ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 72 สูเราะฮฺ อัลญิน  (อ่าน 4534 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด


 :salam:

คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺ อัลญิน (الجن) เป็นสูเราะฮฺมักกียะฮฺ มี 28 อายะฮฺ

บทนำ (R3.)
ชื่อ : อัลญิน (الجن) เป็นชื่อของซูเราะฮฺนี้ซึ่งพูดถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ที่พวกญินได้มาฟังกุรฺอานและได้ไปสอนพวกของตน
ระยะเวลาของการประทานซูเราะฮฺ : จากฮะดีษของบุคอรีและมุสลิมซึ่งได้ซึ่งได้รับรายงานมาจากอับดุลลอฮฺ บิน อับบาสกล่าวว่า ครั้งหนึ่งท่านรอซูลุลลอฮฺได้ไปที่ตลาดอุกาซกับบรรดาสาวกของท่านบางคน ในระหว่างทางท่านได้นำนมาซตอนรุ่งอรุณที่นัคละฮฺ ในตอนนั้น ญินกลุ่มหนึ่งได้ผ่านมาทางนั้นพอดี เมื่อได้ยินกุรอานที่ท่านรอซูลุลลอฮฺกำลังอ่านอยู่ พวกญินก็หยุดฟังด้วยความตั้งอกตั้งใจ เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ได้ถูกกล่าวไว้ในซูเราะฮฺนี้
   จากพื้นฐานของเหตุการณ์ดังกล่าว นักอรรถาธิบายกุรอานส่วนใหญ่จึงเชื่อว่านี่เป็นการพูดถึงเหตุการณ์เมื่อตอนที่ท่านรอซูลุลลอฮฺเดินทางไปยังฏออีฟซึ่งเกิดขึ้นก่อนการอพยพ 3 ปี หรือในปีที่ 10 แห่งการเป็นนบีของท่าน แต่มีเหตุผลหลายประการที่ทำให้เชื่อว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เรื่องการที่พวกญินได้มาฟังกุรอานระหว่างที่นบีเดินทางไปยังฏออีฟได้ถูกกล่าวไว้ในซูเราะฮฺอัล-อะฮฺกอฟ 29:32 การอ่านอายะฮฺดังกล่าวอย่างคร่าว ๆ แสดงให้เห็นว่าพวกญินที่ศรัทธาหลังจากที่ได้ยินกุรอานในตอนนั้นเป็นพวกญินที่ศรัทธาในนบีมูซาและคัมภีร์ก่อน ๆ อยู่แล้ว ในทางตรงข้าม อายะฮฺที่ 2-7 ของซูเราะฮฺนี้ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกญินที่ได้ยินกุรานในตอนนั้นเป็นพวกที่บูชาเทวรูปและปฏิเสธโลกหน้าและการมีนบีด้วย ดังนั้น ประวัติศาสตร์จึงได้ยืนยันว่าในการเดินทางไปยังฏออีฟครั้งนั้นไม่มีใครที่ติดตามท่านรอซูลุลลอฮฺไปนอกจาก เซด บินฮาริซะฮฺเท่านั้น ในอีกด้านหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องการเดินทางนี้ อิบนุอับบาสกล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺมีสาวกบางคนติดตามไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ฮะดีษอีกหลายตอนก็เห็นด้วยว่าในการเดินทางครั้งนั้น พวกญินได้ยินกุรอานเมื่อท่านรอซูลุลลอฮฺได้แวะพักที่นัคละฮฺตอนขากลับจากฏออีฟไปยังมักกะฮฺ และในการเดินทางครั้งนี้ ตามฮะดีษของอิบนุอับบาส เรื่องราวของการที่ญินได้ฟังกุรอานก็เกิดขึ้นเมื่อตอนที่ท่านรอซูลุลลอฮฺกำลังเดินทางจากมักกะฮฺไปอุกาซ ดังนั้นจากเหตุผลดังกล่าว สิ่งที่น่าจะถูกต้องก็คือ ในซูเราะฮฺ อัล-อะฮฺกอฟและซูเราะฮฺอัล-ญิน มิได้กล่าวถึงเหตุการณ์เดียวกัน แต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างการเดินทาง 2 ครั้ง
   เกี่ยวกับซูเราะฮฺ อัล-อะฮฺกอฟนั้น เป็นที่เห็นพ้องต้องกันว่าเรื่องราวของเหตุการณ์ที่ถูกกล่าวในซูเราะฮฺนั้นเกิดขึ้นในตอนขากลับจากฏออีฟในปีที่ 10 ของการเป็นนบี ส่วนคำถามที่ว่าเหตุการณ์ครั้งที่สองนี้เกิดขึ้นเมื่อใด ฮะดีษของอิบนุอับบาสมิได้ให้คำตอบไว้ และก็ไม่มีบันทึกทางประวัติศาสตร์ใด ๆ แสดงให้เห็นว่าท่านรอซูลุลลอฮฺและสาวกบางคนของท่านได้ไปที่อุกาซเมื่อใด อย่างไรก็ตาม จากการพิจารณาอายะฮฺ  8-10 ของซูเราะฮฺนี้ได้แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ตอนนี้ อาจเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงต้น ๆ ของการเป็นนบี ในอายะฮฺดังกล่าวนี้ ได้มีกรกล่าวว่า ก่อนที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรอซูลุลลอฮฺเพื่อการปฏิบัติภารกิจที่พระผู้เป็นเจ้าได้มอบหมายให้นั้น พวกญินได้เคยแอบขึ้นไปบนชั้นฟ้าเพื่อฟังข่าวเกี่ยวกับสิ่งเร้นลับ และทันใดนั้น พวกมันก็ได้พบว่ามลาอิกะฮฺได้เข้ามาขัดขวางและได้มีสะเก็ดดาวจำนวนมากพุ่งมายังทุกด้านเพื่อป้องกันพวกมันมิให้สามารถฟังความลับได้ ดังนั้น พวกมันจึงได้ออกหาสิ่งผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกนี้หรือที่กำลังจะเกิดขึ้นซึ่งเป็นสาเหตุให้ต้องมีมาตรการป้องกันที่เข้มงวดมาก อาจเป็นไปได้ว่าหลังจากนั้นพวกญินจะต้องออกหาดูสิ่งที่ผิดปกติและหลังจากที่ได้ยินกุรอานจากท่านรอซูลุลลอฮฺแล้ว ญินตนหนึ่งจะต้องมีความคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ประตูแห่งชั้นฟ้าปิดกั้นมันไว้
   การมีอยู่จริงของญิน : ก่อนที่เราจะเริ่มศึกษาซูเราะฮฺนี้ เราจะต้องรู้เรื่องความเป็นจริงของญินให้เป็นที่ชัดเจนเสียก่อนเพื่อที่จะได้ไม่มีความคิดที่สับสน คนยุคใหม่หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าญินไม่มีอยู่จริง หากแต่มันเป็นเรื่องที่สร้างขึ้นมาหรือเป็นเรื่องความเชื่อทางไสยศาสตร์โบร่ำโบราณ คนเหล่านี้คิดว่าบนพื้นฐานที่พวกเขารู้เรื่องความจริงเกี่ยวกับจักรวาลนั้น พวกเขาพบแล้วว่าญินไม่มีอยู่จริง พวกเขาไม่สามารถที่จะมาอ้างว่าพวกเขามีความรู้เช่นนั้น แต่พวกเขาทึกทักเอาโดยไม่มีเหตุผลและข้อพิสูจน์ว่าในจักรวาลนี้ไม่มีอะไรนอกไปจากสิ่งที่พวกเขาสามารถเห็นได้เท่านั้น ในขณะที่ขอบเขตของการเห็นของมนุษย์ต่อความกว้างใหญ่ไพศาลของจักรวาลนั้นไม่อาจเปรียบเทียบได้แม้แต่น้ำหยดหนึ่งกับมหาสมุทร คนที่คิดว่าสิ่งที่มองไม่เห็นจะต้องไม่มีและสิ่งที่มีอยู่จะต้องเห็นได้นั้น ความจริงแล้วคนพวกนี้กำลังพิสูจน์ให้เห็นถึงความคิดอันคับแคบของตัวเอง ด้วยความคิดเช่นนี้ มนุษย์ไม่อาจที่จะได้รับแม้แต่ความรู้และความจริงใด ๆ ที่เขาไม่สามารถพบและสังเกตได้โดยตรง และเขาไม่อาจแม้แต่จะยอมรับการมีอยู่ของพระเจ้าได้ อย่าว่าแต่พูดถึงเรื่องของญินเลย
