salam
ดังนั้นเราจะเห็นว่า บังลาลิ้กลาลี้..ไม่มีความชัดเจนในการตอบหรือเคลียร์ปัญหาตนเอง เพียงแต่มีความสงสัยว่า..หรือไม่เข้าใจว่าทำไมเวปนี้ จึงถือว่าว่าวาฮาบีที่ตนเองยึดถือจึงไม่เข้าข่ายหรือใกล้เคียงกับความเชื่อมั่นของชนอะลิสซุนนะวัญญามาอะในอดีต..ที่ท่านนบีกล่าวไว้..เกี่ยวกับประชาชาติ ของยิวของคริสต์ ของอิสลาม..ด้วยเหตุผลว่า บังลาลิ้กลาลี้เข้าใจว่า..ทั้งชนกลุ่มพุทธ ชนกล่มคริสต์หรือชนอื่นๆนั้นถูกนับเป็นกลุ่มที่ท่านนบีกล่าวไว้เช่นกันว่า จริงแล้วถ้าจะนับหลักความเชื่อของการับถือศาสนาแล้วมันมีมากกว่า300กว่าศาสนาในโลกนี้...โดยบังลาลิ้กลาลี้..เข้าใจผิดไปจากทัศนะของบรรดาอุลามะ... เลยรวมเอากลุ่มดังกล่าวเข้าไปในความหมายที่ว่า 73 พวก เข้าไปด้วยนั้นเอง ....
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ..ท่านนบีกล่าวว่า ...ประชาชาติของฉัน(หมายถึงชาวอุมมะติในยุคหลังๆที่เขาได้รับอิสลามสมบูรณ์แล้วนั้นเอง) และพวกเขาก็แตกเป็นกลุ่มหรือหมู่คณะในด้านของหลักของศรัทธาหรือด้านอากีดะ(การยึดมั่น) ซึ่งหมายถึงว่า.เดิมทีเขาเหล่านั้เคยรับรู้อิสลามมาก่อนแล้ว แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็แตกออกเป็นกล่มเป็นคณะต่างและนิกายต่างๆ เช่น กอดยานี มุญับสิมะ มุญับบิอะ ยับบารียะ มัวตะซีละ ชีอะอัรเราฟิเฎาะ และวาฮาบียะบางกลุ่มกลุ่มคอวาริจ ฯลฯ..ซึ่งนับรวมกันแล้วสำหรับกล่มที่แยกออกจากอิสลลามนั้นก็ได้ประมาณ72 คงเหลือแต่อัลญามาอะเท่านั้นที่คงอยู่กันอยู่อย่างเหนียวแน่นทั่วทุกมุมโลก
บังละลิคลาลี้กล่าวว่า..
เรื่องกลุ่มที่ 2 คงตัดทิ้งไปได้ เพราะการเหมารวมคนที่ไม่เหมือนเราเป็นบิดอะฮ์ เป็นการเอา "ตัวกู" เป็นตัวตั้งซึ่ง ผมคงไม่บังอาจยึดถือแบบนั้นได้..
..... ;Dนี่คือการเข้าใจผิดและคิดไปเองของผู้พูด...
แต่แม้เหลือเพียงข้อ 1. ผมก็ยังไม่อาจยอมรับได้ เพราะยังไม่มีคุณลักษณะอื่นๆที่ท่านไม่ได้ยกมาประกอบด้วย ..
