แต่เป็นประเด็นที่ผมสงสัยที่สุด คือเรื่องฟะนะอ์ กับบะกอ
อีกเรื่องที่บอกว่า กูคือกู กูกึ่งกูกึ่งอัลเลาะฮ์ กูคืออัลเลาะฮ์ อันนี้ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง !
ถ้าเป็นผมเขียน ผมจะไม่เขียนโดยการใช้สำนวนเช่นนี้ แต่จะใช้สำนวนที่ง่ายต่อความเข้าใจและจะชี้รายละเอียดให้ทราบ
คำว่า
“กูคืออัลเลาะฮ์” เป็นคำพูดที่เกิดขึ้นของคนที่มีจิตฟะนาอฺอยู่กับอัลเลาะฮ์ เพ้ออยู่กับอัลเลาะฮ์จนลืมตัวเอง
จนบางครั้งเขาพูดออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า “กูคืออัลเลาะฮ์” ซึ่งหลักฟะนาอฺเช่นนี้ จะนำมาเป็นบรรทัดฐานไม่ได้ อนึ่ง การซิกุรลลอฮ์มาก ๆ เป็นคุณลักษณะของมุอฺมิน คนเรารักสิ่งใดหรือรักผู้ใดก็จะกล่าว , คิดคำนึง , รำลึกถึง , สิ่งนั้นหรือผู้นั้นมาก จนกระทั่งจิตใจไม่พะวงหรือไปคิดกับสิ่งอื่นอีกแล้ว เมื่อดูโทรทัศน์รายการที่เขาชอบ จิตใจของเขาก็จะถูกดึงเข้าไปในรายการโทรทัศน์นั้นด้วย จนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงผู้เรียกก็มี แต่ต้องซ้ำกันถึงจะได้ยิน เพราะจิตใจของเขาเข้าไปอยู่หรือมุ่งจดจู่อยู่กับรายการที่เขาชอบ บรรดาเพื่อนหญิงของพระนางสุไลคอต้องปลอกผลไม้โดยมีดบาดมือตนเองโดยไม่รู้สึกเจ็บเมื่อได้เห็นความหล่อเหลางดงามของนบียูซุฟ อะลัยฮิสลาม นั่นก็เพราะจิตใจของพวกนางจดจู่อยู่กับนบียูซุฟโดยสติสตังไม่รู้สึกมีดที่กำลังบาดมือพวกนางอีกแล้ว ดังนั้นผู้ที่อยู่ในสภาวะฟะนาอฺนั้น กล่าวคือ บางคนจิตใจของเขาดื่มด่ำความรักที่มีต่ออัลเลาะฮ์ตะอาลา จนกระทั่งเพ้อต่ออพระองค์โดยสติปัญญาไม่สามารถแยกแยะอะไรได้ในบางขณะอันเนื่องมาจากสภาวะจิตใจของมนุษย์ไม่สามารถแบกรับการตะญัลลีย์(สำแดง)ซีฟาตอันยิ่งใหญ่และวิจิตงามของอัลเลาะฮ์ที่มีอยู่ในจิตใจของเขาได้ เมื่อเขาพูดอะไรออกมาในขณะที่สติปัญญาไม่สามารถแยกแยะอะไรได้ ก็จะเป็นคำพูดที่เพ้อในอัลเลาะฮ์ เช่นกล่าวว่า กึ่งกูกึ่งอัลเลาะฮ์ , กูคืออัลเลาะฮ์ , ไม่มีสิ่งใดอยู่ในเสื้อนอกจากอัลเลาะฮ์ , หรือมหาบริสุทธิ์มีแด่ฉัน เป็นต้น นั่นคือคำพูดที่อยู่ในขณะจิตใจอยู่ในสภาวะฟะนาอฺ พูดโดยไม่รู้สึกตัวและไม่สามารถแยกแยะอะไรได้ หลักการของศาสนาจึงผ่อนปรนให้
ท่านอิบนุก็อยยิม (อุลามาอฺอาวุโสที่วะฮาบีให้การยอมรับ) กล่าวว่า
وَفِيْ هَذِهِ الْحَالِ قَدْ يَقُوْلُ صَاحِبُهَا مَا يُحْكَي عَنْ أَبِيْ يَزِيْدَ أَنَّهُ قَالَ : سُبْحَانِْي أَوْ مَا فِي الْجُبَّةِ إِلَّا اللهُ وَنَحْوُ ذَلِكَ مِنَ الكَلِمَاتِ الَّتِيْ لَوْصَدَرَتْ عَنْ قَائِلِهَا وَعَقْلُهُ مَعَهُ لَكَانَ كَافِراً وَلَكِنْ مَعَ سُقُوْطِ التَّمْيِيْزِ وَالشُّعُوْرِ ، قَدْ يُرْتَفَعُ عَنْهُ قَلَمُ الْمُؤَاخَذَةِ
