ทำไมอิสลามต้องเป็นสัจธรรมเดียว? ทำไม… อิสลาม ต้องเป็นสัจธรรมเดียว แนวทางการรับรู้และ พิสูจน์ความเป็นสัจธรรม
อัลอัค อับดุลมะญีด เรียบเรียง
มนุษย์ทุกคนเผชิญหน้ากับปรากฏการณ์ที่สร้างความสับสนให้แก่ตัวเขาอย่างที่สุด
นั่นคือการมีอยู่ของชีวิตของเขาและเอกภพที่รายล้อมตัวเขา มนุษย์ถูกบีบบังคับให้อธิบายปรากฏการณ์นี้ให้ได้ มนุษย์จึงมีชีวิตที่ต้องเลือกคำอธิบายให้ถูกต้องต่อปรากฏการณ์
ที่เกิดขึ้นจริงและต่อชีวิตที่ดำเนินไปโดยมิอาจหยุดมันได้
นี่ คือปัญหาที่ใหญ่โตที่สุดของชีวิตมนุษย์ เป็นปัญหาที่สร้างความยุ่งยากที่สุดต่อชีวิตมนุษย์ กระนั้น มนุษย์ทุกคนต้องเข้ามาตอบคำถามนี้
ก. เลือกวิธีการค้นหา
· กำแพงที่มิอาจเจาะทะลวงไปได้
การ ค้นหาคำตอบที่เป็น ‘สัจธรรม’ขั้นสูงสุดนี้ เป็นงานที่ท้าทายที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เป็นการค้นหาคำตอบที่จะไขความลับทั้งหมดของชีวิตของเขา
และสรรพสิ่งทั้งหมดแต่ เมื่อมนุษย์พยายามใช้สติปัญญาเข้าถึงคำตอบนี้ด้วยตัวเองคราใด
ก็จบลงในแบบที่ท่านมุฮัมมัด อะซัด ปราชญ์ชาวยิวที่เข้ารับอิสลามได้กล่าวไว้ว่า
“..มนุษย์ไม่สามารถอธิบายความลี้ลับของชีวิตแก่ตัวเองได้
ไม่สามารถอธิบายความลี้ลับของการกำเนิดและการตาย
ไม่สามารถอธิบายความลี้ลับของภาวะที่ไม่สิ้นสุดและดำเนินไปตลอดกาลได้
การใช้เหตุผลของมนุษย์ก็หยุดลงตรงหน้า ‘กำแพงที่มิอาจเจาะทะลวงไปได้’ ” [1]
มนุษย์ทุกคนต่างเผชิญกับ ‘กำแพงที่ มิอาจเจาะทะลวงไปได้’ นี้
และเมื่อเขาพิจารณาใคร่ครวญจากประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
ก็พบว่ามนุษยชาติได้พยายามก้าวผ่านกำแพงนี้ไป
โดยค้นหาประตูทางเข้าและใช้ ‘กุญแจ’ ไข เพื่อผ่านเข้าไป
· กุญแจ 2 ดอก
กุญแจที่มนุษย์ นำมาในการใช้ไขคำตอบนี้มี 2 ดอกด้วยกัน นั่นคือ
กุญแจดอกที่ ๑อาศัยความคิดของมนุษย์เอง โดยผ่านนักคิด นักปรัชญาต่างๆ
ชุมนุมทางความรู้ทั้งหลาย ระบอบคิดที่ถูกจัดตั้งขึ้น สำนักทางวิชาการ
หรือโดยตัวของเขาเองแต่ลำพัง วิธีการนี้เชื่อมั่นในภูมิปัญญาของมนุษย์ในฐานะแหล่งพึ่งพา
ในการค้นพบ สัจธรรมได้ในตัวมันเอง
กุญแจ ดอกที่ ๒ยอมรับสัจธรรมผ่านสิ่งที่มนุษย์บางคนประกาศว่าได้รับมาจากพระเจ้า
ในฐานะผู้ทรงเป็นปฐมเหตุของสรรพสิ่ง วิธีการนี้ให้เหตุผลว่า
ในเมื่อผู้เป็นเจ้าในฐานะเป็นผู้ก่อกำเนิดทุกอย่างได้ติดต่อลงมา
ก็ย่อมจะเป็นความจริงที่ไร้ที่ติ โดยผ่านบุคคลที่เราเรียกว่า ‘ศาสนทูต’
