ผู้เขียน หัวข้อ: ยิว คริสต์ อิสลาม....ศาสนาที่แท้จริง?  (อ่าน 11110 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ActionMask

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 250
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
Re: ยิว คริสต์ อิสลาม....ศาสนาที่แท้จริง?
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: ม.ค. 15, 2011, 07:29 PM »
0
สุดยอดครับคุณ BaE HoK

ออฟไลน์ BaE HoK

  • บ้านของผู้ชายอยู่ในมัสยิด มัสยิดของผู้หญิงนั้นคือบ้าน
  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 272
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
Re: ยิว คริสต์ อิสลาม....ศาสนาที่แท้จริง?
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: ม.ค. 15, 2011, 08:43 PM »
0
=ชมผิดคนแล้วคับ ^^

ต้องชมและยกนิ้วให้ท่านร่อซูลลุลลอฮของพวกเราคับ

และต้องขอบคุณในความเมตตาของอัลลอฮที่ประทานท่านมาให้...

ผมมันแค่ผงฝุ่นในสายลมแค่นั้นเองคับ   วัสลามุอาลัยกม **



มนุษย์มีเสรีภาพได้ โดยไม่ต้องยิ่งใหญ่

แต่ มนุษย์ไม่อาจยิ่งใหญ่ได้..

...โดยไม่มีเสรีภาพ

ออฟไลน์ yfa

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 175
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
Re: ยิว คริสต์ อิสลาม....ศาสนาที่แท้จริง?
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: ม.ค. 16, 2011, 03:20 AM »
0
สงสัยมาตั้งแต่เด็กแล้วละค่ะ

อยากถามว่าเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าอิสลามคือศาสนาที่แท้จริง

ในเมื่อก่อนหน้านี้ก็มียิว คริสต์ 

แล้วทำไมพระองค์ต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาด้วยละค่ะ

มีเหตุผลอะไร

พวกเขาก็มั่นใจว่าศาสนาของพวกเขาคือศาสนาที่แท้จริง

แล้วการที่พวกเขายังยึดมั่นในศาสนาของพวกเขาเป็นสิ่งที่ผิดหรือ

ในเมื่อเป็นคำสั่งของพระเจ้าให้ศรัทธา

แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่แท้จริง

จะไม่มีศาสนาใหม่มาอีก

วัสลามค่ะ
กดไล   จะสงสัยไปทำไหมนะ
บ่าวผู้ต่ำต้อย

ออฟไลน์ ฮุ้นปวยเอี๊ยง

  • رَبِّ زدْنِيْ عِلْماً
  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 994
  • เพศ: ชาย
  • وَارْزُقْنِيْ فَهْماً
  • Respect: +116
    • ดูรายละเอียด
Re: ยิว คริสต์ อิสลาม....ศาสนาที่แท้จริง?
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: ม.ค. 16, 2011, 08:05 AM »
0
สงสัยมาตั้งแต่เด็กแล้วละค่ะ

อยากถามว่าเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าอิสลามคือศาสนาที่แท้จริง

