ผู้เขียน หัวข้อ: อันตรายจาก มูฮัมหมัด อิบนุ อับดุลวะฮฺฮาบ  (อ่าน 14775 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

anthoposclay

  • บุคคลทั่วไป
0
คำตอบคือผมเชื่อว่า "อัลลอฮทรงอิสตีวะเหนื่อบัลลัง"
ผมไม่อยากแปลเป็นภาษาไทยเพราะมันต้องแปลข้ามวัฒนธรรม(ผมไม่เป็นและไม่ความรู้พอ) เรื่องของอัลลอฮเป็นเรื่องใหญ่ผิดไม่ได้ ผมไม่กล้ารับผิดชอบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 07, 2010, 03:24 PM โดย anthoposclay »

ออฟไลน์ hiddenmin

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2453
  • เพศ: ชาย
  • 404 not found
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
    • Ikhlas Studio
0
...แล้วคุณรู้ไหมว่าผมเอาความรู้มาจากไหน...

ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าคุณเอาความรู้มาจากไหน

anthoposclay

  • บุคคลทั่วไป
0
อัลกรุอาน  ฮาดีสแท้  ซอฮาบะ  ชาวซาลาฟ300ปีแรกที่ได้รับการยอมรับในสมัยนั้นและไม่ขัดกับที่   กล่าวมาแล้วข้างต้น  และตาบีอีที่ได้รับการยอมรับและไม่ขัดกับที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
แล้วของคุณเหมือนกับของผมหรือเปล่าครับ?  ถ้าไม่เหมือนก็ช่วยตอบด้วยผมอยากรุ้เหมือนกันว่ามันไปต่างกันที่จุดไหน
เพือว่ายังมีอะไรที่ผมยังไม่รู้อีกบ้างครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 06, 2010, 09:20 PM โดย anthoposclay »

ออฟไลน์ hiddenmin

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2453
  • เพศ: ชาย
  • 404 not found
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
    • Ikhlas Studio
0

ใครๆ ก็บอกก็อ้างแบบนี้กันทั้งนั้นละครับ  :laugh:

ออฟไลน์ tatcha_jah ~♪

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 341
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
0
สลามมุอาลัยกุมค่ะ
ขอขอบคุณคุณมุฟตีย์นะค่ะที่ตอบคำถามให้
ชอบคนอย่างคุณจังค่ะ
ตอบคำถามดี  สุภาพ ทำให้คนที่ตั้งใจจะศึกษาได้คำตอบอย่างชื่นใจ
และมีกำลังใจที่จะศึกษาหาความรู้ทางศาสนาเพื่อที่จะเป็นบ่าวที่ดีของอัลเลาะห์(ทั้งดิฉันและคุณก็ปรารถนาเช่นนั้นนะค่ะ^^)
ขอให้พระองค์ประทานสิ่งดีๆให้กับคุณ...ขอให้อัลเลาะห์ทรงตอบแทนความดีงาม
แต่สำหรับบางคนที่ชอบขวางโลก...ใจแคบ
ดิฉันก็อยากให้เขามองอะไรที่กว้างกว่านี้
การชอบที่จะขัดแย้ง...ชอบที่จะจับผิด...นิสัยอันธพาล...ชอบมองโลกในแง่ร้ายกับพี่น้องมุสลิม
มันเป็นอะไรที่ไม่สร้างสรรค์
แปลกนะค่ะ..ที่พี่น้องมุสลิมทะเลาะกันเองแทนที่จะไปต่อสู้กับพวกยาฮุดีนัสรอนีน
ดิฉันไม่แปลกใจว่าทำไมอัลอักซอถึงได้อยู่ในสภาพนี้
ทำไม...พี่น้องปาเลสไตย์ถึงยังต้องต่อสู้ด้วยก้อนหิน
ทำไม...อิรักถึงโดนอเมริกาย่ำยี


เพราะมีคนอย่างคุณนี่แหละ

ผู้ศรัทธาต่ออัลลอห์...ท้ายสุดจะได้ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ในวันอาคิเราะห์

ออฟไลน์ ฮุ้นปวยเอี๊ยง

  • رَبِّ زدْنِيْ عِلْماً
  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 994
  • เพศ: ชาย
  • وَارْزُقْنِيْ فَهْماً
  • Respect: +116
    • ดูรายละเอียด
0
สลามมุอาลัยกุมค่ะ
ขอขอบคุณคุณมุฟตีย์นะค่ะที่ตอบคำถามให้
ชอบคนอย่างคุณจังค่ะ
ตอบคำถามดี  สุภาพ ทำให้คนที่ตั้งใจจะศึกษาได้คำตอบอย่างชื่นใจ
และมีกำลังใจที่จะศึกษาหาความรู้ทางศาสนาเพื่อที่จะเป็นบ่าวที่ดีของอัลเลาะห์(ทั้งดิฉันและคุณก็ปรารถนาเช่นนั้นนะค่ะ^^)
ขอให้พระองค์ประทานสิ่งดีๆให้กับคุณ...ขอให้อัลเลาะห์ทรงตอบแทนความดีงาม
แต่สำหรับบางคนที่ชอบขวางโลก...ใจแคบ
ดิฉันก็อยากให้เขามองอะไรที่กว้างกว่านี้
การชอบที่จะขัดแย้ง...ชอบที่จะจับผิด...นิสัยอันธพาล...ชอบมองโลกในแง่ร้ายกับพี่น้องมุสลิม
มันเป็นอะไรที่ไม่สร้างสรรค์
แปลกนะค่ะ..ที่พี่น้องมุสลิมทะเลาะกันเองแทนที่จะไปต่อสู้กับพวกยาฮุดีนัสรอนีน
ดิฉันไม่แปลกใจว่าทำไมอัลอักซอถึงได้อยู่ในสภาพนี้
ทำไม...พี่น้องปาเลสไตย์ถึงยังต้องต่อสู้ด้วยก้อนหิน
ทำไม...อิรักถึงโดนอเมริกาย่ำยี


