ผู้เขียน หัวข้อ: เราะมะฎอน: เดือนแห่งการฝึกฝนอบรม -คุฏบะฮฺมัสญิดอัร-ริฎวาน(นานา) 28 ส.ค. 2552  (อ่าน 2014 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด


เราะมะฎอน: เดือนแห่งการฝึกฝนอบรม
 28 สิงหาคม 2552 / 7 رمضان 1430

   พี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงยำเกรงอัลลอฮฺด้วยการปฏิบัติความดีและละเว้นความชั่วอย่างจริงจัง และท่านทั้งหลายจงอย่าได้ตาย จนกว่าท่านจะเป็นผู้ยอมจำนนต่ออัลอิสลามโดยสิ้นเชิง
   พี่น้องผู้ศรัทธาครับ เมื่อ 2-3 วันก่อน ระหว่างที่ตื่นรับประทานอาหารสะหูรฺ ผมเปิดรายการโทรทัศน์เดือนเราะมะฎอนดูไปด้วย ได้ฟังอาจารย์อาวุโสท่านหนึ่งกล่าวถึงเด็ก ๆ ไว้ทำนองว่า “คนเราเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ไว้เพื่อเชือดเป็นอาหาร ดังนั้นไม่ต้องไปสอนสิ่งต่าง ๆ ให้กับสัตว์เหล่านั้น เพียงปรนเปรอให้มันมีเนื้อมีหนังและปราศจากโรค จะได้กินได้อย่างพอเพียงและปลอดโรค แต่กับลูกหลาน เราเลี้ยงเพื่อที่จะเป็นกำลังของสังคม เป็นมรดกของตัวเราเองที่จะคงไว้ซึ่งอิสลาม ให้ดำรงอยู่อย่างมีคุณภาพ ดังนั้น นอกจากจะต้องให้อาหารการกินและความเป็นอยู่ที่เหมาะสมแล้ว เราจะต้องมอบการศรัทธาที่ถูกต้อง สอนมารยาทที่ดีงามและสอนการปฏิบัติตามหลักการอิสลามให้แก่เขา และเดือนเราะมะฎอนนี้ เป็นเดือนที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่เราจะฝึกฝนอบรมลูกหลานของเราให้เป็นคนดีของอิสลาม”
   ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม บอกกับเราไว้ว่า

 
       “เด็กทุกคนเกิดมาในสภาพที่บริสุทธิ์ ผู้ให้กำเนิดเขานั่นแหละที่ทำให้เขาเป็นยะฮูดี เป็นนัศรอนี หรือเป็นมะญูซี”
   ดังนั้น การที่ลูกหลานของเราจะเป็นมุสลิมที่ดี มุสลิมที่ศรัทธามั่น มุสลิมผู้เข้มงวดในการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของอัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ หรือถูกกลืนไปเป็นอื่น ผู้ให้กำเนิดเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุด และเดือนเราะมะฎอนซึ่งเป็นเดือนที่มวลมุสลิมล้วนเคร่งครัดในการทำความดี ก็จะเป็นเดือนที่ทำให้ลูกหลานของเราได้เห็นว่า มุสลิมที่ดีนั้น เป็นอย่างไร
   ถ้าลูกหลานได้เห็นว่า พ่อ/แม่ ผู้ให้กำเนิดของเขาทำตัวอย่างไรในเดือนเราะมะฎอน เขาก็จะจำไว้เป็นตัวอย่างที่ดีที่ประทับใจ เดือนเราะมะฎอน พ่อ/แม่ตื่นมารับประทานอาหารสะหูรฺเพื่อเตรียมตัวสำหรับการถือศีลอด จึงอย่าลืมที่จะเรียกลูกหลานมาร่วมรับประทานด้วย ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของอิบาดะฮฺนี้แก่ลูก เมื่อได้เวลาละหมาดศุบหิก็เรียกให้ลูกหลานได้ร่วมละหมาดด้วยเป็นญะมาอะฮฺ ฝึกให้ลูกหลานได้ถือศีลอด ให้เขาอดไปจนกว่าจะทนไม่ได้ อาจจะเป็นครึ่งวันหรือเกือบเต็มวันก็ยังดี แต่ถ้าเขาแสดงความจำนงที่จะถือศีลอดให้เต็มวันเหมือนผู้ใหญ่ ก็ให้กำลังใจแก่เขาเหล่านั้น ให้กระทำให้สำเร็จ
   เมื่อมีโอกาส ต้องสอนลูกหลานของเราว่า การถือศีลอด คือการฝึกความอดทนและการสำนึกในบุญคุณ รู้จักขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะว่าผู้ที่ถือศีลอดจะระงับการกิน การดื่มและความอยากของอารมณ์ แม้สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่อนุมัติในยามปกติ นั่นคือการอดทนต่อความต้องการของร่างกาย ครั้นเมื่อถึงเวลาละศีลอดในตอนดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ความสดชื่นกระชุ่มกระชวยที่ได้จากอาหารและน้ำ ทำให้เราขอบคุณที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานปัจจัยยังชีพนี้แก่เรา ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวคำพูดที่ให้ข้อคิดดี ๆ แก่มุสลิมว่า

