่า ไม่ใช่เป็นตัวแบ่งแยกความแตกต่างของกลุ่มชนอะลิสซุนนะ แต่ประการใด


ท่านอิมาม อะบุลมุซ็อฟฟัร  อัลอิสฟิรอยีนีย์  ร่อฮิมะฮุลลอฮ์  กล่าวว่า  "และท่านจะทราบว่า  ทุกคนที่ยอมรับด้วยกับหลักการของศาสนานี้ที่เราได้พรรณามันไว้จากหลักศรัทธาของกลุ่มที่ปลอดภัย(คือกลุ่มอะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูรียะฮ์) เขาย่อมอยู่บนสัจธรรมและอยู่บนหนทางที่เที่ยงตรง  ดังนั้นผู้ใดที่ฮุกุ่มบิดอะฮ์ต่อเขา(ผู้อยู่แนวทางดังกล่าว)  ผู้นั้นย่อมเป็นคนบิดอะฮ์ , และผู้ใดฮุกุ่มเขาว่าลุ่มหลง  ผู้นั้นย่อมเป็นคนลุ่มหลง , และผู้ใดฮุกุ่มเขาเป็นกาเฟร  ผู้นั้นย่อมเป็นคนกาเฟรด้วย"  หนังสืออัตตับซีร ฟิดดีน หน้า 111 ของท่านอิมามอัลอัสฟิรอยีนีย์

ท่าน อิมาม อิบนุ รุชดฺ อัลมาลิกีย์ (ผู้เป็นปู่) (รอฮิมะฮุลลอฮ์) ที่ได้รับฉายานามว่า ชัยค์อัลมัซฮับ (ปรมาจารย์แห่งมัซฮับมาลิกีย์) ฟัตวาว่า "ปราชญ์อัลอะชาอิเราะฮ์เหล่านั้น ที่ท่านได้กล่าวชื่อพวกเขามา เป็นส่วนหนึ่งจากนักปราชญ์ที่เป็นแกนนำของนักปราชญ์แห่งความดีงามและอยู่ในทางนำ  และเป็นบรรดาบุคคลที่จำเป็นต้องดำเนินตามพวกเขา  เนื่องจากพวกเขาเป็นผู้ยืนหยัดช่วยเหลือหลักชาริอะฮ์(บทบัญญัติแห่งอิสลาม) และทำลายสิ่งคลุมเครือต่าง ๆ ของพวกเบี่ยงเบนและลุ่มหลง  พวกเขาได้ทำให้ประเด็นปัญหาต่าง ๆ มีความคลี่คลายและชัดเจน  พวกเขายังอธิบายถึงสิ่งที่จำเป็นต้องยอมรับจากบรรดาหลักการศรัทธา  ดังนั้น  ด้วยการรอบรู้ถึงบรรดาหลักพื้นฐาน(อุซูล)ของศาสนา จึงทำให้พวกเขาเป็นนักปราชญ์ที่แท้จริง  เนื่องจากพวกเขารู้ดียิ่งเกี่ยวกับอัลเลาะฮ์  ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่วายิบสำหรับพระองค์  สิ่งที่อนุญาติต่อพระองค์ และสิ่งที่(มุสตะฮีล)เป็นไปไม่ได้จากพระองค์  เพราะประเด็นนิติบัญญัติข้อปลีกย่อยจะไม่สามารถรู้ได้นอกจากต้องรู้หลักอุ ศูล(หลักศรัทธา)เสียก่อน   เพราะฉะนั้น  จึงมีความจำเป็นที่จะต้องรู้ถึงความประเสริฐและยอมรับถึงสถานะความเป็นแกนนำ ของพวกเขา  ฉะนั้น  พวกเขาย่อมเป็นจุดมุ่งหมายของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ที่ว่า  "ความรู้นี้  ได้แบกรับจากทุก ๆ ผู้สืบทอด(ต่อ ๆ กันมา)  โดยบรรดาผู้ทรงคุณธรรม  ซึ่งพวกเขาจะทำการปฏิเสธจากการบิดเบือนของผู้ที่เลยเถิด  , (ปฏิเสธ)การประกาศศาสนาของบรรดาผู้ที่อธรรม และจากการตีความของบรรดาบุคคลโง่เขลา"  ดังนั้น จะไม่มีการเชื่อว่าพวกเขา(อัลอะชาอิเราะฮ์)ได้อยู่บนความลุ่มหลงและความโง่เขลา นอกจากผู้ที่เขลาเบาปัญญาหรือผู้ที่อุตริกรรมอีกทั้งเบี่ยงเบนออกจากสัจจะธรรมเท่านั้น  และคนหนึ่งจะไม่ประณามอัลอะชาอิเราะฮ์และพาดพิงกล่าวหาไปยังพวกเขาด้วยกับสิ่งที่ไม่พวกเขาไม่ได้ยึดถืออยู่  นอกจาก(คนกล่าวหานั้น)เขาคือคนชั่ว  แท้จริงอัลเลาะฮ์ อัซซะวะญัลล่า ทรงตรัสว่า "บรรดาบุคคลที่สร้างความเดือนร้อนแก่บรรดาผู้ศรัทธาชายและบรรดาผู้ศรัทธา หญิง  ด้วยกับสิ่งที่พวกเขาไม่ได้พากเพียรไว้  แน่นอน พวกเขาย่อมแบกรับความมุสาและบาปอันชัดแจ้ง" ฟะตาวา อิบนุ รุชด์ เล่ม 2 หน้า 802  ตีพิมพ์ ดารุลฆ่อร่อบิลอิสลามีย์ เบรุต ฮ.ศ. 1407