หรือที่เรียกในภาษาอาหรับว่า ‘นบี’(ผู้ประกาศข่าว) หรือ ‘เราะซูล’(ผู้นำ สาส์น)
เราเรียกวิธีการเช่นนี้ในภาษาอาหรับว่า ‘วะหฺยุ’
หมาย ถึงการเปิดเผยจากพระผู้สร้างหรือการวิวรณ์(การเผยแสดง)
ตลอด ระยะเวลาหลายพันปีของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
มนุษย์เลือกที่จะใช้กุญแจดอกใดดอกหนึ่งในสองดอกนี้ในการไขปริศนาของจักรวาล
จะแตกต่างกันก็แต่เพียงวิธีการให้นำหนักกับกุญแจที่ตนเองถืออยู่เท่านั้นว่า
มีความสมเหตุสมผลระดับใด
นี่ เป็นกุญแจสองดอกที่มนุษย์ต้องเลือก ไม่มีดอกอื่นนอกจากนี้อีกแล้ว
· กุญแจที่ต้องเลือก ... ทำไม?
อิสลามเป็นศาสนาที่ยืนยันสัจธรรมโดยผ่านกุญแจดอกที่สอง
โดยมีเหตุผลว่า ระบอบของเอกภพนี้ลึกลับมากเกินกว่าที่มนุษย์คนใดหรือแม้แต่มนุษย์ร่วมกัน
ทั้งหมดพากันอ้างถึงความรอบรู้ทุกสรรพสิ่งได้ การพยายามแต่ลำพังเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้
ในสิ่งลี้ลับจึงเป็นไปได้น้อยมาก หรือแทบเป็นไปไม่ได้เลย
ดังตัวอย่างที่อัล กุรอานได้โต้แย้งบุคคลที่พยายามค้นหาความรู้ในเรื่อง ‘จิต’ เอา ไว้ว่า
وَمَا أُوتِيتُم مِّنَ الْعِلْمِ إِلاَّ قَلِيلاً
และ พวกท่านจะไม่ได้รับ‘ความรู้’(เรื่อง จิต)ใด ๆ เว้นแต่เพียง ‘เล็กน้อย’เท่านั้น [2] ประการ ต่อมา ความคิดของมนุษย์นั้นมีความจำกัด
และไม่มีใครสามารถรับประกันหรือพิสูจน์ถึงการบรรลุสัจธรรมของเขาได้
การให้คำตอบในเรื่องความลับของชีวิต เป้าหมายของการดำรงอยู่
จึงเป็นเพียงแค่‘การใช้ความคิด’ ซึ่งแทบจะไม่แตกต่างใดๆกับ การ‘การคาดเดา’เอาเอง
ซึ่งวิธีการเช่นนี้ไม่อาจใช้ค้นหาสัจธรรมสูงสุดได้
ดังปรากฏคำโต้แย้งเหล่านี้ในอัล กุรอานว่า
وَمَا يَتَّبِعُ أَكْثَرُهُمْ إِلاََّ ظَنّاً إَنَّ الظَّنَّ لاَ يُغْنِي مِنَ الْحَقِّ شَيْئاً
และ ส่วนใหญ่ของพวกเขามิได้ปฏิบัติตามสิ่งใด
นอกจาก‘การนึกคิด’แท้จริง‘การนึกคิด’นั้นไม่อาจจะแทนความจริงใดได้ [3] ชนชาติกรีกที่ถูกถือว่ามีความอัจฉริยะทั้งในด้านปรัชญา ศิลปะ และบทกวี
ได้ผ่านประสบการณ์ ‘การนึก คิด’ เอา เองเพื่อจะเข้าถึงความลับของการดำรงอยู่
ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่ได้คำตอบเท่านั้น แต่สภาพความสับสนได้เกิดขึ้นกับของพวกเขา
เป็นดังที่ท่านอบุล ฮะซัน อัน นัดวียฺ ได้บรรยายผลสุดท้ายเอาไว้ว่า
“...ใน ที่สุดก็ทำให้ความสับสนสะสมเข้ากันเป็นชุดใหญ่
พวกเขาก็กลายเป็นชนชาติสมัยโบราณบูชาเจว็ดที่ฝังรากลึกเป็นอย่างยิ่ง