เพราะมีคนอย่างคุณนี่แหละ



งั้นแอดเมลล์ไปเลยบังเขาบังโสดหล่อด้วย ห้าๆ

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
0
แต่สำหรับบางคนที่ชอบขวางโลก...ใจแคบ
ดิฉันก็อยากให้เขามองอะไรที่กว้างกว่านี้
การชอบที่จะขัดแย้ง...ชอบที่จะจับผิด...นิสัยอันธพาล...ชอบมองโลกในแง่ร้ายกับพี่น้องมุสลิม
มันเป็นอะไรที่ไม่สร้างสรรค์


ผมเองแหละ
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

salaff

  • บุคคลทั่วไป
0
ขอถามตรงๆเลยนะครับว่า คุณเชื่อว่า อัลลอฮนั่งอยู่บนอารัช ใช่มั๊ยครับ

อ้างถึง
ข้อความโดย: anthopaosclay  
คำตอบคือผมเชื่อว่า "อัลลอฮทรงอิสตีวะเหนื่อบัลลัง"
ผมไม่อยากแปลเป็นภาษาไทยเพราะมันต้องแปลข้ามวัฒนธรรม เรื่องของอัลลอฮเป็นเรื่องใหญ่ผิดไม่ได้ ผมไม่กล้ารับผิดชอบ

  cool2:คุยกันแบบฉันพี่น้องอย่างนี้ผมเหนด้วยและอยากแจมอีกคนคับ
งั้นที่คุณ'anthopaosclayบอกว่า  คุณเชื่ออย่างสนิทว่าแท้จริงว่า  "อัลลอฮทรงอิสตีวะเหนื่อบัลลัง"

ผมก็เลยสงสัยว่า คำว่า อิสติวานั้น แปลว่าอย่างไร เพราะถ้าคุณบอกว่า  คุณไม่อยากแปลเป็นภาษไทยเพราะคุณว่ามันข้ามวัฒนะธรรมผมก็ไม่ทราบว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่กับการแปลให้เป็นความหมาย และในความจริงแล้วไม่ว่าใครก็ตามที่จะศึกษาสิ่งใดๆนั้นย่อมจะต้องทำความเข้าใจในภาษานั้นๆซะก่อนและเช่นเดียวกันในไม่ว่าความหมายหรือหลักไวยกรณ์ของรูปแแบบภาษาเหล่านั้น

ฉนั้นผมก็ไม่ทราบได้ว่าคุณเข้าใจในคำๆนี้ด้วยวิธีการใดกันแน่ในเมื่อคุณบอกว่า   คุณจะไม่แปลหรือว่าจะไม่ยอมแปลมัน   เพราะแน้แท้ ถ้าหากคุณแปลมันจะมีความหมายของคำว่า  อิสติวาอะฮ์  ขึ้นมาทันทีคับ

อ้างถึง
อ้างจากanthopaosclay  

อัลกรุอาน  ฮาดีสแท้  ซอฮาบะ  ชาวซาลาฟ300ปีแรกที่ได้รับการยอมรับในสมัยนั้นและไม่ขัดกับที่   กล่าวมาแล้วข้างต้น  และตาบีอีที่ได้รับการยอมรับและไม่ขัดกับที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

 cool2:แนนอนครับ  แต่ผมว่าชาวสลัฟเขาเข้าใจมากกว่าคุณนะและเขาเหล่านั้นคงจะไม่เข้าใจในสิ่งดังกล่าวตรงกับคุณหรอกนะ ด้วยเหตุว่า  ความเข้าใจของคุณนั้นมันได้ถูกถ่ายทอดหรือบอกกล่าวมาจากผู้ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มชนสะลัฟแต่เป็นเป็นเพียงคอลัฟยุคหลังนี้เอง(ประมาณฮศที่1000กว่าปีนี้เอง)

ดังนั้นท่านจะยึดถือและเชื่อได้อย่างไรละว่าสิ่งที่เขาเหล่านั้นนำมาอ้างนั้นคือแบบชนชาวสะลัฟพันแท้ หรือแค่แอบอ้างชื่อให้หรูดีไม่ดีสิ่งที่คุณตามนั้นมันกลับกลายไปเป็นสะลัฟพันธ์เทียม  แล้วคุณจะว่าไง

อ้างถึง
จากanthopaosclay  
แล้วของคุณเหมือนกับของผมหรือเปล่าครับ?


  cool2:ผมไม่ทราบเช่นกันว่า ความศรัทธาหรือหลักความเชื่อของคุณเป็นเช่นไรและจะมีความเชื่อเหมือนสะลัฟตัวจริงหรือไม่แต่ที่แน่นอนคือ

สะลัฟศอและห์เหล่านั้นล้วนมีอะกีดะฮ์ที่บริสุทธิ์  บริสุทธิ์จากการตัชบีห์(อธิบายคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์คล้ายลึกกับมัคโลค)  บริสุทธิ์จากการตัจญ์ซีม (อธิบายกันจนอัลลอฮ์มีรูปร่าง) บริสุทธิ์จากการตะฏีล(ปฏิเสธซีฟัตของอัลเลาะฮ์)  มีส่วนมากสะลัฟมอบหมายไปยังอัลเลาะฮ์และส่วนน้อยมีการตีความ(ตะวีล)
ดังนั้นผมเลยไม่รู้ได้ว่า คุณมีลักษณะหรือคุณสมบัติเช่นนี้หรือปล่าว.แต่ถ้าเป็นวาฮาบีเท่าที่เรียนมาพวกเขาไม่มีคุณสมบัติดังกล่าว