ท่านชัยคุลิสลาม อิบนุ ฮะญัร อัลฮัยตะมีย์ ตอบฟัตวาความว่า "บรรดาปวงปราชญ์(อัลอะชาอิเราะฮ์)เหล่านั้น  มิได้เป็นเฉกเช่นที่ผู้ที่แหวกแนวทาง  ออกนอกหลักศาสนา  คาดเดา  ลุ่มหลง  เลยเถิด  โง่เขลา  และเอนเอียงออกจากสัจธรรมเลย  ยิ่งกว่านั้น  พวกเขาเป็นนักปราชญ์แห่งศาสนา  เป็นนักปราชญ์มุสลิมีนที่ยิ่งใหญ่  ดังนั้น  จึงจำเป็นต้องเจริญรอยตาม  เนื่องจากพวกเขาได้ยืนหยัดช่วยเหลือชะรีอะฮ์ (อิสลาม) และแจกแจงบรรดาข้อสงสัยต่าง ๆ  และทำการโต้ตอบความคลุมเครือจากพวกที่เบี่ยงเบน  และทำการชี้แจงสิ่งที่จำเป็นของหลักความเชื่อ(เอี๊ยะติก๊อต)และหลักการต่าง ๆ ของศาสนา  เนื่องจากพวกเขามีความรู้เกี่ยวกับอัลเลาะฮ์  ในสิ่งที่จำเป็นสำหรับพระองค์  สิ่งที่มุสตะฮีล(เป็นไปไม่ได้)ต่อพระองค์  และสิ่งที่อนุญาตในสิทธิของพระองค์  และจะไม่สามารถบรรลุถึงเป้าหมายได้นอกจากรู้จักถึงหลักศรัทธาพื้นฐานเสีย ก่อน  และจำเป็นต้องยอมรับถึงความประเสริฐของบรรดานักปราชญ์ที่ถูกกล่าวมาข้างต้น และนักปราชญ์ก่อนหน้าพวกเขาด้วย  และพวกเขาก็คือกลุ่มเป้าหมายจากคำกล่าวของท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้กล่าวว่า "ความรู้นี้  ได้แบกรับจากทุก ๆ ผู้สืบทอด(ต่อ ๆ กันมา)  โดยบรรดาผู้ทรงคุณธรรม  ซึ่งพวกเขาจะทำการปฏิเสธจากการบิดเบือนของผู้ที่เลยเถิด  , การประกาศศาสนาของบรรดาผู้ที่อธรรม และจากการตีความของบรรดาบุคคลโง่เขลา"  ดังนั้นจะไม่กล่าวหาว่าอัลอะชาอิเราะฮ์ลุ่มหลงนอกจากผู้ที่โฉดเขลาหรือผู้ทำบิดอะฮ์ ที่เบี่ยงเบนจากสัจธรรม  ดังนั้น  จึงจำเป็นให้คนไม่รู้ได้ประจักษ์ถึงพวกเขา  คนชั่วต้องถูกลงโทษ  ผู้บิดอะฮ์ที่เบี่ยงเบนจากสัจธรรมที่กระทำมักง่ายด้วยบิดอะฮ์ต้องถูกใช้ให้ เตาบะฮ์" อัลฟะตาวา อัลฮะดีษียะฮ์ อัลกุบรอ หน้า 227  ตีพิมพ์ เอี๊ยะห์อุษตุร๊อษ เบรุต 

//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
..บังลาลิ้กลาลี้กล่าวว่า..