พวกเขาเป็นกลุ่มชนที่มีเรื่องเทพนิยายและความเหลวไหลต่างๆ...” [4]แม้ ว่าเราจะมีความรู้ก้าวไปขนาดใดก็แล้วแต่ แต่เมื่อเราพิจารณาคำอธิบายที่ใช้กับชีวิต
และจักรวาลจากการคิดของมนุษย์แล้ว เราพบว่าคำตอบในปัจจุบัน
ก็หาได้แตกต่างจากคำตอบในชนชาติต่างๆในสมัยโบราณไม่
จะต่างกันก็แต่เพียงรูปแบบ แต่ในสาระแล้ว เรายังคงอยู่บนความ ‘ไม่รู้’ ว่าเรา คือใคร
และจักรวาลนี้ดำเนินอยู่บนพื้นฐานอะไร สภาพของการเลือกกุญแจผิด
เป็นดังข้อความในอัล กุรอานว่า
...فِي بَحْرٍ لُّجِّيٍّ يَغْشَاهُ مَوْجٌ مِّن فَوْقِهِ مَوْجٌ مِّن فَوْقِهِ سَحَابٌ ظُلُمَاتٌ بَعْضُهَا
فَوْقَ بَعْضٍ...
...ในท้องทะเลลึกมีคลื่นซ้อนคลื่นท่วมมิดตัวเขา
และเบื้องบนของมันก็มีเมฆหนาทึบซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่า ...[5]
นี่คือผลของคำอธิบายที่ได้จากการพึ่งพาสติปัญญาของมนุษย์เพียงลำพัง
· ผู้นำสาสน์ - สู่ความลับของการสร้าง
การ เปิดเผยเป้าหมายของการดำรงอยู่ของมนุษย์และสรรพสิ่งผ่านผู้นำสาส์นเป็นวิธี
การที่อิสลามเชื่อมั่นว่าเป็นวิถีทางเข้าถึงความจริงได้อย่างมั่นใจที่สุด
ตัวผู้นำสาส์นจึงเป็นเสมือนประตูที่จะเปิดไปสู่ความลับของการสร้างให้แก่ มนุษยชาติ
ใน คำสอนอิสลาม ผู้นำสาส์นไม่ได้มีเพียงคนเดียว
ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่ผ่านมา ได้มีผู้นำมายังประชาชาติอย่างต่อเนื่อง
ดังที่ถูกยืนยันไว้ในอัล-กุรอานว่า
وَلَقَدْ بَعَثْنَا فِي كُلِّ أُمَّةٍ رَّسُولاً
และโดยแน่นอน เราได้ส่งผู้นำสาส์นมาในทุกประชาชาติ [6]
ใน อัล-กุรอานได้ปรากฏชื่อของผู้นำสาส์นก่อนท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ไว้ 25 ท่าน เช่น พระเยซู(นบีอีซา), โมโสส(นบีมูซา), อับราฮัม (นบีอิบรอฮีม)เป็นต้น
นอก จานี้ ยังคงมีผู้นำสาส์นอีกจำนวนมากที่มิได้ถูกกล่าวถึง
เป็นไปได้ว่าศาสดาจำนวนมากในโลกนี้อาจเป็นผู้นำสาส์นที่ถูกต้อง
แต่เนื่องจากไม่มีการระบุถึงจากอัล กุรอาน จึงมิอาจยอมรับ
ในขณะเดียวกันก็มิอาจปฏิเสธได้เช่นกัน
ข้อ สังเกตที่น่าสนใจก็คือ แนวคิดเรื่องพระผู้สร้าง ผู้ทรงพลานุภาพหนึ่งเดียว
พระผู้ที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดจบ รวมทั้งเรื่องนรก สวรรค์ ได้ปรากฏอยู่ในกลุ่มชนต่างๆ
ในอดีตแทบทั้งหมด แม้จะมีการแตกต่างกันในสิ่งที่เพิ่มเติมมาทีหลัง
แต่สามารถสันนิษฐานได้ว่า ต้นเดิมของมันน่าจะเป็นเนื้อหาเดียวกัน
สำหรับ คำถามที่ว่าทำไมเราต้องได้รับการเปิดเผยให้ทราบถึงสัจธรรมด้วยวิธีนี้ด้วย?