   คนมุสลิมที่ได้รับอิทธิพลจากความคิดสมัยใหม่แต่ไม่สามารถปฏิเสธกุรอานได้ต่างพยายามอธิบายความหมายของกุรอานที่ชัดเจนเกี่ยวกับญิน อิบลีสและชัยฏอนไปในทางแปลก ๆ พวกเขากล่าวว่า สิ่งที่กุรอานกล่าวถึงนี้มิใช่สิ่งถูกสร้างที่เร้นลับที่มีอยู่โดยตัวของมันเองอย่างเป็นเอกเทศแต่ประการใด แต่บางครั้งมันหมายถึงพลังงานแห่งความเป็นสัตว์ในตัวของมนุษย์เองซึ่งถูกเรียกว่าชัยฏอน และบางครั้งมันก็หมายถึงชาวเขาที่ป่าเถื่อน และบางครั้งก็หมายถึงคนที่เคยแอบมาฟังกุรอาน แต่คำพูดของกุรอานเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นที่ชัดเจนเสียจนการอธิบายความหมายเช่นนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งที่กุรอานพูดถึงเลย
   คัมภีร์กุรอานเอ่ยถึงญินและมนุษย์บ่อยครั้งในลักษณะที่ชี้ให้เห็นว่าทั้งสองนี้เป็นสิ่งถูกสร้างที่ไม่เหมือนกัน เกี่ยวกับเรื่องนี้ ลองดูกุรอาน 7:38, 11:119, 41:25,29, 46:18, 51:56 และตลอดทั้งซูเราะฮฺอัรฺ-เราะฮฺมาน (55) ซึ่งเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าไม่มีทางใด ๆ ที่จะทำให้คิดว่า ญินเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์เผ่าหนึ่ง
   ในซูเราะฮฺ อัล-อะรอฟ (7) :12, ซูเราะฮฺ อัล-ฮิจรฺ (15) :26-27 และซูเราะฮฺ อัรฺ-เราะฮฺมาน (55):14-15 ได้มีการกล่าวว่ามนุษย์ได้ถูกสร้างมาจากดินและญินถูกสร้างมาจากไฟ
   ในซูเราะฮฺ อัล-ฮิจญ์ริ : 27 ได้มีการกล่าวว่า ญินได้ถูกสร้างมาก่อนมนุษย์และเรื่องนี้ก็ได้รับการยืนยันโดยเรื่องราวของอาดัมและอิบลีส ซึ่งได้มีการกล่าวเล่าไว้ในกุรอานถึง 7 แห่งด้วยกัน และทุกที่ก็ได้มีการยืนยันว่าอิบลีสได้อยู่ที่นั่นแล้วในตอนสร้างมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้น ในซูเราะฮฺ อัล-กะฮฺฟิ่ :50 ก็ได้มีการกล่าวว่า อิบลีสเป็นพวกญิน
   ในซูเราะฮฺ อัล-อะอฺรอฟ :27 ได้มีการกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า ญินเห็นมนุษย์แต่มนุษย์ไม่เห็นมัน
   ในซูเราะฮฺ อัลฮิจญ์ริ (15) :16-18, ซูเราะฮฺ อัศ-ศอฟฟาต (37) :6-10 และซูเราะฮฺ อัลมุลก์ (67) :5 ได้มีการกล่าวว่าถึงแม้พวกญินจะสามารถจะขึ้นไปบนชั้นฟ้าได้ แต่พวกมันก็ไม่สามารถขึ้นไปเกินกว่าขอบเขตที่ได้ถูกกำหนดไว้ พวกมันไม่ได้รับอนุญาตให้ข้ามเลยขอบเขตนั้นไป และถ้าพวกมันพยายามที่จะฟังสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นไปในชั้นฟ้า พวกมันจะถูกขับไล่โดยสะเก็ดดาว นี่คือการปฏิเสธความเชื่อของพวกบูชาเจว็ดที่เชื่อว่าพวกญินมีความรู้ในสิ่งเร้นลับหรือได้เข้าไปถึงความลี้ลับของพระเจ้า ความเชื่อผิด ๆ เช่นนี้ก็ได้ถูกปฏิเสธไว้อีกเช่นกันในซุเราะฮฺ สะบะอ์ (34) :14
   ในซูเราะฮฺ อัล-บะกอเราะฮฺ (2) :30-34 และซูเราะฮฺ อัลกะฮฺฟี่ (18) :50 ได้แสดงให้เห็นว่าอัลลอฮฺได้มอบหมายให้มนุษย์เป็นตัวแทนในหน้าแผ่นดินและมนุษย์นั้นเหนือกว่าญิน ถึงแม้ว่าญินจะได้รับอำนาจและความสามารถพิเศษบางอย่าง ซึ่งเราสามารถพบได้ในในซูเราะฮฺ อัน-นัมลุ (27) :39 เหมือนกับที่สัตว์บางอย่างมีความสามารถเหนือกว่ามนุษย์ แจ่นั่นก็มิใช่เหตุผลที่จะนำมาโต้แย้งว่าสัตว์มีความเหนือกว่ามนุษย์
   คัมภีร์กุรอานยังได้อธิบายอีกว่า ญินก็เหมือนกับมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งถูกสร้างที่มีอำนาจหน้าที่ และมันก็สามารถที่จะเลือกได้ว่าจะเชื่อฟังหรือฝ่าฝืน จะศรัทธาหรือปฏิเสธเหมือนกับมนุษย์ เรื่องราวของชัยฏอนและญินในซูเราะฮฺอัล-อะฮฺกอฟและอัล-ญิน ได้ยืนยันเรื่องนี้
   นอกจากนี้แล้วในหลายแห่งของคัมภีร์กุรอานก็ได้มีการกล่าวไว้ว่าในตอนสร้างอาดัมนั้น อิบลีสได้ตัดสินใจที่จะหลอกลวงมนุษยชาติให้หลงผิด และหลังจากนั้นเป็นต้นมาญินชัยฏอนก็ได้พยายามล่อลวงมนุษย์มาโดยตลอด แต่มันก็ไม่มีอำนาจที่จะบังคับมนุษย์ให้ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ อย่างไรก็ตามพวกมันจะใช้วิธีการโน้มน้าวจิตใจให้คำแนะนำชั่ว ๆ ล่อลวงต่าง ๆ นานา และทำให้ความชั่วช้าเลวทรามเป็นสิ่งดีงามในสายตาของมนุษย์ เกี่ยวกับเรื่องนี้ กรุณาดูซูเราะฮฺ อัน-นิซาอ์ (4) 117-120, ซูเราะฮฺ อัล-อะอฺรอฟ (7) :11-17, ซูเราะฮฺอิบรอฮีม (14):22, ซูเราะฮฺ อัล-ฮิจญ์ริ (15) : 30-42, ซูเราะฮฺ อัน-นะฮฺลุ่ (16) :98-100 และซูเราะฮฺ บนีอิสรออีล (17): 61-65
   คัมภีร์กุรอานยังบอกเราด้วยว่า ในยุคโง่เขลาก่อนหน้าอิสลาม พวกอาหรับที่บูชาเทวรูปได้ถือว่าญินเป็นภาคีของอัลลอฮฺจนถึงกับเคารพและสักการะมันและคิดว่ามันเป็นลูกหลานของพระองค์ เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ดูที่ซูเราะฮฺ อัล-อันอาม (6) :100, ซุเราะฮฺสะบะอ์ (34):40-41 และซุเราะฮฺ อัศศอฟฟาต (37):158
   จากรายละเอียดดังที่กล่าวมานี้ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า พวกญินมีความเป็นอยู่โดยมีวัตถุประสงค์ของพวกมัน และพวกมันเป็นสิ่งเร้นลับอย่างหนึ่งซึ่งเป็นคนละเผ่าพันธุ์กับมนุษย์ แต่เพราะคุณสมบัติอันเร้นลับของพวกมันนี่เองที่ทำให้พวกคนโง่มีความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับมันและอำนาจของมันจนถึงกับไปบูชาสักการะมัน แต่คัมภีร์กุรอานได้อธิบายความจริงเกี่ยวกับพวกมันไว้ทั้งหมดเพื่อแสดงให้เราเห็นว่ามันคืออะไร

ออฟไลน์ deedee

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 17
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
 