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 07, 2010, 11:51 AM โดย salaff »

salaff

  • บุคคลทั่วไป
0
อ้างถึง
ข้อความโดย: anthoposclay 
อัลกรุอาน  ฮาดีสแท้  ซอฮาบะ  ชาวซาลาฟ300ปีแรกที่ได้รับการยอมรับในสมัยนั้นและไม่ขัดกับที่   กล่าวมาแล้วข้างต้น  และตาบีอีที่ได้รับการยอมรับและไม่ขัดกับที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
แล้วของคุณเหมือนกับของผมหรือเปล่าครับ?  ถ้าไม่เหมือนก็ช่วยตอบด้วยผมอยากรุ้เหมือนกันว่ามันไปต่างกันที่จุดไหน
 


ดังนั้นด้วยคำอ้างของคุณจากข้างบนที่ว่าคุณมั่นใจว่าคุณคือผู้ที่ตามสะลัฟและแนวทางที่มีมัสหับหรืออากีดะต่างจากคุณไม่ตามสะลัฟก็ด้วยสาเหตุที่ว่าเพราะทุกแนวทางพวกเขาต่างก็มีความเชื่อว่า   ตนเองอยู่ในแนวทางของท่านนบี (ซ.ล.)  และความเข้าใจในฮะดิษของท่านนบี (ซ.ล.)

แต่ในด้านความจริงแล้ว  เป็นไปไม่ได้ที่ประชาชาติอิสลามจะเข้าใจตรงกันหรือเห็นพร้องกันหมด   ฉนั้นการวินิจฉัยในตัวบทฮะดิษจึงเกิดขึ้น   แนวทางต่าง ๆ ในการเข้าใจฮะดิษจึงเกิดขึ้นมา  ซึ่งหากแนวทางทั้งหลายนั้น  ตั้งชื่อแนวทางของตนเองว่าแนวทางนบี (ซ.ล.) กันทุก ๆ กลุ่ม  แบบนี้พวกบิดอะฮ์อย่างมั๊วะตะซิละฮ์  พวกญะฮ์มียะฮ์  พวกกัรรอมียะฮ์  พวกชีอะฮ์  ก็สบายไปเลย    แต่ทว่าพวกบิดอะฮ์นั้นมักชอบตั้งชื่อและชอบอ้างว่าแนวทางตนเองเป็นแนวทางนบี (ซ.ล.)

 แต่บรรดานักปราชญ์แห่งอุมมะฮ์อิสลามเขาไม่ยอมรับและถือว่าไร้มารยาทต่อแนวทางวินิจฉัยอื่น ๆ ที่มีความประเสริฐ 

 ดังนั้นตามธรรมเนียมปฏิบัติของนักปราชญ์แห่งอุมมะฮ์อิสลาม   เขาจะพาดพิงแนวทางวินิจฉัยหรือเข้าใจในตัวบทฮะดิษไปยังแกนนำผู้มีความโดดเด่นเพื่อให้เกียรติต่อพวกเขา  และเพื่อที่จะง่ายในการแบ่งแยกกลุ่มบิดอะฮ์และกลุ่มอะฮ์ลิสซุนนะฮ์  ได้อย่างถูกต้องและไม่สับสน(เพราะหากทุกกลุ่มตั้งชื่อว่าแนวทางนบีก็คงสับสนแยกแยะกันไม่ถูก)

และตามนัยดังกล่าวนี้   ท่านอิมาม  อัลหาฟิซฺ  อิบนุ  อะซากิร    ได้กล่าวไว้ในหนังสือ  "ตับยีน กัซบฺ อัลมุฟตะรีย์"    ว่า  " เราไม่ได้ทำการอ้างพาดพิงมัซฮับของเราในเรื่องหลักเตาฮีดไปยังอิมามอัลอัชอะรีย์บนความหมายที่ว่าเราทำการตักลีดหรือได้ยึดถือกับตัวเขา   แต่ทว่าเรามีความเห็นสอดคล้องกับเขา  กับสิ่งที่เป็นทัศนะของเขาจากเรื่องเตาฮีดเพราะว่ามีบรรดาหลักฐานมายืนยันถึงความถูกต้อง(ในแนวทางของอิมามอัลอัชอะรีย์)  ไม่ใช่เพียงเพราะ(เราทำ)การตัดลีด(อิมามอัชอะรีย์)  และแท้จริง  ส่วนหนึ่งจากพวกเราได้ทำการพาดพิงไปยังมัซฮับของอิมามอัล-อัชอะรีย์นั้น  เพื่อที่จะแยกออกจากพวกบิดอะฮ์(เช่นมั๊วะตะซิละฮ์)ที่ไม่ได้กล่าวทัศนะตามท่านอิมามอัล-อัชอะรีย์"   ดู  หน้าที่  362

ท่านอิมาม มุฮัมมัด บิน อะหฺมัด อัซซัฟฟารีนีย์  ปราชญ์ผู้อยู่ในแนวทางของมัซฮับหัมบาลีย์สะลัฟอัสซอและห์  กล่าวว่า

อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์นั้น  มีอยู่ 3 กลุ่ม

1. กลุ่ม الأثرية (อัล-อะษะรียะฮ์)(คือกลุ่มอะฮ์ลุลหะดิษ) แกนนำของพวกเขา คืออิมามอะหฺมัด(ร.ฮ.)