โอเคเริ่มมีกลุ่มวาฮาบีย์ที่ท่านถือว่ารวมอยู่ในแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์โดยความหมายรวมแล้วสินะครับ

ดังนั้น วาฮาบียังเป็นอะลิสซุนนะไม่ได้หากมีความคิดเทียบเคียงหรือมีอากีดะที่เชื่อว่าอัลลอฮ์..ทรงมีอวัยวะหรือมีตัวตนหรือทรงสถิตย์บนอารัช เพราะนั้นคือ   อากีดะของพวกมัวตะซีละนั้นเอง.ซึ่งวาฮาบีรับมันไว้อย่างไม่รู้ตัวแต่ก็พยายามชุดล้โก้วาตนคืออากีดสลัฟตามการอธิบายหรือตามเข้าใจของอิบนุตัยมียะ..ซึ่งแก่นแท้คือ..ความเข้าใจผิดของพวกเขานั้นเอง...นาอูซู้บิ้ลลามิ้นซาลิค. happy2:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ค. 25, 2010, 04:39 PM โดย salaff »

ออฟไลน์ laliklalee

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 92
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนโต้แย้งระหว่างท่านกันเองก่อนดีกว่าครับ แล้วค่อยสรุปมาว่า "วาฮาบีย์" เป็นอย่างไร?

salaff

  • บุคคลทั่วไป
อ้างถึง
ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนโต้แย้งระหว่างท่านกันเองก่อนดีกว่าครับ แล้วค่อยสรุปมาว่า "วาฮาบีย์" เป็นอย่างไร?

ดังนั้นก่อนอื่นผมจำเป้นต้องนำข้อมูลที่เวปนี้ให้คำนิยามเอาไว้มาชี้แจงบัง ลาลิ้คล้าลี้ให้เข้าใจนิยามคำว่า วาฮาบีย์กันอีกทีคับ
เกี่ยวกับการใช้ศัทพ์คำว่า วะฮาบียะฮ์

ประการที่หนึ่ง  คือต่อไปผู้อ่านจะพบระหว่างการค้นคว้าวิเคราะห์ว่า  บางครั้งฉันจะใช้คำว่า "วะฮาบียะฮ์"  ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องของการน่าตำหนิอย่างที่ฝ่ายคัดค้านได้เรียกขึ้นมา  หรือว่าทำให้ "วะฮาบียะฮ์" เป็นมัซฮับใหม่  แต่ทว่ามันเป็นเรื่องการเรียกศัพท์ทางเทคนิคหรือฉายาที่บรรดามุสลิมิมีนส่วนมากทำการเรียกที่มีต่อ  กระแส  กระบวนการ  แนวคิด  การเรียกร้อง  ที่มีประวัติศาสตร์  มีลักษณะพิเศษ  มีตำรา และอุลามาอ์เฉพาะของพวกตน

