การปะปน ผสมผสาน คลุกเคล้า ระคนกันไประหว่างสตรีเพศ กับบุรุษเพศ
ประเด็นการปะปนและอยู่ร่วมกันเป็นประเด็นที่มีการถกกันบ่อยครั้งถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงในอิสลาม แต่กระนั้นเรื่องดังกล่าวหาได้ถูกนำมาใช้ในช่วงที่อัลกุรอานถูกประทานลงมา ด้วยเหตุผลดังกล่าวเรามิอาจสามารถที่จะพบถึงการอ้างอิงจากอัลกุรอานและซุนนะฮฺที่กล่าวว่า การปะปนระหว่างชายหญิงเป็นเรื่องฮาราม แต่หาได้หมายความว่าการกระทำดังกล่าวจะเป็นที่อนุญาต หรืออิสลามล้มเหลวในการกำหนดเรื่องดังกล่าว อิสลามได้บอกรายละเอียดถึงความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงไว้อย่างชัดเจนและถูกต้องที่สุดถึงเครื่องชี้นำทางในทางปฏิบัติระหว่างกัน ทั้งหลายทั้งปวงคงไม่เกิดคำถามว่า อิสลามห้ามการปะปนระหว่างชายหญิงโดยสิ้นเชิง
หากเรานำโองการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการห้ามลูกในการทุบตี โขกสับ บุพการี เราหาเจอโองเหล่านั้นไม่(ก้อเพราะว่ามันไม่มีน่ะสิ-ผู้แปล) อัลลอฺ ตรัสว่า
อย่างกล่าวต่อบุพการีด้วยคำว่า อุฟ
โอ้ผู้มีปัญญาเอ๋ยยังจะอ้างว่า การทุบตีบุพการีนั้นเป็นที่อนุญาตอีกรือ?
ในทำนองเดียวกัน อิสบามห้ามผู้หญิงใส่น้ำหอมและเดินผ่านต่อหน้าธารกำนัลชาย และห้ามพวกหล่อนในการส่งเสียงเครื่องประดับประดาที่ข้อเท้าขณะเดิน ยังจะมีผู้ใดอีกเล่าที่ยอมรับว่าการปะปนระหว่างชายหญิงเป็นที่อนุมัติ?
อัลกุรอานและหะดิษมีจะนวนจำกัด หากเราปล่อยปะละเลยต่อสิ่งที่อัลกุรอานและหะดิษได้กำหนดเงื่อนไขไว้ แสดงว่าเราปฏิเสธหลักการเปรียบเทียบหรือกิยาสในหลักการอิสลาม มิเช่นนั้นเรื่องราวในชีวิตประจำวันมากมายก่ายกองหามีหลักเกณฑืมากำหนดไม่และเป็นการสลัดทิ้งถึงหลักเกณฑ์อันทรงคุณค่าในการประยุกต์ใช้กับทุกยุคทุกสมัย
มีหลักฐานชัดเจนที่บ่งชี้ว่าอิสลามห้ามการการพบเจอกันระหว่างชายหญิงสองต่อสอง (ไม่แน่ใจว่าสองต่อสอง กับ วลีที่ว่า หนึ่งต่อหนึ่งอัน เดียวกันหรือไม่-ผู้แปล) ยามใดที่ต้องการ อิสลามกำหนดข้อระเบียบและมาตราการที่ชัดเจนและกวดขันในเรื่องการปฏิสัมพันธ์และการอยู่ร่วมกันระหว่างชายหญิง ดังนั้นอิสลามจึงปิดประตูแห่งการสำส่อนและล่อใจ
