สูเราะฮฺ อัลญิน อายะฮฺที่ 13 - 17คำอ่าน13. วะอัน..นาลัม..มาสะมิอฺนัลฮุดา..อามัน..นาบิฮฺ, ฟะมัย..ยุอ์มิม..บิร็อบบิฮี ฟะลายะคอฟุ บัคเสา..วะลาเราะฮะกอ
14. วะอัน..นามิน..นัลมุสลิมูนะ วะมิน..นัลกอสิฏูน ฟะมันอัสละมะ ฟะอุลา..อิกะ ตะหัรฺร็อวเราะชะดา
15. วะอัม..มัลกอสิฏูนะ ฟะกานูลิญะฮัน..นะมะหะเฏาะบา
16. วะอัลละวิสตะกอมู อะลัฏเฏาะรีเกาะติ ละอัสก็อยนาฮุม..มา...อัน..เศาะดะกอ
17. ลินัฟตินะฮุมฟีฮิ วะมัย..ยุอฺริฎอัน..ซิกริร็อบบิฮี ยัสลุกฮุอะซาบัน..เศาะอะดา
คำแปล R1.13. 'And indeed when we heard the guidance (this Qur'an), we believed therein (Islamic Monotheism), and whosoever believes in his Lord shall have no fear, either of a decrease in the reward of his good deeds or an increase in punishment for his sins.
14. 'And of us some are Muslims (who have submitted to Allah, after listening to this Qur'an), and of us some are Al-Qasitun (disbelievers those who have deviated from the right path)'. And whosoever has embraced Islam (i.e. has become a Muslim by submitting to Allah), Then such have sought the right path."
15. And as for the Qasitun (disbelievers who deviated from the right path), they shall be firewood for Hell,
16. If they (non-Muslims) had believed in Allah, and went on the right way (i.e. Islam) we should surely have bestowed on them water (rain) In abundance.
17. That we might try them thereby. And whosoever turns away from the reminder of his Lord (i.e. This Qur'an, and practice not its laws and orders), He will cause him to enter in a severe torment (i.e. Hell).คำแปล R2.13. “และแท้จริงเมื่อพวกเราได้ยินสิ่งชี้นำพวกเราก็ศรัทธาสิ่งนั้น แท้จริงผู้ใดศรัทธากับองค์อภิบาลของเขา เขาก็จะไม่กลัวการลดรางวัลและการครอบงำความอัปยศ
14. “และแท้จริงบางส่วนจากพวกเราเป็นพวกที่ยอมสวามิภักดิ์ (ยอมศรัทธาในนบีมุฮำมัด) และบางส่วนของพวกเราเป็นพวกที่ล่วงละเมิด กล่าวคือ ผู้ที่ยอมสวามิภักดิ์นั้น แน่นอนพวกเหล่านั้นได้มุ่งสู่ความถูกต้องแล้ว
15. “และส่วนบรรดาผู้ล่วงละเมิด แน่นอนพวกเขาก็จักต้องเป็นเชื้อเพลิงสำหรับนรกยะฮันนัม
16. (นยบีมุฮำมัดได้รับโองการมาอีกว่า) “และมาตรว่าพวกเจ้าได้ยืนหยัดอยู่บนแนวทาง (ของอิสลาม) แน่นอนเราจักให้น้ำฝนอันอุดมสมบูรณ์หลั่งมาให้พวกเขา (ภายหลังที่พวกเขานั้นแห้งแล้ง)
17. เพื่อเราจักทดสอบพวกเขาใน (ความโปรดปราน) นั้น (ว่าพวกเขาจะกตัญญูหรือไม่) และผู้ใดหันเหออกจากการรำลึกถึงองค์อภิบาลของเขา แน่นอนพระองค์จักทรงดำเนินการลงโทษอย่างหนักที่สุดแก่เขาคำแปล R3.13. และ “ทันทีที่เราได้ยินสาส์นแห่งทางนำ เราก็ศรัทธาในทางนำนั้น ตอนนี้ผู้ใดที่ศรัทธาในพระผู้อภิบาลของพวกเขาก็จะไม่ต้องกลัวความขาดทุนและความไม่เป็นธรรม”
