อ้างอิงจากบังอะสันโอ้..มาอีกแล้วรึ..น้องบ่าวไข่นุ้ยของบังอะสัน น้องบ่าวครับ คำตรงแบบหะกีกัต นั้นเอามาจากผู้ที่อัลลอฮส่งมาทำหน้าที่อธิบายอัลกุรอ่าน โดยตรง ครับ ท่านอิหม่ามอะหมัด (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
وكما صح الخبر عن رسول الله أنه قال : وكلتا يديه يمين ، والإيمان بذلك ، فمن لم يؤمن بذلك ، ويعلم أن ذلك حـــق كما قال رسول الله فهو مكذب لرسول الله ) [ طبقات الحنابلة : 1/313
และดังที่คำบอกเล่า(หะดิษ)ที่เศาะเฮียะจากท่านรซูลลุ้ลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่าแท้จริงท่านกล่าวว่า "และทั้งสองคือพระหัตถ์ทั้งสองของพระองค์ ด้านขวา" และให้ศรัทธาด้วยดังกล่าวนั้น แล้วผู้ใด ไม่ศรัทธาด้วยดังกล่าวนั้น ทั้งๆที่เขารู้ว่าดังกล่าวนั้น เป็นความจริง ดังที่ท่านรซูลุ้ลลอฮกล่าวไว้ ดังนั้นเขาคือ ผู้โกหกต่อท่านรซูลุ้ลอฮ - เฏาะบะกอตอัลหะนาบะละฮ เล่ม 1 หน้า111
..........
มีหลายหะดิษที่ท่านรซูลลุ้ลลอฮ กล่าวถึงพระหัตถ์ของอัลลอฮ ไม่ทราบว่า ทำไม่ท่านจึง ไม่กลัวว่า คนรุ่นต่อมาจะเข้าใจผิดว่า อัลลอฮเหมือนมัคลูค เหมือนอะชาอีเราะฮ ที่กล่าวหาผู้อื่นที่ไม่ตีความ ทั้งนี้ ก็เพราะท่านรซูลย่อมรู้ว่า คนมีปัญญาเขาไม่เข้าใจว่าอัลลอฮเหมือนมัคลูคแน่นอน เพราะอัลลอฮได้ตรัสไว้แล้วว่า
﴿لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ البَصِيرُ﴾[الشورى:11>.
ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์ ผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็นยิ่ง -อัชชูรอ/11
ตอบบังอะสันอย่ายกเมฆมาว่า ท่านนบี(ซ.ล.)และท่านอะหฺมัด เชื่อในความหมายแบบหะกีกัต ที่วะฮาบีย์กล่าวว่า อัลเลาะฮ์ทรงมีอวัยวะมือที่เป็นส่วนหนึ่งของซาตฺและมีนิ้วที่เป็นส่วนหนึ่งของมือ ความเชื่ออย่างนี้ มันไม่ใช่จุดมุ่งหมายของท่านนบี(ซ.ล.)และท่านอิมามอะหฺมัดแน่นอนครับ และคำกล่าวของท่านอะหฺมัดคือ ไม่ใช่หมายถึงให้เชื่อว่า ความหมายที่ว่า อัลเลาะฮ์ทรงมีอวัยวะมือที่เป็นส่วนหนึ่งของซาตฺและมีนิ้วที่เป็นส่วนหนึ่งของมือ และท่านอะหฺบอกว่า หากมีหะดิษซอฮิหฺ และระบุคำๆ ใดก็ให้เชื่อโดยยืนยันยอมรับคำๆนั้น ไม่ใช่ยอมรับถึงหมายแบบที่วะฮาบีย์จะเอา เนื่องจากความหมายนั้น อัลเลาะฮ์คือผู้รู้ที่สุดและท่านร่อซูลก็คือผู้ที่รู้จุดมุ่งหมายนั้น แต่ไม่ใช่รู้แบบวะฮาบีย์ เพราะท่านอะหฺกล่าวไว้ว่า
ท่าน อิบนุกุ๊ดดามะฮ์ กล่าวถ่ายทอดจากคำกล่าวของอิมาม อะหฺมัด(ร.ฏ.) ว่า