2. กลุ่ม الأشعرية (อัล-อัชอะรียะฮ์) แกนนำของพวกเขา คือ อิมาม อบู อัลหะซัน อัลอัชอะรีย์(ร.ฮ.)

3. กลุ่ม الماتريدية(อัล-มะตูรีดียะฮ์) แกนนำของพวกเขา คืออิมาม อบู อัลมันซูร อัลมุตูรีดีย์(ร.ฮ.)  (ดู หนังสือ ละมาเมี๊ยะอฺ อัลอันวาร อัลบะฮียะฮ์ หน้า 73

จากสามกลุ่ม  ที่เป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์นี้  เราจะพบว่า วะฮาบีย์ หรือกลุ่มผู้ตั้งชื่อของตนเองขึ้นมาใหม่ว่า "สะละฟีย์" นั้น  พยายามอ้างตนเองว่า อยู่แนวทางของ อัล-อะษะรีย์  คือแนวทางของท่านอิมามอะหฺมัด(ร.ฮ.) ทั้งที่อิมามอะหฺมัด ไม่เกี่ยวข้องกับหลักการศรัทธาเรื่องซิฟาตของอัลเลาะฮ์ของวะฮาบีย์แม้แต่น้อย 

ท่านอิมามอะหฺมัด มีจุดยืนในเรื่องอายะฮ์หรือหะดิษที่กล่าวถึงซีฟาตของอัลเลาะฮ์ตามแนงทางของนักปราชญ์สะละฟุศศอลิหฺ  โดยที่พวกเขา  มอบหมาย "ทั้งความหมายและวิธีการไปยังอัลเลาะฮ์ ตะอาลา"  แต่วะฮาบีย์กลับรู้ดีถึงแก่แท้ในเชิงความหมายของซีฟัตอัลเลาะฮ์  ดังนั้น  จึงดูเหมือนว่าวะฮาบีย์  ไม่ได้มีแนวทางเหมือนกับท่านอิมามอะหฺมัด(ร.ฮ.) ตามที่พวกเขาพยายามกล่าวอ้าง


อุลามาอฺแนวทางอัลอะษะรียะฮ์หรืออะฮ์ลุลฮะดิษนั้น  จะมีอยู่ในปราชญ์ฮะนาบิละฮ์  ขณะเดียวกันอุลามาอ์อัลอะชาอิเราะฮ์ก็เป็นอะฮ์ลุลฮะดิษเช่นเดียวกัน  คำว่าอะฮ์ลุลฮะดิษนั้น หมายถึง กลุ่มนักปราชญ์ฮะดิษที่อยู่ในแนวของอะฮ์ลุสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์  มิใช่นักฮะดิษที่อยู่ในแนวทางของบิดอะฮ์  เช่นพวกอัลกัรรอมียะฮ์  ซึ่งกลุ่มนี้ก็มีนักฮะดิษหลายท่าน แต่พวกเขามีอะกีดะฮ์ที่ไม่ถูกยอมรับ  เช่นพวกอัลกัรรอมียะฮ์  มีอะกีดะฮ์ที่ว่า อัลเลาะฮ์ทรงสถิตบนอารัช ซาตของอัลลอฮ์อยู่ทิศข้างบน  อัลเลาะฮ์มีรูปร่างและทำการตัชบีห์(พรรณาคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์โดยไปคล้ายคลึงกับมัคโลคในแง่มุมใดแง่มุมหนึ่ง) พวกเขาเชื่ออีกว่า "แท้จริงในซาตของอัลเลาะฮ์ ซุบฮานะฮ์นั้น  มีบรรดาสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่มากมาย  เช่น  การบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตที่ผ่านมาแล้วและสิ่งที่จะมีมาต่อไป  และยังมีบรรดาคำภีร์ต่าง ๆ ที่ถูกประทานลงมาให้กับบรรดาศาสนทูต อะลัยฮิมุสลาม  มีเรื่องเล่าต่าง ๆ  มีสัญญาให้คุณ  สัญญาให้โทษ  และหลักฮุกุ่มต่าง ๆ..."  ทบทวนได้จาก กระทู้นี้  ซึ่งส่วนหนึ่งจากหลักอะกีดะฮ์ของพวกอัลกัรรอมียะฮ์ก็เหมือนกับอะกีดะฮ์วะฮาบีย์นั่นเอง

ส่วนอะกีดะฮ์ของนักปราชญ์มัซอับฮัมบาลีย์นั้น  หากเราศึกษาให้ลึกซึ้งเกี่ยวกับหลักอะกีดะฮ์ของพวกเขาที่รู้จักกันในนาม อะฮ์ลุลฮะดิษหรืออัลอะษะรียะฮ์ 

ซึ่งในกลุ่มอุลามาอ์ฮัมบะลีย์เองมิได้มีหลักอะกีดะฮ์อันเดียวกัน แต่แตกออกเป็น 2 กลุ่ม 

1. กลุ่มอุลามาอฺมัซฮับฮัมบะลีย์  ที่ทำการมอบหมาย(ตัฟวีฎ)กับความหมายอายะฮ์หรือฮะดิษที่มีความหมายหลายนัยยังไปอัลเลาะฮ์ตะอาลา กลุ่มนี้เขาเรียกว่ากลุ่ม อัลมุเฟาวิเฎาะฮ์ اَلْمُفَوِّضَةُ  เช่นท่าน ท่านอิมามอะห์มัด , อิบนุกุดามะฮ์ , ท่านอิบนุรอญับ , ท่านอิบนุอบียะลา , ท่านอิบนุอะกีล , ท่านอิบนุอัลเญาซีย์ , ท่านอัสสะฟารีนีย์ , ท่านอิมามอับดุลบากีย์อัลฮัมบาลีย์ , ท่านอบูมุฮัมมัด อัตตะมีมีย์  เป็นต้น

