สูเราะฮฺ อัลเกาะลัม อายะฮฺที่ 28 – 33คำอ่าน28. กอละเอาสะฏุฮุม อะลัมอะกุลละกุม เลาลาตุสับบิหูน
29. กอลู สุบหานะร็อบบินา..อิน..นากุน..นาซอลิมีน
30. ฟะอักบะละบะอฺฎุฮุม อะลาบะอี..ยะตะลาวะมูน
31. กอลูยาวัยละนา..อิน..นากุน..นาฏอฆีน
32. อะสาร็อบบุนา..อัย..ยุบดิละนา ค็อยร็อม..มินฮา..อิน..นา..อิลาร็อบบินารอฆิบูน
33. กะซาลิกัลอะซาบ, วะละอะซาบุลอาคิเราะติอักบัรฺ, เลากานูยะอฺละมูน
คำแปล R1.28. The best among them said: "Did I not tell you: why do you not say: Insha' Allah (if Allah Will)."
29. They said: "Glory to our Lord! Verily, we have been Zalimun (wrong-doers, etc.)."
30. Then they turned, one against another, in blaming.
31. They said: "Woe to us! Verily, we were Taghun (transgressors and disobedient, etc.)
32. We hope that our Lord will give us in exchange a better (garden) than this. Truly, we turn to our Lord (wishing for good that He may forgive our sins, and reward us in the hereafter)."
33. Such is the punishment (in this life), but truly, the punishment of the hereafter is greater, if they but knew.
คำแปล R2.28. ผู้ทรงคุณธรรมของพวกนั้นพูดแก่พวกเขาว่า “ก็ฉันมิได้บอกแก่พวกท่านไว้แล้วดอกหรือ (เมื่อพวกท่านคิดหวงห้ามไม่ยอมแบ่งส่วนให้แก่คนอนาถา) ว่า “ไฉนพวกท่านจึงไม่สดุดีความบริสุทธิ์ (แด่อัลเลาะฮฺ)
29. พวกนั้นจึงกล่าวว่า “องค์อภิบาลของเราทรงบริสุทธิ์โดยแท้ อันที่จริงพวกเราเป็นพวกฉ้อฉล”
30. จากนั้นพวกเขาต่างหันมาประณามซึ่งกันและกัน
31. พวกนั้นพูดว่า โอ้ ความหายนะของเรา แท้จริงพวกเรานี้ล้วนเป็นพวกที่ละเมิด (คำสอนพระเจ้าทั้งสิ้น)”
32. หวังว่าองค์อภิบาลของเราคงจะเปลี่ยนแปลงสวนที่ดีกว่านั้นแก่เราเป็นแน่ แท้จริงพวกเราต่างก็มุ่งแสวงหาต่อพระองค์
33. เช่นนั้นแหละคือการลงโทษทัณฑ์ (ในโลกนี้) และการลงโทษทัณฑ์ในโลกหน้านั้นย่อมยิ่งใหญ่กว่า หากแม้นพวกเขารู้คำแปล R3.28. ผู้ที่ดีที่สุดในหมู่ของพวกเขาคนหนึ่งกล่าวว่า “ฉันไม่ได้บอกพวกท่านหรือว่าทำไมพวกท่านไม่สดุดีอัลลอฮฺ?”
