ผู้เขียน หัวข้อ: นำเสนอประวัติจุดกำเนิดวะฮาบีย์ที่เป็นธรรม  (อ่าน 18584 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
เนื้อหาของศิฟัต ๒๐ ก็เอามาจากอัลกุรฺอานและอัสสุนะฮ์อยู่แล้วครับ มันเป็นคำสรุปอกีดะฮ์สั้นๆ จากทั้งสองแหล่งดังกล่าว ซึ่งก็จะมีอุละมาอ์ผู้เชียวชาญ เอามาอธิบายกันอีกที พร้อมทั้งอ้างอิงหลักฐานไปยังกิตาบุลลอฮฺและอัสสุนนะฮ์ด้วย ผมเรียนศิฟัต ๒๐ มาตั้งแต่เด็ก ยังไม่เคยได้ยินโต๊ะครูท่านไหนกล่าวว่า เราต้องเชื่อว่าอัลลอฮฺมีแค่ ๒๐ ศิฟัตนะ มากกว่านี้ไม่ได้ ไม่เคยได้ยินครับ แต่ที่ได้ยิน มีแต่จะบอกว่า ศิฟัตอัลลอฮฺนั้นมีมากมาย นับไม่ถ้วน แต่ศิฟัตหลักๆ ที่อุละมาอ์ค้นคว้า วิคราะห์จากอัลกุรฺอานและอัสสุนนะฮ์นั้น ส่วนใหญ่จะลงมติว่า มี ๒๐ ศิฟัต แต่บางท่านก็ว่ามีแค่ ๑๓ หรือบางท่านก็มีแค่ ๗ ศิฟัต หรือบางท่านก็ว่ามีแค่ ๒ ศิฟัต แต่ทั้งหมดนั้น เป็นแต่เพียงการวินิจฉัยเท่านั้น แต่เนื้อหาและหลักยึดมั่นเหมือนกัน แต่ทุกคนต่างก็อ้างมาจากอัลกุรฺอานและอัสสุนนะฮ์กันทั้งนั้นครับ - วัลลอฮุอะอ์ลัม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
ส่วนในเรื่องว่า แบบไหนจะครอบคลุมเนื้อหาที่ถูกกล่าวในอัลกุรฺอานและอัสสุนนะฮ์มากกว่านั้น นั่นก็ขึ้นอยู่กับความลึกซึ้งของอุละมาอ์ที่ทำการสรุปนั้นอีกทีแล้วละครับ ผมเชื่อว่าไม่มีมนุษย์คนไหนจะมีความสมบูรณ์แบบไปทุกอย่างได้เท่ากับนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม หรอกครับ - วัลลอฮุอะอ์ลัม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ hiddenmin

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2453
  • เพศ: ชาย
  • 404 not found
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
    • Ikhlas Studio

รู้สึกแปลกใจ ที่บอกเหมือนกับว่าซิฟัต 20 นั้นไม่ได้มาจากอัลกุรอาน

บอกยังกะเรานั่งนึกเขียนขึ้นมาเอง

ออฟไลน์ บาชีร

  • ปีสามสักที
  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2164
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +59
    • ดูรายละเอียด
:salam:

       มันเป็นแปลภาษาของแต่ละคน คำว่าประทับ สถิต บนบันลัง ถ้าเป็นภาษาชาวบ้านก็คือนังอยู่บนเก้าอี้ ผมคิดว่าผู้ที่แปลความหมายนี้พยายามที่จะให้เหมาะสม
กับพระองค์มากที่สุด ถ้าหากมีในภาษาไทยที่เหมาะสมกว่านี้ผมคิดว่าพวกเขาคงจะเอาคำนั้นมาใช้ที่สามารถจะสื่อให้ผู้คนรู้ความหมายอันนี้
 :salam:
สงสาร
นักเรียนปีสาม กฎหมายอิสลาม อัซฮัร ไคโร