ดังนั้น อุลามาอฺมัซฮับฮัมบาลีย์ที่เป็นส่วนหนึ่งจากอะฮ์ลุลฮะดิษกลุ่มนี้  อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์เรียกเขาว่า  فُضَلاَءُ مِنَ الحَنَابِلَةِ (บรรดาอุลามาอฺผู้ประเสริฐ ๆ จากฮัมบาลีย์) ซึ่งพวกเขาอยู่ในแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์  รู้จักในนามของ อะฮ์ลุลฮะดิษหรือกลุ่มอัลอะษะรียะฮ์นั่นเองครับ  ในทางตรงกันข้ามก็มีอุลามาอฺฮัมบาลีย์อีกกลุ่มนั้น  สร้างความเสื่อมเสียและความอับอายให้แก่มัซฮับฮัมบาลีย์ในเรื่องอะกีดะฮ์ ตามที่อุลามาอฺมัซฮับฮัมบาลีย์ได้ยืนยันเอาไว้  ดังจะนำมากล่าวต่อไป

ท่านอิมามอัลฮาฟิซฺ อัศศุบกีย์  ไดกล่าวว่า

وَهَؤُلاَءِ الْحَنَفِيَّةُ وَالشَّافِعِيَّةُ وَالْمَالِكِيَّةُ وَفُضَلاَءُ الْحَنَابِلَةِ فِي الْعَقَائِدِ يَدٌ وَاحِدَةٌ كُلُّهُمْ عَلىَ رَأْيِ أَهْلِ السُّنَّةِ وَالْجَمَاعَةِ

"พวกเขาเหล่านั้น คือบรรดาปราชญ์มัซฮับฮะนะฟีย์ , ปราชญ์มัซฮับชาฟิอีย์ , ปราชญ์มัซฮับมาลิกีย์ , และปราชญ์ที่ประเสริฐ ๆ จากฮัมบาลีย์  - อัลฮัมดุลิลลาฮ์ - ในด้านของอะกีดะฮ์นั้น  พวกเขาทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกันตามแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์"  ดู หนังสือมุอีดุลนิฮัม ของท่านอิมามอัศศุบกีย์  หน้า 62



2. กลุ่มอุลามาอฺมัซฮัมบาลีย์(ยุคหลัง)  ซึ่งจะไม่ทำการมอบหมาย(ตัฟวีฎ)ความหมายของอายะฮ์หรือฮะดิษที่แท้จริงไปยังอัลเลาะฮ์ตะอาลา

 แต่พวกเขารู้ความหมายและเข้าใจความหมายในเชิงตัชบีฮ์(เข้าใจคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์ไปคล้ายคลึงกับคุณลักษณะของมัคโลค) เช่น ท่านอุษมาน บิน สะอีด อัดดาริมีย์ (ซึ่งเป็นคนละคนก็ท่านอัดดารีมีย์เจ้าของสุนันอัดดาริมีย์ที่เป็นอะฮ์ลิสซุนนุะฮ์) , ท่านอบูยะลา , ท่านอบูอับดิลลาฮ์ อิบนุ ฮามิด , ท่านอิบนุอัซซาฆูนีย์ , ท่านอิบนุบัฏเฏาะฮ์ (เป็นนักรายงานที่ฏออีฟ) , ท่านอิบนุมันดะฮ์ (ผู้ที่รายงานฮะดิษแล้วพูดเกี่ยวกับฮะดิษแล้วจะเบี่ยงเบนและสับสนตามที่ท่านอัซซะฮะบีย์ได้กล่าวไว้) , อัลกะฮารีย์ (นักกุฮะดิษ) , ท่านอัลอิชชารีย์ (นักกุฮะดิษ) , ท่านอิบนุกาดิช (นักกุฮะดิษ) , เป็นต้น
ท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุอะษีร ได้ถ่ายทอดคำกล่าวของท่าน อิมาม อบู มุฮัมมัด อัตตะมีมีย์ อุลามาอฺมัซฮับฮัมบาลีย์ ความว่า

لَقَدْ شَانَ أَبُوْ يَعْلىَ الْحَنَابِلَةَ شَيْناً لاَ يَغْسِلُهُ مَاءُ البِحَارِ

""แท้จริงท่านอบูยะลาได้สร้างความเสื่อมเสียอับอายให้แก่บรรดาอุลามาอฺมัซฮับฮัมบาลีย์  ซึ่งเป็นความอับอายที่น้ำทะเลก็ไม่สามารถล้างมันได้" หนังสือ กามิลอิบนุอะษีร : 10/52

ท่านอิมามอัลฮาฟิซฺ อิบนุ อัลเญาซีย์ อุลามาอ์มัซฮับฮัมบาลีย์ ได้กล่าวถึงอุลามาอฺฮัมบาลีย์บางกลุ่มว่า