ประการที่สอง  พวกวะฮาบีย์บางส่วนได้พึงพอใจกับฉายานี้  และพวกเขานำฉายาดังกล่าวมาเรียกแทนตัวพวกเขาเอง  ดังนั้น  คำว่า "วะฮาบีย์" จึงไม่ใช่เป็นลักษณะของการตำหนิและการสรรเสริญ  และไม่ใช่เป็นการตำหนิ  จนกระทั่งหากยอมรับในหลักการวะฮาบีย์  จะกลายเป็นมัซฮับหนึ่งขึ้นมา  เพราะฉะนั้น  มัซฮับที่ยึดอยู่บนหลักฐานที่ถูกต้องนั้น  นามชื่อของมัซฮับที่เกิดขึ้นใหม่จะไม่ทำให้มัซฮับเกิดความเสียหาย  การเรียกของผู้คนก็เช่นเดียวกัน  เนื่องจากว่า  เงื่อนไขของการมีมัซฮับนั้น  ไม่จำเป็นต้องอยู่ในยุคแรกของศตวรรษที่สาม  เฉกเช่นเดียวกันกับ กระแสความคิดหรือมัซฮับที่ทฤษฏีหรือแนวปฏิบัติอยู่บนบรรดาหลักฐานที่อ่อน  ก็ย่อมไม่มีประโยชน์อันใดจากการตั้งชื่อมัซฮับซ่ะสวยงาม  หากแม้ว่ามัซฮับดังกล่าวจะอยู่ยุคศตวรรษแรกก็ตาม  เพราะการพิจารณานั้น  ด้วยกับความรู้ที่ถูกต้อง  อีม่านที่บริสุทธิ์  และการปฏิบัติที่ดีงาม  ไม่ใช่ด้วยการตั้งชื่อหรือมีความหวังลม ๆ แล้ง ๆ

ฉันรู้สึกแปลกใจที่มีบรรดาพวกมุก๊อลลิดต่างกล่าวกันว่า  ถ้อยคำ "อัลวะฮาบียะฮ์" นั้น ผู้เป็นปฏิปักษ์จะนำมาใช้เรียก พวกเขามักนำมาพูดกับฉายานี้  ทั้งที่การเรียกชื่อไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่จะมาถกเถียงกัน

มีอุลามาอ์ที่เรียกร้องแนวทางดังกล่าว  อนุญาตให้ใช้คำว่า "วะฮาบียะฮ์"  พวกเขาต่างนำมาใช้ในตำราต่าง ๆ ของพวกเขา  โดยไม่หวั่นเกรงต่อการกล่าวหาว่า สร้างมัซฮับขึ้นมา  ยิ่งกว่านั้น  พวกเขายังทำการประพันธ์ตำราต่าง ๆ เกี่ยวกับอะกีดะฮ์และการเรียกร้องของวะฮาบีย์  โดยมิได้มีความเสื่อมเสียแต่ประการใด

ส่วนหนึ่งจากบรรดาอุลามาอ์ที่เรียกร้องแนวทางวะฮาบีย์  ยังนำคำว่า "วะฮาบีย์" มาให้เรียก  เช่น  ชัยค์ สุไลมาน บิน ซะห์มาน  , ชัยค์ มุฮัมมัด บิน อับดุลล่าฏีฟ ( ดู หนังสือ อัดดุร๊อร อัซซะนียะฮ์ เล่ม 8 หน้า 433)  และบรรดาอุลามาอ์ที่ปกป้องวะฮาบีย์  เช่นชัยค์ หามิด อัลกิฟฟีย์ , ชัยค์อับดุลเลาะฮ์ อัลกอซีมีย์ , ชัยค์ สุลัยมาน อัดะดะคีล , ชัยค์ อะห์มัด บิน หุจญร์ อบู ฏอมีย์ , ชัยค์มัสอูด อัลนัดวีย์ , ชัยค์ อิบรอฮีม บิน อุบัยด์ เจ้าของหนังสือ อัตตัซกิเราะฮ์ , และท่านอื่น ๆ  ต่างก็ใช้คำว่า "อัลวะฮาบียะฮ์"  แต่กระนั้น  ท่านชัยค์ ฮามิด อัลกิ๊ฟฟีย์ (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์) ยังคงพยายามที่จะสร้างความสงสัยต่อเจตนาของทุก ๆ คนที่ใช้คำนี้  และเขาได้ยื่นข้อเสนอจากการเรียกว่า "วะฮาบียะฮ์"  ไปเป็น "อัดดะอ์วะฮ์ อับมุฮัมมะดียะฮ์" เพื่อพาดพิงไปยังชื่อของท่าน ชัยค์ มุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ  แต่ไม่พาดพิงไปยังชื่อของบิดา คือ อับดุลวะฮาบ (วะฮาบีย์)  ดังนั้น  อุลามาอ์ยุคหลังอย่างท่านชัยค์ ซอและห์ อัลเฟาซาน ได้ตักลีดตามท่านชัยค์ ฮามิดอัลกิ๊ฟฟีย์  ในการตำหนิต่อท่านชัยค์ อบู ซะฮ์เราะฮ์  และคนอื่น ๆ (ก็เพราะพวกเขาใช้คำว่าวะฮาบีย์) [/size]