เมื่อพิจารณาหลักการต่างที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างเพศในอิสลาม ดังนั้นเราพอจะสรุปได้ว่า อิสลามห้ามการปะปนระหว่างชายหญิงในกรณีที่อาจก่อให้เกิดฟิตนะฮฺ ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานักวิชาการมุสลิมยอมรับในความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ในส่วนตรงนี้ เราภูมิใจเสนอหลักฐานจากงานเขียนของนักวิชาการในประเด็นนี้
อัลซัคซี “การออและแออัดกัน ปนเประหว่างชายหญิงในห้องพิพากษาถือเป็นสิ่งไม่งาม ฉนั้นศาลต้องแยกระหว่างเพศให้ชัดเจน” การปะปน ปนเป ระหว่างชายหญิงในสภาวะดังกล่าวก่อให้เกิดฟิตนะฮฺและผลลัพธ์ที่น่ารังเกียจ ขยะแขยง สะอิดสะเอียนเป็นอย่างยิ่ง (อัลมับซูท ๑๖/๘๐)
อัลนาวาวี “บิดอะฮิที่ชั่วช้าเลวทราบประการหนึ่งที่ผู้คนมกมุ่นอยู่ในปัจจุบันคือการจุดเทียนบนหุบเขาอารอฟะฮฺในค่ำคืนที่ ๙ การกระทำเช่นนี้ถือเป็นพฤติกรรมที่ลุ่มหลงและพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมสมเป็นอย่างยิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือการปะปน ปนเป ระหว่างชายหญิง (อัลมัจมูอฺ ๘/๑๔๐)”
ในหนังสือหลักกฎหมายอิลามชื่อ อัลฟาวากิอฺ อัลดาวานี อธิบายว่าอนุญาตให้ปฏิเสธการเชิญหากสิ่งบิดอะฮฺมีในงานแต่ง ความว่า “การเชื้อเชิญถูกปฏิเสธหากในงานมิส่งที่กระทำผิด เช่นการปะปน ปนเปกันระหว่างชายหญิง อัลฟาวากิอฺ อัลดาวานี ๒/๓๒๒”
เมื่อนักวิชาการพูดถึงเรื่องการปะปน ปนเป ระหว่างชายหญิงหาใช่ว่าพวกเขาจะหมายถึง การอยู่ร่วมกัน การปรากฏตัวร่วมกันระหว่างชายหญิงแต่ประการใด เพราะการพบเจอ ปรากฏตัวระหว่างชายหญิงนั้นอิสลามอนุมัติ
ในสมัยท่านรอซูลบรรดาผู้ชายและบรรดาผ็หญิงต่างก็ปรากฏตัวให้เห็นกันตามมัสยิดและท้องตลาด เดินบนเส้นทาง ถนนหนทางเดียวกัน
การปรากฏตัวของผู้ชายและผู้หญิงในสถานที่เดียวกันหาได้ก่อเกิดฟิตนะฮฺไม่และหาใช่ว่าฮารามแต่ประการใด เพราะไม่มีเหตุผลกลใดจะไปห้ามในสถานการณ์ดังกล่าว หากคนใดห้ามการพบปะ ปรากฏตัวระหว่างชายหญิงโดยให้เหตุผลว่าป้องกันจากการเกิดฟิตนะฮฺ ดังกล่าวนั้นถือเป็นการสุดโต่งและกำหนดข้อบังคับที่ไม่ได้อยู่ในวิสัยธรรมชาติของมนุษย์และสร้างความลำบากในชีวิตประจำวันของมนุษย์
หามีนักวิชาการท่านใดอาจหาญชาญชัยที่จะกล่าวว่าการผสม ปนเป เบียดเสียดแออัด ออกันระหว่างชายหญิงเป็นที่อนุมัติ จนก่อให้เกิดการกระทบกระทั่งทางร่างกาย การนั่งชิดกันระหว่างชายหญิงที่หาใช่ญาติเกี่ยวดอง(ไม่ใช่ญาติที่ฮารามแต่งงาน) สถานการณ์ในลักษณะทำนองนี้ก่อให้เกิดอารมณ์ทางเพศและฟิตนะฮฺที่น่าสะพรึงกลัว(เลวร้ายยิ่ง)และเหตุการณ์น่าสลดเกิดขึ้น อย่างที่เราเห็นกันในโรงเรียนที่ชายหญิงเรียนร่วมกันอย่างอิสระและตามงานสังคมต่างๆ