وَرَأَيْتُ مِنْ أَصْحَابِنَا مَنْ تَكَلَّمَ فْي الأُصُوْلِ بِمَا لاَ يَصْلُحُ ، وَانْتَدَبَ للتَصْنِيْفِ ثَلاَثَةٌ أَبُوْ عَبْدِاللهِ بنُ حَامِدٍ ، وَصَاحِبُهُ الْقَاضِيْ وَابْنُ الزَّاغُوْنِيْ ؛ فَصَنَّفُوْا كُتُباً شَانُوْا بِهَا الْمَذْهَبَ وَرَأَيْتُهُمْ قَدْ نَزَلُوْا إِلَى مَنْزِلَةِ الْعَوَّامِ ، فَحَمَلُوْا الصِفَاتِ عَلىَ مُقْتَضَى الحِسِّ

"ข้าพเจ้าได้เห็นจากส่วนหนึ่งของอุลามาอฺแห่งเรา(คืออุลามาอฺมัซฮับฮัมบาลีย์) ได้ทำการพูดถึงเรื่องอุศูล(หลักอะกีดะฮ์)ด้วยกับสิ่งที่ไม่บังควร  และทำการตอบรับในการประพันธ์เป็นตำราขึ้นมา โดย 3 ท่านด้วยกัน  คือ อบูอับดิลลาฮ์อิบนุฮามิด , ท่านกอฎีย์ อบูยะลา , และท่านอิบนุอัซซาฆูนีย์ , ดังนั้นพวกเขาจึงทำการประพันธ์ตำราต่าง ๆ ที่พวกเขาได้สร้างความเสื่อมเสียอับอายให้แก่มัซฮับ(ฮัมบาลีย์)  และข้าพเจ้าได้เห็นพวกเขาลดตนเองลงไปอยู่ในตำแหน่งของคนเอาวาม(สามัญชน) แล้วทำการตีความบรรดาซีฟาตของอัลเลาะฮ์ตามนัยยของรูปธรรม"  หนังสือ ชุบฮะตุชตัชบีฮ์ ของท่านอิบนุอัลเญาซีย์ หน้า 6
 

ดังนั้น  หลักอะกีดะฮ์ของอุลามาอฺมัซฮับฮัมบาลีย์กลุ่มที่ 2 เหล่านี้ได้เกิดขึ้นไปช่วงศตวรรษที่ 4 หลังจากนั้นได้หมดบทบาทลงด้วยการปกป้องจากแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ 

   mycryจนกระทั่งมาถึงศตวรรษที่ 7 ท่านอิบนุตัยมียะฮ์ก็ทำการฟื้นคืนกลับขึ้นมาอีกครั้งแล้วหมดบทบาทไปด้วยการด้วยการปกป้องจากนแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ 

ต่อมาในศตวรรษที่ 12 โดยการฟื้นคืนกลับขึ้นมาอีกโดยท่านมุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ  นี่คือจุดกำเหนิดของแนวทางและหลักอะกีดะฮ์ของวะฮาบีย์ในปัจจุบันอย่างแท้จริง นั่นเองครับ

ท่านอิบนุ ชาฮีน (เพื่อนมิตรสหายของท่านอิมามอันดารุกุฏนีย์) ได้กล่าวว่า

رَجُلاَنِ صَالِحَانِ بُلِيَا بِأَصْحَابِ سُوْءٍ جَعْفَرُ بْنُ مُحَمَّدٍ ، وَأَحْمَدُ بْنُ حَنْبَل

"บุรุษผู้มีคุณธรรมสองท่านที่ถูกทดสอบด้วยกับบรรดาสานุศิษย์ที่ไม่ดี  คือท่านญะฟัร บิน มุฮัมมัด (อัศศอดิก) และท่านอะห์มัด บิน ฮัมบัล" หนังสือ ตับยีนุลมุฟตะรีย์ ของท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุ อะซากิร หน้า 163

ท่านชัยคุลอิสลาม อิมาม อัศศุบกีย์

فَهَذِهِ عَقِيْدَتُهُمْ ، وَيَرَوْنَ أَنَّهُمُ الْمُسْلِمُوْنَ ، وَأَنَّهُمْ أَهْلُ السُّنَّةُ ، وَلَوْ عُدُّوْا عَدَدًا لَمَا بَلَغَ عُلَمَاءُهُمْ مَبْلَغاً يُعْتَبَرُ وَيُكَفِّرُوْنَ عُلَمَاءَ الأُمَّةِ ، ثُمَّ يَعْتَزُوْنَ اِلَي الإِمَامِ أَحْمَدَ بْنِ حَنْبَل رَضِيَ اللهُ عَنْهُ ، وَهُوَ مِنْهُمْ بَرِيْءٌ وَلَكِنَّهُمْ كَمَا قَالَ بَعْضُ الْعَارِفِيْنَ وَرَأَيْتُهُ بِخَطِّ الشَّيْخِ تَقِيِّ الدِّيْنِ بْنِ الصَّلاَحِ : إِمَامَانِ اِبْتَلاَهُمَا اللهُ بِأَصْحَابِهِمَا وَهُمَا بَرِيْئَانِ مِنْهُمْ ، أَحْمَدُ بْنُ حَنْبَل اُبْتُلِيَ بِالْمُجَسِّمَةِ ، وَجَعْفَرُ الصَّادِقُ اُبْتُلِيَ باِلرَِّافِضَةِ