ในเมื่อก่อนหน้านี้ก็มียิว คริสต์  



แล้วทำไมพระองค์ต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาด้วยละค่ะ

มีเหตุผลอะไร

พวกเขาก็มั่นใจว่าศาสนาของพวกเขาคือศาสนาที่แท้จริง

แล้วการที่พวกเขายังยึดมั่นในศาสนาของพวกเขาเป็นสิ่งที่ผิดหรือ

ในเมื่อเป็นคำสั่งของพระเจ้าให้ศรัทธา

แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่แท้จริง

จะไม่มีศาสนาใหม่มาอีก

วัสลามค่ะ


ศาสนาที่แท้จริงสำหรับอัลลอฮฺ นั่นคือ ศาสนาอิสลาม ดังที่พระองค์ได้กล่าวยืนยันไว้ในอัลกุรอาน ในอดีตกาลอัลลอฮฺได้ลงบัญชาใช้แก่บรรดากลุ่มชนรุ่นก่อน คือ กลุ่มบนีอิรออีล (คือ ชนชาวยิว) และกลุ่มชนของนบีอีซา หรือก็คือกลุ่มที่ถูกเรียกว่าชาวคริสต์ในปัจจุบัน ซึ่งในกลุ่มชนของพวกเขานั้นมีทั้งบรรดานบีและบรรดารสูลมากมาย แต่ทว่าพวกเขากลับไม่เชื่อฟัง มิหนำซ้ำยังฆ่านบีของตนเอง นอกจากนั้นนักบวชในกลุ่มของพวกเขายังทำการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาในคำภีร์ที่ตกทอดมาจากนบีของพวกเขา เพื่อให้เนื้อหานั้นสอดคล้องกับอารมณ์ของตนเอง ดังนั้น หากเราไปศึกษาคัมภีร์ของชาวยิวหรือคำภีร์ศาสนาคริสต์ในแต่ละที่ จะพบว่ามันจะมีเนื้อหาที่ต่างกันออกไปในหลายๆ จุด จนกระทั่งไม่สามารถรู้ได้แน่ชัดว่า ข้อความไหนเป็นของจริงกันแน่ ในขณะที่หากเราไปศึกษาคำภีร์อัลกุรอาน ไม่ว่าในมุมไหนของโลก ก็จะมีความหมายเหมือนกันหมด ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

ศาสนาของอัลลอฮฺ ตะอาลา นั้น ไม่ได้ถูกเปลี่ยนไปเปลี่ยนแปลงมา ศาสนาของอัลลอฮฺนั้น สั่งใช้ให้ยึดมั่นต่อพระเจ้าองค์เดียวมาตลอด ซึ่งต่างกับศาสนาคริสต์ที่ถูกเปลี่ยนแปลงโดยนักบวช โดยให้มีการศรัทธาต่อพระเจ้าสามองค์ คือ พระบิดา พระบุตร พระจิต เป็นต้น และทั้งพวกยิวและคริสต์ต่างก็เชื่ว่าอัลลอฮฺมีบุตร ทั้งๆ ที่ศาสดาของพวกเขาไม่คยบอกสิ่งนี้เอาไว้เลย

ในแต่ละยุคแต่ละสมัยอัลลอฮฺจะลงบัญชามาให้แก่กลุ่มชนต่างๆ ในรูปแบบการเคารพภักดีที่ไม่เหมือนกัน  บางกลุ่มสั่งใช้ให้ทำอิบาดะฮฺ (การเคารพสักกาะ) แบบหนึ่ง บางกลุ่มก็ให้ทำอีกแบบหนึ่ง แต่ทว่าในเรื่องของหลักการยึดมั่นนั้น อัลลอฮฺได้สั่งใช้เหมือนกันหมด คือ ให้เคารพภักดีต่ออัลลอฮฺแค่องค์เดียวเท่านั้น

และในอดีตที่ผ่านมากลุ่มชนบนีอิสรออีลนั้น จะมีนบีและรสูลมากมายที่คอยชี้แนะพวกเขา แต่ทว่านบีคนสุดท้ายอัลลอฮฺได้ส่งมาในกลุ่มของชนชาวอาหรับ คือ ท่านนบีมุหัมมัด (ซล.) เผื่อให้มาเผยแพร่ศาสนาของอัลลอฮฺแก่ชาวโลกทั้งหมดอีกครั้งและเป็นครั้งสุดท้าย และศาสนาของที่ท่านนบีมุหัมมัด(ซล.)นำมาเผยแพร่นั้น จะมายกเลิกหลักการของนบีท่านก่อนๆ ทั้งหมด ยกเว้นแค่ในบางเรื่องเท่านั้นที่ยังคงไว้

