เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม

เรามารู้เท่าทันลัทธิบริโภคนิยมกันเถอะ

<< < (2/2)

tatcha_jah ~♪:
555

ใช่แร้วจ้าน้องeno

ว่าแต่

สังเกตดีๆ

เด็กคนนั้นอยากกินโดนัท
จริงๆหรือป่าวเนียะ

^^"

กูปีเยาะฮฺสะอื้น:
ยังงงๆกับสัญญะ

nada-yoru:
เป็นบทความที่ดีมากเลยทีเดียวค่ะ...

เพราะข้าน้อยเรียนจบด้านออกแบบมา ทำงานตรงนี้มา...
ทำให้รู้แนวคิดของผู้บริหาร...มันตรงกับที่เจ้าของกระทู้บอก...

ถามว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น...ผู้บริหารเขาก็แค่ต้องการผลประโยชน์กำไร
เขาไม่ได้คิดเลยไปถึงว่า...ใครจะต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง...
หรือสังคมจะเสื่อมแค่ไหน...เขาแค่ต้องการให้โลกอยู่ในมือเขา
และเขาสามารถควบคุมมันได้ด้วยมือของเขาเอง...

เขาจึงต้องเฟ้นหากลยุทธต่างๆมานำเสนอ มาโฆษณา
ทัั้งๆที่บางครั้ง มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยกับตัวผลิตภัณฑ์ของเขา
แต่ที่มันเกี่ยวข้องก็คือ เกี่ยวข้องกับตัวเป้าหมายของเขา...

พี่ที่ทำงานยังงงเลยว่า ทำไมดีไซเนอร์ที่จบด้านออกแบบผลิตภัณฑ์
มาถึงไม่มี iphone ใช้ จะว่าไม่ชอบแบรนด์ก็ไม่ใช่
เพราะใช้คอมApple มาเป็น 10 ๆปี ตั้งแต่ที่มันยังไม่ดังระเบิด
อย่างที่เป็นอยู่ในยุคนี้...พ่ี่นึกว่าเธอเป็นสาวกของ Apple เสียอีก...

ก็เลยบอกพี่เขาว่า...เราใช้ apple มานานก็จริง ใช้มันตั้งแต่คนทั่วไป
ยังไม่รู้จัก ตั้งแต่สติ๊ป จ๊อบ ยังหาแนวทางการตลาดไม่สำเร็จ
ตั้งแต่ Apple ยังดิ่งลงสู่หุบเหวอยู่...แต่ที่เลือกใช้มันเพราะมันส่งเสริม
ในด้านที่เรากำลังเรียนอยู่ก็เท่านั้น...ไม่ได้สนเรื่องกระแสหรอกค่ะ...

ตอนนี้ก็ไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้ iphone ก็เลยไม่ซื้อมาใช้
มันแพงด้วย ที่สำคัญ ทุกวันนี้ก็แค่โทรศัพท์กับไลน์...
โทรศัพท์ธรรมดาทั่วไป ราคาไม่กี่พันก็มีความสามารถทำได้...

iphone ถูกสร้างมาเพื่อส่งเสริมพวกนักธุรกิจ หรือพูดง่ายๆก็คือ
ถูกสร้างมาเพื่อส่งเสริมการทำงานของพวกตลาดบน
อุปกรณ์และวัสดุที่นำมาใช้มันก็เลยค่อนข้างมีประสิทธิภาพสูง
ก็เลยแพง แต่ที่แพงกว่าค่าวัสดุที่นำมาผลิตก็คือ ตัวค่านิยมนี่แหล่ะ...

ค่าตัวนี้แหล่ะที่เป็นตัวแปรให้ผลิตภัณฑ์แพงได้อย่างที่เราคาดไม่ถึง

คนที่ทำหน้าที่ออกแบบและผลิตย่อมรู้ดีว่า...อะไรคือตัวแปรสำคัญ
สำหรับผลิตภัณฑ์หนึ่งๆ และเราจะไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือของสิ่งนั้น...