   “น่าประหลาดสำหรับกิจการของผู้ศรัทธา แท้จริง ๆ ทุก ๆ กิจการของเขา ดีกับเขาทั้งหมด และสิ่งนี้จะไม่ได้แก่ใครนอกจากผู้ศรัทธาเท่านั้น ถ้าหากว่ามีสิ่งที่ดีมาประสบกับเขา เขาขอบคุณ นั่นก็เป็นการดีสำหรับเขา ถ้าสิ่งที่ไม่ดีมาประสบกับเขา เขาอดทน นั่นก็เป็นการดีสำหรับเขาเช่นกัน”
   ในเดือนเราะมะฎอนนี้ ทำความดีให้ลูกเห็น ฝึกความอดทนให้ลูกเห็น แม้จะมีความหิวแต่ก็ไม่แสดงอาการโมโหหิว ใครจะมายั่วเย้ายุแหย่ก็ไม่ถือโกรธ ทำให้ลูกได้เห็นว่า ผู้ถือศีลอดที่ดีนั้น เขาทำตัวกันอย่างไร นั่งอ่านกุรฺอานหรือซิกรุลลอฮฺเป็นตัวอย่างแก่ลูก ได้เวลาละหมาดก็ให้ลูกมาละหมาดด้วย ไปมัสญิดก็พาลูกไปด้วย แม้เขายังเล็ก ไม่มีสมาธิในการทำละหมาด อาจวิ่งเล่น หรือซุกซนบ้าง ก็ตักเตือนด้วยความหวังดีและให้อภัย
   จะเป็นอย่างไร ถ้าเดือนเราะมะฎอน มุสลิมอื่นเขาถือศีลอดกันทุกคน แต่เราที่เป็นพ่อแม่ไม่ถือศีลอดโดยไม่มีข้อยกเว้นที่เป็นที่ยอมรับ จะเป็นอย่างไร ถ้าลูก ๆ ได้เห็นพ่อแม่ที่ยังคงทำตัวน่าสมเพช นอกจากไม่ถือศีลอดแล้ว ยังทำความไม่ดี เช่น ดื่มเหล้า เล่นการพนัน ไม่ละหมาด ไม่อ่านกุรฺอาน ไม่เคยพาลูกไปมัสญิด เขาจะรู้สึกว่า การละทิ้งอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ก็พ่อแม่เรา ผู้เป็นตัวอย่างของเรายังละทิ้งได้ ทำไมเราจะละทิ้งไม่ได้
   เด็กบางคนยังไม่รู้เลยว่า มัสญิดนั้นเขามีไว้ทำอะไร พ่อแม่ไม่เคยพาไป บางคนว่าเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กไม่ต้องสนใจ ครั้นเมื่อบรรลุศาสนภาวะ จะไปมัสญิดก็ไม่กล้าไป เพราะไม่คุ้นไม่เคย ทำอะไรก็กลัวทำไม่ถูก หรือเมื่อจำเป็นต้องถือศีลอดก็ไม่ยอมถือ เพราะกลัวหิว เนื่องจากพ่อ/แม่ไม่เคยฝึกฝนให้กระทำมาก่อน
   เด็กบางคนไม่รู้จักการให้ ไม่รู้จักการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่เพื่อนมนุษย์ เพราะเขาไม่มีแบบอย่างที่ดี  ในเดือนเราะมะฎอนนี้ พ่อแม่ที่มีความสามารถจะกระทำได้ จึงควรทำเศาะดะเกาะฮฺให้ลูกเห็นเป็นแบบอย่างแก่ลูก โดยไม่โอ้อวด ทำเพื่อให้ลูกเข้าใจว่า มนุษย์ทั้งหลายเกิดมาเป็นเพื่อนร่วมโลกกัน ต้องมีความเห็นอกเห็นใจกัน รู้จักเชื่อมความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ถ้าเรามีฐานะดีกว่า เราต้องรู้จักให้ เพื่อเป็นทาน ถ้าเราฐานะเท่าเทียมกัน เรารู้จักให้เพื่อเป็นของขวัญเชื่อมสัมพันธไมตรีต่อกัน ถ้าฐานะเราไม่ดี ไม่มีทรัพย์สินเงินทอง ก็ทำเศาะดะเกาะฮฺด้วยแรงกาย เช่น ช่วยคนสูงอายุทำงาน ช่วยปัดกวาดเช็ดถูมัสญิด หรือแม้แต่ทำความดีแก่เพื่อนร่วมโลกด้วยการพบปะด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ก็ถือว่าเป็นเศาะดะเกาะฮฺ เพราะ