การเรียกร้องของ อัลกิ๊ฟฟีย์และอัลเฟาซานให้เรียกวะฮาบีย์ว่า "อัดดะวะฮ์ อัลมุฮัมมะดียะฮ์"  ไม่ใช่ "อัดดะวะฮ์ อัลวะฮาบียะฮ" นั้น  เนื่องจาก ท่านชัยค์ มีชื่อว่า "มุฮัมมัด"  ซึ่งดังกล่าวนี้ถึงเป็นการนำเสนอที่น่าแปลก  อันเนื่องจากมีเหตุผลเล็กน้อยดังนี้  คือ  ส่วนมากจากบรรดามัซฮับที่โด่งดังนั้น จะไม่ตั้งชื่อ ด้วยกับนามชื่อเจ้าของแนวทาง  แต่จะตั้งชื่อด้วยนามของบิดาหรือปู่  ดังนั้น มัซฮับ ฮัมบาลีย์ حنبلى  เป็นต้น  จะใช้พาดพิงไปยังคำว่า حنبل (ฮัมบัล) ซึ่งเป็นปู่ของท่านอิมามอะห์มัด  (เนื่อจากท่านอิมามอะห์มัดมีชื่อว่า อะห์มัด บุตร มุฮัมมัด บุตร หัมบัล)  แต่ท่านชัยค์อัลเฟาซานหรือชัยค์อัลกิ๊ฟฟีย์ และผู้ที่เจริญรอยตามทั้งสอง ต่างไม่คัดค้านการเรียกชื่อนี้(คือฮัมบาลีย์) และพวกเขาก็ไม่เรียกมัซฮับฮัมบาลีย์ว่า "มัซฮับอะห์มะดีย์" (ที่มาจากชื่อของอิมาม อะห์มัด เอง)

เฉกเช่นเดียวกันกับมัซฮับชาฟิอีย์  ซึ่งพาดพิงไปยังท่าน ชาฟิอ์  ซึ่งเป็นปู่ลำดับที่ 4 ของท่านอิมามชาฟิอีย์  ทั้งที่อิมามชาฟิอีย์มีชื่อว่า "มุฮัมมัด บุตร อิดรีส  บุตร อัลอับบาส บุตร อุษมาน บุตร ชาฟิอ์"  แต่เหตุใดพวกเขาถึงไม่เรียกมัซฮับชาฟิอีย์ว่า "มัซฮับมุฮัมมะดีย์" (เพราะอิมามชาฟิอีย์ชื่อว่า มุฮัมมัด)

ยิ่งกว่านั้น  ท่านชัยค์ซอลิห์ อัลเฟาซาน ยังเรียกผู้ที่ตาม มุฮัมมัด บิน สุรูร บิน นายิฟ ซัยนุลอาบิดีน  ด้วยถ้อยคำว่า "อัซซุรูรียะฮ์"  ทำไมถึงไม่เรียกว่า "อัลมุฮัมมะดียะฮ์" เช่นเดียวกัน ! ทั้งที่เขาชื่อ "มุฮัมมัด บิน สุรูร" และในปัจจุบันเราเองก็ได้ยินในกลุ่มสะละฟียะฮ์ ได้มีหลายฉายาที่พวกเขาใช้เรียกซึ่งกันและกัน เช่น อัลญามียีน , อัลมัดค่อลียีน , อัลบาซียีน (ผู้ที่ตามบินบาซฺ) , และอัลบานียีน(ผู้ตามอัลบานีย์)  เป็นต้น ( สรุปจาก หน้าที่ 12 และหน้าที่ 144 - 146)

ดังนั้น  การเรียกว่า "วะฮาบีย์"  จึงมิใช่เป็นการตำหนิ  เพราะอุลามาอ์วะฮาบีย์เองที่พอใจและเห็นชอบในการเรียกชื่อเช่นนี้  แต่บางคนปัจจุบันชอบยึดติดที่ชื่อ  ยึดติดยี่ห้อ  ขอให้เรียกชื่อกลุ่มตนเองให้ดีไว้ก่อน  ถือว่าเป็นการเข้าใจที่ผิด  เพราะสัจธรรมจะไม่พิจารณาที่ชื่อของแนวทางหรอกครับ  แต่ทว่าจะเน้นพิจารณาที่เนื้อหา  หลักอะกีดะฮ์  และหลักปฏิบัติครับ  วัลฮูอะลัม