เนื้อหาสาระ : ในอายะฮฺ 1-15 ของซูเราะฮฺนี้ได้มีที่บอกให้เรารู้ว่า กุรอานมีอิทธิพลต่อพวกญินกลุ่มหนึ่งอย่างไร เมื่อพวกมันได้ยินกุรอานและพวกมันได้กลับไปบอกพวกพ้องของมันอย่างไร เกี่ยวกับเรื่องนี้ อัลลอฮฺไม่ได้เอ่ยถึงการสนทนาของพวกมันทั้งหมด แต่จะพูดถึงสิ่งที่จำเป็นที่ควรจะพูดถึงเท่านั้น นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมลีลาคำพูดของกุรอานจึงมิได้เป็นลีลาของคำพูดที่ต่อเนื่องกัน แต่ได้มีการพูดเพียงบางประโยคเพื่อที่จะชี้ว่าพวกมันได้พูดอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าหากใครศึกษาประโยคที่พวกญินพูดอย่างรอบคอบ เขาก็จะสามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดายถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของกุรอานในการบอกเล่าเรื่องราวที่ญินได้ยืนยันความศรัทธาและการเอ่ยถึงการสนทนาของพวกมัน นอกจากนี้แล้ว สิ่งที่เราจะอธิบายไว้ในหมายเหตุต่าง ๆ ก็จะช่วยทำให้ผู้อ่านมีความเข้าใจที่ดียิ่งขึ้น
   หลังจากนี้ในอายะฮฺ 16-18 มนุษย์ก็ได้ถูกเตือนว่า : “ถ้าหากพวกเจ้าละเว้นจากการกราบไหว้บูชารูปปั้น และปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้องอย่างมั่นคง พวกเจ้าก็จะได้รับความจำเริญดีงาม มิเช่นนั้นแล้ว หากพวกเจ้าหันห่างออกจากคำตักเตือนที่อัลลอฮฺประทานมา พวกเจ้าก็จะได้รับการลงโทษอย่างแสนสาหัส” หลังจากนั้นในอายะฮฺ 19-23 บรรดาผู้ปฏิเสธแห่งมักกะฮฺก็ได้ถูกตำหนิว่า : “เมื่อรอซูลของอัลลอฮฺได้เรียกร้องพวกเจ้าไปยังอัลลอฮฺพวกเจ้าก็รุมล้อมเขาทุกด้าน ในขณะที่หน้าที่ของรอซูลมีเพียงอย่างเดียวคือนำสาส์นของอัลลอฮฺมาเท่านั้น เขาไม่ได้อ้างว่าตัวเองมีอำนาจใด ๆ ที่จะยังคุณให้โทษแก่มนุษย์”
   ในอายะฮฺที่ 24-25 บรรดาผู้ปฏิเสธได้ถูกเตือนว่า : “วันนี้พวกเจ้าพยายามที่จะเอาชนะและทำลายรอซูลโดยเห็นว่าเขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้และไม่มีเพื่อน แต่เวลาหนึ่งจะมาถึงเมื่อพวกเจ้ารู้ว่า ความจริงแล้วใครคือผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้และไม่มีเพื่อน ไม่ว่าเวลานั้นจะยังอยู่อีกไกลหรือใกล้แค่เอื้อม รอซูลุลลอฮฺก็ไม่มีความรู้ในเรื่องนี้ แต่เวลานั้นจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน”
   ในตอนสรุป มนุษย์ได้ถูกบอกว่าผู้รู้ในสิ่งที่มองไม่เห็นคืออัลลอฮฺองค์เดียวเท่านั้น รอซูลมีความรู้เพียงเท่าที่อัลลอฮฺประทานให้ท่านเท่านั้น ความรู้นี้เป็นความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่การเป็นนบี และเป็นความรู้ที่ถูกประทานมาในลักษณะที่ไม่มีอะไรจากภายนอกเข้าไปแทรกแซงได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม


เอกสารอ้างอิง
R1. The Noble Qur’an (Dr.Muhammad Taqi-ud-Din al-Hilali and Dr.Muhammad Muhsin Khan.)
R2. อัลกุรอานฉบับแปลภาษาไทย โดย มัรวาน สะมะอุน
R3. ตัฟฮีมุลกุรฺอาน(อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน)
R4. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรฺอานแห่งนครมาดีนะฮ์
R5. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย (โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์-ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา)


---------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลญิน อายะฮฺที่ 1 - 4



คำอ่าน
1. กุลอูหิยะอิลัยยะ อัน..นะฮุสตะมะอะนะฟะรุม..มินัลญิน..นิ ฟะกอลู..อิน..นาสะเมียะอฺนากุรฺอานันอะญะบา
2. ยะฮฺดี..อิลัรฺรุชดิฟะอามัน..นาบิฮี วะลัน..นุชริกะบิร็อบบินา..อะหะดา
3. วะอัน..นะฮูตะอาลาญัดดุร็อบบินา มัตตะเคาะซะ ศอหิบะเตา..วะลาวะละดา
4. วะอัน..นะฮู กานะยะกูลุ สะฟีฮุนาอะลัลลอฮิชะเฏาะฏอ

คำแปล R1.
1. Say (O Muhammad): "It has been revealed to me that a group (from three to ten in number) of jinns listened (to this Qur'an). They said: 'Verily! We have heard a wonderful recital (this Qur'an)!
2. 'It guides to the right path, and we have believed therein, and we shall never join (in worship) anything with our Lord (Allah).
3. 'And exalted be the Majesty of our Lord, He has taken neither a wife, nor a son (or offspring or children).
4. 'And that the foolish among us [i.e. Iblis (Satan) or the polytheists amongst the jinns] used to utter against Allโh that which was wrong and not right.


คำแปล R2.
1. จงประกาศเถิด “ฉันได้รับการดลโองการมาว่า แท้จริงได้มีญินกลุ่มหนึ่งเข้ามารับฟัง (อัลกุรอาน) แล้วพวกเขาก็กล่าวว่า แท้จริงเราได้ฟังกุรอานอันมหัศจรรย์”
2. “เป็นคัมภีร์ที่ชี้นำสู่ทางที่ถูกต้อง ดังนั้นเราจึงศรัทธาต่อคัมภีร์นี้ และเราจะไม่ตั้งสิ่งใดขึ้นเป็นภาคีกับองค์อภิบาลของเรา”
3. “และแท้จริงเกียรติศักดิ์แห่งองค์อภิบาลของเราสูงส่งยิ่งนัก พระองค์ไม่ทรงมีภรรยาและไม่มีบุตร”
4. “และแท้จริงผู้โง่เขลาในหมู่พวกเราได้กล่าวล่วงเกินอัลลอฮฺ”


คำแปล R3.
1. (โอ้นบี) จงกล่าวเถิดว่าได้มีวะฮีย์มายังฉันว่าญินหมู่หนึ่งได้มาฟัง หลังจากนั้น (เมื่อกลับไปยังพวกมัน) พวกมันก็กล่าวว่า “เราได้ยินกุรฺอานอันมหัศจรรย์
2. ที่นำเราไปยังหนทางที่ถูกต้อง ดังนั้นเราจึงศรัทธาในกุรอานและตอนนี้เราจะไม่เอาผู้ใดมาเป็นภาคีร่วมกับพระผู้อภิบาลของเรา”
3. และ “ความยิ่งใหญ่ของพระผู้อภิบาลของเรานั้นสูงส่ง พระองค์ไม่ทรงมีภรรยาและไม่ทรงมีบุตร”
4. และ “พวกคนโง่ในหมู่พวกเรากำลังกล่าวร้ายต่ออัลลอฮฺ”


คำแปล R4.
1. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด ว่า ได้มีวะฮียฺมายังฉันว่า แท้จริงพวกญินจำนวนหนึ่งได้ฟังฉัน (อ่านกุรอาน) และพวกเขากล่าวว่า แท้จริงเราได้ยินกุรอานที่แปลกประหลาด
2. นำไปสู่ทางที่ถูกต้อง ดังนั้นพวกเราจึงศรัทธาต่ออัลกุรอานนั้น และเราจะไม่ตั้งสิ่งใดเป็นภาคีต่อพระเจ้าของเรา
3. และความจริงนั้น ความยิ่งใหญ่แห่งพระเจ้าของเรานั้นทรงสูงส่งยิ่ง พระองค์ไม่มีภริยาและไม่มีบุตร
4. และแท้จริง คนโง่ในหมู่พวกเราได้กล่าวร้ายต่ออัลลอฮฺอย่างเกินเหตุ