"บรรดาหะดิษเหล่านี้(คือบรรดาหะดิษซีฟาต) เราศรัทธาและยอมรับด้วยกับมัน โดยที่ไม่มีวิธีการ และความหมาย (หมายถึงมอบหมายวิธีการและความหมาย)และเราจะไม่พรรณนา (คุณลักษณะ) กับอัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ให้มาก ไปกว่าสิ่งที่พระองค์ทรงพรรณนาไว้ให้กับพระองค์เอง" (ดู ลุมอะฮ์ อัลเอี๊ยะติก๊อต หน้า 3)
ดังนั้น ท่านอะหฺมัดก็รู้ดีว่า จะมีพวกวะฮาบีย์ที่อ้างตนเองว่าอยู่ในแนวทางของอิมามอะหฺมัด ท่านจึงกล่าวกันเอาไว้อย่างนั้น
และอัลเลาะฮ์ก็ทรงรอบรู้ดีว่า จะมีชนกลุ่มหนึ่งที่ให้ความหมายเกี่ยวกับซีฟัตของอัลเลาะฮ์ โดยไปคล้ายคลึงกับมัคโลค พระองค์จึงทรงตรัสกันไว้เลยว่า
﴿لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ البَصِير
ไม่มีสิ่งใดมาคล้ายเหมือนพระองค์ และพระองค์ ผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็นยิ่ง -อัชชูรอ/11
และการแปลเป็นไทยนั้น ก็ไม่แปลกหรอก แต่สำหรับวะฮาบีย์นั้น พอแปลแล้วก็จะติดโรคตัชบีย์ คือให้ความหมายตรงตัว คืออัลเลาะฮ์มีอวัยวะที่เป็นมือที่เป็นส่วนหนึ่งของร่าง ซึ่งหากแปลแล้วเชื่อควาหมายอย่างนี้ ย่อมเป็นบิดอะฮ์แน่นอนครับ
วะฮาบีย์หลายท่านที่นำเสนอหลักการของตนเอง ซึ่งมีการค้านกันเองพอสมควร จึงไม่ทราบว่า วะฮาบีย์แต่ละคนนั้น เข้าแนวทางของตนที่กำลังยึดถือกันอยู่หรือเปล่า บางคนบอกว่ามอบหมายกับความหมายด้วย วะฮาบีย์หลายคนบอกว่ามอบหมายแค่วิธีการ เท่านั้น อันนี้คือการสรุปของผม เนื่องจากผมไม่อยากจะทำการอ้างอิงทีละจุดๆ เพราะมันจะกินเนื้อความเยอะ แต่ผมจะอ้างอิงจุดเปลี่ยน ระหว่างวะฮาบีย์กับอัลอะชาอิเราะฮ์ ครับ
อ้างอิงจากบังอะสันมันไปไม่ได้ที่ท่านรซูลลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จะละเลยจากการอธิบายในสิ่งที่จะสร้างความคลุมเครือในเรื่องอะกิดะฮ และ ในเรื่องการปฏิบัติ ตามหลักการที่ว่า
تأخيرالبيان عند وقت الحاجة لايجوز
การประวิงการอธิบายเมื่อถึงเวลาจำเป็นจำเป็น นั้น ย่อมไม่อนุญาต
ในอัลกุรอ่าน ซูเราะฮอัลมาอิดะฮ/67 ระบุไว้ว่า
يَا أَيُّهَا الرَّسُولُ بَلِّغْ مَا أُنزِلَ إِلَيْكَ مِن رَّبِّكَ وَإِن لَّمْ تَفْعَلْ فَمَا بَلَّغْتَ رِسَالَتَهُ وَاللّهُ يَعْصِمُكَ مِنَ النَّاسِ إِنَّ اللّهَ لاَ يَهْدِي الْقَوْمَ الْكَافِرِينَ
[5.67> ร่อซู้ลเอ๋ย ! จงประกาศสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้าจากพระเจ้าของเข้า และถ้าเจ้ามิได้ปฏิบัติ เจ้าก็มิได้ประกาศสารของพระองค์ และอัลลอฮ์นั้นจะทรงคุ้มกันเจ้าให้พ้นจากมนุษย์ แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ทรงแนะนำพวกที่ปฏิเสธศรัทธา
