บางส่วนจากความแตกต่างระหว่างชีอะฮฺกับวะฮาบีย์
ชีอะฮฺ คือ ชนกลุ่มหนึ่งที่อุบัติขึ้นมาในโลกอิสลามตั้งแต่ในยุคอดีต ซึ่งขณะนี้พวกเขาส่วนใหญ่อยู่ที่ประเทศอิรัก ,อิหร่าน ,ปากีสถาน ,เลบานอน เป็นต้น และในยุคอดีตพวกเขาถูกเรียกว่า “อัร-รอฟิเฎาะฮฺ (الرافضة)” พวกเขาทั้งหลายศรัทธาต่ออัลลอฮฺและท่านรสูล (ซ.ล.) แต่พวกเขารังเกียจและด่าทอต่อบรรดาเศาะหาบะฮฺส่วนใหญ่ รวมทั้งบรรดาภริยาของท่านรสูล (ซ.ล.) ซึ่งพวกเขาทั้งหลายได้ทำการด่าทอและกล่าวให้ร้ายต่อบรรดาเศาะหาบะฮฺและบรรดาภริยาของท่านรสูล (ซ.ล) พวกเขามีความรักใครต่อบรรดาเครือญาตของท่านรสูล (ซ.ล.) และส่วนใหญ่พวกเขาจะมีความเคารพและรักใคร่ต่อท่านเคาะลีฟะฮฺอะลีย์ (ร.ด.) เป็นอย่างมาก
และบรรดาพวกเขานั้นมีอุตริกรรมมากมาย พวกเขาอนุญาตให้มุสลิมสามารถแต่งงานแบบชั่วคราว (نكاح المتعة) ได้ และในบรรดาพวกเขานั้นมีทั้งบรรดาผู้ที่มีแนวคิดที่เลยเถิดและมีทั้งบรรดาผู้ที่มีแนวคิดที่เป็นกลาง ซึ่งก็ไม่ต่างไรกับศาสนาอื่นๆ พวกเขาทำการละหมาดโดยผินหน้าไปยังกิบละฮฺเหมือนกับชาวอะห์ลิสสุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ พวกเขามีการถือศีลอด พวกเขาจ่ายซะกาต และพวกเขาเดินทางไปทำฮัจญ์ ณ.บัยตุลลอฮฺ
ส่วนหนึ่งจากแนวคิดของชีอะฮฺ
1. ชีอะฮฺนั้นปฏิเสธศิฟาตและคุณลักษณะทั้งหมดของอัลลอฮฺ เช่นเดียวกับพวกมุอฺตะซิละฮฺ
2. ชีอะฮฺเชื่อว่าอัลกุรอานนั้นได้ถูกตัดทอนและเปลี่ยนแปลง
3. ชีอะฮฺนั้นได้ทำการด่าทอและให้ร้ายต่อเศาะหาบะฮฺว่าพวกเขาเป็นกาฟิรหลังจากการอสัญกรรมของท่านรสูล (ซ.ล.) นอกจากเพียงแค่ไม่กี่ท่าน
4. ชีอะฮฺกล่าวว่าบรรดาอิมามของเขานั้นเป้นผู้ที่ปลอดบาป (المعصوم) และหยั่งรู้สิ่งที่เร้นลับต่างๆ
5. ชีอะฮฺมีความเห็นว่า การตะกียะฮฺหรือการเสแสร้งโกหกนั้น ถือเป็นสิ่งที่ควรกระทำ
6. พวกเขาถือว่า ดินรอบกุโบรของท่านหุซัยนฺ (ร.ด.) นั้น เป็นดินที่ศักสิทธิ์
7. พวกเขาอนุญาตให้มุสลิมทำการแต่งงานชั่วคราวได้ (นิกะฮฺมุตอะฮฺ)
8. พวกเขาถือว่าเลือดและสมบัติของชาวอะลิสสุนนะฮฺฯ เป็นที่อนุมัตให้ยึดและหลั่งได้
9. พวกเขามีความเห็นว่าท่านอะบูบักร (ร.ด.) ,ท่านอุมัร (ร.ด.) ,ท่านอุษมาน (ร.ด.) ได้แย่งตำแหน่งคอลิฟะฮฺไปจากท่านอะลีย์ (ร.ด.)
10.ชีอะฮฺจะทำการทรมานตนในวันอาชูรอของทุกๆ ปี เนื่องจากเศร้าโศกเสียใจในการเสียชีวิตของท่านอิมามหุซัยนฺ (ร.ด.)
