ผู้เขียน หัวข้อ: ความคิดคนคริสต์ที่อยากเปลี่ยนมุสลิมให้เป็นคริสต์  (อ่าน 2566 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ min-min

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 24
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด

ลิงค์กูเกิ้ลไปเรื่อยๆ แล้วเจอมาค่ะ ขอบอก อ่านแล้วต้องกำมือตอนอ่าน แบบว่าโมโห
คิดอยู่พักนึง ว่าเอามาลงดีไหม เพราะคนเขียน "รู้จัก" อิสลาม ในระดับนึง แต่เป็นการรู้จัก แ่ต่ "ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย"
และพยายาม สอนคนคริสต์ ให้ชักชวนมุสลิมไปเป็นคนคริสต์ พร้อมยกเรื่องนั้นเรื่องนี้ ที่เป็นเรื่องศาสนาอิสลามขึ้นมา
ยกมาแบบผิดๆ  เพื่อบอกว่า อิสลามไม่ดี อย่างนั้นอย่างนี้ และต้องทำลายความเข้าใจอิสลามของมุสลิม เพื่อเผยแพร่ศาสนาคริสต์ให้

ที่เรานำมาโพสต์ เพื่อให้รู้ว่าคนคริสต์เค้าคิดกับเรายังไง  และมุสลิมที่มีความรู้ในศาสนาอิสลามของตัวเองน้อย
อันตรายต่อการโดนชักชวนให้หลงไปทางตกนรกยังไง  เราว่าอ่านไว้ เพื่อป้องกันคนของเราก็ดีนะคะ

เราเองเพิ่งอ่านไป 2-3 หน้า ยังอ่านไม่หมดนะคะ แบบว่าความอดทนหมดก่อนค่ะ  
.....

แต่ถ้าสิ่งที่โพสต์ไม่เหมาะสมมากๆ ลบทิ้งเลยก็ไ้ด้นะคะ

ที่โพสต์เราอยากได้ความรู้ที่ค้านความคิดคนเขียนบทความ ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีใดๆค่ะ

***แก้ไขเอาลิงค์ออกค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 10, 2010, 02:17 PM โดย min-min »

ออฟไลน์ tatcha_jah ~♪

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 341
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
ขอบคุณสำหรับข่าวประเสริฐ

"มุสลิมเข้าใจยาก"

ดิฉันไม่ชอบคำนี้เลย

"เพราะฉะนั้นเรากล่าวได้ว่า อัลกุรอานยอมรับว่า ท่านอีซาเหนือกว่ามุฮัมหมัดตั้งแต่เกิด อิสลามได้ปฏิเสธความเป็นพระเจ้าของท่านอีซาแต่อัลกุรอานยังมีหลายข้อที่ถือได้ว่า ท่านอีซาเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า"

พระเจ้าก็คือพระเจ้า  ศาสนฑูตก็คือศาสนฑูต

ใครกันแน่ที่เข้าใจยาก
 
ผู้ศรัทธาต่ออัลลอห์...ท้ายสุดจะได้ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ในวันอาคิเราะห์

ออฟไลน์ deedee

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 17
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
พวก ยาฮูดี นัศรอนีย์ คือ ศัตรู ตัวฉกาจของอัลอิสลามเรา มันมีแผนการที่จะล่อลวงมุสลิมให้ตามพวกมัน ท่านนบีทุฮัมมัด (ซ.ล.) ได้ตรัสไว้ว่า ต่อไปมุสลิมจะถูกรุมกินโต๊ะ" , "มุสลิมจะตามอย่างพวกยาฮูดี,นัศรอนีย์ แม้กระทั่งไปลงรูแย้ ก็ตาม"

ออฟไลน์ tatcha_jah ~♪

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 341
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
ถ้าคนหลักอากีดะไม่ดีอาจจะเคลิ้มได้นะเนียะ
555