ดังนั้น ศาสนาและคำสอนในคำภีร์ของชาวยิวและคริสต์ ณ ปัจจุบันนี้ได้ถูกแก้ไขและเปลี่ยนแปลงไปแล้วโดยบาทหลวงในหลายๆ รุ่น เพราะแต่ละคำภีร์ในศาสนาของพวกเขาเองก็มีเนื้อหาที่ไม่ตรงกัน ซึ่งศาสนายิวหรือศาสนาคริสต์ที่ถูกยึดถืออยู่ในปัจจุบันนั้น ไม่ใช่ศาสนาที่มาจากอัลลอฮฺอย่างบริสุทธ์อีกแล้ว

ในขณะที่ศาสนาอิสลามยังคงศรัทธาต่ออัลลอฮฺแค่องค์เดียว และคัมภีร์อัลกุรอานก็ไม่เคยถูกเปลี่ยนแปลง ไม่่ว่าจะไปหาอ่านที่มุมไหนของโลก ก็มีความหมายเหมือนกันหมด คำสอนต่างๆ ในอัลกุรอานไม่ว่าจะเข้าสู่ยุคไหน ปีไหน ก็ยังคงใช้ได้เสมอไม่เคยล้าสมัย ทุกสิ่งที่ศาสนาอิสลามวางเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นรื่องครอบครัว เรื่องสังคม หรืือรื่องอื่นๆ ทั้งหมดไม่เคยขัดกับธรรมชาติของความเป็นมนุษย์เลย ดังนั้น หากเราศึกษาจากคำสอนอิสลามจริงๆ เราจะรับรู้ได้เลยว่า ศาสนาอิสลามนั้น คือ ศาสนาที่แท้จริง และเหมาะสมกับคนทุกยุค ทุกสมัย


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 16, 2011, 08:09 AM โดย Innocence »

ออฟไลน์ Azadr

  • เพื่อนแรกพบ (^^)/
  • *
  • กระทู้: 1
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ยิว คริสต์ อิสลาม....ศาสนาที่แท้จริง?
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: ม.ค. 26, 2012, 12:30 PM »
0
ทำไมตอบ ไม่เห็นจะรู้เรื่องกันสักคน

อัสลามมุอะลัยกุ้มครับ Tatcha_jah และพี่น้องมุสลิมทุกท่านและสวัดดี ผู้ที่สนใจในอัลอิสลามทุกท่านครับ

ก่อนอื่นต้องขอชุโกรต่ออัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาครับ
และขอย้ำเตือนตัวผมเองและพี่น้องทุกท่านให้ยำเกรงต่ออัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แท้จริงเราเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์

ก่อนอื่นขอถามพวกเราทุกคนในเรื่องราวของอัลอิสลามว่า  อัลอิสลามคืออะไร ... พอจะมีใครตอบได้บ้างไหมครับพี่น้องของผม
มีไหมครับ?ถ้าคิดไม่ออกหรือไม่รู้แล้ว เรานั้นต้องพิจารณาตัวพวกเรากันเองเยอะๆและขอความเข้าใจที่กระจ่างชัดในอัลอิสลามจากพระองค์เยอะๆนะครับ ไม่งั้นเราคงแย่แน่ในวันอันอัปยศ



หลายคนมีคำตอบหลากหลาย
แต่อันที่จริงมันมีเพียงแค่คำตอบเดียว
เรามาดูคำตอบจากท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ซ้อลลั้ลลอฮุอะลัยฮิวะซั้ลลัมกันครับ