วะฮาบียะฮฺ คือ ชนกลุ่มหนึ่งที่มีแนวคิดตาม ท่าน มุหัมมัด บิน อับดิลวะฮาบ ซึ่งท่าน มีชีวิตอยู่ในระหว่างปี ฮ.ศ.1115-1206 (ค.ศ.1703-1792) เกิดที่เมือง อัลอุยัยนะหฺ ไม่ไกลจากนครริยาด เมืองหลวงของประเทศซาอุดิอาระเบียในปัจจุบัน ครอบครัวของเขาเรียกได้ว่าเป็นครอบครัวผู้รู้ศาสนา ปู่ของเขา คือ สุลัยมาน อิบนุ อะลี อิบนุ มัชร็อฟ เป็นหนึ่งในจำนวนปราชญ์มุสลิมที่มีชื่อเสียงที่สุดในสมัยนั้นและเป็นผู้ที่เหล่านักแสวงหาความรู้มากมายเลื่อมใสและเป็น
สานุศิษย์ บิดาของเขา คือ อับดุลวะฮาบ อิบนุ สุลัยมาน และน้าชายของเขา อิบรอฮีม อิบนุ สุลัยมาน รวมทั้งลูกผู้พี่คือ อับดุรเราะหฺมาน อิบนุ อิบรอฮีม และพี่ชายของเขาเองคือ สุลัยมาน อิบนุ อับดุลวะฮาบ ล้วนถือได้ว่าเป็นอุละมาอ์ (นักปราชญ์มุสลิม) ซึ่งเป็นที่รู้จักของผู้คนในสมัยนั้น
เชค มุหัมมัด บิน อับดิลวะฮาบ ชื่นชอบและชื่นชมงานเขียนของ อิบนุตัยมียะหฺเป็นอย่างยิ่ง และท่านเห็นว่าการตะวัสสุลและการขอพรต่ออัลลอฮฺ ณ ที่สุสานนั้น เป็นการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ เป็นการกระทำที่ผิดต่อหลักศาสนาอิสลามอย่างใหญ่หลวง
บิดาของ เชค มุหัมมัด บิน อับดิลวะฮาบ นั้นเป็นผู้รู้แห่งนครมะดีนะหฺ และสุลัยมาน บิน อับดิลวะฮาบ พี่ชายของเขา รวมทั้งเหล่านักปราชญ์ในเมืองมะดีนะหฺก็ได้ประกาศต่อต้านแนวคิดหลายประการของ ท่านเชค มุหัมมัด บิน อับดิลวะฮาบ เพราะคำสอนของท่านเชคขัดแย้งกับคำสั่งสอนของอิสลามหลายประการ
ส่วนหนึ่งจากแนวคิดของวะฮาบีย์
1. พวกเขามีอะกีดะฮฺในเรื่องซิฟาตของอัลลอฮฺที่โน้มเอียงไปยังการทำให้อัลลอฮฺเหมือนกับมัคลูก
2. พวกเขาห้ามการเข้าสู่แนวทางของศูฟีย์และเตาะรีเกาะฮฺต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแนวทางของศูฟีย์ในยุคอดีตหรือยุคปัจจุบัน
3. พวกเขามีความเห็นว่าชีอะฮฺนั้น เป็นกาฟิร พวกเขาห้ามให้การช่วยเหลือต่อกลุ่มชีอะฮฺ เนื่องจากมีความเคลือบแคลงสงสัยว่าชีอะฮฺมีแนวคิดที่เหมือนกับลัทธิบูชาไฟ (المجوسية) และให้การสนับสนุนต่ออิสราเอล และไม่พอใจที่บรรดาชีอะฮฺด่าทอและกล่าวหาบรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านรสูล (ซ.ล.)
4. พวกเขาห้ามการจัดงานเฉลิมฉลองการประสูตรของท่านรสูล (ซ.ล.) ,คืนนิสฟุชะบาน ,วันอาชูรอ และวันอิสเราะอฺเมี๊ยะรอจ และพวกเขาอนุญาตให้จัดงานเฉลิมฉลองในวันอีดิลฟิตรี กับ วันอีดิลอัดฮา ได้ เท่านั้น
5. พวกเขาห้ามการนำดอกไม้ไปเยี่ยมผู้ป่วย ดู ฟัตวา ابن جبرين
6. พวกเขาห้ามทำการสาบานและห้ามทำการตะวัสสุล ต่อท่านนบี (ซ.ล.)
7. พวกเขาห้ามศึกษาวิชามันติก ,วิชาปรัชญา และ วิชาอิลมุลกะลาม
8. พวกเขาห้ามละหมาดในมัสยิดที่มีมะกอมฝังศพของอะลุลบัยตฺ หรือ มะกอมของวะลียุลลอฮฺ หรือมะกอมของบรรดาคนที่ซอลิฮฺ
9. พวกเขาห้ามอ่านอัลกุรอานที่กุโบร
10. พวกเขาห้ามการตัลกีนมัยยิต
11. พวกเขาห้ามการใช้ลูกตัสบีฮฺในการซิกรุลลอฮฺ เป็นต้น
12. พวกเขาห้ามยึดติดกับมัซฮับ
13. พวกเขากล่าวว่าการอ่านอัลกุรอานนั้นไม่ถึงผู้ตาย
วัลลอฮุ ตะอาลา อะอฺลาวะอะลัม