คำแปล R5.
๑. โอ้มุฮำมัด จงประกาศเถิดว่า ฉันได้รับการดลใจมาว่า อันที่จริงได้มีญินกลุ่มหนึ่งรับฟังอัลกุรอานที่ฉันได้รับมาจากอัลเลาะห์แล้วพวกเขาก็กล่าวว่า แท้จริงพวกเราได้ยินกุรอานอันน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก จำนวนญินตามระบุ นักปราชญ์บันทึกว่ามีเก้าหรือแปดตน ได้เข้ามาฟังอัลกุรอานในขณะที่ท่านนบีมุฮำมัดอ่านในละหมาดซุบฮิ ณ สถานที่หนึ่งชื่อ “บัฏนัคลิ” อยู่ระหว่างมักกะห์กับฏออิฟ ระยะเดินทางจากมักกะห์ประมาณ ๑ คืน เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในปีที่ ๑๑ หลังจากได้รับแต่งตั้งจากอัลเลาะห์ให้เป็นศาสนทูต แล้วพวกนั้นก็กลับไปหาพรรคพวกแล้วเล่าให้พรรคพวกฟังตามระบุในโองการข้างต้น
๒. อัลกุรอานชี้นำสู่ความถูกต้อง ดังนั้นพวกเขาจึงขอศรัทธาด้วยและพวกเราจะไม่ตั้งสิ่งใดขึ้นเป็นภาคีร่วมกับพระผู้ทรงอภิบาลของเรา นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
๓. และแท้จริงศักดานุภาพแห่งผู้ทรงอภิบาลของเราสูงส่งยิ่งนัก พระองค์ไม่มีมเหสีและไม่มีโอรส
๔. และแท้จริงคนโง่เขลาในพวกเราได้เคยกล่าวเกี่ยวกับอัลเลาะห์ในสิ่งมดเท็จอย่างยิ่ง โดยเขากล่าวว่าพระองค์ทรงมีมเหสีและมีโอรส


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 17, 2012, 09:50 AM โดย webmaster »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลญิน อายะฮฺที่ 5 - 8

คำอ่าน
5. วะอัน..นาเซาะนัน..นา อัลลัน..ตะกูลัลอิน..สุ วัลญิน..นุ อะลัลลอฮิกะซิบา
6. วะอัน..นะฮู กานะริญาลุม..มินัลอิน..สิ ยะอูซูนะ บิริญาลิม..มินัลญิน..นิ ฟะซาดูฮุมเราะฮะกอ
7. วะอัน..นะฮุม ซอน..นู กะมาเซาะนัน..ตุม อัลลัย..ยับอะสัลลอฮุ อะหะดา
8. วะอัน..นาละมัสนัสสะมา..อะ ฟะวะญัดนาฮา มุลิอัตหะเราะสัน..ชะดีเดา..วะชุฮุบา

คำแปล R1.
5. 'And verily, we thought that men and jinns would not utter a lie against Allah.
6. 'And verily, there were men among mankind who took shelter with the masculine among the jinns, but they (jinns) increased them (mankind) In sin and disbelief.
7. 'And they thought as you thought that Allah will not send any Messenger (to mankind or jinns).
8. 'And we have sought to reach the heaven; but found it filled with stern guards and flaming fires.


คำแปล R2.
5. “และแท้จริงเรามั่นใจว่าจะไม่มีมนุษย์และญินพูดเท็จกับอัลเลาะฮฺ”
6. “และแท้จริงมีมนุษย์อยู่หลายคนที่ขอความคุ้มครองด้วยกับบางกลุ่มจากญิน แล้วพวกญินเหล่านี้ก็เพิ่มพูนแต่ความบาปแก่พวกเขา”
7. “และพวกเขาเข้าใจเหมือนเช่นพวกท่านเข้าใจ ว่าอัลเลาะฮฺไม่ทรงส่งผู้ใดมาเป็นศาสนทูต (หรือไม่ทำให้ผู้ใดฟื้นขึ้นจากความตาย)”
8. “และแท้จริงพวกเราได้ค้นหาข่าวจากฟากฟ้าแล้วเราก็ได้พบว่ามันถูกบรรจุเต็มไปด้วยผู้เฝ้าที่แข็งแกร่งและ (ด้วยกับการขว้าง) ไฟอันลุกโชน


คำแปล R3.
5. และ “เราคิดว่ามนุษย์และญินไม่อาจที่จะกล่าวเท็จต่ออัลลอฮฺได้”
6. และ “บางคนจากหมู่มนุษย์ได้เคยขอความคุ้มครองจากพวกญินบางตน ดังนั้นพวกเขาจึงทำให้มันยโสโอหังมากขึ้น”
7. และ “มนุษย์คิด แม้แต่พวกเจ้า (ญิน) ก็คิดว่าอัลลอฮฺจะไม่ส่งผู้ใดมาเป็นรอซูล”
8. และ “เราได้พยายามขึ้นไปยังชั้นฟ้าทั้งหลายและพบว่ามันเต็มไปด้วยผู้คุ้มกันและดาวตก”


คำแปล R4.
5. และแท้จริงเราคาดคิดว่า มนุษย์และญินจะไม่กล่าวเท็จต่ออัลลอฮฺเป็นอันขาด
6. และแท้จริงมนุษย์บางคนเคยขอความคุ้มครองจากญินบางคน ดังนั้นพวกเขา (มนุษย์) จึงทำให้พวกเขา (ญิน)เพิ่มการหยิ่งจองหองยิ่งขึ้น
7. และแท้จริงพวกเขา (มนุษย์) คาดคิดเช่นเดียวกับที่พวกท่าน (ญิน) คาดคิดว่าอัลลอฮฺ จะไม่ทรงแต่งตั้งผู้ใดขึ้น (เป็นร่อซูล)
8. และแท้จริงเราได้ค้นคว้าหาข่าว ณ ชั้นฟ้า แต่เราได้พบ ณ ที่นั่งเต็มไปด้วยยามเฝ้าผู้เข้มแข็งและเปลวเพลิง


คำแปล R5.
๕. และพวกเรามีความมั่นใจว่า ต่อไปจะไม่มีมนุษย์และญินกล่าวความเท็จเกี่ยวกับอัลเลาะห์ในคุณลักษณะต่าง ๆ ของพระองค์เหมือนเช่นที่เคยกล่าวไว้
๖. และแท้จริงมีบุรุษจำนวนหนึ่งจากหมู่มนุษย์ได้เคยขอความคุ้มครองต่อบุรุษจำนวนหนึ่งจากหมู่ญิน กล่าวคือพวกอาหรับในยุคยาฮิลียะห์ เมื่อเดินทางผ่านสถานที่บางแห่ง ก็จะกล่าวว่า “ข้าพเจ้าขอคุ้มครองจากเจ้าที่แห่งนี้ ให้ช่วยปัดเป่าความเลวร้ายทั้งหลายด้วย” ครั้นแล้วพวกมนุษย์ มิได้เพิ่มพูนสิ่งใดแก่พวกญินเลยนอกจากเพียงความเลวร้ายเท่านั้น
๗. และแท้จริงพวกเขา ญินเหล่านั้นมีความคิดเหมือนกับที่พวกเจ้าคิดนั่นเอง ในเรื่องที่ว่า อัลเลาะห์จะไม่ทรงทำให้ผู้ใดฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกภายหลังจากได้ตายไปแล้ว
๘. พวกญินพูดว่า และแท้จริงพวกเราได้มุ่งสัมผัสฟ้า เพื่อลองรับฟังคำสนทนาของมลาอิกะห์แต่แล้วพวกเราก็ได้พบว่ามันมีมลาอิกะห์ผู้เฝ้าอย่างแข็งแรงและมีลูกไฟอยู่เต็มไปหมด คอยขว้างพวกเรามิให้ขึ้นไปถึงฟ้าได้ สภาพเช่นนี้เริ่มแต่ท่านนบีมุฮำมัดได้รับแต่งตั้งเป็นศาสนทูต



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลญิน อายะฮฺที่ 9 - 12

คำอ่าน
9. วะอัน..นากุน..นา นักอุดุ มินฮามะกออิดะลิสสัมอิ ฟะมัย..ยัสตะมิอิลอานะ ยะญิดละฮู ชิฮาบัรฺเราะเศาะดา
10. วะอัน..นาลานัดรี บิมัน..ฟิลอัรฏิ อัมอะรอดะ บิฮิมร็อบบุฮุม เราะชะดา
11. วะอัน..นามิน..นัศศอลิหูนะวะมิน..นาดูนะซาลิก, กุน..นาเฏาะรอ..อิเกาะกิดะดา
12. วะอัน..นาเซาะนัน..นา..อัลลัล..นุอฺญิซัลลอฮะ ฟิลอัรฎิ วะลันนุอฺญิซะฮุฮะเราะบา

คำแปล R1.
9. 'And. verily, we used to sit there in stations, to (steal) a hearing, but any who listens now will find a flaming fire watching him in ambush.
10. 'And we know not whether evil is intended for those on earth, or whether their Lord intends for them a right path.
11. 'There are among us some that are righteous, and some the contrary; we are groups each having a different Way (religious sect, etc.).
12. 'And we think that we cannot escape (from the punishment of) Allah in the earth, nor can we escape (from the punishment) by flight.