เหตุการลักษณะดังกล่าวเป็นตัวทำลายสิ่งขีดขวางความเหินห่างของชชายหญิงให้กลับกลายเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกัน
เราไม่อาจที่จะเปรียบเทียบสถานการณ์ข้างต้นกับการปะปนกันระหว่างเพศในร้านค้าหรือสถานที่อิสระ โดยเฉพาะเมื่อผู้หญิงไปกับครอบครัว เพราะความสัมพันธ์ทางเพศหรือความมักจี่กับชายอื่นไม่เกิดขึ้น(ก้อมีครอบครัวยืนจ้องอยู่แล้วใครจะกล้าแจกขนมจีบกันล่ะครับ-ผู้แปล) ผู้คนก้อไม่แออัด และไม่มีเหตุผลใดต้องระแวง การที่จะป้องกันผู้หญิงในสถานที่ดังกล่าวจากฟิตนะฮฺถือเป็นการสุดโต่ง
ผู้หญิงถูกห้ามที่จะเข้าใกล้ชิดชายแต่มิได้หมายความว่าจะห้ามพวกหล่อนปรากฏตัวในสถานที่มีชายอยู่ตราบใดที่หล่อนไม่เข้าถึงตัวชายหรือมีผู้หญิงคือหล่อนเพียงคนเดียว(หญิงหนึ่งชายพะรำพะรึกอันนี้ก้อห้ามน่ะสิ-ผู้แปล)
ไม่มีข้อคลางแคลงใดๆว่าการห้ามที่ถูกหลักการนั้นเป็นสิ่งสำคัญ มีกฎเกณฑ์ในอิสลามมากมายที่มีข้อป้องกันโดยพิจารณาตามธรรมชาติตัวของมันแต่มิได้หมายความว่าเราจะสามารถออกกฏเกณฑ์ไปค้านกับการกระทำที่ผิดที่เราทำเองและเป็นการละเมิดต่อการเปิดกว้างของอิสลามในเรื่องการผ่อนปรน มิเช่นนั้นคงเป็นภาระที่หนักอึ้งบนมุสลิม
ผู้คนอาจมีระดับความแตกต่างกันไปในการแยกแยะเรื่องการปะปน ผสมระหว่างชายหญิงแต่เราอาจพิจารณาให้ถูกต้องที่สุดด้วยหลักฐานที่กล่าวเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว อิสลามมีหลักการมากพอที่จะกำหนดถถึงขอบเขตระหว่างเพศในการพบเจอหรือแม้กระทั่งสิ่งที่สตรีพึงปฏิบัติเมื่ออกนอกบ้านว่ามีขอบเขตมากน้อยแค่ไหนอย่างไร และเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ถ้าหลักการอิสลามได้รับการสนอง เป็นไปไม่ได้เลยว่าจะมีการปะปน ผสม เบียดเสียด เกิดขึ้นระหว่างเพศ
หลักฐานในประเด็นนี้มีมากมายจริงๆน่ะครับ จะบอกให้ แต่ขอนำเสนออย่างย่อๆแล้วกัน
๑) “และเมื่อพวกเจ้าขอสิ่งใดจากพวกนาง ก็จงขอพวกนางจากหลังม่าน เช่นนั้นแหละเป็นการบริสุทธิ์อย่างยิ่งแก่จิตใจของพวกเจ้าและจิตใจของพวกนาง” (๓๓:๕๓)
การเผยตัวของสตรีต่อกลุ่มผู้ชายเป็นการละเมิดที่เลวทรามยิ่งต่อโองการนี้
(สรุป ๑ โองการนี้ในหนังสือตัฟซีร อิบนฺ กาซีร ได้อธิบายว่า อัลลอฮฺมีคำสั่งให้ผู้ชายจะถามหรือจะขอสิ่งใดจากภริยาของท่านรอซูลให้พูดคุยหลังม่านซึ่งเป็นสิ่งปกปิดพวกนาง จงอย่างได้มองพวกนาง –ผู้แปล)