เข้าใจว่าผู้เขียนอาจจะเจตนาดี
ปรารถนาให้พี่น้องมุสลิมได้อยู่ในแผ่นดินสวรรค์
ก็ขอขอบคุณชาวคริสเตียนที่หวังดี
แต่การนำเสนอมุมมองอิสลามในแง่ร้ายเพื่อตะล่อมให้ศรัทธาในคริสต์มันก็ไม่น่าจะเหมาะสมเท่าไหร่
(ในความคิดเห็นดิฉันนะค่ะ)
ผู้เขียนพยายามเสนอว่าอิสลามเป็นศาสนาที่บังคับและกดขี่การดำเนินชีวิตของมนุษย์ทั้งร่างกายและจิตใจ
คือมนุษย์เป็นเพียงทาสของอัลเลาะห์ที่มีหน้าที่ก้มกราบและยำเกรงต่อพระองค์
ความสัมพันธ์ของมนุษย์เป็นเพียงนายกับบ่าวและเป็นแค่บ่าวผู้ต่ำต้อย
ฉะนั้นชีวิตจึงมีแต่ความกดดันเพราะต้องทำตามกฎอย่างเดียว...หากไม่ทำตามพระเจ้าจะลงโทษ
ส่วนคริสต์เป็นศานาที่อิสระเสรีความสัมพันธ์ของพระเจ้ากับมนุษย์เป็นแบบพ่อลูกหรือเพื่อน
เป็นความรักแบบใกล้ชิด...เพราะเชื่อว่าพระเจ้ามีร่างเป็นมนุษย์ได้
พระเจ้าเหมือนพ่อที่รักลูกโดยไม่มีเงื่อนไข...คนที่ศรัทธาจึงไม่ตกนรกชัวร์...
ฉะนั้นคริสต์จึงเน้นเสรีภาพของบุคคล...ทำให้พัฒนาชีวิตได้ต่างๆนานา

ประมาณนี้......
คำถามในใจของดิฉันก็คือ
1.การยำเกรงต่อพระผู้เป็นเจ้ามันไม่ดีตรงไหน  ตัวดิฉันไม่ได้รู้สึกว่าห่างไกลกับความเมตตาของพระองค์เลย
ดิฉันคิดว่าความเมตตาของพระองค์มีมากกกกกกกกกกกกๆๆๆๆๆๆ    กว่าความเมตตาของพ่อแม่เสียอีก
2.ความรู้สึกต้อยต่ำไม่ดีตรงไหน...ความรู้สึกต้อยต่ำมันทำให้เราไม่จองหอง...ทำให้เราถ่อมตน
เราเป็นบ่าวผู้ต้อยต่ำของพระองค์...แต่ไม่ได้ต้อยต่ำกับความเป็นตัวเราเองซักหน่อย
3.การทำตามที่พระเจ้าสั่งมันเสียหายตรงไหน...มันทำให้เราอยู่ในกรอบที่ดีงาม(ขนาดมีกรอบปฏิบัติเรายังทำผิดกันบ้างเลยแล้วถ้าไม่มีล่ะสังคมจะวุ่นวายขนาดไหน)กฎหมายเองก็เอามาจากศาสนาจารีตประเพณี...ยกตัวอย่างถ้าเราทำตามหลักกฏหมายแล้วมันเสียหายตรงไหน...หรือเราควรที่จะแหกกฏแล้วค่อยมาสารภาพบาปอีกทีเพราะทำผิดยังไงก็เข้าสวรรค์ชัวร์นี่ค่ะ
มีคนไถ่บาปให้แล้ว...ยังไงก็ได้เข้าสวรรค์ฟันธงโช๊ะ!!

เพราะอิสระเสรีจนเกินไปถึงทำให้สังคมเน่าเฟะอย่างนี้ไงค่ะ
อิสระจนรู้สึกว่าสิ่งที่ผิดเป็นเรื่องปกติ(อยากให้คุณได้อ่านการิทัตผจญภัยจังเลย..จะได้รู้ว่าโลกที่เป็นเสรีนิยมปัเจกนิยมหรือไอ้ประชาธิปไตยที่คุณวาดฝันเอาไว้มันไม่ได้สวยงามอย่างที่คุณคิด)

นึกไปถึงพวกฝรั่งและยิว....เสียดายชาติพันธุ์ที่อัลเลาะห์ให้พวกเขาฉลาด
แต่พวกเขากลับจองหอง...ตัวกูของกู
ผู้ศรัทธาต่ออัลลอห์...ท้ายสุดจะได้ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ในวันอาคิเราะห์