..ที่ไม่ยอมรับว่าเพราะคิดว่า ตนเองไม่ได้เป็นวาฮาบีทั้งๆที่..พฤติกรรมการกระทำมันฟ้อง.อยู่โทนโท้
ทีนี้ผมขอทราบอีกหน่อยว่า แล้วเส้นแบ่งระหว่างแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ที่เข้าใจว่าท่านคงเลือกอยู่กลุ่มนี้ กับแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์แบบวาฮาบีย์ที่มั๊วะตะดิละฮ์ที่ท่านเหลือไว้ให้ผมเลือกนั้นคืออะไร?ขอช่วยชี้แนะด้วย
*******************************************************************************************
จริงๆแล้ว ถ้าพูดกันถึงเรื่องหลักการยึดมั่นแล้ว วาฮาบีปัจจุบันนั้นมีการศรัทธาที่แตกต่างจากกลุ่มอะลิสซุนนะอย่างสิ้นเชิง ตรงที่ว่า
::)กลุ่มวะฮาบียะฮ์นั้นบางกล่มจะที่มีการศรัทธาแบบมั๊วะตะซิละฮ์ แต่พวกเขาไม่รู้ตัวเองนั้นเอง.. หมายถึงว่า กลุ่มที่เพียงตัวเชื่อที่มีความเชื่อว่า
จริงอยู่อัลลอฮ์ทรงสร้างมนุษย์มา แต่อัลลอฮ์ก็ให้กำลังกับมนุษย์ที่จะกระทำอะไรก็ได้ แล้วแต่ระดับความรู้ของตนโดยพวกเขาจะเอาความรู้เป็นตัวชี้วัดไปยังสติปัญญา เช่น เมื่อมีความชั่วเกิดขึ้น ก็ต้องโทษผู้นั้นผู้นั้นคนนี้.. เช่น..ถ้าใครสอบเลื่อนชั้นไม่ได้ก็ต้องโทษตัวเขาเอง เช่น โทษตัวเองว่า สมองไม่ดี..เลยจำอะไรไม่ได้ เลยสอบไม่ได้..เหล่านี้เป็นต้น
โดยที่เขาลืมว่า การอนุมัติทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมาจากอัลลอฮ์(วบ)เท่านั้น เราไม่มีความสามารถพวกเขาคิดว่า ...ตนเองมีกำลังมีความคิดแล้ว แต่ไม่ได้ใช้สมองที่มี กลับไปกระทำผิดพลาดเอง ฉนั้นอย่าโทษอัลลอฮ์ ต้องโทษตัวเอง ตัวเองเป็นผู้กระทำมันขึ้นมา โดยลืมไปว่า บางครั้งความชั่วหรือความเลวนั้นแม้เราจะป้องกันดีแล้ว ก็ไม่สามารถควบคุมได้หากแม้พระองค์ทรงประสงค์ให้มันเกิดขึ้น..
อยากเป็นคนมีความรู้ก็ต้องเรียนหนังสือ แต่ในความเป็นจริงมีผู้เรียนมากมาย ที่เรียนแล้วแต่ก็ไม่รู้อะไรเลยซึ่งตัวรู้นั้นไม่สามารรถจะทำให้ตนเองรู้ได้นอกจากอำนาจของอัลลออ์เท่านั้นที่จะประทานให้
ดังนั้นจากตัวอย่างที่ผ่านมา กลุ่มมัวะตะซีละนั้น มีความพยายามที่จะแบ่งกำลังหรือสร้างการผูกมัดกันตลอด.. พวกเขาเชื่อว่า ..ถ้าอยากรวยก็ต้องขยัน ถ้าอยากอิ่มก็ต้องกินฯลฯ
อีกอย่างกลุ่มวาฮาบีจะไม่ส่งเสริมให้พวกตนเองเรียรู้ซีฟัตของอัลลอฮ์ พวกเขา กล่าวว่า
แค่รู้ว่าอัลลออ์มี เชื่ออัลลอฮ์สร้างมัคโลกมาก็ถือว่า เป็นมุสลิมแล้วดังนั้นพวกเขา ให้มีการรเรียนรู้แค่ผิวเผินก็เพียงพอแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องเจาะรายละเอียด เหมือน กลุ่ม ตอรีกัตหรือ ชนซุฟีหรือเพราะพวกเขาอ้างว่าการเรียนรู้เรื่องดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งบิดอะ เขาอ้างเหตุผลอย่างนี้