ออฟไลน์ hiddenmin

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2453
  • เพศ: ชาย
  • 404 not found
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
    • Ikhlas Studio

บัง salaff อย่าลืมแปะลิ้งด้วย

เดี๋ยวมีคนเรียกร้องที่มา  ::)

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com

ท่านอัชอารีย์อาจกำลังร้อนรน สับสน หรือไม่?  เพราะอูลามาอ์ในอดีตที่ท่านเองก็ยอมรับนับถือ คือท่านอิหม่ามสุยูฏีย์(ซูฟีย์เฏาะรีเกาะฮ์อัชชาซุลีย์  )เอง
การที่ท่าน อัชอารีย์ ซุนนะฮ์สติวเด้นท์ และสาณุศิษย์พยายามยัดเยียด และฮูก่มอากีดะฮ์ผู้ที่ยึดแนวทางอากีดะฮ์ตามหลักฐาน ตามชนยุคสลัฟ โดยใช้สองมาตรฐานแบบนี้ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือ??? ท่านพร้อมจะแลกอากีดะฮ์ท่านกับคนที่ท่านเรียกว่า “วาฮาบีย์” ทั้งหมดดุนยานี้แล้วหรือ? นับเป็นการเดิมพันที่สูงมากครับ ช่างกล้าหาญนัก


ผมไม่เคยร้อนรนหรือสับสนอันใดในเรื่องฮะดีษนี้  เพราะผมได้ศึกษาก่อนที่กระทู้นี้จะมีขึ้นจากตำราของท่านซัยยิดี อิมาม อับดุกอดิร อัลญีลานีย์  (ร่อฏิยัลลอฮุอันฮู) ซึ่งท่านได้อธิบายไว้ไม่เหมือนกับที่วะฮาบีย์ได้อธิบาย  เท่าที่ผมได้ศึกษา ฮะดีษนี้วะฮาบีย์ชอบนำมาอ้างว่าซูฟีย์มีความเชื่อแบบนี้เช่นกัน  แต่เผอิญว่ามีพี่น้องนำเสนอโดยยืนยันว่า วะฮาบีย์เองก็ไม่พ้นในเรื่องนี้แถมยังยืนยันอย่างแข็งขันว่าเป็นฮะดีษซอฮิหฺ  ด้วยเหตุนี้  ผมจึงไม่นำเสนอชี้แจงคำอธิบายของท่าน อิมาม อับดุลกอดิร อัลญีลานีย์ (ร่อฏิยัลลอฮุอันฮู) ที่ยืนยันความบริสุทธิ์โดยไม่ตัชบีฮ์เลย

มีคนเคยถามผมว่า  ทำไมไม่ชี้แจงรายละเอียดคำอธิบายของปราชญ์ซูฟีย์ในกระทู้นี้  ผมก็บอกว่า  "วะฮาบีย์เองก็ยังปกป้องทัศนะของท่านอิบนุตัยมียะฮ์ต่อฮะดีษนี้  วะฮาบีย์จึงไม่สามารถกล่าวหาปราชญ์ซูฟีย์เกี่ยวกับฮะดีษนี้เช่นกัน  จึงไม่ต้องเสียเวลาไปชี้แจงอะไรมากมาย"

ผมได้ศึกษาจากตำราอะกีดะฮ์วะฮาบีย์  ผมทราบดีว่า  อะกีดะฮ์วะฮาบีย์นั้นไม่เป็นมิตรกับใคร เนื่องจากยกตนเองมาเป็นต้นแบบในสัจธรรมแต่เพียงผู้เดียว  ผมจึงไม่เกรงกลัวที่จะนำเสนอวิจารณ์อะกีดะฮ์ของวะฮาบีย์  และในวันกิยามะฮ์ผมก็ขออยู่เคียงข้างปราชญ์อะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์อันมากมายในอดีตจวบจนปัจจุบัน ยาร็อบ

วัสลาม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิ.ย. 06, 2010, 05:01 PM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

 

GoogleTagged