๒) ห้ามผู้ชายเข้าอยู่ในกลุ่มผู้หญิงในกรณีที่ผู้หญิงไม่มีมะฮฺรอม เพราะท่านรอซูลกล่าวว่า ผู้ชายและหญิงอยู่ร่วมกันตามลำพังจะมีชัยตอนจะเป็นมือที่ ๓ ในกลุ่มพวกเขา
ท่านรอซูล : อย่าได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มสตรีเป็นอันขาด
ผู้ชาย : แล้วถ้าชายผู้นั้นเป็นญาติที่เกิดจากการแต่งงานล่ะครับ
ท่านรอซูล : นั่นแหละตัวมันเลย
หะดิษดังกล่าวเน้นให้สตรีระวังชายที่เป็นญาติเนื่องจากการแต่งงานให้มาก เพราะพวกเขาเห็นว่าเป็นญาติจึงมีโอกาสเข้ามาคลุกคลีตามลำพังกับสตรีได้ง่านดายนัก อย่างที่ชายทั่วไปไม่ได้แอ้ม
(สรุป ๒ ชายหนึ่งกับหญิงหนึ่งอยู่กันตามลำพังไม่ได้หากฝ่านหญิงไม่พกพามะฮฺรอม-ผู้แปล)
การประชุมกันโดยมีชายหนึ่งหญิงหนึ่งถือเป็นฟิตนะฮฺที่เลวทรามนัก โดยผผู้คนทั่วไปคิดว่าการประชุมลักษณะดังกล่าวเป็นการประชุมเพื่อหลบสายตาผู้คน
ท่านอิบนฺ ดากีก อัลอิด ให้ขอพึงสังวรว่า “สถานการณ์หนึ่ง ณ ที่หนึ่งเป็นการปรากฏตัวระหว่างชายหนึ่งกับหญิงหนึ่งหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ การปรากฏตัวกันอย่างนั้นก็มิได้ฮารามแต่ประการใดและการไปในเหตุการณ์ดังกล่าวก็ไม่ฮารามแต่อย่างใด” (๒/๑๘๑)
ลองมาดูว่าท่านรอซูลกล่าวว่าอย่างไร เราจะได้เคลียร์
ท่านรอซูลกล่าวว่า “จะไม่มีชายคนใดหลังจากนี้ปรากฏตัวต่อหน้าสตรีนางหนึ่ง เว้นแต่ว่าชายคนนั้นจะพกพาชายอีกคนหรือสองคน” (มุสลิม)
(สรุป ๓ ชายหนึ่งหญิงหนึ่งเป็นที่ต้องห้ามในการพบเจอกัน หากมีชายมากกว่าหนึ่งคนกับหญิงหนึ่งถือเป็นสิ่งอนุมัติ เออ!ดูเหมือนว่ามันจะไปขัดกับการอธิบายในข้อ ๑) (ซึ่งมิใช่โองการจากอัลกุรอานหรือและหะดิษ) ที่กล่าวว่าถ้ามีผู้หญิงหนึ่งคน ผู้หญิงคนนั้นต้องพกพามะฮฺรอมไปด้วยถึงจะอนุญาต แต่ถ้าจะเอาความเข้าใจจากหะดิษทั้ง ๓ บทที่กล่าวมา พอจะสรุปได้ว่า
ก) ชายหนึ่ง +หญิงหนึ่ง =ฮาราม
ข) ชายหนึ่ง + หญิงหลายคนแต่ไม่มีมะฮิรอม = ฮาราม
ค) ชายมากกว่าหนึ่ง + หญิงหนึ่ง = ฮาลาล-ผู้แปล)
๓) มีหลักฐานมากมายที่ห้ามสตรีจับมือกับบุรุษหากว่าบุรุษมิใช่มะฮฺรอม