คำแปล R2.
9. “และแท้จริงพวกเราเคยอยู่ในบรรดาสถานที่ต่าง ๆ ของมัน (ฟ้า) เพื่อรับฟัง (เสียงพูดคุยชองมวลมลาอิกะฮฺ) แต่ ณ บัดนี้ใครที่ (ลอบ) รับฟัง เขาก็จะได้พบกับดวงไฟที่คอยขว้างเขา”
10. และแท้จริงพวกเราไม่รู้หรอกว่า (การที่พวกเรายุ่งเกี่ยวกับฟากฟ้าเช่นนั้น) จะเป็นความเลวร้ายที่ถูกมุ่งมาดแก่ผู้ที่อยู่ในภาคพื้นดินหรือ? หรือว่าองค์อภิบาลของพวกเขาไม่มุ่งปรารถนาความถูกต้องให้บังเกิดกับพวกเขา?
11. “และแท้จริงบางส่วนจากพวกเราก็มีพวกที่ประพฤติดี และบางส่วนจากพวกเราก็ไม่เป็นเช่นนั้น พวกเราจึงมีแนวทางอันแตกต่างกัน
12. “และพวกเรามั่นใจว่า แท้จริงพวกเราจะไม่ทำให้อัลเลาะฮฺไร้สมรรถภาพได้หรอกในแผ่นดิน และพวกเราไม่อาจทำให้พระองค์ทรงอ่อนแอ ในการหลบหนี (ของพวกเราจากอาญาสิทธิ์ของพระองค์)


คำแปล R3.
9. และ “ก่อนหน้านี้เราเคยพบที่นั่งในชั้นฟ้าเพื่อแอบฟัง แต่ตอนนี้ถ้าใครพยายามที่จะแอบฟัง ผู้นั้นก็จะพบกับดาวตกที่คอยพุ่งใส่เขา”
10. และ “เราไม่รู้ว่าความชั่วบางอย่างได้มีไว้สำหรับผู้ที่อยู่อาศัยบนโลกหรือพระผู้อภิบาลของพวกเขาต้องการที่จะชี้ทางที่ถูกต้องให้แก่พวกเขา”
11. และ “ในหมู่พวกเราก็มีบางตนที่ดี ขณะที่บางตนก็เป็นอย่างอื่น พวกเราปฏิบัติตามแนวทางที่ต่างกัน”
12. และ “เราคิดว่าเราไม่สามารถหนีรอดไปจากอัลลอฮฺได้ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า”


คำแปล R4.
9. และแท้จริงเราเคยนั่ง ณ สถานที่นั่งในท้องฟ้านั้นเพื่อฟัง แต่ขณะนี้ผู้ใดนั่งฟังเขาก็จะพบเปลวเพลิงถูกเตรียมไว้สำหรับเขา
10. และแท้จริงเราไม่รู้ดอกว่า ความชั่วร้ายนั้นจะถูกให้มีขึ้นแก่ผู้ที่อยู่ในแผ่นดินนี้ หรือว่าพระเจ้าของพวกเขาปรารถนาแนวทางที่ถูกต้องแก่พวกเขา
11. และแท้จริงในหมู่พวกเรานั้นมีคนดีและในหมู่พวกเราก็มีคนอื่นจากนั้น พวกเราอยู่ในแนวทางที่แตกต่างกัน
12. และแท้จริงเราคาดคิดว่า เราจะไม่รอดพ้นจาก (การลงโทษ) ของอัลลอฮฺในแผ่นดินนี้ และเราจะหนีไม่รอดพ้นไปจากพระองค์


คำแปล R5.
๙. และแท้จริงพวกเราเคยอยู่บางมุมของฟากฟ้าในที่อยู่ต่าง ๆ เพื่อการดักฟัง ดังนั้นผู้ใดเข้าฟังในขณะนี้ นับแต่การเป็นศาสนทูตของนบีมุฮำมัด เขาก็จะพบกับลูกไฟคอยไล่เขา
๑๐. และแท้จริงพวกเราหารู้ไม่ว่า เป็นความเลวที่ถูกมุ่งให้ประสบแก่ผู้อยู่ในแผ่นดิน หรือว่าพระผู้อภิบาลของพวกเขาทรงมุ่งมาดจะให้ประสบความดีงามแก่พวกเขา
๑๑. และแท้จริงพวกเราบางคนเป็นพวกที่ทำแต่ความดี และพวกเราบางคนก็มิเป็นเช่นนั้น ภายหลังจากได้ฟังอัลกุรอานแล้ว พวกเราจึงมีกันอยู่หลายกลุ่มทัศนะ บ้างก็เป็นผู้ศรัทธา บ้างก็เป็นผู้ไร้ศรัทธา
๑๒. และแท้จริงพวกเรามีความมั่นใจว่าพวกเราจะไม่สามารถเอาชนะอัลเลาะห์ได้ในแผ่นดิน และพวกเราจะไม่สามารถเอาชนะพระองค์ได้ในการหลบหนี จากการลงโทษของพระองค์




ออฟไลน์ As-Zaleek

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 804
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +33
    • ดูรายละเอียด

ญะซากัลลอฮุค็อยร็อน ท่าน Bangmud ...ผมติดตามตลอดครับ
الأيام تمضى       والعمر يزيد         ولكن الحب بالقلب أكيد

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลญิน อายะฮฺที่ 13 - 17

คำอ่าน
13. วะอัน..นาลัม..มาสะมิอฺนัลฮุดา..อามัน..นาบิฮฺ, ฟะมัย..ยุอ์มิม..บิร็อบบิฮี ฟะลายะคอฟุ บัคเสา..วะลาเราะฮะกอ
14. วะอัน..นามิน..นัลมุสลิมูนะ วะมิน..นัลกอสิฏูน ฟะมันอัสละมะ ฟะอุลา..อิกะ ตะหัรฺร็อวเราะชะดา
15. วะอัม..มัลกอสิฏูนะ ฟะกานูลิญะฮัน..นะมะหะเฏาะบา
16. วะอัลละวิสตะกอมู อะลัฏเฏาะรีเกาะติ ละอัสก็อยนาฮุม..มา...อัน..เศาะดะกอ
17. ลินัฟตินะฮุมฟีฮิ วะมัย..ยุอฺริฎอัน..ซิกริร็อบบิฮี ยัสลุกฮุอะซาบัน..เศาะอะดา

คำแปล R1.
13. 'And indeed when we heard the guidance (this Qur'an), we believed therein (Islamic Monotheism), and whosoever believes in his Lord shall have no fear, either of a decrease in the reward of his good deeds or an increase in punishment for his sins.
14. 'And of us some are Muslims (who have submitted to Allah, after listening to this Qur'an), and of us some are Al-Qasitun (disbelievers those who have deviated from the right path)'. And whosoever has embraced Islam (i.e. has become a Muslim by submitting to Allah), Then such have sought the right path."
15. And as for the Qasitun (disbelievers who deviated from the right path), they shall be firewood for Hell,
16. If they (non-Muslims) had believed in Allah, and went on the right way (i.e. Islam) we should surely have bestowed on them water (rain) In abundance.
17. That we might try them thereby. And whosoever turns away from the reminder of his Lord (i.e. This Qur'an, and practice not its laws and orders), He will cause him to enter in a severe torment (i.e. Hell).