ออฟไลน์ iqwan

  • ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลเลาะฮ์ มุฮำมัดดุ้รร่อซูลุ้ลลอฮฺ
  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 168
  • เพศ: ชาย
  • มาซาอั้ลลอฮฺ
  • Respect: +23
    • ดูรายละเอียด
อั้ลลอฮุอักบัร ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮฺ มุฮำมัดดุ้รร่อซูลุ้ลลอฮฺ ลาเฮาละว่าลากูวะตะอิ้ลลาบิ้ลลาฮิ้ลอะลียิ้ลอะซีม, อินนาลิ้ลลาฮ วะอินนาอิไลฮิรอยิอูน, ขอพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ)ทรงเปิดตาและหัวใจของพวกยะฮูดีและนัสรอนีให้ชัดแจ้งในศาสนาอิสลามของพระด้วยเถิด. อามีน
อั้ลลามะอฺบูดุบิฮักกิ้ลฟิ้ลวุยู๊ดอิ้ลลั้ลลอฮฺ

ทุกๆปัญหา มีทางแก้...ถ้าแก้ไม่ได้ นั่นไม่ใช่ปัญหา
" Any Problem can Solve...if can't Solve
that not the Problem"

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
คริสต์ที่นี่ไม่เห็นจะดะวัฮเราให้เป็นคริสต์เลย
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ Rachyds

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 100
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • http://rachyds.siamvip.com
 :salam:

      หากย้อนกลับไปยังประวัติศาสตร์ของท่านนบีอีซา(อ.ฮ) ท่านได้ทำการเผยแผ่ ศาสนาได้ไม่นานประมาณ 5-6 ปี และได้ถูกต่อต้านอย่างหนักจากบรรดาบาทหลวงชาวยาฮูดี เหตุเพราะท่านได้ทำการต่อต้านพวกเขาเหล่านั้น จากการกดขี่ข่มเหงคนยากคนจน บาทหลวงเหล่านั้นไม่ใช่แค่เพียงเผยแพร่สิ่งที่มีอยู่ในเตารอตแต่ได้ทำการแอบแฝงเพื่อผลประโยชน์เข้าหาตนเอง
   ท่านนบีอีซาพร้อมด้วยเหล่าบรรดาสาวก”ฮาวารียน” ก็ได้หนีไปในที่ต่างๆเพื่อทำการเผยแพร่ศาสนาที่มาจากอัลลอฮ(ซ.บ) จนกระทั่งจนมุมและหนีเข้าไปในถ้ำจนกระทั่ง ชาวคริสต์เชื่อว่าท่านถูกจับและถูกตรึงไม้กางเขน แต่เราอิสลามเชื่อมั่นว่าท่านถูกอัลลอฮ(ซ.บ)ยกขึ้นไปบนสวรรค์
     ซุเราะฮอาลีอิมรอน
55. จงรำลึกถึงขณะที่อัลลอฮ์ตรัสว่า โอัอีซา ! ข้าจะเป็นผู้รับเจ้าไปพร้อมด้วยชีวิตและร่างกายของเจ้า และจะเป็นผู้ยกเจ้าขึ้นไปยังข้าและจะเป็นผู้ทำให้เจ้าบริสุทธิ์ พ้นจากบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา และจะเป็นผู้ให้บรรดาที่ปฏิบัติตามเจ้าเหนือผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย จนกระทั่งถึงวันกิยามะฮ์ แล้วยังข้านั้นคือการกลับไปของพวกเจ้า แล้วข้าจะตัดสินระหว่างพวกเจ้า ในสิ่งที่พวกเจ้าขัดแย้งกัน

        หลังจากนั้นบรรดาสาวกของนบีอีซาที่ยังหลงเหลืออยู่ก็เผยแพร่แนวทางของท่าน และรวบรวมคัมภีร์ขึ้นมา ชื่อว่า อินญีล และในเนื้อหาของอินญีลนั้นจะตั้งชื่อตามคนรายงาน เช่น บทแห่ง mathius,injil johanna,injil lukas,injil banamas, และอีกมากมาย สายรายงานที่รวบรวมขึ้นมานั้น บางคนเป็นสาวกคนสนิทของนบีอีซา แต่บางคนไม่เคยที่จะพบกับท่านเลย จนกระทั่งทำให้สายรายงานแต่ละสายนั้นมีความแตกต่างในหลักความเชื่อ เช่น บางความเชื่อคิดว่านบีอีซานั้นคือนบีและรอซูลเท่านั้น บางความเชื่อเข้าใจว่านบีอีซาคือลูกของอัลลอฮ บางความเชื่อก็คิดว่ามาลาอีกัตญิบรีลคืออัลลอฮ บางความเชื่อคิดว่านบีอีซาคืออัลลอฮที่แปลงกายลงมาในร่างมนุษย์ บางความเชื่อก็คิดว่าพระเจ้ามีสามองค์ พระพ่อ พระแม่(นางมาเรียม) พระบุตร(นบีอีซา) จวบจนกระทั่งขัดแย้งกันเอง จนทำให้เกิดสงครามนองเลือดกันเรื่อยมา จนกระทั่งอัลลอฮ(ซ.บ)ประทานศาสดาองค์สุดท้ายลงมาคือนบีมูฮัมมัด(ซ.ล)พร้อมทั้งอัลกุรอ่านนุลการีม

