بِسْمِ اللهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيْم
اَلْحَمْدُ للهِ رَبِّ الْعَالَمِيْنَ وَ الصَّلاَةُ وَالسَّلاَمُ عَلىَ سَيِّدِنَا مُحَمَّدٍ وَعَليَ آلِهِ وَصَحْبِهِ أَجْمَعِيْنَ ،،، وَبعْدُ ؛
คำว่า กอฎออฺของอัลเลาะฮ์ (اَلْقَضَاءُ) คือ การรู้ของพระองค์ที่มีมาแต่เดิมเกี่ยวกับทุกๆ สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ส่วน ก่อดัรของอัลเลาะฮ์ (اَلْقَدْرُ) คือ การให้ดำเนินไปหรือการทำให้บังเกิดขึ้นซึ่งสรรพสิ่งต่างๆ โดยสอดคล้องกับการรู้ของพระองค์ที่มีมาตั้งแต่เดิม ดังนั้น การที่อัลเลาะฮ์ทรงรู้เหตุการณ์ต่างๆ ของจักรวาลก่อนที่มันจะเกิดขึ้นนั้น เรียกว่า กอฎออฺ และเมื่อเหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้น ตรงตามการรอบรู้ของอัลเลาะฮ์ตั้งแต่เดิมนั้น เรียกว่า กอดัร(ดู มุฮัมมัด สะอีด ระมะดอน อัลบูฏีย์, อัลอินซาน มุค็อยยัร อัม มุซัยยัร (ดิมัชก์: ดารุลฟิกร์, ฮ.ศ. 1429), หน้า 37.)
การก่อฎออฺหรือการรอบรู้ของพระองค์มาตั้งแต่เดิมนั้น ทำหน้าที่โดยแบ่งประเภทได้ดังนี้
• อัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงรู้ว่า ต่อไปพระองค์จะบันดาลสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเลือกเฟ้นของมนุษย์ คือ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ การเจริญเติบโตของต้นไม้ และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแก่มนุษย์แบบเลือกเฟ้นไม่ได้ เช่น การเกิด การตาย ความแก่ชรา การนอนหลับ การตื่น เป็นต้น
• อัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงรู้ว่า ต่อไปพระองค์จะสร้างให้เกิดขึ้นมาตามความปรารถนาและการเลือกเฟ้นที่มนุษย์ต้องการจะกระทำ เช่น ภารกิจหรือการประกอบธุรกิจต่างๆ ที่มนุษย์ชอบและเลือกเฟ้นที่จะกระทำ ดังนั้นบทบาทของมนุษย์ก็คือการมุ่งเจตนาและตัดสินใจกระทำตามที่เขาได้เลือกเฟ้น ส่วนบทบาทของอัลเลาะฮ์ตะอาลาก็คือสร้างหรือบันดาลให้บังเกิดขึ้นมาซึ่งสิ่งที่มนุษย์ได้เลือกเฟ้นและตัดสินใจกระทำ