รายงานจากท่านอุมัร บินค๊อตต๊อบ (ร่อดียั้ลลอฮู่ อันฮฺ) กล่าวว่า วันหนึ่งขณะที่เรานั่งอยู่กับท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺI มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามา สวมเสื้อผ้าขาวบริสุทธิ์ ผมดำสนิท ไม่ปรากฏร่องรอยของการเดินทาง (ที่บ่งบอกว่าเป็นคนเดินทาง) ไม่มีใครจากพวกเรารู้จักเขา ได้เข้ามานั่งใกล้จนเข่าทั้งสองของเขาชิดกับเข่าของท่านนบีI แล้ววางมือทั้งสองลงบนหน้าขาของเขา พลางกล่าวว่า : โอ้ มูฮัมหมัด! จงบอกฉันเถิดว่าอิสลามคืออะไร? ท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺI ตอบว่า :(จากบรรดารู่กุ่น ของ) อิสลามคือ ท่านต้องปฏิญาณตน (ด้วยหัวใจและลิ้น) ว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดคู่ควรแก่การอิบาดะฮฺ นอกจากอัลลอฮฺตะอาลา และปฏิญานว่า มูฮัมหมัดI เป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ ดำรงละหมาด จ่ายซะกาต ถือศิลอดในเดือนรอมฎอน และประกอบพิธีฮัจย์ถ้ามีความสามารถ ชายคนนั้นกล่าวตอบว่า : ท่านกล่าวถูกต้อง ท่านอุมัร (ร่อดียั้ลลอฮู่ อันฮฺ) กล่าวว่า พวกเรารู้สึกประหลาดใจว่า ชายผู้นั้นถาม (เหมือนกับไม่รู้) แล้วก็กล่าวว่า “ถูกต้อง” (เหมือนเคยรู้มาก่อน) ชายคนนั้นถามอีกว่า : จงบอกฉันเถิดว่าการอีหม่านคืออะไร? ท่านนบีI กล่าวว่า :ท่านต้องศรัทธา (เชื่อด้วยหัวใจ) ต่ออัลลอฮฺ มลาอิกะฮฺของพระองค์ คัมภีร์ของพระองค์ บรรดารอซู้ลของพระองค์ วันกิยามะฮฺ และการกำหนดความดีความชั่ว ชายคนนั้นกล่าวตอบว่า : “ถูกต้อง” เขาถามต่ออีกว่า : จงบอกฉันเถิดว่าเอี้ยะซานคืออะไร? ท่านนบีI กล่าวตอบว่า : การเอี้ยะฮฺซาน คือ ท่านจะต้องอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺประหนึ่งว่าท่านเห็นอัลลอฮฺ หากไม่สามารถเห็นอัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺกำลังมองท่านอยู่ ชายคนนั้นได้ถามต่ออีกว่า : จงบอกฉันถึงวันกิยามะฮฺเถิด (ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่?) ท่านนบีI กล่าวตอบว่า : ผู้ถูกถามไม่ได้รู้มากไปกว่าผู้ถาม กล่าวคือเกียวกับเรื่องนี้ ฉันไม่ได้รู้มากไปกว่าท่านหรอก ชายคนนั้นถามต่อว่า : จงบอกฉันถึงสัญญาณของวันนั้นเถิด ท่านนบีI กล่าวตอบว่า : (สัญญาณของวันนั้นคือ) ทาสหญิงจะคลอดนายของนางออกมา (สัญญาณที่สองคือ) ท่านจะพบว่า คนที่ไม่มีรองเท้าและเสื้อผ้าจะสวมใส่ เป็นคนยากจนเลี้ยงแพะ แข่งขันกันสร้างตึกสูงๆ ท่านอุมัร(ร่อดียั้ลลอฮู่ อันฮฺ) กล่าวว่า : ชายคนนั้นได้เดินจากไป ฉันได้นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง (โดยไม่ได้ถามถึงเรื่องชายคนนั้น) แล้วท่านนบีI ก็ถามฉันว่า : โอ้ อุมัร! ท่านรู้ไหมชายคนนั้นท่ามถามคือใคร? ฉันตอบว่า : อัลลอฮฺ และรอซู้ลของพระองค์ทรงรู้ยิ่ง ท่านนบีI กล่าวตอบว่า : เขาคือญิบรีล (อลัยฮิสลาม) มาหาพวกท่านเพื่อสอนศาสนาให้แก่พวกท่าน
{มุสลิม}
อธิบาย : ในฮะดีษนี้ความหมายหนึ่งของ ทาสหญิงจะคลอดนายของนางออกมาคือ เมื่อใกล้วันกิยามะฮฺ การฝ่าฝืนเนรคุณต่อพ่อแม่จะเกิดขึ้นทั่ไป แม้กระทั่งลูกสาว ที่ตามความเป็นจริงแล้ว จะเชื่อฟังแม่มาก ก็จะไม่เชื่อฟังแม่ แต่กลับจะทำถึงขั้นสั่งใช้แม่ตัวเองเยี่ยงนายสั่งทาส ความหมายของสัญญาณที่สอง คือเมื่อใกล้วันกิยามะฮฺ ทรัพย์สมบัติ และเกียรติยศ จะอยู่ในอำนาจของบุคคลเหล่านี้ ทั้งๆที่ไม่เหมาะสม แล้วพวกเขาก็แข่งขันชิงดีชิงเด่นกัน ในการสร้างตึกสูงๆ
{มอาริฟุลฮะดีษ}