ออฟไลน์ sunny

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 59
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ผู้รู้ในเวปช่วยตอบเค้าไปทีสิครับว่า เมื่อก่อนนักปรัชญาโจมตี อิสลามยังไง อิสลามใช้อะไรปกป้อง
นัก ปรัชญาใช้ตรรกโจมตี แล้วอุลามะฮ์ สมัยก่อนใช้อะไร ตอบโต้ถ้าไม่ใช่ตรรกที่ตั้งอยู่บนกุรอ่านและซุนนะฮ์
นั่น คือ ซีฟัต 20  แล้วถ้าคุณใช้กุรอ่านอย่างเดียวอยากถามว่านักปรัชยาสมัยนั้นเชื่อในกุรอ่านมั้ย ?
การจะตอบโต้เค้าต้องเอาส่ิงที่ทุกฝ่ายยอมรับ....แล้วคุญจะเอาอะไรไปตอบเค้า.....
ส่วนประเด็นว่ามำไมต้อง 20  นั่นคือ ประเด็นที่ เป็นปัญหาโดนโจมตีมานานแล้ว
อุลามะฮ์วางแนวทางไว้ป้องกันเฉพาะประเด็นที่เป็นปัญหา
ท่านไม่ร้หรือว่าการตีความของบรรดาอุลามะฮ์ทำไปเพื่ออะไร......
และฝ่ายที่ไม่มีการตีความทำไปเพื่ออะไร.....
ลองพิจารณาคำถามเหล่านี้ท่านจะได้คำตอบ
อูลามะฮ์สมัยก่อนไม่ขัดแย้งกันในเรื่องนี้เพราะต่างฝ่ายต่างรู้จุดยืน
ของแต่ละฝ่าย ต่างทำไปเพื่อประโยชน์ของมุสลิม
ไม่ใช่มองแคบๆ  no:

ออฟไลน์ Rachyds

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 100
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • http://rachyds.siamvip.com
 :salam:

วูยุด  013:002,020:005,057:001,057:004,002:186,050:016,006:103,007:143,067:014,050:032,050:033

วาฮดานิยะ  112:001,112:004,016:051,016:052,023:091,021:021,021:022,021:024,021:025

เอาวาลูวัลอาคิรุ  057:003,055:026,055:027,028:088

คุดรอต  054:049,054:050,036:083,050:038,025:021,025:002,054:049,022:005,002:006,024:045,035:044,035:045,002:255

อิรอดะฮ  028:068,002:034,003:026,003:027,042:049,002:117,003:047,036:082,040:068

   คนที่ปฏิเสธหรือไม่ยอมรับซีฟัต 20 ก็อาจกล่าวได้ว่าไม่ยอมรับในอัลกุรอาน เพราะหลักฐานต่างๆเหล่านี้ล้วนมาจากอัลกุรอานทั้งสิ้น


อิลมู  010:061,031:027

กาลัม  004:164,007:143,042:051

ซามาวัลบาซอร  042:011,020:046,058:001,041:036,042:027,002:061,006:103

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
ผมได้ยินอยู่บ่อยครั้งที่ผู้รู้บางท่านที่ไม่เห็นด้วยกับศิฟัต ๒๐ มักจะกล่าวว่า สมัยก่อนอุละมาอ์ใช้ตรรกวิทยาในการตอบโต้พวกนักปรัชญาและพวกที่ชอบใช้สติปัญญาซึ่งแพร่ระบาดในสมัยนั้น แต่ปัจจุบัน พวกนักปรัชญาหมดไปแล้ว ไม่มีแล้ว ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นอีกต่อที่จะต้องใช้สติปัญญาในการปกป้องอกีดะฮ์ เพราะมันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า อิสลามไม่ได้ต้องการมันเลย

          หลังจากที่ฟังผู้รู้ท่านนี้พูด ผมก็ลองเอามาวิเคราะห์ดูว่าจริงอย่างที่ท่านกล่าวไหม และแล้ว ผมก็ลงความเห็นเป็นการส่วนตัวว่า สิ่งที่ผู้รู้ท่านพูดนั้น เป็นการพูดแบบเหมือนเอาผ้าปิดตาและเอาบีปมาคลุมหัวอีกที แล้วก็ชี้นู้นว่านี่ว่าเป็นนั่นนี่ต่างๆ นานา ผิดบ้างถูกบ้าง พูดง่ายๆ คือ พูดโดยที่ไม่มองความเป็นจริง พูดในลักษณะที่สังเกตเห็นชัดเจนว่า ตักลีดคำพูดของผู้รู้ท่านอื่นมาอีกที