เราจะใช้ทุกอย่างตามที่เราเห็นว่ามันเหมาะกับงานของเรา
เหมาะกับวิถีชีวิตของเราอย่างที่สุด ที่สำคัญ...
เราอาจจะไม่รู้เลยว่า...ที่เราต้องซื้อ iphone ราคาแพงๆนั้น
เพราะเราต้องเสียค่าภาษีฟุ่มเฟือยด้วย...

เนื่องจากผลิตภัณฑ์บางตัวจะถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ของฟุ่มเฟือย
ทั้งที่ราคาของมันตอนวางขายในประเทศผู้ผลิตไม่ได้สูงลิบ
แต่พอมาวางขายในเมืองไทย ราคากลับสูง เพราะเราต้องเสียค่า
ภาษีฟุ่มเฟือยดังกล่าวด้วยค่ะ...พวกเสื้อผ้าแบรนด์เนม นาฬิกา
น้ำห้อมแบรนด์เนมในบ้านเราจึงแพงหูฉี่...

ซึ่งพวกเรา นักออกแบบมักเรียกภาษีฟุ่มเฟือยนี้เล่นๆกันว่า
ภาษีค่าโง่นั่นเองค่ะ...ซึ่งบางครั้งเราก็ยอมโง่เพื่อให้ได้อะไรบางอย่าง
มาครอบครองเพียงเพื่อสนองความอยาก ความอยากที่ว่า
มันไม่ได้มีความจำเป็นต่อชีวิตมากมายเลย...แต่เพราะความอยากมีอยากได้
จากที่ไม่มีความจำเป็นต่อชีวิตก็เลยกลายเป็นความจำเป็นต่อลมหายใจเข้าออก
ของเราๆขึ้นมา...

และความอยากตัวนี้นี่แหล่ะค่ะที่เป็นประตูเปิดให้
นักธุรกิจมาค้ากำไรเอากับเราอย่างที่เราก็ไม่อาจรู้ได้ว่าทำไม เจ้าสิ่งนั้นสิ่งนี้ถึงได้แพงขนาดนี้นะ...

เรารู้แค่เพียงว่า...ถ้าเรามีเจ้าสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วล่ะก็...
เราจะกลายเป็นคนทันสมัย ไม่ตกยุคหรือหล่นยุค
และเราจะกลายเป็นคนมั่งมี เพราะคนมั่งมีต้องมีเจ้าสิ่งนี้
เอาไว้ครอบครอง...

ดังนั้น...หากพวกเราๆจะสังเกต
พวกนักออกแบบหรือพวกอาร์ตทั้งหลาย
มักกลายเป็นคนตกยุค ดูเชยและแต่งกายไม่เหมือน
ชาวบ้านชาวช่องได้ตลอดล่ะค่ะ...ไม่ใช่ว่าอยากสวนกระแส แต่เรารู้ว่า...กระแสพวกนี้มีมาแล้วก็มีไป...
คนที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ก็จะเลือกสิ่งนั้นให้กับตัวเอง
มากกว่าจะเดินตามกระแสน่ะค่ะ...
ซึ่งบางครั้งสิ่งที่เราชอบก็ไม่จำเป็นเลยว่า
จะตรงกับกระแสนิยมในตอนนั้น...
แต่เพราะเรารู้จักตัวเราเอง...
และเลือกจะเป็นตัวของตัวเอง...จนกลายเป็นพวก
ไม่แยแสโลกไปบ้างในสายตาบางคน...

เพราะเรามักถูกสอนให้เป็นผู้สร้างกระแส
มากกว่าเดินตามกระแส...

แต่อดยอมรับไม่ได้ว่า...ตัวเองนัั้นมายืนอยู่ตรงจุด
ที่ไม่ได้อยากอยู่ เพราะมันไม่ใช่แนวทางที่เราต้องการ
ให้เป็นไปเลย...เนื่องจากกระแสที่เขาอยากให้เราสร้างขึ้นมันเป็นกระแสในด้านลบ...จึงไม่อยากมีส่วนร่วม
กับการสร้างกระแสดังกล่าว...