นี่คือส่วนหนึ่งของการขยายความคำว่าอะลิสซุนนะวัลยามาอะ ที่ท่านนบีกล่าวถึง จากตัวฮาดิสดังกล่าว ..ส่วนในเรื่อง.การปฏิบัติที่แตกต่างในด้านฮุกมชารีอัตของมัสหับทั้ง4 นั้นถือว่า ไม่ใช่เป็นตัวแบ่งแยกความแตกต่างของกลุ่มชนอะลิสซุนนะ แต่ประการใด
ท่านอิมาม อะบุลมุซ็อฟฟัร อัลอิสฟิรอยีนีย์ ร่อฮิมะฮุลลอฮ์ กล่าวว่า "และท่านจะทราบว่า ทุกคนที่ยอมรับด้วยกับหลักการของศาสนานี้ที่เราได้พรรณามันไว้
จากหลักศรัทธาของกลุ่มที่ปลอดภัย(คือกลุ่มอะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูรียะฮ์) เขาย่อมอยู่บนสัจธรรมและอยู่บนหนทางที่เที่ยงตรง ดังนั้นผู้ใดที่ฮุกุ่มบิดอะฮ์ต่อเขา(ผู้อยู่แนวทางดังกล่าว) ผู้นั้นย่อมเป็นคนบิดอะฮ์ , และผู้ใดฮุกุ่มเขาว่าลุ่มหลง ผู้นั้นย่อมเป็นคนลุ่มหลง , และผู้ใดฮุกุ่มเขาเป็นกาเฟร ผู้นั้นย่อมเป็นคนกาเฟรด้วย" หนังสืออัตตับซีร ฟิดดีน หน้า 111 ของท่านอิมามอัลอัสฟิรอยีนีย์
ท่าน อิมาม อิบนุ รุชดฺ อัลมาลิกีย์ (ผู้เป็นปู่) (รอฮิมะฮุลลอฮ์) ที่ได้รับฉายานามว่า ชัยค์อัลมัซฮับ (ปรมาจารย์แห่งมัซฮับมาลิกีย์) ฟัตวาว่า "ปราชญ์อัลอะชาอิเราะฮ์เหล่านั้น ที่ท่านได้กล่าวชื่อพวกเขามา เป็นส่วนหนึ่งจากนักปราชญ์ที่เป็นแกนนำของนักปราชญ์แห่งความดีงามและอยู่ในทางนำ และเป็นบรรดาบุคคลที่จำเป็นต้องดำเนินตามพวกเขา เนื่องจากพวกเขาเป็นผู้ยืนหยัดช่วยเหลือหลักชาริอะฮ์(บทบัญญัติแห่งอิสลาม) และทำลายสิ่งคลุมเครือต่าง ๆ ของพวกเบี่ยงเบนและลุ่มหลง
พวกเขาได้ทำให้ประเด็นปัญหาต่าง ๆ มีความคลี่คลายและชัดเจน พวกเขายังอธิบายถึงสิ่งที่จำเป็นต้องยอมรับจากบรรดาหลักการศรัทธา ดังนั้น ด้วยการรอบรู้ถึงบรรดาหลักพื้นฐาน(อุซูล)ของศาสนา จึงทำให้พวกเขาเป็นนักปราชญ์ที่แท้จริง
เนื่องจากพวกเขารู้ดียิ่งเกี่ยวกับอัลเลาะฮ์ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่วายิบสำหรับพระองค์ สิ่งที่อนุญาติต่อพระองค์ และสิ่งที่(มุสตะฮีล)เป็นไปไม่ได้จากพระองค์ เพราะประเด็นนิติบัญญัติข้อปลีกย่อยจะไม่สามารถรู้ได้นอกจากต้องรู้หลักอุ ศูล(หลักศรัทธา)เสียก่อน เพราะฉะนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องรู้ถึงความประเสริฐและยอมรับถึงสถานะความเป็นแกนนำ ของพวกเขา ฉะนั้น พวกเขาย่อมเป็นจุดมุ่งหมายของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่ว่า "ความรู้นี้ ได้แบกรับจากทุก ๆ ผู้สืบทอด(ต่อ ๆ กันมา) โดยบรรดาผู้ทรงคุณธรรม ซึ่งพวกเขาจะทำการปฏิเสธจากการบิดเบือนของผู้ที่เลยเถิด , (ปฏิเสธ)การประกาศศาสนาของบรรดาผู้ที่อธรรม และจากการตีความของบรรดาบุคคลโง่เขลา" ดังนั้น จะไม่มีการเชื่อว่าพวกเขา(อัลอะชาอิเราะฮ์)ได้อยู่บนความลุ่มหลงและความโง่เขลา นอกจากผู้ที่เขลาเบาปัญญาหรือผู้ที่อุตริกรรมอีกทั้งเบี่ยงเบนออกจากสัจจะธรรมเท่านั้น และคนหนึ่งจะไม่ประณามอัลอะชาอิเราะฮ์และพาดพิงกล่าวหาไปยังพวกเขาด้วยกับสิ่งที่ไม่พวกเขาไม่ได้ยึดถืออยู่ นอกจาก(คนกล่าวหานั้น)เขาคือคนชั่ว แท้จริงอัลเลาะฮ์ อัซซะวะญัลล่า ทรงตรัสว่า "บรรดาบุคคลที่สร้างความเดือนร้อนแก่บรรดาผู้ศรัทธาชายและบรรดาผู้ศรัทธา หญิง ด้วยกับสิ่งที่พวกเขาไม่ได้พากเพียรไว้ แน่นอน พวกเขาย่อมแบกรับความมุสาและบาปอันชัดแจ้ง" ฟะตาวา อิบนุ รุชด์ เล่ม 2 หน้า 802 ตีพิมพ์ ดารุลฆ่อร่อบิลอิสลามีย์ เบรุต ฮ.ศ. 1407