ตอบผมขอเรียนเสริมสักนิดว่า เราอัลอะชาอิเราะฮ์ ไม่ได้ปฏิเสธซีฟัต ที่อัลเลาะฮ์ทรงระบุเอาไว้ และเราก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องคำที่อัลเลาะฮ์ทรงพรรณาเอาไว้ แต่ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่า เราจะให้ความหมายมันอย่างไรกับซีฟัตอันสูงส่งของพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ? การที่สะลัฟมอบหมายกับความหมายของซีฟัตสำหรับอัลเลาะฮ์นั้น ไม่ใช่หมายความว่าเขาไม่รู้ความหมาย แต่พวกเขา "ไม่ได้เจาะความหมายมันเอาไว้ต่างหาก" โดยมอบหมายความหมายซีฟัตเหล่านั้นไปยังผู้ที่กล่าวมัน คืออัลเลาะฮ์ (ซ.บ.) และท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.บ.) แต่ซอฮาบะฮ์และสะลัฟบางท่านก็เข้าใจซีฟัตเหล่านั้น โดยเป็นไปตามหลักภาษาอาหรับที่ชัดเจนถูกต้อง ( فصيح ) โดยไม่ได้ให้ความหมายแบบ ตัชบีฮ์ คล้ายคลึงระหว่างอัลเลาะฮ์และมัคโลคแต่อย่างใด
ดังนั้น การที่สะลัฟไม่ได้เจาะจงความหมาย ก็ไม่ใช่หมายถึง ซีฟัต เหล่านั้น ไม่มีความหมายแบบฮะกีกัตตามทัศนะของอัลเลาะฮ์ (ซ.บ.) แต่สะลัฟแล้ว พวกเขาเชื่อว่ามันเป็นซีฟัตที่สูงส่งยิ่งนัก ดังนั้น ความอ่อนแอในความบ่าวนั้น สะลัฟส่วนมากจะไม่ทำการเจาะจงความหมายและก็ทำการมอบหมายความรู้ดังกล่าวให้ไปยังอัลเลาะฮ์ ส่วนวิธีการเป็นอย่างไรนั้นย่อมไม่ต้องพูดถึงแล้ว เพราะความหมายก็ได้มอบหมายไปแล้ว
การที่บรรดาสะลัฟส่วนมากที่ทำการมอบหมายในบางซีฟัต ที่มีข้อบ่งชี้มะตะชาบิฮาตนั้น มันเป็นซีฟัตที่ไม่ได้เป็นเงื่อนไข ในการเป็นมุสลิม ที่จะต้องรู้ ไม่ใช่ว่า หากกาเฟรจะเข้าเป็นมุสลิมแล้ว ก็จำเป็นต้องรู้ความหมายซีฟัต ที่มีข้อบ่งชี้มะตะชาบิฮาตาเหล่านี้ ก็หาไม่! ท่านนบี(ซ.ล.) ก็ไม่ได้สอนและเรียกรอ้งให้กาเฟรเข้ารับอิสลาม ด้วยการรู้ซีฟัตที่มีข้อบ่งชี้ มุตะชาบิฮาตเหล่านี้ บรรดาซอฮาบะฮ์ก็ไม่ได้เผยแผ่อิสลาม โดยให้ผู้คนจำเป็นต้องรับรู้ความหมายซิฟัตที่มีข้อบ่งชี้ มุตะชาบิฮาต เหล่านี้ ดังนั้น การเป็นมุสลิมนั้น สะลัฟต่างมีมติสอดคล้องกันว่า ไม่จำเป็นต้องรู้ความหมายซีฟัต เหล่านี้ และการรับรู้ความหมายซีฟัตเหล่านี้ ก็ไม่ได้เป็นเงื่อนไขในการเป็นมุสลิม เมื่อเป็นเช่นนี้ บรรดาสะละฟุศศอลิหฺ จึงทำการมอบหมายความหมายไปยังอัลเลาะฮ์(ซ.บ.) โดยไม่พยายามกล่าวถึงมัน เนื่องจากในสมัยนั้น ไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะกล่าวถึงมันครับ เมื่อเป็นเช่นนี้ "การประวิงเวลาในการอธิบาย จึงอนุญาติ เนื่องจากมันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอธิบายฮะกีกัตซีฟัตของอัลเลาะฮ์(ซ.บ.)"