...



ที่ผมยกฮะดีษนี้เนื่องจากเพราะว่าเราต้องเชื่อ ในบรรดาร่อซูลุ้ลลอฮ์ของพระองค์เท่าที่มีปรากฎ ที่พระองค์ทรงบอก มิฉะนั้นเราจะไม่ครบถ้วนในการศรัทธา (ไม่ครบไม่ใช่มุสลิม หรือปฏิเสธศัทธานั้นเอง)

...


หัวใจของคำตอบของคุณนั้นอยู่ในอายะฮ์อัลกุรอาน 2 อายะฮ สุดท้ายของบะกอเราะห์นั้นเอง

آمَنَ الرَّسُولُ بِمَا أُنزِلَ إِلَيْهِ مِن رَّبِّهِ وَالْمُؤْمِنُونَ كُلٌّ آمَنَ بِاللَّهِ وَمَلَائِكَتِهِ وَكُتُبِهِ وَرُسُلِهِ لَا نُفَرِّقُ بَيْنَ أَحَدٍ مِّن رُّسُلِهِ وَقَالُوا سَمِعْنَا وَأَطَعْنَا غُفْرَانَكَ رَبَّنَا وَإِلَيْكَ الْمَصِيرُ ( 285 )
ร่อซูลนั้น(นะบีมุฮัมมัด) ได้ศรัทธาต่อสิ่งที่ได้ถูกประทานลงมาแก่เขา จากพระเจ้าของเขา และมุมินทั้งหลายก็ศรัทธาด้วยทุกคนศรัทธาต่ออัลลอฮ์และมลาอิกะฮ์ของพระองค์ และบรรดาคัมภีร์ของพระองค์ และบรรดาร่อซูลของพระองค์(พวกเขากล่าวว่า) เราจะไม่แยกระหว่างท่านหนึ่งท่านใดจากบรรดาร่อซูลของพระองค์ และพวกเขาได้กล่าวว่า เราได้ยินแล้ว และได้ปฏิบัติตามแล้วการอภัยโทษจากพระองค์เท่านั้นที่พวกเราปรารถนา โอ้พระเจ้าของพวกเรา! และยังพระองค์นั้น คือ การกลับไป