           หากเราวิเคราะห์กันจริงๆ แล้วนั้น เริ่มแรกของสรรพวิชาทางโลกนั้นล้วนแยกออกมาจากวิชาปรัชญาทั้งนั้น หนึ่งในนั้นก็คือวิชาวิทยาศาสตร์ที่ได้แยกเอกเทศออกมา เพราะมันสามารถหาคำตอบที่ตายตัวแก่คำถามต่างๆ ได้ ซึ่งวิชาไหนที่ยังหาคำตอบไม่ได้ หรือมีคำตอบที่มีความเป็นไปได้ทุกทางนั้น ก็ถือว่ายังคงอยู่ในกรอบของปรัชญา อย่างไรก็ตาม แม้ในอดีต บรรพบุรุษของเราได้ประสบกับปัญหาแนวคิดของพวกนักปรัชญาที่มักจะสาดคำถามเชิงตรรกะมาอยู่ตลอดเวลา ในปัจจุบัน ใช่ว่าคำถามเหล่านี้จะหมดไป หากแต่มีมากขึ้นด้วยซ้ำ แถมยังซับซ้อนและหาคำถามยากเสียด้วยซ้ำ และคำถามเหล่านั้น ก็ยังคงมีกลิ่นอายของหลักตรรกะอย่างเข้มข้นอยู่ ฉะนั้น คำพูดที่ว่า ปัจจุบันการใช้สติปัญญาเพื่อปกป้องหลักอกีดะฮ์อิสลามียะฮ์นั้น ถือว่าฟังไม่ขึ้น เราใช้สติปัญญาเป็นแต่เพียงตัวช่วยเท่านั้น แต่ไม่ใช่ตัวหลักในการป้องกัน เพราะถึงอย่างไร หากอัลลอฮฺไม่ชี้นำทางแก่บุคคลใด เขาก็ย่อมไม่ได้รับการชี้นำ - วัลอิยาฑุบิลลาฮฺ - วัลลอฮุอะอ์ลัม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
ผมได้ยินอยู่บ่อยครั้งที่ผู้รู้บางท่านที่ไม่เห็นด้วยกับศิฟัต ๒๐ มักจะกล่าวว่า สมัยก่อนอุละมาอ์ใช้ตรรกวิทยาในการตอบโต้พวกนักปรัชญาและพวกที่ชอบใช้สติปัญญาซึ่งแพร่ระบาดในสมัยนั้น แต่ปัจจุบัน พวกนักปรัชญาหมดไปแล้ว ไม่มีแล้ว ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นอีกต่อที่จะต้องใช้สติปัญญาในการปกป้องอกีดะฮ์ เพราะมันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า อิสลามไม่ได้ต้องการมันเลย