และประเด็นที่บังอะสันนำเสนอทัศนะของตนเองจากวะฮาบีย์ หรือคุณ ijd ได้นำเสนอหลักการที่อุลามาอ์วะฮาบีย์มานั้น เราก็ทราบดีว่า คุณต้องเชื่อตามนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมก็ถึงถามว่า
แล้วสิ่งที่ผมได้นำเสนอไปละครับ มันไปสอดคล้องกับหลักการดังกล่าวตามทัศนะของวะฮาบีย์ไหมครับ ที่ผมได้กล่าวถามไปแล้วว่า
คำว่า اليد (ที่วะฮาบีย์แปลว่ามือหรือพระหัตถ์) ที่เป็นซีฟัตของอัลเลาะฮ์(ซ.บ.)นั้น
วะฮาบีย์เข้าใจว่า
1- ความหมายเป็นที่รู้กัน معلوم المعنى
2- มีความหมายแบบคำตรง حقيقة
3- ตรงในเชิงภาษา وفق اللغة
4- เมื่อได้ยินแล้ว ความหมายแรกที่สมองคนเราเข้าใจ นั่นคือจุดมุ่งหมาย ما يسبق الى الذهن
เมื่อผมศึกษาดูแล้ว ปรากฏว่าความหมายคำว่า اليد ที่เป็นความหมายที่รู้กันดี มีความหมายแบบคำตรง ในเชิงภาษา ที่คนฟังแล้วเข้าใจเลยนั้น คือ "อวัยวะที่เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่เป็นฝ่ามือและมีนิ้ว" แล้วจู่ๆ วะฮาบีย์ก็บอกว่า "แต่มันไม่เหมือนกับมัคโลค"

แล้วมือของมัคโลคที่รู้ความหมายกันดีแบบคำตรงที่สมองคนเราเข้าใจเลยนั้นมันเป็นอย่างไรกันหรือครับ?? แล้วคนเอาวามทั่วไป เขาจะเชื่อกันอย่างไรครับ? แล้วสะลัฟเขาเชื่อกันอย่างนี้หรือ? ถ้าหากว่าวะฮาบีย์คิดว่าตนเองคือสะลัฟอย่างแท้จริงนะครับ
ซึ่งสิ่งที่ผมนำเสนอหลักการของวะฮาบีย์เกี่ยวกับ ซีฟัต اليد ไปนั้น มันไปตรงกับประเด็นที่ 1 หรือเปล่า??? โปรดชี้แจงด้วยครับ จักขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง และขออัลเลาะฮ์ทรงชี้นำเราทุกคนครับ ยาร๊อบ..