คำแปล R2.
13. “และแท้จริงเมื่อพวกเราได้ยินสิ่งชี้นำพวกเราก็ศรัทธาสิ่งนั้น แท้จริงผู้ใดศรัทธากับองค์อภิบาลของเขา เขาก็จะไม่กลัวการลดรางวัลและการครอบงำความอัปยศ
14. “และแท้จริงบางส่วนจากพวกเราเป็นพวกที่ยอมสวามิภักดิ์ (ยอมศรัทธาในนบีมุฮำมัด) และบางส่วนของพวกเราเป็นพวกที่ล่วงละเมิด กล่าวคือ ผู้ที่ยอมสวามิภักดิ์นั้น แน่นอนพวกเหล่านั้นได้มุ่งสู่ความถูกต้องแล้ว
15. “และส่วนบรรดาผู้ล่วงละเมิด แน่นอนพวกเขาก็จักต้องเป็นเชื้อเพลิงสำหรับนรกยะฮันนัม
16. (นยบีมุฮำมัดได้รับโองการมาอีกว่า) “และมาตรว่าพวกเจ้าได้ยืนหยัดอยู่บนแนวทาง (ของอิสลาม) แน่นอนเราจักให้น้ำฝนอันอุดมสมบูรณ์หลั่งมาให้พวกเขา (ภายหลังที่พวกเขานั้นแห้งแล้ง)
17. เพื่อเราจักทดสอบพวกเขาใน (ความโปรดปราน) นั้น (ว่าพวกเขาจะกตัญญูหรือไม่) และผู้ใดหันเหออกจากการรำลึกถึงองค์อภิบาลของเขา แน่นอนพระองค์จักทรงดำเนินการลงโทษอย่างหนักที่สุดแก่เขา


คำแปล R3.
13. และ “ทันทีที่เราได้ยินสาส์นแห่งทางนำ เราก็ศรัทธาในทางนำนั้น ตอนนี้ผู้ใดที่ศรัทธาในพระผู้อภิบาลของพวกเขาก็จะไม่ต้องกลัวความขาดทุนและความไม่เป็นธรรม”
14. และ “ในหมู่พวกเรานั้น มีบางตนเป็นมุสลิม (ยอมจำนนต่ออัลลอฮฺ) และบางตนหันห่างออกไปจากสัจธรรม ผู้ใดที่ปฏิบัติตามอิสลาม (หนทางแห่งการยอมจำนน) ก็จะพบหนทางไปสู่ความรอดพ้น
15. ส่วนบรรดาผู้หันเหออกจากสัจธรรมนั้น จะกลายเป็นเชื้อเพลิงสำหรับนรก
16. และ “(โอ้ นบี จงกล่าวเถิดว่าได้มีวะฮีย์มายังฉันดังนี้) “ถ้าผู้คนยืนหยัดปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้องเราก็จะประทานน้ำแก่พวกเขาอย่างอุดมสมบูรณ์”
17. เพื่อที่เราจะทดสอบพวกเขาโดยความจำเริญนั้น และผู้ใดที่หันห่างออกไปจากการระลึกถึงพระผู้อภิบาลของเขาพระองค์ก็จะทรงลงโทษเขาอย่างแสนสาหัส


คำแปล R4.
13. และแท้จริงเมื่อเราได้ยินอัลกุรอานเราก็ศรัทธาต่ออัลกุรอานนั้น ดังนั้นผู้ใดศรัทธาต่อพระเจ้าของเขา เขาก็จะไม่หวั่นเกรงต่อการขาดทุน และการอยุติธรรม
14. และแท้จริงในหมู่พวกเรามีผู้ที่เป็นมุสลิม และในหมู่พวกเรามีผู้อธรรม ดังนั้นผู้ใดนอบน้อม ชนเหล่านั้นพวกเขาได้มุ่งสู่แนวทางที่ถูกต้อง
15. และส่วนบรรดาผู้ที่หันห่างออกจากความจริง พวกเขาก็เป็นฟืนของไฟนรก
16. และหากพวกเขาธำรงมั่นอยู่บนแนวทางที่เที่ยงธรรม แน่นอนเราก็จะให้พวกเขามีริซกีกว้างขวาง
17. เพื่อเราจะทดสอบพวกเขาในเรื่องนี้ และผู้ใดหันห่างจากการรำลึกถึงพระเจ้าของเขา พระองค์จะให้เขาได้รับการลงโทษอันแสนสาหัส


คำแปล R5.
๑๓. และแท้จริงพวกเราเมื่อได้ยินสิ่งชี้นำของอัลกุรอาน พวกเราก็มีศรัทธาทันที ดังนั้นผู้ใดศรัทธาในพระผู้ทรงอภิบาลของเขา แน่นอนเขาก็ไม่กลัวความบกพร่องใด ๆ และไม่กลัวความเลวร้ายใด ๆ จะบังเกิดแก่ตัวเขา
๑๔. และแท้จริง มีพวกเราบางคนที่เป็นมุสลิมผู้ศรัทธาและมีพวกเราบางคนที่เป็นผู้ฉ้อฉล ดังนั้นผู้ใดที่ยอมสวามิภักดิ์ แน่นอนพวกเหล่านั้นได้มุ่งสู่ความถูกต้องแล้ว
๑๕. และส่วนบรรดาจำพวกฉ้อฉลที่ไม่ยอมศรัทธา แน่นอนพวกเขาจะต้องเป็นเชื้อเพลิงให้แก่นรกยะฮันนัม สำหรับลงโทษพวกกระทำผิดทั้งมวล
๑๖.  และหากแม้นพวกเขาได้ตั้งมั่นอยู่บนแนวทางแห่งศาสนาอิสลามอย่างมั่นคงแน่นอนที่สุด เราก็จักหลั่งน้ำฝนอันบริบูรณ์ลงมาแก่พวกเขา อัลกุรอานโองการนี้ได้ลงมาให้กับชาวมักกะห์ภายหลังพวกนั้นประสบความแห้งแล้งติดต่อกันเจ็ดปี จนถึงกับต้องกินซากสัตว์
๑๗. ทั้งนี้เพื่อเราจะทำการทดสอบพวกเขาในการให้มีน้ำฝนหลั่งลงมานั้นว่า พวกเขาจะมีศรัทธาและรู้กตัญญูหรือไม่ และผู้ใดเพิกเฉยจากการรำลึกถึงพระผู้ทรงอภิบาลของเขา พระองค์ก็จะทรงดำเนินการลงโทษอันลำเค็ญที่สุดแก่เขา


สูเราะฮฺ อัลญิน อายะฮฺที่ 18 - 20


คำอ่าน
18. วะอัน..นัลมะสาญิดะลิลลาฮิ ฟะลาตัดอูมะอัลลอฮิอะหะดา
19. วะอัน..นะฮู ลัม..มากอมะอับดุลลอฮิ ยัดอูฮุกาดู ยะกูนูนะอะลัยฮิลิบะดา
20. กุลอิน..นะมา..อัดอูร็อบบี วะลาอุชริกุบิฮี..อะหะดา

คำแปล R1.
18. And the Mosques are for Allah (Alone), so invoke not anyone along with Allah.
19. (it has been revealed to me that) when the slave of Allah (Muhammad) stood up invoking (his Lord Allโh) In prayer to Him they (the jinns) just made round him a dense crowd as if sticking one over the other (in order to listen to the Prophet's recitation).
20. Say (O Muhammad): "I invoke Only My Lord (Allah Alone), and I associate none as partners along with him."


คำแปล R2.
18. “และแท้จริงบรรดามัสยิดทั้งหลายเป็นของอัลเลาะฮฺ ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าวอนนมัสการผู้ใดร่วมกับอัลเลาะฮฺ
19. และแท้จริงเขา (นบีมุฮำมัด) ได้ยืนขึ้นวอนนมัสการต่อพระองค์ พวกเขา (ชาวญิน) ก็เกือบจะทับถมกันเอง (เพราะการเบียดเสียดจ้องมอง การกระทำนั้นด้วยการสนเท่ห์)
20. จงประกาศเถิด “อันที่จริงฉันวอนนมัสการต่อองค์อภิบาลของฉันโดยเฉพาะและไม่ขอตั้งสิ่งใดขึ้นเป็นภาคีกับพระองค์”


คำแปล R3.
18. และมัสญิดทั้งหลายนั้นเป็นของอัลลอฮฺ ดังนั้นจงอย่าวิงวอนผู้ใดร่วมกับอัลลอฮฺ
19. และเมื่อบ่าวของอัลลอฮฺยืนขึ้นวิงวอนต่อพระองค์ ผู้คนก็กรูกันเข้ามาล้อมเขา”
20. โอ้ นบี จงกล่าวเถิดว่า “ฉันวิงวอนต่อพระผู้อภิบาลของฉันเท่านั้น และฉันไม่เอาผู้ใดมาเป็นภาคีกับพระองค์”