ซุเราะฮอัลนิซาอ
171. อะฮ์ลุลกิตาบทั้งหลาย (*1*) จงอย่าปฏิบัติให้เกินขอบเขต (*2*) ในศาสนาของพวกเจ้า และจงอย่ากล่าวเกี่ยวกับอัลลอฮฺ นอกจากสิ่งที่เป็นจริงเท่านั้น (*3*) แท้จริง อัล-มะซีฮ์ อีซาบุตรของมัรยัมนั้น เป็นเพียงร่อซูลของอัลลอฮฺ และเป็นเพียงดำรัสของพระองค์ที่ได้ทรงกล่าวมันแก่มัรยัม (*4*) และเป็นเพียงวิญญาณหนึ่งจากพระองค์ (*5*) เท่านั้น ดังนั้นจงศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และบรรดาร่อซูลของพระองค์เถิด (*6*) และจงอย่ากล่าวว่าสามองค์เลย (*7*) จงหยุดยั้งเสียเถิด มันเป็นสิ่งดียิ่งแก่พวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮฺคือผู้ควรได้รับการเคารพสักการะแต่เพียงองค์เดียวเท่านั้น พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากการที่จะทรงมีพระบุตร (*8*) สิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้า และสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้นเป็นสิทธิของพระองค์ทั้งสิ้น และเพียงพอแล้วที่อัลลอฮฺเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้คุ้มครองรักษา (*9*)
(1)  หมายถึงทั้งพวกยิวและคริสต์
(2)  คือขอบเขตที่ศาสนาได้กำหนดไว้ เช่น ทำการอิบาดะฮ์จนไม่มีเวลาประกอบอาชีพ เป็นต้น
(3)  เช่นพูดว่าพระองค์องค์เดียวเท่านั้นที่ควรได้รับการสักการะ ไม่มีภาคีใด ๆ แก่พระองค์ และพระองค์ไม่ทรงมีพระบุตร
(4)  คือทรงกล่าวแก่นางว่า “จงมีบุตรชายคนหนึ่ง” แล้วนางก็ตั้งครรภ์และคลอดมาเป็นชายได้ชื่อว่า อีซา ด้วยเหตุนี้ท่านนะบีอีซาจึงถือว่าเป็นดำรัสของพระองค์
(5)  คือท่านนะบีอีซาเกิดขึ้นจากวิญญาณหนึ่งที่มาจากพระองค์โดยตรง มิใช่ผ่านชายใด ด้วยเหตุนี้ท่านนะบีอีซาจึงเกิดขึ้นโดยไม่มีบิดา
(6)  รวมถึงศรัทธาต่อท่านนะบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ด้วย
(7)  คืออย่ากล่าวว่า อัลลอฮฺ แบ่งภาคออกเป็นสามองค์ คือ พระบิดา พระบุตร และพระจิต โดยที่แต่ละองค์เป็นพระเจ้าโดยสมบูรณ์ ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วก็เป็นพระเจ้าองค์เดียว ดังกล่าวนี้เป็นความเข้าใจผิดของคริสต์ชน
(8)  คือทรงบริสุทธิ์เกินกว่าที่จะถือเอานะบีอีซา เป็นพระบุตรของพระองค์ เพราะพระองค์ไม่ทราบต้องพึ่งพาอาศัยใครซึ่งแตกต่างกับมนุษย์ที่จำต้องมีบุตรที่จะได้ช่วยเหลือพ่อแม่ยามชรา
(9)  คือทำหน้าที่คุ้มครองรักษากิจการงานต่าง ๆ ของพวกเขา