14. และ “ในหมู่พวกเรานั้น มีบางตนเป็นมุสลิม (ยอมจำนนต่ออัลลอฮฺ) และบางตนหันห่างออกไปจากสัจธรรม ผู้ใดที่ปฏิบัติตามอิสลาม (หนทางแห่งการยอมจำนน) ก็จะพบหนทางไปสู่ความรอดพ้น
15. ส่วนบรรดาผู้หันเหออกจากสัจธรรมนั้น จะกลายเป็นเชื้อเพลิงสำหรับนรก
16. และ “(โอ้ นบี จงกล่าวเถิดว่าได้มีวะฮีย์มายังฉันดังนี้) “ถ้าผู้คนยืนหยัดปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้องเราก็จะประทานน้ำแก่พวกเขาอย่างอุดมสมบูรณ์”
17. เพื่อที่เราจะทดสอบพวกเขาโดยความจำเริญนั้น และผู้ใดที่หันห่างออกไปจากการระลึกถึงพระผู้อภิบาลของเขาพระองค์ก็จะทรงลงโทษเขาอย่างแสนสาหัสคำแปล R4.13. และแท้จริงเมื่อเราได้ยินอัลกุรอานเราก็ศรัทธาต่ออัลกุรอานนั้น ดังนั้นผู้ใดศรัทธาต่อพระเจ้าของเขา เขาก็จะไม่หวั่นเกรงต่อการขาดทุน และการอยุติธรรม
14. และแท้จริงในหมู่พวกเรามีผู้ที่เป็นมุสลิม และในหมู่พวกเรามีผู้อธรรม ดังนั้นผู้ใดนอบน้อม ชนเหล่านั้นพวกเขาได้มุ่งสู่แนวทางที่ถูกต้อง
15. และส่วนบรรดาผู้ที่หันห่างออกจากความจริง พวกเขาก็เป็นฟืนของไฟนรก
16. และหากพวกเขาธำรงมั่นอยู่บนแนวทางที่เที่ยงธรรม แน่นอนเราก็จะให้พวกเขามีริซกีกว้างขวาง
17. เพื่อเราจะทดสอบพวกเขาในเรื่องนี้ และผู้ใดหันห่างจากการรำลึกถึงพระเจ้าของเขา พระองค์จะให้เขาได้รับการลงโทษอันแสนสาหัสคำแปล R5.๑๓. และแท้จริงพวกเราเมื่อได้ยินสิ่งชี้นำของอัลกุรอาน พวกเราก็มีศรัทธาทันที ดังนั้นผู้ใดศรัทธาในพระผู้ทรงอภิบาลของเขา แน่นอนเขาก็ไม่กลัวความบกพร่องใด ๆ และไม่กลัวความเลวร้ายใด ๆ จะบังเกิดแก่ตัวเขา
๑๔. และแท้จริง มีพวกเราบางคนที่เป็นมุสลิมผู้ศรัทธาและมีพวกเราบางคนที่เป็นผู้ฉ้อฉล ดังนั้นผู้ใดที่ยอมสวามิภักดิ์ แน่นอนพวกเหล่านั้นได้มุ่งสู่ความถูกต้องแล้ว
๑๕. และส่วนบรรดาจำพวกฉ้อฉลที่ไม่ยอมศรัทธา แน่นอนพวกเขาจะต้องเป็นเชื้อเพลิงให้แก่นรกยะฮันนัม สำหรับลงโทษพวกกระทำผิดทั้งมวล
๑๖. และหากแม้นพวกเขาได้ตั้งมั่นอยู่บนแนวทางแห่งศาสนาอิสลามอย่างมั่นคงแน่นอนที่สุด เราก็จักหลั่งน้ำฝนอันบริบูรณ์ลงมาแก่พวกเขา อัลกุรอานโองการนี้ได้ลงมาให้กับชาวมักกะห์ภายหลังพวกนั้นประสบความแห้งแล้งติดต่อกันเจ็ดปี จนถึงกับต้องกินซากสัตว์
๑๗. ทั้งนี้เพื่อเราจะทำการทดสอบพวกเขาในการให้มีน้ำฝนหลั่งลงมานั้นว่า พวกเขาจะมีศรัทธาและรู้กตัญญูหรือไม่ และผู้ใดเพิกเฉยจากการรำลึกถึงพระผู้ทรงอภิบาลของเขา พระองค์ก็จะทรงดำเนินการลงโทษอันลำเค็ญที่สุดแก่เขาสูเราะฮฺ อัลญิน อายะฮฺที่ 18 - 20คำอ่าน18. วะอัน..นัลมะสาญิดะลิลลาฮิ ฟะลาตัดอูมะอัลลอฮิอะหะดา
19. วะอัน..นะฮู ลัม..มากอมะอับดุลลอฮิ ยัดอูฮุกาดู ยะกูนูนะอะลัยฮิลิบะดา
20. กุลอิน..นะมา..อัดอูร็อบบี วะลาอุชริกุบิฮี..อะหะดา
คำแปล R1.18. And the Mosques are for Allah (Alone), so invoke not anyone along with Allah.