ท่านรอซูลมิเคยจับมือกับสตรีที่มิใช่ญาติสนิท ท่านอุมัยมะฮฺ ลูก รอกีบะฮฺ กล่าวว่า “ฉันและสตรีจากมดรนะฮฺกลุ่มหนึ่งได้มาหารอซูลเพื่อจะให้สัตยาบัญ จงรักภักดีเข้ารับอิสลาม เหล่าสตรีจึงบอกท่านรอซูลว่าพวกเราจะสาบานตนเข้ารับอิสลาม ทานรอซูลกล่าวว่า ฉันจะไม่จับมือกับสตรีนางใด ฉันรับการปฏิญาณของสตรีนางหนึ่งดังที่ฉันรับการปฏิญาณจากสตรีนับพัน” (อัลมุวัตเตาะ ซุนันติรมีซี อัลนาซาอี อัลอิบนฺ มาญะ)
ท่านรอซูลกล่าวว่า “สิ่งที่ดีกว่าการจับต้องมือของสตรีแปลกหน้าคือการเอาเข็มหมุดทิ่มลงไปที่ศรีษะพวกท่าน” (มันสิรีกล่าวว่าสายรายงานทั้งหมดของหะดิษนี้น่าเชื่อถือ อัลบานีถือว่าเป็นหะดิษที่ดี ในคอยะฮฺ อัลมะรอม หมายเลข ๔๐๓)
๔) อัลกุรอานห้ามสตรีในการพูดอ่อนหวานเมื่อพูดกับบุรุษ
ไม่ควรพูดจาเพราะพริ้งนัก เพราะจะทำให้ผู้ที่ในหัวใจของเขามีโรคเกิดความโลภ แต่จงพูดด้วยถ้อยคำที่พอเหมาะพอควร (๓๓:๓๒)
๕) หลักฐานห้ามสตรีที่ใส่เครื่องหอมนั่งร่วมวงกับบุรุษ
ท่านรอซูลกล่าวว่า “สตรีคนใดก็ตามที่ใส่เครื่องหอมแล้วเดินผ่านชาย เพื่อให้เหล่าชายได้กลิ่นหอมนั้น การกระทำเยี่ยงนั้นเป็นการซินาชนิดหนึ่ง”
๖) ท่านรอซูลกล่าวว่า “แถวที่ดีที่สุดสำหรับบุรุษในการละหมาดคือแถวแรกและแถวที่ส่วยที่สุดสำหรับพวกเขาคือแถวหลังสุดแต่แถวที่ดีที่สุดสำหรับสตรีคือแถวหลังสุด และแถวที่ส่วยที่สุดสำหรับนางคือแถวแรกของนาง” (มุสลิม)
แม้แต่ในละหมาดซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ปราศอารมณ์ต่างๆยังห้ามชายหญิงกันขนาดนี้ แล้วสรรหาอะไรกับสถานการณ์ธรรมดาทั่วไปจะไม่ระวังยิ่งกว่ารือ?
ท่านอิบนฺ อับบาส อ้างว่าตนละหมาดอีดกับท่านรอซูล เมื่อท่านรอซูลอ่านคุตบะฮฺในฝั่งชายเสร็จ ท่านจะอ่านที่ฝั่งหญิง เพื่อตกเตือนและกระตุ้นให้บริจาคทาน (บุคคอรีย์)
ท่านอิบนฺ หะญัร ให้ข้อคิดเห็นหะดิษนี้ว่า “การที่ท่านรอซูลไปยังกลุ่มสตรีแสดงให้เห็นว่าการชุมนุมของสตรีนั้นแยกต่างหากจากชายมิได้ปะปนกัน” (ฟัตฮัลบารี ๒/๔๖๖)
๗) ครั้งหนึ่งท่านรอซูลเห็นชายและหญิงเดินกันอย่างสะเปะสะปะอยู๋บนถนนหลังจากออกจากมัสยิด ท่านรอซูลกล่าวแก่สตรีว่า”ช้าก่อนสิ พวกเจ้าไม่จำเป็นเลยที่จะต้องเดินกันกลางถนน ไปเดินข้างๆหน่อย” ผู้รายงานหะดิษนี้กล่าวว่าหลังจากนั้นสตรีเดินชิดขอบอาคารจนลางทีเสื้อผ้าพวกนางสัมผัสกับกำแพง(สุนันอบุดาวุด ด้วยสายรายงานที่ถูกต้อง)
ท่านอิบนุ อุมัร อ้างว่าท่านรอซูลกล่าวว่า “เราต้องมีประตูมัสยิดให้สตรีใช้ต่างหาก” ท่านอิบนุ อุมัรไม่เคยใช้ประตูที่ว่ามาจนท่านเสียชีวิต (สุนันอบุดาวุด ด้วยสายรายงานที่ถูกต้อง อัลบานีกล่าวว่าสายรายงานนี้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของท่านบุคอรีย์และท่านมุสลิม)