ซูเราฮอัตเตาบัต
    30. “และชาวยิวได้กล่าวว่า อุซัยร์(*1*)เป็นบุตรของอัลลอฮ์ และชาวคริสต์ได้กล่าวว่า อัล-มะซีห์(*2*)เป็นบุตรของอัลลอฮ์ นั่นคือถ้อยคำที่พวกเขากล่าวขึ้นด้วยปากของพวกเขาเอง ซึ่งคล้ายกับถ้อยคำของบรรดาผู้ที่ได้ปฏิเสธการศรัทธามาก่อน ขออัลลอฮ์ทรงละอ์นัต(*3*)พวกเขาด้วยเถิด พวกเขาถูกหันเห(*4*)ไปได้อย่างไร?
(1)  คือนักปราชญ์ยิวส ซึ่งทำหน้าที่รวบรวมบัญญัติแห่งคัมภีร์เตารอตจากบรรดาชาวยิวที่จดจำไว้ แล้วรวบรวมเป็นเล่มขึ้นทั้งนี้หลังจากที่ต้นฉบับได้สูญหายไป ด้วยเหตุเขาจึงได้รับการเคารพนับถือ จนกระทั่งถูกเข้าใจว่าเป็นพระบุตรของอัลลอฮ์
(2)  หมายถึงท่านนะบีอีซา
(3)  ละอ์นัตคือการขับไล่ให้ออกความเอ็นดูเมตตาของอัลลอฮ์ การขอให้อัลลอฮ์ทรงละอ์นัต จึงหมายถึงขอให้อัลลอฮ์ทรงขับไล่ให้ออกจากความเอ็นดูเมตตาของพระองค์ อนึ่ง พึงสังเกตด้วยว่าข้อความของอัล-กุรอ่านที่ว่า นั้นเป็นประโยค ดุอาอ์ หมายถึงขอให้อัลลอฮ์ทรงละอ์นัต
(4)  คือหันเหออกจากความจริง
    31. “พวกเขาได้ยึดเอาบรรดานักปราชญ์ของพวกเขา และบรรดาบาดหลวงของพวกเขาเป็นพระเจ้า(*1*)อื่นจากอัลลอฮ์ และยึดเอาอัล-มะซีห์บุตรของมัรยัมเป็นพระเจ้าด้วย(*2*) ทั้ง ๆที่พวกเขามิได้ถูกใช้นอกจากเพื่อเคารพสักการะผู้ทีสมควรได้รับการเคารพสักการะ(*3*) แต่เพียงองค์เดียว ซึ่งไม่มีผู้ใดควรได้รับการเคารพสักการะนอกจากพระองค์เท่านั้น พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่พวกเขาให้มีภาคีขึ้น” 
(1)  เนื่องจากพวกเขาได้ยึดถือคำแนะนำของนักปราชญ์และบาดหลวงแทนบัญญัติของพระเจ้า จึงเท่ากับว่าพวกเขาถือเอานักปราชญ์และบาดหลวงเป็นพระเจ้า
(2)  เนื่องจากท่านนะบีอีซาเกิดมาโดยไม่มีบิดาจึงเข้าใจผิดว่าพระองค์แบ่งภาคมาเกิด เลยถือว่าท่านเป็นพระเจ้า
(3)  หมายถึงอัลลอฮ์ ซุบห์ฯ 
 
--อัลกุรอ่านสอนให้เราตอบโต้ต่ออุมัตนัสรอนีอย่างชาญฉลาดและหลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ในการโต้แย้งต่อพวกเขาเหล่านั้นเพราะในวันกิยามัตนั้นอัลลอฮจะทรงตอบแทนต่อพวกเขาเอง
   ซูเราะฮอัลนะฮลุ
125. จงเรียกร้องสู่แนวทางแห่งพระเจ้าของสูเจ้าโดยสุขุม และการตักเตือนที่ดี และจงโต้แย้งพวกเขาด้วยสิ่งที่ดีกว่า(*1*) แท้จริงพระเจ้าของพระองค์และพระองค์ทรงรู้ดียิ่งถึงบรรดาผู้ที่อยู่ในทางที่ถูกต้อง(*2*)
(1)  คือด้วยเหตุผลและหลักฐาน ด้วยความอ่อนโยนและสุภาพ
(2)  เจ้าไม่มีหน้าที่ฮิดายะฮ์พวกเขา หน้าที่ของเจ้าคือเรียกร้องเชิญชวน และเรา(พระองค์) มีหน้าที่สอบสวนและลงโทษพวกเขา
 