   ลูกใครที่ยังละหมาดไม่เป็น พ่อ/แม่ก็ควรจะฉวยโอกาสสอนให้ละหมาดเป็นเสียในเดือนนี้ พาเขามาฝึกหัดที่มัสญิดในช่วงการละหมาดตะรอเวียหฺ เพราะจะมีตัวอย่างให้ได้ฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำอีก เด็ก ๆ ได้เห็นกิจกรรมที่ประพฤติปฏิบัติแล้วได้รับความชื่นชมยินดี เขาก็จะเกิดความอยากรู้อยากเห็น อยากทดลอง เมื่อลองทำบ่อย ๆ ก็จะติดเป็นนิสัย
    ลูก ๆ อาจจะคิดว่า ทำไมหนอคนจึงมาละหมาดที่มัสญิดกันมากมาย สิ่งนี้ต้องเป็นสิ่งที่ดีแน่ ๆ ไม่เช่นนั้นผู้คนทั้งหลายคงไม่กระทำกัน ฉันอยากเป็นที่รักของอัลลอฮฺและของพ่อแม่ ฉันอยากจะทำความดี ฉันอยากละหมาด
   แต่ถ้าเราพาลูกไปนั่งในร้านอาหารที่เขามีถ่ายทอดฟุตบอล นั่งเชียร์ฟุตบอลทั้งที่ควรจะไปละหมาดที่มัสญิดหรือละหมาดอยู่กับบ้าน บางครั้งก็มีต่อรองกันเสียอีกว่าใครจะชนะ ใครจะยิงได้กี่ประตู ลูกเราก็คงจะซึมซับเอาแบบอย่างที่ไม่ดีเหล่านี้ไปเต็ม ๆ
   คนดี ๆ ในอดีต คือ ลุกมาน ที่อัลลอฮฺได้ทรงดำรัสเรื่องราวของเขาเป็นตัวอย่างในกุรอาน สอนลูกว่า

   
    และจงรำลึกเมื่อลุกมานได้กล่าวแก่บุตรของเขา โดยสั่งสอนเขาว่า “โอ้ลูกเอ๋ย เจ้าอย่าได้ตั้งภาคีใด ๆ ต่ออัลลอฮฺ เพราะแท้จริงการตั้งภาคีนั้นเป็นความผิดอย่างมหันต์ โดยแน่นอน”      ลุกมาน 31:13


   “โอ้ลูกเอ๋ย เจ้าจงดำรงไว้ซึงการละหมาดและจงใช้กันให้กระทำความดีและจงห้ามปรามกันให้เว้นจากการทำชั่ว และจงอดทนต่อสิ่งที่ประสบกับเจ้า แท้จริงนั่นคือส่วนหนึ่งจากกิจการที่หนักแน่นมั่นคง. และเจ้าอย่าหันแก้มของเจ้าให้แก่ผู้คนอย่างยโส และอย่าเดินไปบนหน้าแผ่นดินอย่างไร้มรรยาท แท้จริง อัลลอฮฺไม่ชอบทุกคนที่หยิ่งผยองและคุยโวโอ้อวด. และเจ้าจงก้าวเท้าเดินแต่พอประมาณ และจงลดเสียงของเจ้าลง แท้จริงเสียงที่น่าเกลียดยิ่งคือเสียง(ร้อง)ของลา"   ลุกมาน 31:17-19
   ขอเชิญชวนพวกเราทำความดีให้เป็นพิเศษในเดือนนี้ และให้ความดีนั้นได้เป็นที่รับรู้ของลูกหลานเพื่อจะเป็นตัวอย่างแก่เขาเหล่านั้น พาพวกเขามามัสญิด ทบทวนการอ่านกุรฺอานของตนเองและของลูกหลาน ทำตนเป็นคนใจบุญสุนทาน สอนลูกหลานให้เป็นคนดีเหมือนที่ลุกมานได้เคยสอนแก่ลูก ๆ ของเขา
   เป็ด ไก่นั้น เราเลี้ยงไว้ขาย ไว้เชือดกินเป็นอาหาร แต่ลูกเรา เราเลี้ยงไว้เป็นอนาคตของสังคม อนาคตของอิสลาม เลี้ยงดู ฝึกฝน อบรมเขาเหล่านั้นให้เป็นมุสลิมที่ดี เพราะนั่นคือ อนาคตของสังคมอิสลาม


้أقول قولي هذا.............................

คัดลอกจากเอกสารเผยแพร่ของมัสญิด อัรฺ-ริฎวาน(นานา) นครราชสีมา เมื่อ 27 ส.ค. 53 โดย Bangmud