29. พวกเขาจึงกล่าวว่า “มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระผู้อภิบาลของเรา แท้จริงเราเป็นผู้อธรรม”
30. แล้วพวกเขาก็หันไปตำหนิต่อกันและกัน
31. ในที่สุดพวกเขาได้กล่าวว่า “วิบัติแล้วเรา แท้จริงพวกเราเป็นผู้ฝ่าฝืน
32. บางทีอาจเป็นการดีที่พระผู้อภิบาลของเราจะให้สวนที่ดีกว่านี้แก่เรา แท้จริงเราจะกลับไปหาพระผู้อภิบาลของเรา”
33. นั่นเป็นการลงโทษ และการลงโทษแห่งโลกหน้านั้นยิ่งใหญ่กว่ามากนักหากพวกเขารู้
คำแปล R4.28. คนที่มีสติปัญญาคนหนึ่งในหมู่พวกเขากล่าวว่า ฉันมิได้บอกพวกท่านดอกหรือว่า ทำไม่พวกท่านจึงไม่กล่าวสดุดีแด่อัลลอฮฺ
29. พวกเขาจึงกล่าวว่า มหาบริสุทธิ์แห่งพระเจ้าของเรา แท้จริงเรานั้นเป็นผู้อธรรม
30. แล้วบางคนในหมู่พวกเขาก็หันไปต่อว่าซึ่งกันแล้วกัน
31. พวกเขากล่าวว่าความหายนะประสบแก่เราแล้วเพราะเราเป็นผู้ละเมิดฝ่าฝืน
32. บางทีพระเจ้าของเรา จะทรงเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ดีกว่าให้แก่เรา แท้จริงเราหวังในความอภัยต่อพระเจ้าของเรา
33. เช่นนั้นแหละการลงโทษ และแน่นอนการลงโทษในปรโลกนั้นยิ่งใหญ่นัก หากพวกเขาล่วงรู้(นักตัฟซีรฺกล่าวว่า “มีชายมุสลิมคนหนึ่งพำนักอยู่ใกล้เมืองศ็อนอาอ์ นครหลวงของประเทศเยเมนชายคนนั้นมีสวนแปลงหนึ่งที่เต็มไปด้วยอินทผลัม พืชพันธุ์และผลไม้นานาชนิด เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยวเขาจะเรียกคนยากจนขัดสนให้มารับส่วนแบ่งของพวกเขา อย่างครบสมบูรณ์พร้อมกับเลี้ยงดูให้เกียรติแก่พวกเขาอย่างเต็มที่ ครั้นเมื่อ เจ้าของสวนแห่งนี้ได้ตายไปลูกชายสามคนก็ได้รับมรดกจากบิดาของพวกเขา ชายสามคนซึ่งเป็นเจ้าของสวนแปลงนั้นได้กล่าวขึ้นว่า บัดนี้เรามีลูกหลานมากมาย ทรัพย์สินที่เรามีอยู่ก็น้อย เราไม่สามารถที่จะแบ่งสวนของพวกยากจนขัดสนเช่นที่บิดาของเราได้กระทำไปแล้ว เขาก็ได้ปรึกษาหารือกันและตกลงที่จะไม่แบ่งส่วนให้แก่คนยากจนขัดสน และตกลงที่จะเก็บเกี่ยวพืชผลในเวลาเช้าตรู่เพื่อมิให้ใครได้รู้เห็นและพวก เขาก็ได้สบถสาบานที่จะกระทำเช่นนั้นในเวลากลางคืน อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ส่งไฟเข้าไปเผาผลาญสวนของพวกเขา ต้นอินทผลัม พืชพันธุ์และผลไม้ได้ถูกเผาผลาญอย่างราบเรียบ รุ่งเช้าพวกเขาได้ออกไปยังสวนของพวกเขา เมื่อเดินเข้าไปพวกเขาไม่พบอะไรเลย ก็คิดกันว่าคงเดินผิดทางเสียแล้ว ต่อมาก็เป็นที่ประจักษ์ว่าพวกเขากำลังเดินอยู่ในสวนของพวกเขาและตระหนักกันว่า อัลลอฮฺตะอาลา ทรงลงโทษพวกเขา เพราะพวกเขา เจตนาอันชั่วช้าของพวกเขา