  126. และหากพวกเจ้าจะลงโทษ(ฝ่ายปรปักษ์)(*1*)ก็จงลงโทษเยี่ยงที่พวกเจ้าได้รับโทษ และหากพวกเจ้าอดทน แน่นอน มันเป็นการดียิ่งสำหรับบรรดาผู้อดทน
(1)  ผู้ที่อธรรมต่อพวกเจ้าและทำร้ายพวกเจ้า ก็จงปฏิบัติเยี่ยงที่พวกเขากระทำต่อพวกเจ้า อย่าทำให้มากกว่า

127. และจงอดทนเถิด และการอดทนของเจ้าจะมีขึ้นไม่ได้ เว้นแต่ด้วย(การเตาฟีกของ) อัลลอฮ์(*1*) และอย่าเศร้าโศกต่อพวกเขา และอย่าคับใจในสิ่งที่พวกเขาวางกลอุบาย
(1)  จงอดทนต่อสิ่งที่เจ้าได้รับจากการทำร้ายในทางของอัลลอฮ์ เจ้าจะไม่บรรลุสู่ตำแหน่งอันสูงส่งนี้ได้ นอกจากด้วยการช่วยเหลือและการเตาฟีกของอัลลอฮ์

 
128. แท้จริง อัลลอฮฺทรงอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ยำเกรง (*1*) และบรรดาผู้กระทำความดี (*2*)
(1)  โดยให้ความช่วยเหลือและได้รับความสำเร็จ
(2)  ด้วยการปกปักษ์รักษาให้พ้นจากการวางแผนของผู้วางแผน


 

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
เคยเจอคริสเตียนมาเผยแผ่ศาสนา จนสามารถล่อให้ข้าน้อยเข้าไปร่วมงาน
ในโบสถ์คริสต์ได้สำเร็จมาแล้วค่ะ ตอนนั้นไม่รู้เลยว่าบัตรที่เขาให้มานั้น
คือบัตรเข้าชมงานของชาวคริสต์ เพราะตอนนั้นอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก
รุ่นพี่ให้มา เราก็รับมา เขาชวนให้ไป เราก็ไปกับเขาด้วย (ช่างเดียงสาเสียจริงเรา)

แต่นั่นกลับเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้ตระหนักว่า...หากเรามั่นคงบนจุดยืนของศาสนา
ที่เราได้ร่ำเรียนและปฏิบัติมา ใครก็ไม่อาจชักจูงเราไปได้ตลอดรอดฝั่งแน่...
และนั่นทำให้เราได้รับรู้ถึงแนวทางการเผยแผ่ศาสนาของชาวคริสต์
ชาวคริสต์เขามุ่งมั่นในการเผยแผ่ศาสนากันอย่างขมีขมันมากค่ะ...
เอาจริงเอาจัง แต่มีน้องชาวคริสเตียนคนนึงที่รู้จักกัน เขาก็บ่นๆให้ฟังว่า
ผู้ที่ทำหน้าที่เผยแผ่ศาสนาคริสต์ บางคนก็รู้ไม่จริง เผยแผ่ศาสนาแบบผิดๆ
ทำแบบผิดๆกันเยอะ...บางคนไม่ได้ศึกษาให้ลึกลงไป แล้วฮึกเหิม
นำศาสนาไปเผยแผ่ทั้งๆที่ตัวเองยังไม่ใช่ผู้รู้ในข้อบัญญัติศาสนาอย่างแท้จริง...
เลยทำให้เกิดปัญหาตามมา...

คริสเตียนเขาก็มีอุดมการณ์ที่ต้องการให้มนุษย์ทุกคนเป็นส่วนหนึ่ง
ของผู้ที่จะได้รับสวรรค์จากพระเจ้าไม่ต่างไปจากมุสลิมเราที่กำลังประกาศศาสนาอิสลาม
เพื่อให้มนุษย์เราได้รับสวรรค์จากอัลลอฮฺ...

เพียงแต่เรากับเขามีหลักการและหลักอากีดะที่แตกต่างกัน...
มีหลักศรัทธาที่ต่างกันอย่างมาก...แม้เป้าหมายจะไม่ได้แตกต่าง
หากว่าหลักความเชื่อต่างกัน ผลลัพธ์ก็ย่อมต้องแตกต่างกัน...