"ในสภาวะจิตใจ(ฟะนาอฺ)นี้ บางครั้งผู้ที่มีสถาวะจิตใจเช่นนี้อาจจะกล่าวสิ่งที่ได้เล่าจากท่านอะบียะซีด (อัลบัสฏอมีย์) จากคำพูดของเขาที่ว่า มหาบริสุทธิ์มีแด่ฉัน หรือ ไม่มีอะไรในเสื้อนี้นอกจากอัลเลาะฮ์ และบรรดาถ้อยคำอื่น ๆ เช่นเดียวกันนี้ ซึ่งถ้าหากผู้ที่กล่าวมันนั้น สติปัญญาได้มีอยู่พร้อมกับเขา(ซึ่งทำให้เขาเชื่อเช่นนั้น) แน่นอนเขาย่อมเป็นกาเฟร
แต่ทว่าหากเขา(ได้พูดออกมาโดย)อยู่พร้อมกับสภาวะที่(สติปัญญา)ไม่สามารถแยกแยะและไม่มีความรู้สึกตัวแล้ว บางครั้งปากกาบันทึกการเอาผิดกับเขาอาจจะถูกยกไป" หนังสือมะดาริจญฺ อัซซาลิกีน 1/118
ท่านอิบนุตัยมียะฮ์ ได้กล่าวว่า
وَلَمْ يَكُنْ ذَلِكَ بِذَنْبٍ مِنْهُ كَانَ مَعْذُوْراً غَيْرَ مُعَاقَبٍ عَلَيْهِ مَا دَامَ غَيْرَ عَاقِلٍ...فَهَذِهِ الْحَالُ تَعْتَرِيْ كَثِيْراً مِنْ أَهْلِ الْمَحَبَّةِ وَالإِرَادَةِ فِيْ جَانِبِ الْحَقِّ...فَإِنَّهُ يَغَيْبُ بِمَحْبُوْبِهَ عَنْ حُبِّهِ وَعَنْ نَفْسِهِ وَبِمَذْكُوْرِهِ عَنْ ذِكْرِهِ...فَلَا يَشْعُرُ حِيْنَئِذٍ بِالتَّمْيِيْزِ وَلَا بِوُجُوْدِهِ ، فَقَدْ يَقُوْل ُفِيْ هِذِهِ الْحَالِ : أَنَا الْحَقُّ أَوْ سُبْحَانِيْ أَوْ مَا فِي الْجُبَّةِ إِلَّا اللهُ وَنَحْوُذَلِكَ
"(บางครั้งสภาวะฟะนาอฺทำให้บางคนพูดสิ่งที่ทำให้เกิดการที่อัลเลาะฮ์เป็นหนึ่งเดียวหรือพระองค์ทรงสิงสถิตอยู่กับมัคโลค)ดังกล่าวนั้น
ย่อมไม่เป็นบาปที่มาจากเขา ซึ่งจะถูกผ่อนปรนอภัยให้ โดยไม่ถูกลงโทษตราบที่เขาอยู่ในสภาวะที่ไม่มีสติปัญญา(เพ้ออยู่กับอัลเลาะฮ์ไม่สามารถแยกแยะอะไรได้ในช่วงขณะหนึ่ง) ...ดังนั้นสภาวะเช่นนี้ ได้เกิดขึ้นมากมายแก่ผู้ที่มีความรักต่ออัลเลาะฮ์และยอมมอบตัวเองให้เป็นไปตามความต้องการ(อิรอดะฮ์)ของพระองค์...เพราะด้วย(ความรักอันดื่มด่ำ)ต่ออัลเลาะฮ์ผู้เป็นที่รักของเขา ทำให้เขาไม่รู้สึกถึงการมีเขาและมีตัวเอง และด้วยกับอัลเลาะฮ์ที่ถูกกล่าวรำลึก(การซิกรุลลอฮ์ต่อพระองค์อย่างดื่มด่ำ) ทำให้เขาไม่รู้สึกถึงการกล่าวซิกิรของเขา...ในขณะนั้นเขาจึงไม่รู้สึกในการแยกแยะได้หรือไม่มีการแยกแยะได้ จนบางครั้งทำให้เขากล่าวในสภาวะฟะนาอฺอันนี้ว่า
ฉันคืออัลเลาะฮ์ หรือ มหาบริสุทธิ์จงมีแด่ฉัน หรือ ไม่มีสิ่งใดในเสื้อของฉันนอกจากอัลเลาะฮ์ และอื่น ๆจากสิ่งดังกล่าว หนังสือมัจญฺมั๊วะอัลฟะตาวา 2/396 ของท่านอิบนุตัยมียะฮ์
บทสรุปคือ การฟานาอฺ(เพ้ออยู่กับอัลเลาะฮ์)ในระดับขั้นที่ลืมซึ่งตนเอง จนเผลอกล่าวว่า กูคืออัลเลาะฮ์ นั้น หากกล่าวออกมาโดยไม่เจตนา ถือว่าถูกอภัยให้ แต่ถ้าหากคนหนึ่งแกล้งทำเป็นฟะนาอฺ แล้ว
พูดออกมาว่า กูคืออัลเลาะฮ์ โดยมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เขาย่อมเป็นกาเฟร วัลอิยาซุบิลลาฮ์!วัลลอฮุอะลัม