คำตอบก็คือนี่เป็นวิถีทางการดำเนินไปของชีวิตในโลกนี้ เป็นไปตามแบบแผนที่ถูกวางเอาไว้
พระเจ้าเลือกที่จะเปิดเผยสัจจะของพระองค์ด้วยวิธีนี้
และวิธีการนี้ยังได้แสดงตัวมันเองว่าน่าเชื่อถือที่สุดในแง่การรับรู้ถึง สัจจะอีกด้วย
ข. ข้อพิสูจน์
· สิ่งมหัศจรรย์
ปัญหาต่อมาคือ การที่ต้องพิสูจน์ว่า ‘วะหฺยุ’(การ ติดต่อจากพระเจ้า)
โดยผ่านผู้นำสาส์นทั้งหลายนั้นจริงหรือไม่ นี่เป็นประเด็นที่สำคัญมาก
เพราะหากว่าขาดประเด็นนี้ไป ก็จะเกิดการอ้างว่าตนเองได้รับการติดต่อจากพระเจ้า
กันตามอำเภอใจ ดังที่เราได้ยินได้ฟังข่าวกับบ่อยๆว่า
คนนั้นคนโน่นอ้างว่าพระเจ้าได้มาบอกเช่นนี้เช่นนั้น
การกำหนดวิธีการพิสูจน์ความจริงนี้จึงเป็นเรื่อง สำคัญอย่างยิ่ง
รูปแบบการพิสูจน์นี้เรียกว่า มุอฺญิซาต معجزاتแปลตามตัวอักษรว่า
‘สิ่งที่(มนุษย์)ไม่ สามารถกระทำได้’หมายถึง มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น
ที่กระทำได้หรือที่นิยมแปลกันว่า ‘สิ่งมหัศจรรย์’
มุอฺญิซาตจะใช้ยืนยันว่า คำสอนทั้งหมดทั้งหมดที่ผู้นำสาส์นผู้นั้นนำมานั้นเป็นความจริง
มุอฺญิซาตจึงต้องมีความชัดเจน กระจ่างชัด และแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับมายากล
ผู้ นำสาส์นทั้งหลายในอดีตต่างได้รับมุอฺญิซาต แตกต่างกันออกไป
สำหรับนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม นั้นมีมุอฺญิซาต ก็คือ อัล-กุรอาน
ดังปรากฏคำท้าทายเอาไว้ในอัล กุรอานเองว่า
وَإِن كُنتُمْ فِي رَيْبٍ مِّمَّا نَزَّلْنَا عَلَى عَبْدِنَا فَأْتُواْ بِسُورَةٍ مِّن مِّثْلِهِ.