น้องเขาบอกว่า เขาเคยได้รับการเผยแผ่จากรุ่นพี่คนนึง(ตอนนั้นน้องเขายังเป็นชาวพุทธอยู่)
แล้วเขาก็รับคริสต์ ปฏิญาณเป็นชาวคริสเตียน เรียนรู้คัมภีร์ของคริสต์
แต่เขาก็ต้องมาชะงัก เมื่อรุ่นพี่คนที่ชักจูงเขามา บอกกับเขาว่า...
พี่เขาไม่อาจยอมรับได้ถึงคำว่า "นิรันดร์" ที่ถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์
เขาบอกว่า เขาไม่อาจยอมรับถึงสิ่งที่ "ไม่มีที่สิ้นสุด"ได้
เขาเชื่อว่า ทุกอย่างมีเกิดก็มีดับสูญ คำว่า "นิรันดร์" ทำให้เขาเกิดความกลัว
กลัวว่า มันจะดำเนินต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เขาไม่ชอบแบบนั้น...
รุ่นพี่คนนั้นก็เลยขอกลับเข้ามาสู่ศาสนาพุทธที่เชื่อว่า ทุกอย่างมีเกิดและมีดับสูญ

น้องคนนั้นก็เลยดูเคว้งคว้าง ถามข้าน้อยว่า ศาสนาพี่เชื่อเรื่อง "สวรรค์อันนิรันดร์"รึเปล่า
ข้าน้อยเลยบอกว่า เชื่อสิ...พระเจ้าจะตอบแทนสวรรค์อันนิรันดร์ให้กับผู้ที่พระองค์ทรงเลือก
ซึ่งเราก็ไม่มีทางรู้ได้ว่า เราจะเป็นผู้ถูกเลือกรึเปล่า เรารู้แค่ว่า เราจะต้องทำอย่างไรบ้าง
ให้พระองค์พอใจ...ทำอย่างไรให้พระองค์รัก...เพราะพระองค์บอกคุณสมบัติ
ของชาวสวรรค์เอาไว้ให้เราได้ศึกษาและนำมาปฏิบัติแล้ว...

น้องเขาก็เลยถามว่า พี่กลัวคำว่า "นิรันดร์"รึเปล่า ข้าน้อยบอกว่า
มันขึ้นอยู่กับว่า อะไรที่เป็นนิรันดร์มากกว่า หากเป็นความทุกข์หรือนรกอันนิรันดร์นั้น
พี่กลัวนะ เพราะหมายความว่า มันเป็นความทุกข์ทนที่ไม่มีวันสิ้นสุด
แต่ถ้าเป็น ความสุขอันนิรันดร์หรือสวรรค์อันนิรันดร์ พี่อยากได้และปรารถนา
เพราะว่าเวลาเรามีความสุข เราก็ไม่มีความรู้สึกว่าอยากให้ความสุขนั้นสิ้นสุดลงมิใช่หรือ
แล้วทำไมพี่จะต้องกลัวกับคำว่า "นิรันดร์" หากว่ามันคือ ความสุขอันนิรันดร์
ที่เราจะได้รับจากพระเจ้าที่เราศรัทธา ปัญหามันอยู่ที่ว่า
เรารู้จักเจ้าของความสุขอันนิรันดร์แล้วหรือยังก็เท่านั้นเอง...

น้องเขาเลยถามต่อว่า...แล้วพี่คิดว่าพ่ีรู้จักหรือยัง...

ข้าน้อยบอกว่า...พี่กำลังทำความรู้จักอยู่...และมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับพี่เพียงฝ่ายเดียว
หากว่าเจ้าของความสุขอันนิรันดร์จะไม่ปรารถนาที่จะให้พี่รู้จัก...
เมื่อพระองค์ปรารถนาจะให้เราได้รู้จัก เราจะได้รู้จักพระองค์เอง...
ที่เราทำได้ก็คือ พยายามศึกษาและทำความรู้จักกับพระองค์...

พี่นั้นแน่ใจในสิ่งที่พี่ศรัทธา...สำหรับพี่ อิสลามคือสัจธรรม...
อิสลามจะไม่บังคับใครให้ศรัทธา และพี่ก็ไม่เคยบังคับใครให้ต้องมาเชื่อในสิ่งที่พี่เชื่อ
เพราะ...สัจธรรมจะถูกตามหาด้วยตัวของมันเอง...
สิ่งที่พี่ทำก็คือ ป่าวประกาศ แต่จะไม่มัดมือใครหรือหลอกล่อให้เขาเชื่อในสิ่งที่พี่เชื่อ...
หากเขาจะเชื่อหรือศรัทธา ก็ด้วยกับจิตใจของเขายอมรับมันเอง...