หากมีบางคนกล่าวว่า “เมื่ออัลเลาะฮ์ทรงรู้มาตั้งแต่เดิมแล้วว่า ฉันจะทำการฝ่าฝืนพระองค์...แน่นอนว่าพระองค์ได้ทรงบังคับให้ฉันกระทำการฝ่าฝืน...!!” แต่ความจริงแล้วมิใช่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากเขาไม่เข้าใจว่า ซีฟัตอัลอิลมุ (صِفَةُ الْعِلْمِ) “คุณลักษณะทรงรู้” ของอัลเลาะฮ์นั้น เป็นคุณลักษณะที่มีหน้าที่เปิดให้แจ้งประจักษ์ถึงสิ่งที่ถูกรู้ได้ มิใช่เป็นคุณลักษณะที่มีหน้าที่ทำให้บังเกิดผลขึ้นมา หมายถึงคุณลักษณะการรู้ของพระองค์ก็เสมือนกับแสงไฟส่องหน้ารถที่ทำให้ท่านเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้าและส่องให้เห็นเส้นทางตามหน้าที่ของมัน โดยไม่สามารถทำให้บังเกิดผลสิ่งใดขึ้นมาเลย นอกจากว่าพระองค์จะอิรอดะฮ์(เจตนา)และกุดเราะฮ์(ความสามารถ)ในการบันดาลสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เกิดขึ้นหรือบันดาลให้สิ่งนั้นดับสูญ
ถ้าหากท่านมีบุตรอยู่คนหนึ่งซึ่งกำลังเรียนระดับมัธยม ท่านพยายามกำชับและส่งเสริมให้เขาตั้งใจเรียน อย่าเกียจคร้าน เมื่อเขาทำการสอบ ปรากฏว่าเขาไม่ประสบความสำเร็จ แล้วท่านก็กล่าวแก่เขาว่า พ่อรู้แล้วว่าลูกจะสอบไม่ผ่าน (เพราะเกียจคร้าน) ดังนั้นจะอนุญาตให้บุตรพูดกับพ่อตามที่พ่อได้รู้มาแล้วได้หรือไม่ว่า “เพราะเหตุที่พ่อรู้มาแล้วนั่นแหละ ทำให้ฉันสอบตก?!”
ดังนั้นการที่พ่อรู้ว่าบุตรมีความเหมาะสมที่จะได้รับความสำเร็จ ก็มิใช่เป็นสาเหตุให้บุตรมีความสำเร็จ และการที่พ่อรู้ว่าบุตรน่าจะไม่มีความสำเร็จ ก็มิใช่เป็นสาเหตุให้บุตรสอบตกเช่นเดียวกัน แต่การสอบผ่านหรือสอบตกนั้น อยู่ที่บุตรจะให้ทุ่มเทและให้ความสนใจกับการเล่าเรียนมากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง
เช่นเดียวกับสภาวะของบ่าวที่มีต่ออัลเลาะฮ์ตะอา ซึ่งพระองค์ได้ให้เขามีสติปัญญาและมีความคิดในการเลือกเฟ้นตัดสินใจได้ ดังนั้นมิใช่การรู้ของพระองค์ที่ว่าเขาดำรงมั่นอยู่บนแนวทางที่ถูกต้อง จะเป็นสาเหตุให้เขาได้รับความสำเร็จ และมิใช่การรู้ของพระองค์ที่ว่าเขาไม่ได้ดำรงมั่นอยู่บนแนวทางที่ถูกต้อง จะเป็นสาเหตุให้เขาเป็นผู้ล้มเหลว แต่สาเหตุทั้งหมดนั้น อยู่ในสิ่งที่บ่าวได้เลือกเฟ้นให้แก่ตัวเขาเอง แล้วเขาก็ทุ่มเทกระทำตามแนวทางที่เขาได้เลือก
ส่วนประโยคคำพูดที่ว่า “และสิ่งที่ดีงามนั้นมาจากพระเจ้าและสิ่งที่ไม่ดีนั้นมาจากฮาวานัฟซูของข้าพเจ้าเอง” คืออย่างนี้น่ะครับ ตามหลักอะกีดะฮ์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์นั้น การกระทำอันใดที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีล้วนแต่เป็นการสร้างหรือบันดาลขึ้นมาโดยอัลเลาะฮ์ตะอาลาทั้งสิ้น แต่เจตนาหรือความตั้งใจที่เราจะกระทำนั้นพระองค์ทรงเปิดโอกาสให้เพื่อทรงทดสอบ เช่น เรากำลังพูดปราศัย เรามีเจตนาหรือมีความตั้งใจที่จะพูดสิ่งใดออกไป ส่วนการที่ลิ้นเรากระดิกและพูดเปล่งเสียงออกไปให้คนอื่นได้ยินนั้นอัลเลาะฮ์ทรงบันดาลให้เกิดขึ้น และในทำนองเดียวกัน เราตั้งใจหรือมีเจตนาที่พูดไม่ดี ส่วนอัลเลาะฮ์เป็นผู้บันดาลให้ลิ้นเรากระดิกและพูดเปล่งเสียงออกมา
เมื่อพูดปราศัยจบ ก็จะพูดลงท้ายว่า “สิ่งที่ดีงามนั้นมาจากพระเจ้าและสิ่งที่ไม่ดีนั้นมาจากฮาวานัฟซูของข้าพเจ้าเอง” นั้น จึงเป็นการพูดในเชิงมารยาท สิ่งที่ดีเราก็จะพูดพาดพิงไปยังอัลเลาะฮ์ ส่วนสิ่งที่ไม่ดีก็พาดพิงมายังตัวของเราเพื่อเป็นมารยาทเท่านั้นเอง
อัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงตรัส เล่าคำพูดของนบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสลาม ในอัลกุรอานความว่า
الَّذِي خَلَقَنِي فَهُوَ يَهْدِينِ وَالَّذِي هُوَ يُطْعِمُنِي وَيَسْقِينِ وَإِذَا مَرِضْتُ فَهُوَ يَشْفِينِ
“พระองค์ทรงสร้างฉัน แล้วพระองค์ทรงชี้แนะทางแก่ฉัน และพระองค์ทรงประทานอาหารให้ฉันและทรงให้น้ำดื่มแก่ฉัน และเมื่อฉันป่วย ดั้งนั้นพระองค์ทรงให้ฉันหายป่วย” [อัชชุอะรออฺ: 78-80]
ท่านอิมามอัลกุรฏุบีย์อธิบายว่า
قَالَ : مَرِضْتُ رِعَايَةً لِلأَدَبِ وَإِلاَّ فَالْمَرَضُ وَالشِّفَاءُ مِنَ اللهِ عَزَّ وَجَلَّ جَمِيْعاً . وَنَظِيْرُهُ قَوْلُ فَتَى مُوْسَى : وَمَآ أَنْسَانِيهُ إِلاَّ الشَّيْطَانُ
“นบีอิบรอฮีมกล่าวว่า “ฉันป่วย” [อัชชุอะรออฺ: 80]เพื่อรักษามารยาทต่ออัลเลาะฮ์ เพราะความเจ็บป่วยและการหายป่วยนั้นมาจากอัลเลาะฮ์ตะอาลาทั้งสิ้น และเช่นเดียวกับคำพูดของนบีอิบรอฮีม คือคำพูดของหนุ่มผู้รับใช้นบีมูซาที่ว่า “และไม่ทำให้ฉันลืมกล่าวถึงมันนอกจากชัยฏอน” [อัลกะฮ์ฟิ: 63]” (อัลกุรฏุบีย์, หนังสืออัลญาเมี๊ยะอฺ ลิอะห์กามิลกุรอาน, เล่ม 7 หน้า 110.)
ดังนั้นผู้ที่ทำให้จำและทำให้ลืมคืออัลเลาะฮ์ตะอาลา คำว่าสิ่งดีหรือไม่ดีนั้นอัลเลาะฮ์ทรงสร้างมันขึ้นมา แต่เราเป็นบ่าวผู้ต่ำต้อย ก็ต้องมีมารยาทต่อพระองค์ เราไม่สมควรที่จะพูดออกมาว่าความไม่ดีที่เกิดขึ้นเพราะอัลเลาะฮ์ทรงบันดาล เช่น พูดว่าพระองค์ทรงสร้างสุนัข สุกร และสิ่งปฏิกูลทั้งหลาย เพราะเรื่องแบบนี้ศาสนาให้เราเชื่อ(อีหม่าน)ไม่ใช่ให้เรามาพูดเพื่อรักษามารยาทต่อพระองค์นั่นเอง
وَاللهُ سُبْحَانَهُ وَتَعَاليَ أعْلىَ وَأَعْلَمُ