วะฮาบีย์เพียงแต่ว่า  อิสลามของพวกเขาต้องมีวิถีหรือหลักการเหมือนกับพวกเขาเท่านั้น  ทั้งที่ความจริงแล้ว  กว่าอิสลามจะมาถึงพวกเรา  บรรดปราชญ์ทั้งหลายต้องต่อสู้พวกนอกศาสนากันพอสมควร  ในประวัติศาสตร์  เมื่ออิสลามได้แผ่ขยายยังดินแดนต่างๆ ที่มีอารยธรรมมากมาย  เช่น  เปอร์เซีย  ชาม(คือ ซีเรีย อีรัก  ปาเลสไตน์  เลบานอน เป็นต้น)  และอียิปต์  ดังนั้นพวกเปอร์เซียต่างนับถือศาสนา มานาวี   พวกเชื่อว่าโลกเกิดขึ้นจากความมือและแสงสว่าง  ดังนั้นพระเจ้าก็มาจากภาคของแสงสว่าง  เป็นต้น   ส่วนพวกยะฮูดีและคริสต์มีอิทธิพลแถบชามและอียิปต์(ซึ่งอยู่ในการปกครองของพวกคริสต์บัยเซนไตในขณะนั้น) เมื่อพวกเขารู้ตัวว่าพ่ายแพ้ไม่สามารถต่อต้านกองทัพของมุสลิมีนได้  พวกเขาจึงโจมในการด้าอารยธรรมและหลักอะกีดะฮ์ของอิสลาม  เพื่อให้มุสลิมมีความอ่อนแอในแง่ของจิตวิญญาณของอิสลามและทำให้มีความแตกแยกกัน  ดังนั้นพวกคริสต์จึงเคลื่อนไหวด้วยการใช้ปรัชญาตรรกและเหตุผลในการโต้เถียงกับมุสลิมีนในเรื่องของอัลเลาะฮ์และซีฟาตของพระองค์  เมื่อปราชญ์มุสลิมีนเล็งเห็นว่ากำลังเผชิญต่อการจู่โจมทางอารยธรรมและหลักความเชื่อด้วยการใช้ปรัชญาและสติปัญญามาหักล้างของพวกคริสต์เหล่านั้น  และการยกอัลกุรอานและยกฮะดีษแบบเพียวๆ มาหักล้างโต้ตอบ  พวกยิวและคริสต์ก็ไม่ยอมรับฟังเป็นพื้นฐานเดิมอยู่แล้ว  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยอะมะวีย์  ที่มีนักปราชญ์คริสต์นาม อัลอัสก็อฟ ยูฮันนา  ได้ทำการเรียบเรียงตำราเพื่อโจมตีอิสลามด้วยวิธีการ ถาม-ตอบ เชิงตรรกและเหตุผล    ปราชญ์มุสลิมีนที่มีความฉลาดปราดเปรื่อง จึงต้องมีความจำเป็นในการศึกษาปราชญ์และตรรกเพื่อทำการโต้ตอบพวกยิวและคริสต์  อิลมุลกะลามของอิสลามจึงเกิดขึ้นเพื่อทำการต่อสู้และยับยั้งปรัชญาและตรรกของพวกเขาคริสต์ดังกล่าว  (ทบทวนรายละเอียดจากหนังสือ ตารีก ฟิกริล ฟัลซะฟีย์ อัลอิสลามีย์  หน้า 138-139 ของท่าน มุฮัมมัด อะลี อบู ร็อยยาน)

ครั้งหนึ่งในสมัยของอับบาซีย์  กษัตริย์แห่งเมืองซินด์(อินเดีย)ได้ส่งทูตคนหนึ่งจากพวกซัมนีย์(พวกพุทธ) ยังค่อลีฟะฮ์ฮารูณ อัรร่อชีด  ซึ่งในสารระบุเนื้อหาความว่า  "ท่าน(คือฮารูณ อัรร่อชีด) เป็นหัวหน้าของชนกลุ่มหนึ่งที่มีใจไม่เป็นธรรม  ดังนั้นหากท่านมีความมั่นใจในศาสนาของท่านจริง  ก็จงส่งบุคคลหนึ่งมายังฉันเพื่อทำการถกเสวนากัน  หากสัจธรรมอยู่พร้อมกับท่าน  ฉันก็จะตามท่าน  แต่หากสัจธรรมอยู่พร้อมกับฉัน  ท่านก็ต้องตามฉัน"  ดังนั้นท่านฮารูณอัรร่อชีด  ได้ส่งนักฮะดีษท่านหนึ่งไป  เมื่อเขาไปถึงอินเดีย(แค้วนซินด์)  กษัตริย์แห่งซินด์จึงต้อนรับและให้เกียรติ  หลังจากนั้นกษัตริย์จึงเชิญปราชญ์ซัมนีย์มาถกเสวนากับนักฮะดีษผู้นั้น  ปราชญ์ซัมนีย์ถามนักฮะดีษท่านนั้นว่า  "ท่านจงบอกฉันเถิด  เกี่ยวกับพระเจ้าของท่านว่า  มีความสามารถที่จะสร้างพระเจ้าอีกองค์ที่เหมือนกับพระองค์ใหม?"  นักฮะดีษจึงตอบว่า  "นี้เป็นเรื่องของอิลมุลกะลาม  ซึ่งเป็นบิดอะฮ์  บรรดาปราชญ์แห่งเราให้การตำหนิ  หลังจากนั้นกษัตริย์ซินด์  จึงส่งนักฮะดีษกลับไปพร้อมกับส่งสารรายงานเรื่องดังกล่าว  ปรากฏว่าท่านฮารูณ อัรร่อชีด  โกรธ  และกล่าวว่า  ศาสนา(อิสลาม)นี้  ไม่มีผู้ใดที่จะปกป้องศาสนานี้แล้วกระนั้นหรือ?  จึงมีชายคนหนึ่งกล่าวว่า  หามิได้  โอ้หัวหน้าแห่งศรัทธาชน  ผู้ที่สามารถปกป้องศาสนา(ด้วยการถกเสวนากับพวกนอกศาสนานั้น)  ถูกท่านห้ามจากการถกเสวนาเชิงวิชาการ  และพวกเขาเหล่านั้นถูกท่านสั่งคุมขังในคุกตาราง  ดังนั้นท่านฮารูณอัรร่อชีดจึงปลดปล่อยพวกเขาออกมาและแผ่กระจายไปสู่หน้าแผ่นเดินเพื่อปกป้องอัลอิสลาม (ดูเพิ่มเติมจากหนังสือ อิลมุลกะลาม หน้า 31 ของท่านอะห์มัด มะห์มูด ซุบห์)  