19. (it has been revealed to me that) when the slave of Allah (Muhammad) stood up invoking (his Lord Allโh) In prayer to Him they (the jinns) just made round him a dense crowd as if sticking one over the other (in order to listen to the Prophet's recitation).
20. Say (O Muhammad): "I invoke Only My Lord (Allah Alone), and I associate none as partners along with him."คำแปล R2.18. “และแท้จริงบรรดามัสยิดทั้งหลายเป็นของอัลเลาะฮฺ ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าวอนนมัสการผู้ใดร่วมกับอัลเลาะฮฺ
19. และแท้จริงเขา (นบีมุฮำมัด) ได้ยืนขึ้นวอนนมัสการต่อพระองค์ พวกเขา (ชาวญิน) ก็เกือบจะทับถมกันเอง (เพราะการเบียดเสียดจ้องมอง การกระทำนั้นด้วยการสนเท่ห์)
20. จงประกาศเถิด “อันที่จริงฉันวอนนมัสการต่อองค์อภิบาลของฉันโดยเฉพาะและไม่ขอตั้งสิ่งใดขึ้นเป็นภาคีกับพระองค์”คำแปล R3.18. และมัสญิดทั้งหลายนั้นเป็นของอัลลอฮฺ ดังนั้นจงอย่าวิงวอนผู้ใดร่วมกับอัลลอฮฺ
19. และเมื่อบ่าวของอัลลอฮฺยืนขึ้นวิงวอนต่อพระองค์ ผู้คนก็กรูกันเข้ามาล้อมเขา”
20. โอ้ นบี จงกล่าวเถิดว่า “ฉันวิงวอนต่อพระผู้อภิบาลของฉันเท่านั้น และฉันไม่เอาผู้ใดมาเป็นภาคีกับพระองค์”คำแปล R4.18. และว่าแท้จริงบรรดามัสยิดนั้นเป็นของอัลลอฮฺ ดังนั้น พวกเจ้าอย่าวิงวอนขอผู้ใดเคียงคู่กับอัลลอฮฺ
19. และว่าแท้จริงเมื่อบ่าวของอัลลอฮฺ (มุฮัมมัด) ยืนขึ้นกล่าววิงวอนขอต่อพระองค์พวกเขา (ญิน) ก็ได้ห้อมล้อมเขาอย่างหนาแน่น
20. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด ว่า แท้จริงฉันวิงวอนขอต่อพระเจ้าของฉัน และฉันจะมิตั้งผู้ใดเป็นภาคีต่อพระองค์คำแปล R5.๑๘. และอันที่จริงบรรดามัสยิดนั้นเป็นเอกสิทธิ์ของอัลเลาะห์ ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าวอนนมัสการแก่ผู้ใดร่วมกับอัลเลาะห์เป็นอันขาด ไม่ว่าจะเป็นมลาอิกะห์ที่พวกอาหรับบางกลุ่มยึดถือ หรืออุซัยร์ที่พวกยิวยึดถือ หรืออีซาที่พวกคริสต์ยึดถือ โดยยึดถือว่าสิ่งดังกล่าวเป็นบุตรแห่งอัลเลาะห์ ที่จะต้องทำการกราบไหว้ร่วมกับอัลเลาะห์ด้วย
๑๙. และแท้จริงเมื่อบ่าวแห่งอัลเลาะห์ (นบีมุฮำมัด) ได้ยืนขึ้นวอนนมัสการต่อพระองค์ในพิธีละหมาดซุบฮิ์ ณ สถานที่มีชื่อ “บัฏนัคลิ์” พวกเขา (เหล่าชาวญิน) เกือบจะเบียดเสียดแก่เขา (นบีมุฮำมัด) เพื่อเข้ามามุงรับฟังอัลกุรอาน ที่อัญเชิญในการละหมาดนั้น
๒๐. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวเถิด อันที่จริงฉันนี้จะทำการวอนนมัสการเพียงเฉพาะต่อพระผู้ทรงอภิบาลของฉันเท่านั้น และฉันจะไม่อุปโลกน์สิ่งใดขึ้นมาเป็นภาคีกับพระองค์เป็นอันขาด