ท่าน อุม สาลามะฮฺ กล่าวว่า “เมื่อท่านรอซูลละหมาดเสร็จ เมื่อผู้หญิงเริ่มออกจากมัสยิด ทานรอซูลก้อจะนั่งรออยู๋ที่ละหมาดก่อนละลุกขึ้น” อิบนุ ชะฮาบบกล่าวว่า “ฉันเชื่อว่าท่านรอซูลคงรอให้สตรีออกจากมัสยิดก่อนบุรุษ” (บุคอรีย์)
ท่านอิบนุ หะญัร อธิบายว่า “เราจะเห็นได้ว่า ไม่บังควรที่ชายหญิงจะปะปน ปนเป พลุกพล่าน กันบนถนน แล้วสรรหาอะไรกับการปนเปกันในบ้านเล่า” (ฟัตฮัลบารี ๒/๓๓๖)
ขออ้างจากอัลบุคอรีย์: สตรีในสมัยท่านรอซูลหาได้ตอวาฟพร้อมกันกับบุรุษไม่ ท่านหญิงอาอีชะฮฺเคยตอวาฟโดยออกห่างจากกลุ่มบุรุษพอสมควรเพื่อกลีกเลี่ยงไม่ปนเปกับพวกเขา ครั้งหนึ่งมีสตรีนางหนึ่งพยายามเชิญชวนท่านหญิงอาอีชะฮฺเข้าไปตอวาฟเผื่อว่าพวกเธอจะได้สัมผัสมัมของกะบะ แต่ท่านหญิงปฏิเสธ (อัลบุคอรีย์)
สาวใช้ของท่านหญิงอาอีชะฮฺมาหาท่านหญิงและกล่าวว่า : โอ้มารดาแห่งศรัทธาชน เจ้าขา ฉันเวียนรอกะบะมาตั้ง ๗ รอบ และสัมผัสมุมมัน ๒-๓ ครั้ง
ท่านหญิง : ขออัลลอฮฺเจ้าจงอย่าตอบแทนเจ้าเลย เพราะว่าการกระเสือกกระสนของเจ้าผ่านชายต่างๆเพื่อจะเข้าใกล้กะบะ มันเพียงพอแล้วที่เจ้าจะกล่าวว่าอัลลอฮฺ อักบัร เมื่อเจ้าผ่าน (มุสนัด อัชชาฟีอี)
จะเห็นว่า ๑) ทานหญิงทำการตอวาฟแม้ว่าจะมีผ็ชายรอบๆ
๒)ท่านหญิงห้ามสตรีเข้าในออและปนเปกันบุรุษ
๓) สถานที่ๆมีชายหญิงร่วมกันหลายคนไม่เป็นที่ต้องห้าม
๔) การปนเป เบียดเสียดกัน ควรหลีกเลี่ยงขณะทำฮัจย์ หาใช่ว่าจะนำสถานะการนี้มาอ้างความชอบธรรมในการปะปน ปนเป กับสถานการณ์ปกติ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในการทำฮัจย์มันกลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ
บางคนอ้างว่าแล้วทำไมไม่กำหนดเวลาว่ให้พวกนางทำการตอวาฟเมื่อผู้คนสลายตัวกันแล้ว ขอถามกลับหน่อยเถอะว่าแล้วจะมีทีมงานที่มาด้วยกันรอพวกหล่อนหรือไรกัน
ที่ไปที่มา: ชัยค์ ซามี อัลมาญิด
แปลภาษาไทยโดย : แอนตี้ บิดอะฮ์ เอาว์ ยูสุฟ บิน สุลัยมาน อัลมันญูวีย์ อัลกะรอบีย์ (23 กันยายน 2553 เวลา 09.18 น.)
จากใจผู้แปล : ๑) กรุณาตรวจสอบความถูกต้องสำนวนการแปล
๒) กรุณาตรวจความถูกต้องด้านเนื้อหา
๓) เชิญวิพากษ์ วิจารณ์และหรือแสดงความคิดเห็นผ่านกระทู้
๔) ผู้แปลไม่สงวนลิขสิทธิ์ในบทความแปลแต่ประการใด
๕) คำว่า “สังฆกรรม” ที่ผมตั้งกระทู้ ผมให้ความหมายเชิงภาษาน่ะครับ