لَا يُكَلِّفُ اللَّهُ نَفْسًا إِلَّا وُسْعَهَا لَهَا مَا كَسَبَتْ وَعَلَيْهَا مَا اكْتَسَبَتْ رَبَّنَا لَا تُؤَاخِذْنَا إِن نَّسِينَا أَوْ أَخْطَأْنَا رَبَّنَا وَلَا تَحْمِلْ عَلَيْنَا إِصْرًا كَمَا حَمَلْتَهُ عَلَى الَّذِينَ مِن قَبْلِنَا رَبَّنَا وَلَا تُحَمِّلْنَا مَا لَا طَاقَةَ لَنَا بِهِ وَاعْفُ عَنَّا وَاغْفِرْ لَنَا وَارْحَمْنَا أَنتَ مَوْلَانَا فَانصُرْنَا عَلَى الْقَوْمِ الْكَافِرِينَ ( 286 )
อัลลอฮ์จะไม่ทรงบังคับชีวิตหนึ่งชีวิตใดนอกจากตามความสามารถของชีวิตนั้นเท่านั้น ชีวิตนั้นจะได้รับการตอบแทนดีในสิ่งที่เขาได้แสวงหาไว้ และชีวิตนั้นจะได้รับการลงโทษในสิ่งชั่วที่เขาได้แสวงหาไว้ โอ้พระเจ้าของพวกเรา! โปรดอย่าเอาโทษแก่เราเลย หากพวกเราลืม หรือผิดพลาดไป โอ้พระเจ้าของพวกเรา! โปรดอย่าได้บรรทุกภาระหนักใด ๆแก่พวกเรา เช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงบรรทุกมัน แก่บรรดาผู้ที่อยู่ก่อนหน้าพวกเรามาแล้ว โอ้พระเจ้าของพวกเรา! โปรดอย่าให้พวกเราแบกมันได้ และโปรดได้ทรงอภัยแก่พวกเราและยกโทษให้แก่พวกเรา และเมตตาแก่พวกเราด้วยเถิด พระองค์นั้น คือผุ้ปกครองของพวกเราดังนั้นโปรดได้ทรงช่วยเหลือพวกเราให้ไดเรับชัยชนะเหนือกลุ่มชนที่ปฏิเสธศรัทธาด้วยเถิด


...

จากอายะฮ์ดังกล่าวจะเห็นว่าเรานั้นมิได้แยกบรรดาร่อซูลุ้ลลอฮ์ และเรานั้นยอมรับในตัวท่านร่อซูลุ้ลอฮ์ซั้ลลั้ลลอฮุอะลัยฮิวะซั้ลลัมด้วย มิได้แยกบุคคนใดบุคคนหนึ่งออกจากบรรดานบีทั้งหลาย เช่น ยิว และ คริสต์ ทั้งๆที่พวกเค้าก็รู้กันดีอยู่ว่า นบีมูฮัมมัดเป็นศาสนทูตคนสุดท้ายของอัลลอฮ์ แต่เค้ามิได้ยอมรับอันเนื่องจากไม่ได้ถูกแต่งตั้งมาจากบรรดาพวกเค้า และเตารอต(โตลาร์)กับอินยี้ล(ไบเบิลพันธะสัญญาเก่า) นั้นไม่ถูกนำมาใช้อีกเมื่อมีอัลกุรอ่านมาแทนที่ และที่สำคัญกว่านั้นยิ่งบรรดายิวนั้นได้บิดเบือนคำภีร์ของพระองค์และศรัทธาแค่บางส่วนและพระองค์ทรงกริ้วโกรธและสัญญานรกไว้ให้กับบรรดาผู้ที่บิดเบือนคำภีร์ คริสต์ก็เช่นเดียวกันเกิดการชำระคำภีร์เพื่อให้ตัวเองพึงพอใจ(แม้กระทั้งการละหมาดและจ่ายซะกาต เป็นต้น ก็ยังเอาออก)

เพราะฉะนั้นเราจะไม่แยกท่านหนึ่งท่านใด ออกจากบรรดาร่อซู้ลของพระองค์

คงเป็นที่กระจ่างชัดกันแล้วนะครับ
อินชาอัลลอฮ์ ขอพระองค์ทรงประท่านแสงสว่างและหนทางที่เที่ยงตรง แก่พวกเราด้วยเถิด

วัสลามมุอะลัยกุมมุสลามครับผม

 

GoogleTagged