ดังนั้นหากอะกีดะฮ์ใดไปสอดคล้องหรือคล้ายคลึงกับพวกอะกีดะฮ์บิดอะฮ์หรือพวกยิวและคริสต์  ก็จะรู้สึกทุกข์ร้อนกับวิชาอิลมุลกะลามของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ที่คอยปกป้องศาสนาอิสลามให้บริสุทธิ์อยู่ในทุกยุคสมัย

วัลลอฮุอะลัม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 13, 2010, 03:11 PM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
บางครั้งผมไม่เข้าใจ ว่าทำไมถึงต้องปฏิเสธการใช้สติปัญญาในเรื่องอกีดะฮ์ด้วย มันเหมือนกับเรากำลังจะปฏิเสธคำสั่งของอัลกุรฺอานทั้งอ้อม หรืออาจจะทางตรงด้วยซ้ำ เพราะมีหลายอายะฮ์ด้วยกันที่สั่งให้เราใช้สติปัญญาเพื่อใคร่ครวญถึงการมีอยู่จริงของพระผู้สร้าง แต่ใยต้องมีห้ามในเรื่องนี้ นี่แหละ อกีดะฮ์ของวะฮาบีย์ที่ดูภายนอกสวยหรู แต่แฝงด้วยความขัดแย้งกันเองจนกลับตาลปัตรไปหมด คนที่น่าสงสารที่สุดก็คือ คนเอาวาม หรือชาวบ้านทั่วๆ ไป นี่แหละ วัลอิยาฑุบิลลาฮฺ
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ sunny

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 59
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บอกแล้วไงฟัตวาวะฮาบีน์บางคนมันสับสน
พอถามไปถามมาก็ขัดแย้งกันสับสนไปหมด
 party:

ออฟไลน์ Muftee

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1899
  • เพศ: ชาย
  • ตั้งใจเข้าไว้นะ มุฟตีย์น้อย
  • Respect: +190
    • ดูรายละเอียด

 หลังจากนั้นกษัตริย์ซินด์  จึงส่งนักฮะดีษกลับไปพร้อมกับส่งสารรายงานเรื่องดังกล่าว  ปรากฏว่าท่านฮารูณ อัรร่อชีด  โกรธ  และกล่าวว่า  ศาสนา(อิสลาม)นี้  ไม่มีผู้ใดที่จะปกป้องศาสนานี้แล้วกระนั้นหรือ?  จึงมีชายคนหนึ่งกล่าวว่า  หามิได้  โอ้หัวหน้าแห่งศรัทธาชน  ผู้ที่สามารถปกป้องศาสนา(ด้วยการถกเสวนากับพวกนอกศาสนานั้น)  ถูกท่านห้ามจากการถกเสวนาเชิงวิชาการ  และพวกเขาเหล่านั้นถูกท่านสั่งคุมขังในคุกตาราง  ดังนั้นท่านฮารูณอัรร่อชีดจึงปลดปล่อยพวกเขาออกมาและแผ่กระจายไปสู่หน้าแผ่นเดินเพื่อปกป้องอัลอิสลาม (ดูเพิ่มเติมจากหนังสือ อิลมุลกะลาม หน้า 31 ของท่านอะห์มัด มะห์มูด ซุบห์) 

วัลลอฮุอะลัม


ผมอ่านมาถึงตัวที่ทำสีแดงแล้ว รู้สึกขนลุกเลยครับ.... ดังนั้นท่านฮารูณอัรร่อชีดจึงปลดปล่อยพวกเขาออกมาและแผ่กระจายไปสู่หน้าแผ่นเดินเพื่อปกป้องอัลอิสลาม รู้สึกเห็นภาพเหมือนกับว่า ท่าฮารูน อัร-รอชีด กำลังปล่อยเหล่าบรรดานักรบชั้นยอดและเหล่าบรรดายอดฝีมือต่างๆ ออกมาจากหอนักรบ เพื่อเผชิญหน้ากับพรรคมาร  hehe hehe
// อะฮฺลิสสุนนะฮฺ อัล-อะชาอิเราะฮฺ...สักวันนึง เราต้องเป็นอุละมาอฺที่ยิ่งใหญ่ อินชาอัลลอฮฺ //

ออฟไลน์ al-firdaus~*

  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 5015
  • เพศ: หญิง
  • 可爱
  • Respect: +161
    • ดูรายละเอียด

ผมอ่านมาถึงตัวที่ทำสีแดงแล้ว รู้สึกขนลุกเลยครับ..........
กำลังปล่อยเหล่าบรรดานักรบชั้นยอดและเหล่าบรรดายอดฝีมือต่างๆ ออกมาจากหอนักรบ เพื่อเผชิญหน้ากับพรรคมาร  hehe hehe


เอ่อ...ท่าน Muftee ค๊ะ
ก่อนที่นักรบยอดฝีมือจะเงื้อดาบ มีข่มขวัญพวกพรรคมารมั้ย เช่นว่า 
"ดาบข้าตีด้วยเหล็กเย็นใช้เวลาเจ็ดปี หรือไม่ก็  อาบเลือดมาแล้วกว่าร้อยศพ" อะไรประมาณนี้

(อินจังเรยนะคะ เรื่องยุทธจักรพรรคมาร)

ออฟไลน์ Beechern

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1228
  • เพศ: ชาย
  • What is the Perfect method to save our Akhirah?
  • Respect: +28
    • ดูรายละเอียด
บอกแล้วไงฟัตวาวะฮาบีน์บางคนมันสับสน
พอถามไปถามมาก็ขัดแย้งกันสับสนไปหมด
 party:

ผมไม่ขอแย้งกับผู้รู้
แต่ผมขอบอกว่า ประสบการณ์ผมกับความรู้ความคิดผมทั้งหมดมันประมวลผลออกมาว่า สิ่งที่คุณกล่าวถึงนั้น "เป็นไปได้"

หลักการที่ยึดแต่ "รูปธรรม" โดยมองข้าม "นามธรรม" นั้น สติปัญญาผมบอกว่า "ไม่สมบูรณ์"
(เช่นเดียวกับการยึดแต่เพียงนามธรรม แล้วมองข้ามรูปธรรม ก็ไม่สมบูรณ์เช่นกัน)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 14, 2010, 03:34 PM โดย beechern »
hidayah seeker . . .