อินชาอัลลอฮฺ...หากอัลลอฮฺประสงค์
ก็อยากจะช่วยให้สังคมเราดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
แม้จะทำได้แค่เพียงนิดก็ตาม...

ไม่อยากให้พี่น้องเราตกอยู่ในวังวนของค่านิยมผิดๆ

อย่างน้อยตอนศึกษาหาความรู้ก็อยากให้แน่ใจว่า
ตัวเองนั้นจะศึกษาเรื่องนั้นเรื่องนี้เพื่ออะไร
ไม่อยากให้คิดแค่เพียงว่า เรียนๆไปเถิด
เอาแค่ใบปริญญามาได้ก็พอแล้ว...
จบไปเดี๋ยวก็ได้งานทำเองแหล่ะ...
ทำงานไปเดี๋ยวก็รวยเองแหล่ะ...

พึงรู้เถิดว่า เรากำลังใช้เวลาให้หมดไปอย่างน่าเสียดาย
เวลาเป็นสิ่งมีค่า...มีค่ามากค่ะ...

ถ้าเราพยายามหาตัวเองว่าถนัดอะไรได้เร็วเมื่อไหร่
และรู้เป้าหมายตัวเองได้ชัดเจนเมื่อไหร่...
แน่นอนว่า เวลาที่เราจะมานั่งหายใจรดโลกไปวันๆนั้น
ก็จะมลายหายไปในทันที...

คนที่เรียนจบมาไม่ได้รวยทุกคน พอๆกับคนที่ทำงานหนักๆขยันทำงานตัวเป็นเกลียวก็ไม่ได้รวยกันทุกคน...

เป้าหมายของการเรียนกับการทำงานที่แท้จริง
มันไม่ใช่แค่ต้องการเป็นคนรวยนะคะ...

แต่มันมีมากกว่านั้น...
หากเราพยายามทำความเข้าใจมันจริงๆ...

บางทีเราอาจจะพบว่าเรามีความสามารถมากกว่า
การทำให้ตัวเองเป็นคนรวยเสียอีกก็ได้ค่ะ...

เพราะเคยบอกพ่อว่า...พ่อรู้มั้ยว่า...หนูค้นเจอทาง
ที่จะทำให้หนูรวยได้แล้วนะ...แต่มันมีเหตุผลอย่างมากมายที่หนูจะไม่เลือกเดินทางนั้น...
หวังว่าพ่อจะไม่ตำหนิหนู...ถ้าพ่อรู้ว่าหนูจะต้องสูญเสีย
อะไรไปบ้างหากหนูเลือกเดินทางสายนั้นขึ้นมาจริงๆ...

แต่ให้พ่อเชื่อเถิดว่า...หนูพยายามเลือกทางที่ดีที่สุด
เท่าที่จะเลือกได้ให้กับตัวเองเสมอ...

เพราะผู้หญิง(บางคน)เลือกจะแต่งงานกับคนรวย
เพียงเพื่อจะได้เป็นคนรวย(และเป็นการรวยทางลัดเสียด้วย)ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยตรากตรำทำงานหนักเพื่อที่
จะได้รวย...

บางคนเลือกแต่งงานกับคนที่มีชื่อเสียงเพื่อจะได้
เป็นผู้มีชื่อเสียงด้วย...

บางคนเลือกจะสบายด้วยการทำงานทุจริต
ทำแค่ไม่นานก็รวย มีเงินใช้จ่ายมากมาย...


ยังเคยพูดกับพ่อเลยว่า...หนูยังค้นไปไม่เจอเลยว่า
มีทางไหนบ้างที่จะร่ำรวยขึ้นมาอย่างรวดเร็วทันใจ
โดยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า
นอกจากว่าทางนัั้นคือทางของชัยตอน...
และด้วยกับการเอารัดเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน...

วัสลามค่ะ

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version