กลุ่มวะฮาบีย์แอบอ้างว่าولذلك قال بعض أئمة الحديث وهو أبو بكر الخطيب البغدادي الشافعي صاحب تاريخ بغداد: يُقال في الصفات ما يُقال في الذات سلباً وإيجاباً، فكما أننا نثبت الذات ولا ننفيها، فإن هذا النفي هو الجحد المُطلق .كذلك نقول في الصفات نثبتها و لا ننفيها ، ولكننا كما لا نكيف الذات لا نكيف الصفات
1. ด้วยเหตุนี้อิหม่ามหะดีษบางท่าน เช่น อัลคอตีบอัลบัฆดาดีย์ จึงกล่าวว่า "การพูดในเรื่องของซีฟาตเช่นเดียวกับการพูดในเรื่องของซาต ทั้งด้านลบและด้านบวก ดังนั้นเช่นเดียวกับที่เรายอมรับ(อิษบาต)ในซาตของอัลลอฮฺและเราไม่ปฏิเสธมัน เราก็กล่าวเช่นเดียวกันต่อซิฟาตว่าเรายอมรับและไม่ปฏิเสธ และในเมื่อเราไม่ถามหาถึงวิธีการ(กัยฟิยะฮฺ) ของซาตอัลลอฮฺ เราก็ไม่จำเป็นต้องถามหาถึงวิธีการและรูปแบบของซิฟาตอัลลอฮฺเช่นเดียวกัน
ตอบผมไม่รู้วะฮาบีย์ เขาแอบอ้างคำกล่าวของท่าน อัลค่อฏีบ อัลบุฆดาดีย์ แบบสรุปคำพูดของท่านตามหลักการตัดลีส อำพรางอุลามาอ์ของวะฮาบีย์ ที่วะฮาบีย์ก๊อบมาอีกทีไม่อิโหน่อิเหน่ และตาบอดเหมือนที่ชอบกระทำอยู่อีกหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ครับ? เพราะวะฮาบีย์พยายามยกอ้างคำของอุลามาอ์ บางตอนแบบท่อนๆ เพื่อมาสนับแนวทางของตน ซึ่งหากยกมาเต็มๆส่วนที่เหลือ ก็จะไม่เป็นการสามารถต้มตุ๋นชาวบ้านได้แบบนั้นหรือเปล่า ผมก็จะไม่จะวิจารณ์ไปมากกว่านั้นนะครับ
ท่านอัซฮะบีย์ได้กล่าว ทัศนะของท่าน อัลคอฏีบ อัลบุฆดาดีย์ ตอนหนึ่งว่า
مذهبُ السلف إثباتها ، وإجراؤها على ظواهرها ونفي الكيفية والتشبيه عنها وقد نفاها قوم فأبطلوا ما أثبته الله، وحققها قوم من المثبتين فخرجوا في ذلك إلى ضرب من التشبيه والتكييف،
"มัซฮับสะลัฟนั้น ก็ยอมรับด้วยกับบรรดาซีฟาต และทำการดำเนินผ่านมันไปบนบรรดาความผิวเผิญของมัน โดยปฏิเสธวิธีการและการตัชบีฮ์(การคล้ายคลึงจากมัน) -- และแท้จริงได้ปฏิเสธกับมันโดยกลุ่มหนึ่ง ดังนั้นเท่ากับเขาได้ทำการให้โมฆะกับสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงยืนยันเอาไว้ และได้ทำให้เด่นชัดกับมัน(บรรดาซิฟาต)โดยกลุ่มหนึ่งจากบรรดาผู้ยอมรับมัน แล้วพวกเขาก็ออก(เลยเถิด)ในเรื่องดังกล่าว(การให้การยอมรับเรื่องซีฟาต) ไปประเภทหนึ่งจากการตัชบีฮ์และมีวิธีการ --- ดูหนังสือ ตัซฺกิเราะตุลหุฟฟาซฺ ของท่านอัซซะฮะบีย์ เล่ม 3 หน้า 114