ออฟไลน์ nuree

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 100
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
 :salam:
ขอโทษครับที่ทำให้พวกท่านสับสนเพราะมันคนละกระทู้เลยไม่รู้ที่มาที่ไป
     อากีดะห์ของศาสนาอิสลาม นับตั้งแต่ นบีอาดัมมาจนถึ่งท่านศาสนทูต มุฮัมหมัด (ซล)จะเป็นอากีดะห์ที่เหมือนกันและทุกยุคทุกสมัยก็มีผู้เห็นด้วยและผู้ที่ไม่เห็นด้วย และก็มีผู้ที่เบียงแบน
     ผมยังสงสัยเลยว่า ในสมัยของท่านศาสนทูตนั้น พวกเขาตอบคำถามพวกที่เบียงแบนเกียวกับอากีดะห์ว่าอย่างไรและมีหรือไม่ หรือว่าในสมัยนั้นยังไม่มีอิลมูกาลาม พวกเขาได้แต่ตามอย่างเดียว โดยไม่มีความเห็นใดๆ
และทำไม่ท่านศาสนทูตถึ่งไม่ใช้อิลมูกาลาม
 :salam:

ออฟไลน์ As-Zaleek

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 804
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +33
    • ดูรายละเอียด
:salam:
ขอโทษครับที่ทำให้พวกท่านสับสนเพราะมันคนละกระทู้เลยไม่รู้ที่มาที่ไป
     อากีดะห์ของศาสนาอิสลาม นับตั้งแต่ นบีอาดัมมาจนถึ่งท่านศาสนทูต มุฮัมหมัด (ซล)จะเป็นอากีดะห์ที่เหมือนกันและทุกยุคทุกสมัยก็มีผู้เห็นด้วยและผู้ที่ไม่เห็นด้วย และก็มีผู้ที่เบียงแบน
     ผมยังสงสัยเลยว่า ในสมัยของท่านศาสนทูตนั้น พวกเขาตอบคำถามพวกที่เบียงแบนเกียวกับอากีดะห์ว่าอย่างไรและมีหรือไม่ หรือว่าในสมัยนั้นยังไม่มีอิลมูกาลาม พวกเขาได้แต่ตามอย่างเดียว โดยไม่มีความเห็นใดๆ
และทำไม่ท่านศาสนทูตถึ่งไม่ใช้อิลมูกาลาม
 :salam:

แล้วในสมัยนบีอาดัมเนี่ย มีพวกยิว  พวกคริส พวกปรัชญากรีกที่คอยทำลายอะกีดะฮ์อิสลามแล้วหรือยัง?!  สมัยทา่นบี(ซ.ล.)มีวิชามุศต่อละห์ฮะดีษหรือเปล่า?!  มีวิชาอุศูลุลฟิห์เปล่า? มีวิชาอุศูลตัฟซีรไหม?

ดังนั้นคุณ nuree  จึงหลงประเด็นอย่างแรง  ไร้สมองในการรู้จักแยกแยะ วิชากะลามเป็นวิชาที่ปกป้องพวกนอกศาสนามาทำลายอะกีดะฮ์อิสลามที่อยู่ในจิตวิญญาณของมุสลิมทั่วไป  พวกนอกศาสนาจะใช้สติปัญญาที่เบี่ยงเบนในการเผยแพร่ความเชื่อของตน  ดังนั้นปราชญ์แห่งโลกจึงเล็งเห็นว่ามีความจำเป็นในการใช้สติปัญญาในการหักล้างพวกเขา...  

ท่านนบีอิบรอฮีมก็ใช้สติปัญญาในการหักล้างพวกพร้องของตนความว่า  

"ครั้นเมื่อกลางคืนปกคลุมเขา เขาได้เห็นดาวดวงหนึ่ง เขากล่าวว่า นี้คือพระเจ้าของฉัน แต่เมื่อมันลับไป เขาก็กล่าวว่า ฉันไม่ชอบบรรดาสิ่งที่ลับไป  ครั้นเมื่อเขาเห็นดวงจันทร์กำลังขึ้น เขาก็กล่าวว่านี้คือพระเจ้าของฉัน แต่เมื่อมันลับไป เขาก็กล่าวว่า ถ้าพระเจ้าของฉันมิได้ทรงแนะนำฉันแล้ว แน่นอนฉันก็จะกลายเป็นคนหนึ่งในกลุ่มชนที่หลงผิด  ครั้นเมื่อเขาเห็นดวงอาทิตย์กำลังขึ้น เขาก็กล่าวว่า นี้แหละคือพระเจ้าของฉัน นี้แหละใหญ่กว่า แต่เมื่อมันได้ลับไป เขาก็กล่าวว่า โอ้กลุ่มชนของฉัน! แท้จริงฉันขอปลีกตัวออกจากสิ่งที่พวกท่านให้มีภาคีขึ้น (แก่อัลลอฮ์)" อัลอันอาม 76-78

