ท่านศาสนฑูตมูฮำหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า : “ห่วงโซ่แห่งอิสลามจะถูกปลดออก ทีละอัน ทีละอัน และเมื่อใดก็ตามที่ห่วงหนึ่งถูกปลดออกไป ประชาชาติก็จะยึดตามอันที่เหลืออยู่ และห่วงแรกที่จะถูกปลดออกก็คือ ชะรีอะห์ และห่วงสุดท้ายก็คือ การละหมาด” (มุสนัด อัล-อิหม่ามอะหมัด)
ในวันที่ 3 มีนาคม ปี 1924 (พ.ศ.2467) สายเชือกอันมั่นคงแห่งการปกครองของอิส ลาม (แห่งอาณาจักรออตโตมัน/อุซมานียะห์) ได้ถูกล้มเลิกโดย มุสตอฟา กาม้าล อะตาเติร์ก (ผู้ละทิ้งหลักการแห่งศาสนา) โดยมีอังกฤษเป็นผู้ช่วยหลักในการล้มเลิกระบบการเมืองการปกครองแบบอิสลาม
นับ เป็นความวิบัติยิ่งกว่าหายนะใดๆทั้งสิ้น เมื่อแสงสว่างแห่งอิสลามถูกทำให้มอดดับ และถูกเนรเทศอย่างไม่ใยดีออกไปจากชีวิตของเรา ประชาชาติอิสลามถูกทิ้งให้ต้องเผชิญกับการโจมตีของกุฟฟารโดยปราศจากเครื่อง มือป้องกันใดๆ วันที่อุมมะห์อิสลามสูญเสียเกราะโล่ที่คอยป้องกันด้านหลัง ในการรักษาและเผยแพร่ศาสนาของอัลลอฮ ซุบฮานะฮุวะตะอาลา วัน ที่อำนาจการปกครองถูกนำมาวางลงบนมือสกปรกของมนุษย์ วันที่โลกทั้งโลกเปลี่ยนเข้าสู่โลกแห่งกาเฟรอันมืดมิด เข้าสู่โลกที่กฎหมายนั้นถูกตราขึ้นโดยมนุษย์ (ที่รู้จักกันในนามของ ประชาธิปไตย) ได้ถูกนำมาครอบงำและบังคับใช้ประชาชน เพียงข้ามคืนหลังการประกาศล้มเลิกระบบคิลาฟะฮฺ ประเทศตุรกี ก็ได้ถูกประทับตรา “SECULARISED” (ลัทธิ แยกศาสนาออกจากรัฐ หรือโลกนิยม) ลงบนหน้าประเทศ พลิกจากรัฐหน้ามือที่อิสลามคือวิถีชีวิตเป็นรัฐหลังมือที่สถาบัน ศาสนาถูกควบคุมอย่างเข้มงวด มหาวิทยาลัยอิสลามถูกยุบกลายเป็นเพียงสาขาเล็กๆ ปฏิทินสุรยคติถูกประกาศใช้ให้เป็นปฏิทินทางการแต่เพียงอย่างเดียว สัมปทานผูกขาดและแอลกอฮอล์เริ่มต้นขึ้น เอกสารทางศาสนาถูกห้ามเผยแพร่ในที่สาธารณะ ภาษา อาหรับถูกแทนที่ด้วยละติน ห้ามมีการคุตบะห์หรือบรรยายศาสนาในที่ สาธารณะ แม้กระทั่งการอะซานก็ถูกห้ามปฏิบัติ
มิใช่เพียงแค่ความล่มสลายและการจากไปเท่านั้น ที่อาณาจักออตโตมันได้ทิ้งเอาไว้ให้ แต่ยังมีบทเรียนอีกมากมายที่เราจะต้องศึกษา มูลเหตุแห่งการล่มสลาย ความอ่อนแอภายใน(จากทั้งประชาชน และตัวผู้นำเอง) การพยายามทำตามหลักการตะวันตก (Westernisation) และการผูกมิตรกับชาวคัมภีร์ วิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ และมูลเหตุอีกหลากหลาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เกิดจากการละทิ้งหลักการของอัลลอฮฺตะอาลาทั้งสิ้น แน่นอนอยู่แล้วว่า เมื่อเราพยายามที่จะสร้างความพอใจให้แก่บุคคล อื่นนอกจากอัลลลอฮตะอาลา ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นอื่นใด นอกจากความเสียหาย