"นี้คืออะกีดะฮ์ของพวกเขา(คือพวกที่เชื่อว่าอัลเลาะฮ์มีรูปร่าง) พวกเขาเห็นว่า  พวกเขาคือคือมุสลิมีน  พวกเขาคืออะฮ์ลิสซุนนะฮ์  หากพวกเขาถูกนับแล้ว  อุลามาอฺของพวกเขานั้นก็จะไม่ถูกขั้นระดับที่ได้รับการพิจารณา  พวกเขาฮุกุ่มกาเฟรกับบรรดาปวงปราชญ์แห่งประชาชาติอิสลาม  หลังจากนั้นก็ทำการอ้างอิงไปยังอิมามอะห์มัด บิน ฮัมบัล รอฏิยัลลอฮุอันฮุ โดยท่านอะห์มัดนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา แต่พวกเขาเหล่านั้นก็เหมือนกับที่นักปราชญ์บางส่วนที่มีความรู้ได้กล่าวไว้แบบนั้น และข้าพเจ้าได้เห็น(คำกล่าวของปราชญ์บางส่วน) ด้วยลายมือของท่านชัยค์ ตะกียุดดีน อิบนุ อัศศ่อลาห์  ได้บันทึกไว้ความว่า "อิมามสองท่านที่อัลเลาะฮ์ทรงให้ได้รับการทดสอบจากบรรดาสานุศิษย์ของทั้งสอง  ซึ่งทั้งสองนั้นไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเลย คือท่านอะห์มัด บิน ฮัมบัล ได้รับการทดสอบจากพวกที่อ้างว่าอัลเลาะฮ์มีรูปร่าง และท่านญะฟัร อัศศอดิก ถูกทดสอบจากพวกชีอะฮ์อัรรอฟิเฏาะฮ์" หนังสือเฏาะบะก็อต อัชชาฟิอียะฮ์ อัลกุบรอ 2/17

หากพี่น้องตั้งคำถามว่า  อัลอะชาอิเราะฮ์นั้น  คืออะฮ์ลุลฮะดิษหรือไม่?  เราขอตอบว่า อัลอะชาอิเราะฮ์  ก็คือส่วนหนึ่งจากอะฮ์ลุลฮะดิษ   

ในหนังสืออัฏเฏาะบะก็อตอัลฮะนาบิละฮ์  ระบุว่า

وَقَدْ أَجْمَعَ عُلَمَاءُ أَهْلِ الْحَدِيْثِ وَالأَشْعَرِيَّةِ مِنْهُمْ عَلىَ قَبُوْلِ هَذِهِ الأَحَادِيْثِ فَمِنْهُمْ مَنْ أَقَرَّهَا عَلىَ مَا جَاءَتْ وَهُمْ أَصْحَابُ الْحَدِيْثِ وَمِنْهُمْ مَنْ تَأَوَّلَهَا وَهُمْ الأَشْعَرِيَّةُ وَتَأْوِيْلُهُمْ إِيَّاهَا قَبُوْلٌ مِنْهُمْ لَهَا إِذْ لَوْ كَانَتْ عَنْدَهُمْ بَاطِلَةٌ لاَطْرَحُوْهَا كَمَا اطْرَحُوْا سَائِرَ الأَخْبَارِ الْبَاطِلَةِ وَقَدْ رُوِىَ عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنَّهُ قَالَ:" أُمَّتِيْ لاَ تَجْتَمِعُ عَلىَ خَطَأٍ وَلاَ ضَلاَلَةٍ

"แท้จริงได้ลงมติ(อิจญ์มาอฺ)โดยบรรดาอุลามาอฺอะฮ์ลุลฮะดิษและอัลอะชาอิเราะฮ์ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งจากอะฮ์ลุลฮะดิษ  บนการรับบรรดาฮะดิษ(ที่เกี่ยวกับเรื่องซีฟาตของอัลเลาะฮ์) ดังนั้นส่วนหนึ่งจากอะฮ์ลุลฮะดิษก็รับฮะดิษตามที่ได้ระบุมา  ซึ่งพวกเขาคืออัศฮาบุลฮะดิษ(คือกลุ่มอะษะรียะฮ์)  และส่วนหนึ่งจากอะฮ์ลุลฮะดิษ  ทำการตีความ(ตะวีล)บรรดาฮะดิษซีฟาต  ซึ่งพวกเขาคืออัลอะชาอิเราะฮ์  และการตีความของพวกเขากับบรรดาฮะดิษซีฟาตของอัลเลาะฮ์นี้  ก็คือการที่พวกเขาได้ยอมรับบรรดาฮะดิษที่เกี่ยวกับซีฟาตของอัลเลาะฮ์นั่นเอง  เนื่องจากว่า  หากบรรดาฮะดิษที่เกี่ยวกับซีฟาตของอัลเลาะฮ์เป็นสิ่งที่โมฆะตามทัศนะของอัลอะชาอิเราะฮ์แล้ว  แน่นอนว่า พวกเขาก็จะละทิ้งบรรดาฮะดิษนั้นไป  เสมือนที่พวกเขาละทิ้งบรรดาฮะดิษที่กุขึ้นมา  และแท้จริงได้รายงานจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ว่า  "ประชาชาติของฉันจะไม่ลงมติกันบนความผิดพลาดและลุ่มหลง" หนังสอเฏาะบะก็อตอัลฮะนาบิละฮ์  หน้า 479 รวบรวมโดย ท่านอิบนุอะบียะลาอุลามาอฺมัซฮับฮัมบาลีย์


อ้างถึง
ดังนั้นผมไม่ทราบว่า สิ่งที่คุณ anthopaosclay 
ให้คำตอบถึงความเชื่อว่า  แท้จริงซาตของอัลเลาะห์ก็คือนั้น "อัลลอฮทรงอิสตีวะเหนื่อบัลลัง"
โดยที่อธิบายว่า
ผมไม่อยากแปลเป็นภาษาไทยเพราะมันต้องแปลข้ามวัฒนธรรม เรื่องของอัลลอฮเป็นเรื่องใหญ่ผิดไม่ได้ ผมไม่กล้ารับผิดชอบ


 cool2:ดังนั้นด้วยเหตผลที่ว่า  เราไม่พบชาวสะลัฟท่านใดที่่เข้าใจในแก่นแท้ฮะกีกัตว่า อัลเลาะทรงอิสติวะ(นั่ง,สถิต)บนบันลังค์แบบอะกีดะอย่างคุณ
นอกจากกลุ่มอุลามะยุคหลังๆของมัสหับฮัมบาลี(รฮ)และผู้ที่เจริญรอยตามแนวทางการฟื้นฟูอะกีดะของท่าน มูฮำมัดบินอับดุลวะฮาบเท่านั้น