คำแปล R4.
18. และว่าแท้จริงบรรดามัสยิดนั้นเป็นของอัลลอฮฺ ดังนั้น พวกเจ้าอย่าวิงวอนขอผู้ใดเคียงคู่กับอัลลอฮฺ
19. และว่าแท้จริงเมื่อบ่าวของอัลลอฮฺ (มุฮัมมัด) ยืนขึ้นกล่าววิงวอนขอต่อพระองค์พวกเขา (ญิน) ก็ได้ห้อมล้อมเขาอย่างหนาแน่น
20. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด ว่า แท้จริงฉันวิงวอนขอต่อพระเจ้าของฉัน และฉันจะมิตั้งผู้ใดเป็นภาคีต่อพระองค์


คำแปล R5.
๑๘. และอันที่จริงบรรดามัสยิดนั้นเป็นเอกสิทธิ์ของอัลเลาะห์ ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าวอนนมัสการแก่ผู้ใดร่วมกับอัลเลาะห์เป็นอันขาด ไม่ว่าจะเป็นมลาอิกะห์ที่พวกอาหรับบางกลุ่มยึดถือ หรืออุซัยร์ที่พวกยิวยึดถือ หรืออีซาที่พวกคริสต์ยึดถือ โดยยึดถือว่าสิ่งดังกล่าวเป็นบุตรแห่งอัลเลาะห์ ที่จะต้องทำการกราบไหว้ร่วมกับอัลเลาะห์ด้วย
๑๙. และแท้จริงเมื่อบ่าวแห่งอัลเลาะห์ (นบีมุฮำมัด) ได้ยืนขึ้นวอนนมัสการต่อพระองค์ในพิธีละหมาดซุบฮิ์ ณ สถานที่มีชื่อ “บัฏนัคลิ์” พวกเขา (เหล่าชาวญิน) เกือบจะเบียดเสียดแก่เขา (นบีมุฮำมัด) เพื่อเข้ามามุงรับฟังอัลกุรอาน ที่อัญเชิญในการละหมาดนั้น
๒๐. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวเถิด อันที่จริงฉันนี้จะทำการวอนนมัสการเพียงเฉพาะต่อพระผู้ทรงอภิบาลของฉันเท่านั้น และฉันจะไม่อุปโลกน์สิ่งใดขึ้นมาเป็นภาคีกับพระองค์เป็นอันขาด



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 17, 2012, 09:51 AM โดย webmaster »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลญิน อายะฮฺที่ 21 - 24

คำอ่าน
21. กุลอิน..นีลาอัมลิกุละกุม ฎ็อรฺร็อว..วะลาเราะชะดา
22. กุลอิน..นีลัย..ยุญีเราะนี มินัลลอฮิ อะหะดู..วะลันอะญิดะมิน..ดูนิฮี มุลตะหะดา
23. อิลลาบะลาฆ็อม..มินัลลอฮิวะริสาลาติฮฺ, วะมัย..ยะอฺศิลลาฮะ วะเราะสูละฮู ฟะอิน..นะฮูนาเราะญะฮัน..นะมะ คอลิดีนะฟีฮา..อะบะดา
24. หัตตา..อิซาเราะเอามายูอะดูนะ ฟะสะยะอฺละมูนะ มันอัฎอะฟุนาศิร็อว..วะอะก็อลลุ อะดะดา
 
คำแปล R1.
21. Say: "It is not in my power to cause you harm, or to bring you to the right path."
22. Say (O Muhammad): "None can protect me from Allah's punishment (if I were to disobey him), nor should I find refuge except in Him.
23. "(Mine is) but conveyance (of the truth) from Allah and His messages (of Islamic Monotheism), and whosoever disobeys Allah and His Messenger, then verily, for Him is the Fire of Hell, He shall dwell therein forever."
24. Till, when they see that which they are promised, then they will know who it is that is weaker concerning helpers and less important concerning numbers.


คำแปล R2.
21. จงประกาศเถิด “แท้จริงฉันไม่มีสิทธิ์อำนาจให้โทษ และให้สิ่งที่ถูกต้องแก่พวกท่านทั้งหลายหรอก”
22. จงประกาศเถิด “แท้จริงฉันนั้นจะไม่มีผู้ใดคุ้มครองฉัน (ให้พ้น)จาก (โทษทัณฑ์ของ) อัลเลาะฮฺได้ และฉันจะไม่พบที่พึ่งอื่นใดแล้ว นอกเหนือจากพระองค์
23. (ฉันมีอำนาจอยู่บ้างก็) เพียงแต่การเผยแพร่จากอัลเลาะฮฺ และสารธรรมของพระองค์เท่านั้นและผู้ใดทรยศอัลเลาะฮฺและศาสนทูตของพระองค์ แน่นอนเขาย่อมได้รับนรกยะฮันนัม (เป็นสิ่งตอบแทน) พวกเขาเข้าประจำอยู่ในนั้นชั่วนิรันดร
24. (พวกที่คัดค้านเจ้านั้นจะเฝ้ารอคอยความอ่อนแอของเจ้า) จนเมื่อพวกเขาได้มองเห็นสิ่งที่พวกเขาได้ถูกสัญญาไว้ (คือการลงโทษ) และเขาก็ได้รู้ (ในวาระนั้น) ว่าใครเป็นผู้ช่วยเหลือที่อ่อนแอที่สุด และมีจำนวนเล็กน้อยที่สุด

คำแปล R3.
21. จงกล่าวเถิด “ฉันไม่มีอำนาจใดที่จะให้คุณและให้โทษกับท่านได้”
22. จงกล่าวเถิดว่า “ไม่มีใครสามารถคุ้มครองฉันจากอัลลอฮฺและฉันไม่พบที่พึ่งใดนอกไปจากพระองค์”
23. หน้าที่ของฉันก็แค่เพียงนำสิ่งที่ฉันได้รับจากพระองค์และสาส์นของพระองค์ไปเผยแผ่ ผู้ใดฝ่าฝืนอัลลอฮฺและรอซูล ของพระองค์ ดังนั้นสำหรับเขาก็มีไฟนรกคอยอยู่ เขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดไป”
24. (คนเหล่านี้จะไม่เปลี่ยนแนวทางของพวกเขา) จนกระทั่งเมื่อพวกเขาเห็นสิ่งที่พวกเขาได้ถูกสัญญาไว้ พวกเขาก็จะรู้ว่าผู้ช่วยเหลือของใครอ่อนแอกว่าและผู้ช่วยเหลือของใครมีจำนวนน้อยกว่า


คำแปล R4.
21. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดว่า แท้จริงฉันไม่มีอำนาจที่จะให้โทษและให้คุณแก่พวกท่าน
22. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดว่า ไม่มีผู้ใดจะคุ้มครองฉันให้พ้นจาก (การลงโทษของ) อัลลอฮฺได้ และฉันจะไม่พบที่พึ่งอันใดอื่นจากพระองค์เลย
23. เว้นแต่ฉันจะเผยแผ่ (สิ่งที่รับ) จากอัลลอฮฺ และสาส์นของพระองค์ และผู้ใดฝ่าฝืนอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์แท้จริงสำหรับ เขานั้นคือไฟนรก เป็นผู้พำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล
24. จนกระทั่งเมื่อพวกเขาได้เห็นสิ่งที่พวกเขาถูกสัญญาไว้ แล้วพวกเขาก็จะได้รู้ว่าใครเป็นผู้อ่อนแอยิ่งในการเป็นผู้ช่วยเหลือและมี จำนวนน้อยกว่า


คำแปล R5.
๒๑. โอ้นบีมุฮำมัด เจ้าจงกล่าวเถิด ฉันไม่มีสิทธิอำนาจที่จะให้อันตรายและให้คุณประโยชน์ใด ๆ แก่พวกท่านทั้งหลายได้หรอก
๒๒. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวเถิด แท้จริงจะไม่มีผู้ใดให้การคุ้มกันแก่ฉันจากการลงโทษของอัลเลาะห์ได้ และฉันไม่พบผู้เป็นที่พึ่งอาศัยคนใดทั้งสิ้นนอกจากพระองค์
๒๓. ฉันไม่มีสิทธิอำนาจอื่นใดดังกล่าวมาแล้วนอกจากเพียงหน้าที่การเผยแพร่ หลักสัจธรรมจากอัลเลาะห์และสารธรรมของพระองค์เพียงประการเดียวเท่านั้น และผู้ใดฝ่าฝืนอัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ แน่นอนที่สุดเขาย่อมได้รับการตอบแทนด้วยนรกยะฮันนัมซึ่งพวกเขาต้องเข้าประจำอยู่ในนั้นโดยนิรันดร
๒๔. จนกระทั่งเมื่อพวกเขาได้มองเห็น สิ่งที่พวกเขาถูกสัญญาไว้ นั่นคือการลงโทษ แล้วพวกเขาก็จะได้รู้ว่า ใครกันที่มีผู้ช่วยเหลืออันอ่อนแอยิ่ง และมีเพื่อนน้อยที่สุด