หมายถึงพระเจ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง(เหมือนดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาว)  เพราะทุกสิ่งที่เปลี่ยนเแปลงนั้นเป็นมัคโลคและต้องการผู้ที่ทำให้มันเปลี่ยนแปลง  ดังนั้นอัลลอฮ์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง  เมื่อพระองค์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง  พระองค์ก็ไม่ใช่มัคโลค  เมื่อพระองค์มไ่ม่ใช่มัคโลค  แน่นอนว่าพระองค์คือพระเจ้าที่แท้จริงนั่นเอง  นี่คือการใช้ตรรกหรือเหตุผลของนบีอิบรอฮีม

หากมีพวกนอกศาสนาุถามว่า  ทำไมพระเจ้ามีสององค์ไม่ได้  เราตอบด้วยสติปัญญาที่ว่า "หากฟากฟ้าและแผ่นดินมีพระเจ้าสององค์  มันก็จะพินาศ  เพราะอีกองค์ต้องการจะสร้าง  แต่อีกองค์ต้องการจะทำลาย แล้วมันสรรพสิ่งทั้งหลายจะเกิดได้อย่างไร  และหากว่าพระเจ้าสององค์ช่วยกันสร้าง  ก็แสดงว่าทั้งสององค์ก็อ่อนแอไม่มีเดชานุภาพอย่างแท้จริง  เพราะต้องการอีกองค์ในการช่วยเหลือและสร้างจักรวาล

ซึ่งหลักวิชาอิลมุลกะลามหรือหลักสติปัญญานี้ ล้วนนำมาจากคำสอนของอัลกุรอานทั้งสิ้นทั้งปวง  และเป็นที่มาของวิชาอิลมุลกะลามของอิสลามที่อยู่บนรากฐานของอัลกุรอานและซุนนะฮ์...  

คือในอายะฮ์ที่ว่า

لو كان فيهما آلهة إلا الله لفسدتا

และอายะฮ์ที่ว่า

ان الله على كل شيء قدير

ส่วนพวกนอกศาสนาและพวกอะกีดะฮ์บิดอะฮ์  ก็จะกลัววิชาอิลมุลกะลามของอิสลาม(อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์)

เช่นวะฮาบีบอกว่า อัลเลาะฮ์ทรงเคลื่อนไหวเคลื่อนย้ายได้  เราก็แย้่งว่า ไม่มีหลักฐานระบุว่าอัลเลาะฮ์ทรงเคลื่อไหว  และสติปัญญาก็ไม่ยอมรับด้วย เพราะการเคลื่อนไหวเป็นคุณลักษณะของมัคโลค  และอัลลอฮ์ไม่เหมือนคุณลักษณะของมัคโลค  เนื่ืองจากพระองค์ทรงตรัสว่า "พระองค์ไม่มีสิ่งใดเหมือนกับพระองค์"  

เจอหลักการแค่นี้แหละ วะฮาบีลมออกหู!  ไปโทษวิชาอิลมุลกะลามของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์  ดังนั้นวะฮาบีจึงไม่ชอบวิชาอิลมุลกะลาม  ซึ่งที่ไม่ชอบนั้นไม่ใช่เพราะไปทำให้อะกีดะฮ์อิสลามต้องมัวหมอง แต่ไม่ชอบเพราะไปแฉและค้านกับอะกีดะฮ์ที่วะฮาบีจะเอานั่นเอง...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 14, 2010, 08:21 PM โดย As-Zaleek »
الأيام تمضى       والعمر يزيد         ولكن الحب بالقلب أكيد

 

GoogleTagged