ท่านชัยคุลิสลาม อิบนุ ฮะญัร อัลฮัยตะมีย์ ตอบฟัตวาความว่า "บรรดาปวงปราชญ์(อัลอะชาอิเราะฮ์)เหล่านั้น มิได้เป็นเฉกเช่นที่ผู้ที่แหวกแนวทาง ออกนอกหลักศาสนา คาดเดา ลุ่มหลง เลยเถิด โง่เขลา และเอนเอียงออกจากสัจธรรมเลย ยิ่งกว่านั้น พวกเขาเป็นนักปราชญ์แห่งศาสนา เป็นนักปราชญ์มุสลิมีนที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเจริญรอยตาม เนื่องจากพวกเขาได้ยืนหยัดช่วยเหลือชะรีอะฮ์ (อิสลาม) และแจกแจงบรรดาข้อสงสัยต่าง ๆ
และทำการโต้ตอบความคลุมเครือจากพวกที่เบี่ยงเบน และทำการชี้แจงสิ่งที่จำเป็นของหลักความเชื่อ(เอี๊ยะติก๊อต)และหลักการต่าง ๆ ของศาสนา เนื่องจากพวกเขามีความรู้เกี่ยวกับอัลเลาะฮ์ ในสิ่งที่จำเป็นสำหรับพระองค์ สิ่งที่มุสตะฮีล(เป็นไปไม่ได้)ต่อพระองค์ และสิ่งที่อนุญาตในสิทธิของพระองค์ และจะไม่สามารถบรรลุถึงเป้าหมายได้นอกจากรู้จักถึงหลักศรัทธาพื้นฐานเสีย ก่อน และจำเป็นต้องยอมรับถึงความประเสริฐของบรรดานักปราชญ์ที่ถูกกล่าวมาข้างต้น และนักปราชญ์ก่อนหน้าพวกเขาด้วย และพวกเขาก็คือกลุ่มเป้าหมายจากคำกล่าวของท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า "ความรู้นี้ ได้แบกรับจากทุก ๆ ผู้สืบทอด(ต่อ ๆ กันมา) โดยบรรดาผู้ทรงคุณธรรม ซึ่งพวกเขาจะทำการปฏิเสธจากการบิดเบือนของผู้ที่เลยเถิด , การประกาศศาสนาของบรรดาผู้ที่อธรรม และจากการตีความของบรรดาบุคคลโง่เขลา" ดังนั้นจะไม่กล่าวหาว่าอัลอะชาอิเราะฮ์ลุ่มหลงนอกจากผู้ที่โฉดเขลาหรือผู้ทำบิดอะฮ์ ที่เบี่ยงเบนจากสัจธรรม ดังนั้น จึงจำเป็นให้คนไม่รู้ได้ประจักษ์ถึงพวกเขา คนชั่วต้องถูกลงโทษ ผู้บิดอะฮ์ที่เบี่ยงเบนจากสัจธรรมที่กระทำมักง่ายด้วยบิดอะฮ์ต้องถูกใช้ให้ เตาบะฮ์" อัลฟะตาวา อัลฮะดีษียะฮ์ อัลกุบรอ หน้า 227 ตีพิมพ์ เอี๊ยะห์อุษตุร๊อษ เบรุต
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
..บังลาลิ้กลาลี้กล่าวว่า..
โอเคเริ่มมีกลุ่มวาฮาบีย์ที่ท่านถือว่ารวมอยู่ในแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์โดยความหมายรวมแล้วสินะครับ ดังนั้น วาฮาบียังเป็นอะลิสซุนนะไม่ได้หากมีความคิดเทียบเคียงหรือมีอากีดะที่เชื่อว่าอัลลอฮ์..ทรงมีอวัยวะหรือมีตัวตนหรือทรงสถิตย์บนอารัช เพราะนั้นคือ อากีดะของพวกมัวตะซีละนั้นเอง.ซึ่งวาฮาบีรับมันไว้อย่างไม่รู้ตัวแต่ก็พยายามชุดล้โก้วาตนคืออากีดสลัฟตามการอธิบายหรือตามเข้าใจของอิบนุตัยมียะ..ซึ่งแก่นแท้คือ..ความเข้าใจผิดของพวกเขานั้นเอง...นาอูซู้บิ้ลลามิ้นซาลิค.