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลญิน อายะฮฺที่ 25 - 28

คำอ่าน
25. กุลอินอัดรี..อะเกาะรีบุม..มาตูอะดูนะ อัมยัจญลุละฮู ร็อบบี..อะมะดา
26. อาลิมุลฆ็อยบิฟะลายุซฮิรุอะลาฆ็อยบิฮี..อะหะดา
27. อิลลามะนิรฺตะฏอ มิรฺเราะสูลิน..ฟะอิน..นะฮูยัสลุกุ มิม..บัยนิยะดัยฮิ วะมินค็อลฟิฮี เราะเศาะดา
28. ลิยะอฺละมะอัน..ก็อดอับละฆูริสาลาติร็อบบิฮิม วะอะหาเฏาะบิมาละดัยฮิม วะอะหฺศอกุลละชัยอินอะดะดา

คำแปล R1.
25. Say (O Muhammad): "I know not whether (the punishment) which you are promised is near or whether my Lord will appoint for it a distant term.
26. "(He Alone) the All-Knower of the Gha'ib (unseen), and He reveals to none his Gha'ib (unseen)."
27. Except to a Messenger (from mankind) whom he has chosen (He informs him of unseen as much as He likes), and then He makes a band of watching guards (angels) to march before him and behind him.
28. [He (Allah) protects them (the Messengers)], till He sees that they (the Messengers) have conveyed the messages of their Lord (Allah). And He (Allah) surrounds all that which is with them, and He (Allah) keeps count of all things (i.e. He knows the exact number of everything).


คำแปล R2.
25. จงประกาศเถิด “ฉันไม่รู้รอกว่าสิ่งที่พวกท่านถูกสัญญาไว้นั้นจะอยู่ใกล้หรือว่าองค์อภิบาลของฉันจะกำหนดกาลเวลาอันยาวนานแก่มัน
26. ทรงรอบรู้ความลี้ลับ แล้วพระองค์ไม่ได้เปิดเผยความลี้ลับของพระองค์แก่ผู้ใดทั้งสิ้น
27. ยกเว้นผู้ที่พระองค์ทรงพอพระทัย นั่นคือศาสนทูต แท้จริงพระองค์ทรงบันดาลให้มี (มลาอิกะฮฺ) ผู้คอยระวังแวดล้อมอยู่ทั้งข้างหน้าและข้างหลังของเขา (ศาสนทูตผู้นั้น)
28. เพื่อที่พระองค์จะได้ (จำแนกให้) รู้ชัดว่าแท้จริงพวกศาสนทูตเหล่านั้น ได้ทำการเผยแพร่สารธรรมแห่งองค์อภิบาลของพวกเขา (โดยสมบูรณ์) และพระองค์ทรงรอบรู้อย่างกว้างขวางกับสิ่งที่มีอยู่ที่พวกเขาและทรงคำนวณทุกสิ่งไว้อย่างครบถ้วน


คำแปล R3.
25. จงกล่าวเถิดว่า “ฉันไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกท่านได้ถูกสัญญาไว้นั้นใกล้เข้ามาหรือว่าพระผู้อภิบาลของฉันได้กำหนดวาระสำหรับมันให้ยาวออกไป
26. พระองค์เท่านั้นที่เป็นผู้รู้สิ่งเร้นลับ พระองค์ไม่ทรงเปิดเผยความลับของพระองค์แก่ผู้ใด
27. นอกไปจากแก่รอซูลที่พระองค์ทรงเลือก ดังนั้นพระองค์จึงได้ทรงแต่งตั้งผู้คุ้มกัน ไว้ข้างหน้าเขาและข้างหลังเขา
28. เพื่อที่พระองค์จะด้ทรงรู้ว่า เขาได้เผยแผ่สาส์นของพระผู้อภิบาลของพวกเขาแล้ว และพระองค์ได้ทรงล้อมทุกสิ่งที่อยู่รอบ ๆ พวกเขาและได้ทรงนับทุกสิ่งทุกอย่างไว้หมดแล้ว


คำแปล R4.
25. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด ฉันไม่รู้สิ่งที่พวกท่านถูกสัญญาไว้นั้น1 หรือว่าพระเจ้าของฉันจะทรงกำหนดเวลาการลงโทษนั้นให้ห่างไกลออกไป
26. พระผู้ทรงรอบรู้สิ่งเร้นลับ ดังนั้นพระองค์จะไม่ทรงเปิดเผยสิ่งเร้นลับของพระองค์แก่ผู้ใด
27. นอกจากผู้ที่พระองค์ทรงยินดีเช่นร่อซูล ดังนั้นพระองค์จะทรงส่งผู้พิทักษ์เฝ้าดูแลข้างหน้าและข้างหลังเขา
28. เพื่อพระองค์จะทรงรู้ว่า แน่นอนพวกเขาได้เผยแผ่สาส์นของพระเจ้าของพวกเขาแล้ว และพระองค์ได้ทรงห้อมล้อม (รอบรู้) ทุกสิ่งที่อยู่ ณ ที่พวกเขา และพระองค์ทรงนับจำนวนทุก ๆ สิ่งไว้อย่างครบถ้วน


คำแปล R5.
๒๕. โอ้ มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวเถิด ฉันไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่พวกท่านถูกสัญญาไว้นั้นจะอยู่ใกล้ไหม หรือว่าพระผู้อภิบาลของฉันจะทรงบันดาลกำหนดเวลาอันยาวนานแก่สิ่งนั้นไว้
๒๖. พระองค์ทรงรอบรู้ความลี้ลับแล้วพระองค์ไม่ทรงเปิดเผยความลี้ลับของพระองค์แก่ผู้ใดเลย
๒๗. ยกเว้นบุคคลที่พระองค์ทรงพอพระทัยต่อเขา จากศาสนทูตของพระองค์ ซึ่งพระองค์จะให้เขารู้ความลี้ลับนั้น โดยการประทานโองการลงมาแก่เขา อันที่จริงพระองค์ทรงบันดาลมลาอิกะห์ผู้สอดส่องดูแลไว้ทั้งต่อหน้าและเบื้องหลังของเขาผู้เป็นศาสนทูตนั้น
๒๘. ทั้งนี้เพื่อพระองค์ทรงพิสูจน์ให้พระองค์ได้รู้ว่าพวกเขาผู้ได้รับตำแหน่งศาสนทูตนั้นได้ทำการเผยแพร่สารธรรมแห่งพระผู้ทรงอภิบาลของพวกเขาแล้ว และพระองค์ทรงรอบรู้ครอบคลุมต่อสิ่งที่มีอยู่ ณ พวกเขา และทรงนับจำนวนของทุกสิ่งไว้อย่างครบถ้วน


1. สำหรับคำแปลอายะฮฺที่ 25 (R4)นั้น น่าจะตกคำว่า قريب ซึ่งหมายถึง "ใกล้" แต่ในเอกสารอ้างอิงอื่นให้ความหมายของคำว่า قريب ไว้ทุกเล่ม


(صدق الله العظيم) ดำรัสของอัลลอฮฺผู้ยิ่งใหญ่เป็นสัจจะ
จบสูเราะฮฺที่ 72 อัลญินนฺ

ออฟไลน์ al-firdaus~*

  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 5015
  • เพศ: หญิง
  • 可爱
  • Respect: +161
    • ดูรายละเอียด
 :salam:

ขออัลลอฮ์ทรงตอบแทนความดีงามอย่างมากมายนะคะ   mycool:
กระทู้ของแชมัด มีประโยชน์อย่างมากต่อคนที่อ่านอัลกุรอานไม่คล่องแบบหนูค๊ะ  ;D

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 09, 2010, 08:04 PM โดย al-firdaus~* »

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
ซูเราะห์นี้ ใช้ปราบญินก็ได้ ใช้เลี้ยงญินก็ดีๆ
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

GoogleTagged