และพี่ไม่ได้กดดันหรือรู้สึกไม่ดีหรือรู้สึกอึดอัดกับการปฏิบัติตาม
กฎเกณฑ์ที่อิสลามวางไว้ อาจมีบ้างที่รู้สึกขี้เกียจ
แต่มันไม่ได้เกิดมาจากการปฏิเสธหรือไม่ให้เกียรติกฎดังกล่าว
พี่ให้เกียรติกฎทุกกฎในอิสลามนะ...แม้จะปฏิบัติได้ไม่หมด...
นั่นเป็นเพราะพี่มันไม่ได้ดีพอ ยังไม่ดีพอ แต่สำหรับกฎนั้น
มันดีในตัวของมันอยู่แต่เดิมแล้ว หากน้องจะตัดสินอิสลาม
ก็จงศึกษากฎเกณฑ์และหลักการของศาสนา อย่าศึกษาจาก
ผู้ที่นับถือ...เพราะผู้ที่นับถือย่อมต้องบกพร่องกันได้...
แต่สำหรับพี่...อิสลามนั้น...หาข้อบกพร่องไม่ได้...

ปกติเวลาคุยกับน้องที่เป็นคริสเตียน ข้าน้อยจะไม่ไปพาดพิง
หรือตำหนิหลักคำสอนของเขาให้เขาต้องรู้สึกระคายเคืองใจ
แต่จะพยายามนำเสนอในส่วนของตัวเอง...

เพราะศาสนาของเขา เขาก็ย่อมต้องคิดว่า มันดีที่สุดสำหรับเขา
พอๆกับเราที่ก็เชื่อว่า ศาสนาของเรานั้นดีที่สุดสำหรับเรา...

เขาก็ย่อมต้องอยากให้เราลองปฏิบัติตามศาสนาของเขาดูบ้าง
เผื่อเราอาจจะติดใจ...และเขาก็ยอมที่จะลองปฏิบัติตามศาสนาเรา
เพื่อแสดงความใจกว้างให้เราดูว่าเขาไม่ใช่ผู้ที่ปิดกั้น...

แล้วเราจำเป็นด้วยหรือที่จะต้องไปลองทำตามศาสนาของเขา
ในเมื่อเราศรัทธามั่นในความเชื่อของเราและปฏิญาณตนไปแล้ว

ศาสนาของท่านก็คือ ศาสนาของท่าน
ศาสนาของฉันก็คือ ศาสนาของฉัน

นั่นคือคำพูดที่ข้าน้อยมักพูดเสมอเมื่อมีผู้ท้าให้ลองปฏิบัติ
ตามศาสนาของเขาดู...

นั่นจึงเป็นการให้เกียรติผู้นับถือศาสนาอื่น...
แต่ไม่ได้หมายความว่าการให้เกียรตินั้นหมายถึง
การยอมเชื่อตามหลักการของเขาหากว่ามันขัดกับหลักการ
ของศาสนาเราอย่างชัดแจ้ง...

เขาก็ว่าของเขาดี เราก็ว่าของเราดี...

แต่เราจะทำอย่างไร...ในเมื่ออย่างไรแล้ว..
สัจธรรม(ความจริง)ย่อมมีเพียงหนึ่งเดียว...

ดังนั้น...เราก็จงยึดมั่นบนหนทางของเราและจงอยู่กับความจริง
แล้วเราจะไม่หลง...

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
ปกติ ต่างศาสนิกที่มีความรู้เกี่ยวกับอิสลามนั้นมีเยอะนะคะ
แต่น้อยนักท่ีต่างศาสนิกที่มีความรู้ดังกล่าวจะมีความเข้าใจในอิสลาม

เพราะถ้าเขาเข้าใจอิสลามจริงๆ เขาก็คงเข้ารับอิสลามไปแล้ว...

ดังนั้น...จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะได้อ่านอะไรที่ต่างศาสนิกเขียนถึงอิสลาม
ราวกับว่าเขาได้มีการศึกษาอิสลามมาอย่างละเอียด แต่เรานั้นรับรู้ได้ว่า
สิ่งที่เขาศึกษามามันไม่ได้สร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นกับเขา...

เพราะหากเขาเข้าใจในอิสลามที่เขาได้ศึกษามา เขาก็ย่อมที่จะปฏิเสธอิสลาม
ได้ยากค่ะ...

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

 

GoogleTagged