และหากปรากฏว่าพวกเจ้า อยู่ในความแคลงใจใด ๆ จากสิ่งที่เราได้ลงมาแก่บ่าวของเราแล้ว
(คือ อัล-กุรอาน)ก็จงนำมาสักซูเราะฮฺ(บท)หนึ่งเยี่ยงนั้นเถิด…[7]
อิสลามจึงนำวะหฺยุ(วิวรณ์)เองมาเป็นสิ่งมหัศจรรย์
ซึ่งสามารถข้ามกาลเวลามาพิสูจน์ให้เห็นได้ในทุกยุคทุกสมัย
· คัมภีร์ที่ถูกพิทักษ์
ความมหัศจรรย์ของอัล-กุรอานประการแรกก็คือ การที่อัล-กุรอานได้รับการปกป้อง
จากการบิดเบือนเปลี่ยนแปลง อัล-กุรอานที่มุสลิมอ่านกันทุกวันนี้
เป็นอัล-กุรอานเล่มเดียวกัน และเหมือนกับที่ใช้อ่านตลอดพันกว่าปีที่ผ่านมา
อัล-กุ รอานทั้งหมดได้รับการบันทึกเป็นเล่มอย่างเคร่งครัด
ยิ่งกว่านั้นวิธีการเด่นที่รักษาอัล กุรอานไว้ได้อย่างไม่มีใครเถียงนั่นก็คือ ‘การ ท่องจำ’
ที่ ดำเนินผ่านศตวรรษแล้วศตวรรษเล่า
ฉะนั้น เป็นที่ยอมรับกันว่าวิธีการจดจำอัล กุรอานแบบท่องจำ
กลายเป็น วิธีการหลักในการรักษาอัล-กุรอานเอาไว้ตลอดระยะเวลาของประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา
นี่ คือความมหัศจรรย์ในการได้รับการปกป้องจากการถูกบิดเบือนมากว่าพันปี
เป็นบันทึกหนังสือเล่มเดียวในโลกที่ถูกเก็บรักษาไว้ได้เช่นนี้
ดังปรากฏการรับรองไว้ในอัล-กุรอานว่า
إِنَّا نَحْنُ نَزَّلْنَا الذِّكْرَ وَإِنَّا لَهُ لَحَافِظُونَ
แท้จริงเราได้ให้ข้อตักเตือน(อัล-กุรอาน)ลงมา
และแท้จริงเราเป็นผู้พิทักษ์รักษามันอย่างแน่นอน[8]
ปรากฏการณ์ เช่นนี้อาจนับว่าเป็นเรื่องธรรมดา
แต่หากได้เปรียบเทียบกับคัมภีร์โบราณอื่นๆ เราจะพบข้อแตกต่างเหล่านี้อย่างชัดเจน
คำถามว่า ทำไมอัล-กุรอานยังคงเป็นคัมภีร์โบราณเพียงเล่มเดียวที่ถูกพิทักษ์เอาไว้ได้ ?
คำตอบที่ได้เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยยึดเหนี่ยวมุสลิมจำนวนมากให้มั่นคง
กับความศรัทธาในคำสอนอิสลามตลอดมา
การ รักษาคำสอนให้อยู่ในสภาพบริสุทธิ์นี้ยังเป็นการสร้างจุดยืนเริ่มต้นอีกว่า
สัจธรรมต้องไม่อยู่ในตัวสื่อที่เป็นเท็จ ไม่อยู่ในเนื้อหาที่ถูกบิดเบือนไป
นี่เป็นลักษณะโดดเด่นของการพิสูจน์ความแท้จริงของคำสอนอิสลาม
และมักถูกละเลย ในงานศาสนาเปรียบเทียบ
· ภาษาที่มิอาจเปรียบได้
ความ มหัศจรรย์ไม่ได้มีเพียงแค่นั้น อัล กุรอานนั้นถูกประทานลงมาเป็นภาษาอาหรับ
เป็นที่ทราบกันดีว่า ภาษาอาหรับเป็นภาษาเดียวในโลกนี้ที่มีการใช้ติดต่อกันมาตลอดพันกว่าปี โดยที่ไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางภาษา
มีระบอบการสร้างคำจาก ‘รากศัพท์’ที่เป็นเอกลักษณ์
ซึ่งภาษาที่มีลักษณะเช่นนี้ทั้งหมดจะกลายเป็นภาษาที่ตายไปแล้ว
(หรือเคยเป็น ภาษาที่ตาย จนต้องฟื้นฟูใหม่)
แต่ ภาษาอาหรับเช่นนี้ยังเป็นภาษาที่มีการใช้ต่อเนื่องกันมากว่าพันปี
ภาษาอาหรับที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม
ใช้ เป็นภาษาอาหรับเดียวกับที่ถูกใช้เป็นภาษาราชการในประเทศต่างๆ
มากกว่า 20 ประเทศในทุกวันนี้
อัล-กุ รอานได้นำเสนอภาษาอาหรับในรูปแบบพิเศษ มิได้เป็นทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง
มันปรากฏโครงสร้างที่งดงาม เรียบง่าย ลึกซึ้ง ลีลาที่เร่งเร้าและแทงทะลุเข้าสู่จิตใจของมนุษย์
อัล-กุ รอานได้สร้างความตรึงใจทั้งคนเบดูอีน(อาหรับชนบท)ที่ ร่อนเร่ในทะเลทราย
และผู้ได้รับการศึกษาภาษาอาหรับชั้นสูง
เป็นลักษณะภาษาที่มีพลังดึงดูดกับคนทุกชนชั้น
แม้แต่ชาวอาหรับที่ไม่ได้เป็นมุสลิมหรือชาวตะวันตกที่ศึกษาภาษาอาหรับ
ก็ สามารถรับรู้ถึงข้อเท็จจริงนี้ได้
ที่ น่าประหลาดใจเป็นที่สุดก็คือ ผู้ที่นำอัล-กุรอานมาเปิดเผยให้มนุษย์ทราบนั้นคือนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เป็นผู้อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
จึงไม่แปลกใจที่เมื่ออัล-กุรอานถูกนำมาอ่านครั้งแรกๆในมักกะฮฺ
จึงได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ ในประเด็นเรื่องความงามทางภาษาที่มิอาจเปรียบได้
พร้อมๆไปกับความพยายามกล่าวหาและตั้งข้อสงสัยมากมายที่เกิดขึ้นต่อนบีมุฮัมมัด
ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นดังเหตุการณ์ที่ถูกรายงานไว้ในช่วงแรกๆที่อัล กุรอานถูกประทานลงมา
ว่า ชาวเมืองมักกะฮฺถึงกับต้องมาชุมนุมกันเนื่องด้วยการแพร่หลายของถ้อยคำ
จากอัล กุรอาน พวกเขาบางคนกล่าวหาท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ว่า
“เขาเป็นหมอดู” บ้างก็ว่า “เขา เป็นคนบ้า” บ้างก็ว่า “เขาเป็นนักเล่นกล”
บ้างก็ว่า “เขาเป็นผู้ทำให้คนรักต้องพรากจากกัน”
ทันทีที่พวกเขาตั้งข้อกล่าวหาใด พวกเขาก็โต้แย้งกันเองตลอด
สุดท้ายแล้วชาวเมืองมักกะฮฺก็ไม่อาจหาข้อสรุปใดๆได้
แม้ กระทั่งตัวผู้นำคนสำคัญที่สุดในการต่อต้านอิสลามคือ วะลีด บิน มุฆีเราะฮฺ
ซึ่งมีความรู้เรื่องอักษรศาสตร์เป็นอย่างดี ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับอัล กุรอานว่า
“ขอสาบานต่อพระเจ้า อัล กุรอานมิใช่คำพูดของกวี และมิใช่มายากล
อีกทั้งมิใช่คำโป้ปดของคนบ้า แท้จริงคำกล่าวนั้น เป็นดำรัสของพระเจ้า” [9]
· มุฮัมมัด – ผู้สัจจริง
สิ่งที่ทำให้การโต้แย้งของชาวเมืองมักกะฮฺต่อสิ่ง ที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ
อะลัยฮิ วะ ซัลลัมนำมานั้นยากขึ้นไปอีกก็คือ
การที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม
มีคุณธรรมที่โดดเด่นข้อหนึ่งอันเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในฉายาว่า
อัล-อามีนหมายถึงผู้ที่พูดจริง ไม่เคยกล่าวเท็จ ไม่เคยผิดสัญญาต่อผู้ใด
แม้แต่ศัตรูชั้นนำอีกคนหนึ่งคือ อบู ละฮับ ที่ประกาศว่าไม่ศรัทธาในสิ่งที่ที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม นำมา แต่เขาปฏิเสธที่จะกล่าวหาว่าท่านเป็นคนโกหก
· ข้อมูลที่ถูกต้อง
เมื่อ ผ่านข้ามเวลามากว่าพันปี อัล กุรอานก็ยิ่งพิสูจน์ความน่ามหัศจรรย์ยิ่งไปอีก
นั่นคืออัล กุรอานไม่ได้ขัดแย้งกับความจริงทางวิทยาศาสตร์
(ที่มิใช่เพียงทฤษฎีที่ยังถก กันอยู่)[10] ดังเช่นเมื่ออัล กุรอานบรรยายถึงการสร้างจักรวาลไว้ว่า
أَوَلَمْ يَرَ الَّذِينَ كَفَرُوا أَنَّ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضَ كَانَتَا رَتْقاً فَفَتَقْنَاهُمَا........
และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาไม่เห็นดอกหรือว่า แท้จริงฟากฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้น
‘แต่ก่อน นี้รวมติดเป็นอันเดียวกัน’แล้วเราได้แยกมันทั้งสองออกจากกัน..... [11]
ความ จริงนี้สอดคล้องกับคำอธิบายกำเนิดจักรวาลที่ถูกยอมรับผ่านการสังเกตการณ์
ทางวิทยาศาสตร์อย่างน่าทึ่ง นอกจากนี้มีโองการที่เกี่ยวข้องกับความจริง
ที่เพิ่งค้นพบอื่นๆอีกมากมาย [12]
แม้ว่าอัล-กุรอานไม่ใช่คัมภีร์ทางวิทยาศาสตร์ แต่เมื่อใดที่อัล กุรอานกล่าวพาดพิง
ข้อเท็จจริงที่ได้ผ่านกระบวนการทางวิชาการอย่างถูกต้อง(มิ ใช่ข้อสันนิษฐาน)
มันก็ไม่เกิดการปะทะระหว่างกัน สิ่งเหล่านี้สามารถยืนยันได้ตลอดระยะเวลาพันกว่าปีที่ผ่านมา
และที่ต้องสังเกตเป็น พิเศษก็คือ นบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม นั้น
ไม่เคยศึกษาเล่าเรียน หรือผ่านสถาบันใดๆมาเลยนั้น เป็นผู้นำคัมภีร์เล่มนี้มาประกาศ
ท่านเป็นบุคคลที่อาศัยอยู่เมื่อพันกว่าปีก่อนหน้านี้ จึงไม่สามารถสันนิษฐานว่า
ท่านเป็นคนประพันธ์สิ่งเหล่านี้ขึ้นมาด้วยความรู้ ของท่านเองตามลำพัง
ได้ อัล กุรอานได้ย้ำข้อเท็จจริงของอัล กุรอานข้อนี้เอาไว้ว่า
أَفَلاَ يَتَدَبَّرُونَ الْقُرْآنَ وَلَوْ كَانَ مِنْ عِندِ غَيْرِ اللّهِ لَوَجَدُواْ فِيهِ اخْتِلاَفاً كَثِيراً
พวก เขาไม่พิจารณาดูอัล กุรอานบ้างหรือ? และหาก ว่าอัล-กุรอาน
มาจากผู้ที่ไม่ใช่อัลลอฮฺแล้ว แน่นอนพวกเขาก็จะพบว่าในนั้นมีความขัดแย้งกันมากมาย[13]
หากว่า อิสลามเป็นคำอธิบายชีวิตทั้งหมด ฉะนั้น การเริ่มต้นพิสูจน์ถึงความเป็นสัจธรรม
จึงจำเป็นต้องถูกเน้นย้ำ เพื่อสร้างฐานรองรับที่หนักแน่นในการนำไปสู่ความมั่นใจ
ในการปฏิบัติตาม สัจธรรม และนับว่าเป็นวิธีการอันเด่นชัดของการนำเสนอคำสอนอิสลาม
ทั้งระบอบอีกด้วยวิธี การพิสูจน์ถึงแหล่งที่มาของสัจธรรมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
และเป็นกุญแจไขไป สู่สัจธรรม คำสอนอิสลามจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
ในระดับรากฐานทีเดียว ... เมื่อประเด็นนี้ผ่านไปได้แล้ว ประเด็นอื่นๆจะง่ายต่อการอธิบาย
Credit By :
http://islam.in.th/islam-truthที่มาค่ะ