และความเข้าใจอีกท่อนหนึ่งจากคำกล่าวของท่าน อัลคอฏีบ อัลบุฆดาดีย์ ที่วะฮาบีย์ไม่ยอมนำมาเสนอนั้น มีต่อว่า
وإذا كان معلوم أن إثبات رب العالمين إنما هو إثبات وجود لا إثبات تحديد وتكييف، فإذا قلنا : لله يَدُ وسمع وبصر فإنما هي صفات أَثْبَتَها الله تعالى لنفسه، ولا نقول إن معنى اليد القدرة، ولا أن معنى السمع والبصر : العلم ، ولا نقول إنها جوارح، ولا نشبهها بالأيدي والأسماع والأبصار التي هي جوارح وأدوات للفعل
"เมื่อเป็นที่ทราบกันว่า แท้จริง การทำการยอมรับของพระผู้อธิบายแห่งสากลโลกนั้น คือการยืนยันถึงการมี(ซีฟัต) โดยไม่ใช่มีการทำการจำกัด(ความหมาย)และวิธีการ ดังนั้น เมื่อเรากล่าวว่า สำหรับอัลเลาะฮ์นั้น มีซีฟัต يد มีซีฟัต سمع และมีซีฟัต بصر แท้จริงมันก็คือ บรรดาซีฟัตที่อัลเลาะฮ์ทรงยืนยันมันเอาไว้ให้กับพระองค์เอง โดยที่เราไม่กล่าวว่า แท้จริงความหมายของคำว่า يد นั้น คืออานุภาพ(กุดเราะฮ์) (สี่คือแนวทางของสะลัฟครับ) และไม่กล่าวว่า แท้จริง การเห็นและได้ยินนั้น คือความรอบรู้ และเราไม่กล่าวว่า يد นั้นคือ อวัยวะ(แต่วะฮาบีย์กล่าวว่ามันคืออวัยวะครับ และเมื่อไม่กล่าวว่าเป็นอวัยวะนั้นท่านอัลคอฏีบก็กล่าวว่า) และเราไม่นำซีฟัตاليد มาคล้ายคลึงกับบรรดามือ(เพราะมือนั้นมันคืออวัยวะและวะฮาบีย์ก็เชื่อว่ามือของอัลเลาะฮ์ก็คืออวัยวะ ซึ่งตรงนี้ถือว่ายืนยันก็คล้ายคลึงตามทัศนะของท่านอัลคอฏีบครับ) และ(เราไม่ทำการคล้ายคลึง)บรรดาการได้ยินและการเห็นซึ่งคล้ายกับ บรรดาอวัยวะและเครื่องมือของการกระทำ(แต่ท่านอิบนุตยมียะฮ์บอกไว้ในหนังสืออัตตัดมุรียะฮ์ที่วะฮาบีย์นำมาตีพิมพ์ว่า มือของอัลเลาะฮ์เป็นเครื่องมือในการกระทำ) " ดู หนังสือ ตัซฺกิเราะตุลหุฟฟาซฺ ของท่านอัซซะฮะบีย์ เล่ม 3 หน้า 114
เราลองมาสังเกตุคำกล่าวของท่านอัลคอฏีบที่ขัดกับการหลักการของวะฮาบีย์ครับ
ท่านอัลคอฏีบกล่าวว่า
"และทำการดำเนินผ่านมันไปบนบรรดาความผิวเผิญของมัน"
คือผ่านมันไปบนความผิวเผิญ โดยไม่มีการอธิบายและไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไปเป็นการที่เข้าใจแบบ อวัยวะجوارح ที่อยู่ในความหมายแบบเชิงภาษาฮะกีกัต ที่วะฮาบีย์กำลังเชื่อเข้าใจความหมายกันอยู่อย่างนั้น ดังนั้น การที่วะฮาบีย์ยกสรุปคำกล่าวทัศนะของอัลคอฏีบ แบบท่อนที่อุลามาอ์วะฮาบีย์จะเอานั้น มันก็เป็นการตบตาหลอกลวงวะฮาบีย์เมืองไทยที่ทำการก๊อบมาอ้างอิงเชื่อกันแบบตายใจเหมือนกับที่วะฮาบีย์กำลังทำกันอย่างนี้นี่นะหรือ???