ท่านรอซูล (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า : “การ ปกครองแบบนบีจะเกิดขึ้นแก่พวกท่านนานตราบเท่าที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.)จะทรงประสงค์ จากนั้นพระองค์ก็จะทรงนำกลับไป, จากนั้นจะเป็นการปกครองแห่งการคิลาฟะห์ผู้ทรงธรรม ที่จะปกครองตามแบบอย่างของท่านศาสนทูต ซึ่งจะยาวนานตราบเท่าที่พระองค์ทรงประสงค์ จากนั้นพระองค์ก็จะทรงนำกลับไป, จากนั้นจะเป็นวาระการปกครองของราชวงศ์ (Hereditary power) ซึ่งจะยาวนานตราบเท่าที่พระองค์ทรงประสงค์ จากนั้นพระองค์ก็จะทรงนำกลับไป, จากนั้นจะเป็นวาระการปกครองแบบเผด็จการทรราช ซึ่งจะยาวนานตราบเท่าที่พระองค์ทรงประสงค์ จากนั้นพระองค์ก็จะทรงนำกลับไป, จากนั้นจะเป็นการปกครองแบบคิลาฟะห์ ตามอย่างท่านศาสนทูต, จากนั้นท่านรอซูลจึงนิ่งเงียบ” (รายงานโดย อิหม่ามอะหมัด, อัลบัซซาร และอัตต๊อบรอนี)
วันนี้ ภาระกิจในการทำงานเพื่อสถาปนาระบบคิลาฟะฮและการบังคับใช้กฏหมายชะรีอะห์ถือ เป็นสิ่งจำ เป็นเหนือมุสลิม ถือเป็นฟัรดูสำคัญ เป็นคำสั่งซึ่งต้องใช้ความพยายามและความเสียสละอย่างสูงที่สุด หากเราละเลยคำเรียกร้องนี้ก็เท่ากับว่าเรานั้นตอบรับคำเชิญชวนสู่ความกริ้ว โกรธของอัลลอฮ (ซุบฮานะฮุวะตะอาลา) ท่านนบีมูฮำ หมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) และเหล่าซอฮาบะฮฺ (รอฏิยัลลอฮุอันฮุม) ที่เราละเลยเกียรติยศอันยิ่งใหญ่เมื่อครั้งสถาปนารัฐอิสลามแห่งแรก อัลมะดีนะห์ อัลมุเนาวเราะห์ วันนี้ เราถือเป็นตัวแทนสำคัญในการเดินตามรอบเท้า เฉกเช่นที่เหล่าบรรดาคนรุ่นก่อนได้เพียรพยายามสถาปนาขึ้น
อิสลามไม่ได้เป็นแค่วิถีชีวิต แต่อิสลามยังเป็นกฎหมาย เป็นระบอบการปกครองแห่งมนุษยชาติ ที่ถูกกำหนดและประทานลงมาโดยพระผู้สร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน เพื่อที่เราทั้งหลายนั้นจะได้รักษาและดำเนินตาม
แต่การสถาปนาระบบคิลาฟะห์จะเกิดผลมิได้หากเรายังไม่ได้สถาปนามัน ขึ้นในหัวใจของอุมมะห์ ประชาชาติที่จะเป็นรากฐานสำคัญของระบอบการปกครอง (เรามี ตัวอย่างให้เห็นถึงชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ในสงครามบะดัร และการพิชิตของซอลาฮุดดีน อัลอัยยูบี ล้วนเป็นตัวอย่างให้เห็นถึงคุณภาพของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา) จำนวน วัยรุ่นมุสลิมเตร็ดเตร่ตามท้องถนนมีมากกว่าจำนวนมุสลิมที่เรียนรู้ศาสนา อัตรามุสลิมมะห์ที่ทำแท้งมากกว่าอัตราการของมุสลิมะห์ที่ท่องจำอัลกุรอ่าน หรือการที่มัสยิดถูกปล่อยให้ที่ว่างร้าง อิหม่ามมีหน้าที่แค่นำละหมาดญะนาซะห์ เป็นตัวอย่างให้เห็นได้ดีถึงความอ่อนแอและอ่อนด้อยของประชาชน สภาพของประชาชาติที่เปรียบเสมือนฟองน้ำในทะเล เสมือนว่าเรามีทหารในกองทัพมากกว่า 1,600 ล้านคน แต่เป็น 1,600คนล้านที่ 99% กำลังจะตาย
วันนี้ เราไม่จำเป็นจะต้องปฏิรูปอิสลาม เพราะศาสนาของอัลลอฮฺนั้นสมบูรณ์แล้ว ที่จำเป็นต้องปฏิรูปคือ ตัวเรา ครอบครัว และสังคมต่างหาก ไม่ มีความกพร่องใดเกิดกับอะฮฺลุซซุนนะห์ วัลญะมาอะห์ แต่เป็นความบกพร่องของตัวเราเอง ดัง นั้น จงยึดมั่นในอัลกุรอ่านและซุนนะห์ ติดอาวุธให้กับสังคมมุสลิมเพื่อต่อสู้ในสมรภูมิแห่งความโง่เขลา และเป็นหลักยึดท่ามกลางกระแสแห่งความเลวร้าย จงศึกษาหลักชะรีอะห์อย่างถ่องแท้ แสวงหาความเข้าใจในอะกีดะห์และเตาฮีดให้ลึกซึ้ง จงมุ่งมั่นสู่การปฏิรูปตนเอง ครอบครัวและนำสู่สังคม จงแสวงหาและสร้างญะมาอะห์ และจงจริงจัง ระบบอิสลามจะเป็นจริงขึ้นมาได้ก็ด้วยการที่ผู้แบกภารกิจของระบบอิสลาม เป็นกลุ่มชนที่มีศรัทธาในอิสลามอย่างสมบูรณ์