วัลลอฮูอะลามฯ



anthoposclay

  • บุคคลทั่วไป
0
ขอบคุณครับ(อันที่ผมเขียนว่าผมไม่อยากแปลเป็นภาษาไทยเพราะมันต้องแปลข้ามวัฒนธรรม เรื่องของอัลลอฮเป็นเรื่องใหญ่ผิดไม่ได้ ผมไม่กล้ารับผิดชอบ) คือผมไม่เป็นจริงๆ ผมหาคำแปลเป็นไทยได้แต่ผมไม่มีความรู้ด้านภาษาอาหรับไม่รู้ว่ามันมีนัยยะหรือความหมายแฝงหรือเปล่าเลยเอาคำอาหรับเขียนไทยมาเลย)ต้องขออภัยด้วยที่เขียนกำกวมไปนิดเลยอาจทำให้ท่านเข้าใจผิดได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 07, 2010, 03:20 PM โดย anthoposclay »

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
0
หากท่านเข้าใจความหมายเหมือนชาวซาลัฟส่วนใหญ่เข้าใจกัน ก็ดีมากครับ หากเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมสนับสนุน
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

anthoposclay

  • บุคคลทั่วไป
0
การอิสติวะอฺเหนือบัลลังค์ของอัลลอฮฺ  
อันนี้ผมเอามาจากผู้มีความรู้หาคำแปลให้ครับ

 ขอตอบเรื่องราวดังกล่าวนี้จากจุดยืนอากีดะฮฺขอวพวก "วะฮะบีย์" แบบผมดังนี้  

อัชชัยคฺอับดุลกอดีรอัลญีลานี (รอฮิมาฮุลลอฮฺ) ได้กล่าวถึงเรื่องอิสติวะอฺไว้ในหนังสือของท่านความว่า

وينبغي إطلاق صفة الاستواء من غير تأويل ، وأنه استواء الذات على العرش لا على معنى القعود والمماسة كما قالت المجسمة والكرامية ، ولا على معنى العلو والرفعة كما قالت الأشعرية ، ولا معنى الاستيلاء والغلبة كما قالت المعتزلة ، لأن الشرع لم يرد بذلك ولا نقل عن أحد من الصحابة والتابعين من السلف الصالح من أصحاب الحديث ذلك

“มันคือสิ่งที่จำเป็นต่อการยืนยันถึงศิฟัตอิสติวะอฺ (การขึ้นสูงเหนือบัลลังค์) โดยปราศจากการตีความ(เป็นความหมายอย่างอื่น) และแท้จริงแล้วพระองค์อัลลอฮฺทรงขึ้นอิสติวะอฺเหนือบัลลังค์ของพระองค์โดยอิสติวะอฺด้วยกับ “ซาต” (อาตมัน) ของพระองค์เหนือบัลลังค์ ซึ่งอิสติวะอฺไม่ได้แปลว่า กออู๊ด (นั่ง) หรือไม่ได้แปลว่าการสัมผัส ดังที่พวกมุญัสสิมะฮฺและกะรอมียะฮฺได้กล่าวไว้ และมันก็ไม่ได้หมายความว่า อุลูวว์ (ความสูงส่ง) ดังที่พวกอัชอะรียะฮฺ(อะชะอิเราะฮฺ)ได้กล่าวไว้ และมันก็ไม่ได้แปลว่า อิสติลาอ์ (การพิชิต) หรือ ฆอลาบะฮฺ (การสถาปนาอำนาจ) ดังที่พวกมุอฺตะสิละฮฺได้กล่าวแต่อย่างใด ตัวบททางศาสนาไม่ได้บอกกล่าวถึงความหมายใดๆเหล่านี้ไว้ แล้วก็ไม่ปรากฏการรายงานจากบรรดาซอฮาบะฮฺหรือจากบรรดาตะบีอีนจากยุคสลัฟหรือจากบรรดานักวิชาการหะดีษถึงการตีความในแบบเหล่านี้เลย”

 

เชคอับดุลกอดีรญีลานี ในหนังสือ กุนยะตุตตอลิบีน เล่ม 1 หน้า 73

 

นี่คืออากีดะฮฺวะฮะบีของผมครับเป็นไงบางครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 09, 2010, 02:28 PM โดย anthoposclay »

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
0
อารัช กอดีม หรือญาดีด
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ salsabeela

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 402
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อารัช กอดีม หรือญาดีด

อารัชมันเป็นมัคลูก  จะกอดีมได้งัยละ
>>>>>>>>>>>>>>Tidakkah ini Darulharbi.?.?<<<<<

ออฟไลน์ salsabeela

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 402
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ถ้าอัลลอฮฺนั่งอยู่บนบัลลังก์แล้ว ก่อนที่จะมีบัลลังล่ะ.??
ในเมื่อบัลลังก์นั้นเป็นญาดีด และอัลลอฮฺนั้นกอดีม
>>>>>>>>>>>>>>Tidakkah ini Darulharbi.?.?<<<<<

 

GoogleTagged