พวกเขาจึงเสียใจและขออภัยโทษกลับเนื้อกลับตัวหลังจากความพินาศได้ประสบแก่ พวกเขาแล้ว ตั้งแต่อายะฮฺที่ 17 ถึง33 คือเรื่องของชาวสวนที่ได้เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งอัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงทดสอบพวกเขาด้วยการให้นิอฺมะฮฺอย่างสมบูรณ์ แต่เนื่องด้วยพวกเขาไม่ขอบคุณพระองค์ด้วยการแบ่งสรรปันส่วนให้แก่คนยากจนขัดสน พระองค์จึงทรงลงโทษพวกเขาอย่างทันตาเห็นและพวกเขาก็ขออภัยโทษสำนึกผิดของพวกเขา แต่หลังจากได้สูญเสียนิอฺมะฮฺไปหมดสิ้นแล้ว อัลลอฮฺตะอาลาทรงนำเรื่องของชาวสวนมากล่าวไว้ เพื่อเป็นนิทัศน์อุทาหรณ์แก่พวกกุฟฟารกุเรช หวังว่าพวกเขาคงจะสำนึกผิดและขออภัยโทษ เช่นเดียวกับที่ชาวสวนได้กระทำมาแล้ว การลงโทษเช่นนี้ ซึ่งได้ประสบแก่ชาวสวนจะประสบแก่พวกกุเรช และแน่นอนการลงโทษในปรโลกจะยิ่งใหญ่และรุนแรงยิ่งกว่าการลงโทษในโลกนี้ หากพวกเขารู้และเข้าใจ อิบนฺอับบาสกล่าวว่า อุทาหรณ์นี้สำหรับชาวมักกะฮฺ ขณะที่พวกเขาออกไปทำสงครามบัดรฺ พวกเขาสาบานว่าจะไม่กลับสู่นครมักกะฮฺจนกว่า พวกเขาจะฆ่ามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และบรรดาสาวก ขณะที่พวกเขาออกไปพวกเขาก็ดื่มเหล้าร้องรำทำเพลง โดยมีนักร้องหญิงร่วมไปด้วย อัลลอฮฺตะอาลา ทรงทำให้พวกเขาผิดหวัง คือพวกเขาถูกฆ่าและถูกจับเป็นเชลย ในที่สุดก็ประสบความพ่ายแพ้อย่างน่าอัปยศ เช่นเดียวกับชาวสวนที่ออกไปในสวนโดยตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะเก็บเกี่ยวพืชผล ในสวนของพวกเขา แล้วพวกเขาก็ผิดหวัง)คำแปล R5.๒๘. ได้มีผู้ทรงคุณธรรมที่สุดในหมู่พวกเขาพูดว่า ก็ข้ามิได้บอกกับพวกท่านแล้วหรือว่า พวกท่านอย่าหวงห้ามต่อบรรดาคนยากจน ไฉนเล่าพวกท่านจึงไม่ขอลุแก่โทษต่ออัลเลาะห์ ให้ทรงนิรโทษแก่พวกท่านเสีย เนื่องจากที่ท่านคิดร้ายต่อคนยากจน
๒๙. พวกเขาจึงกล่าวว่า มหาบริสุทธิ์แห่งพระผู้ทรงอภิบาลของเรา แท้จริงพวกเรานี้ล้วนเป็นพวกที่ฉ้อฉลทั้งสิ้น
๓๐. จากนั้นพวกเขาต่างคนต่างก็หันเข้าหากันเพื่อประณามกันเอง และซัดทอดความผิดแก่กันและกัน ซึ่งเป็นธรรมดาของคนที่รู้ว่าตัวเองได้ทำผิดไปแล้ว
๓๑. พวกเขากล่าวว่า โอ้ความพินาศของเรา แท้จริงพวกเราล้วนเป็นผู้ทุจริตในสิทธิอันชอบธรรมของคนยากจน
๓๒. หวังว่าพระผู้ทรงอภิบาลของเราคงจะเปลี่ยนสวนที่ดีกว่านั้นแทนให้แก่พวกเรา แท้จริงพวกเราขอมุ่งหวังในพระผู้ทรงอภิบาลแก่พวกเรา
๓๓. เช่นนั้นแหละ คือการลงโทษที่จักประสบแก่ทุก ๆ ผู้ที่ทำผิดบทบัญญัติของอัลเลาะห์ และแท้จริงการลงโทษในวันปรภพจะยิ่งใหญ่กว่าการลงโทษในโลกนี้มากมายนัก หากแม้นพวกเขารู้