เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม
ความคิดคนคริสต์ที่อยากเปลี่ยนมุสลิมให้เป็นคริสต์
ILHAM:
คริสต์ที่นี่ไม่เห็นจะดะวัฮเราให้เป็นคริสต์เลย
Rachyds:
:salam:
หากย้อนกลับไปยังประวัติศาสตร์ของท่านนบีอีซา(อ.ฮ) ท่านได้ทำการเผยแผ่ ศาสนาได้ไม่นานประมาณ 5-6 ปี และได้ถูกต่อต้านอย่างหนักจากบรรดาบาทหลวงชาวยาฮูดี เหตุเพราะท่านได้ทำการต่อต้านพวกเขาเหล่านั้น จากการกดขี่ข่มเหงคนยากคนจน บาทหลวงเหล่านั้นไม่ใช่แค่เพียงเผยแพร่สิ่งที่มีอยู่ในเตารอตแต่ได้ทำการแอบแฝงเพื่อผลประโยชน์เข้าหาตนเอง
ท่านนบีอีซาพร้อมด้วยเหล่าบรรดาสาวก”ฮาวารียน” ก็ได้หนีไปในที่ต่างๆเพื่อทำการเผยแพร่ศาสนาที่มาจากอัลลอฮ(ซ.บ) จนกระทั่งจนมุมและหนีเข้าไปในถ้ำจนกระทั่ง ชาวคริสต์เชื่อว่าท่านถูกจับและถูกตรึงไม้กางเขน แต่เราอิสลามเชื่อมั่นว่าท่านถูกอัลลอฮ(ซ.บ)ยกขึ้นไปบนสวรรค์
ซุเราะฮอาลีอิมรอน
55. จงรำลึกถึงขณะที่อัลลอฮ์ตรัสว่า โอัอีซา ! ข้าจะเป็นผู้รับเจ้าไปพร้อมด้วยชีวิตและร่างกายของเจ้า และจะเป็นผู้ยกเจ้าขึ้นไปยังข้าและจะเป็นผู้ทำให้เจ้าบริสุทธิ์ พ้นจากบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา และจะเป็นผู้ให้บรรดาที่ปฏิบัติตามเจ้าเหนือผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย จนกระทั่งถึงวันกิยามะฮ์ แล้วยังข้านั้นคือการกลับไปของพวกเจ้า แล้วข้าจะตัดสินระหว่างพวกเจ้า ในสิ่งที่พวกเจ้าขัดแย้งกัน
หลังจากนั้นบรรดาสาวกของนบีอีซาที่ยังหลงเหลืออยู่ก็เผยแพร่แนวทางของท่าน และรวบรวมคัมภีร์ขึ้นมา ชื่อว่า อินญีล และในเนื้อหาของอินญีลนั้นจะตั้งชื่อตามคนรายงาน เช่น บทแห่ง mathius,injil johanna,injil lukas,injil banamas, และอีกมากมาย สายรายงานที่รวบรวมขึ้นมานั้น บางคนเป็นสาวกคนสนิทของนบีอีซา แต่บางคนไม่เคยที่จะพบกับท่านเลย จนกระทั่งทำให้สายรายงานแต่ละสายนั้นมีความแตกต่างในหลักความเชื่อ เช่น บางความเชื่อคิดว่านบีอีซานั้นคือนบีและรอซูลเท่านั้น บางความเชื่อเข้าใจว่านบีอีซาคือลูกของอัลลอฮ บางความเชื่อก็คิดว่ามาลาอีกัตญิบรีลคืออัลลอฮ บางความเชื่อคิดว่านบีอีซาคืออัลลอฮที่แปลงกายลงมาในร่างมนุษย์ บางความเชื่อก็คิดว่าพระเจ้ามีสามองค์ พระพ่อ พระแม่(นางมาเรียม) พระบุตร(นบีอีซา) จวบจนกระทั่งขัดแย้งกันเอง จนทำให้เกิดสงครามนองเลือดกันเรื่อยมา จนกระทั่งอัลลอฮ(ซ.บ)ประทานศาสดาองค์สุดท้ายลงมาคือนบีมูฮัมมัด(ซ.ล)พร้อมทั้งอัลกุรอ่านนุลการีม
ซุเราะฮอัลนิซาอ
171. อะฮ์ลุลกิตาบทั้งหลาย (*1*) จงอย่าปฏิบัติให้เกินขอบเขต (*2*) ในศาสนาของพวกเจ้า และจงอย่ากล่าวเกี่ยวกับอัลลอฮฺ นอกจากสิ่งที่เป็นจริงเท่านั้น (*3*) แท้จริง อัล-มะซีฮ์ อีซาบุตรของมัรยัมนั้น เป็นเพียงร่อซูลของอัลลอฮฺ และเป็นเพียงดำรัสของพระองค์ที่ได้ทรงกล่าวมันแก่มัรยัม (*4*) และเป็นเพียงวิญญาณหนึ่งจากพระองค์ (*5*) เท่านั้น ดังนั้นจงศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และบรรดาร่อซูลของพระองค์เถิด (*6*) และจงอย่ากล่าวว่าสามองค์เลย (*7*) จงหยุดยั้งเสียเถิด มันเป็นสิ่งดียิ่งแก่พวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮฺคือผู้ควรได้รับการเคารพสักการะแต่เพียงองค์เดียวเท่านั้น พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากการที่จะทรงมีพระบุตร (*8*) สิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้า และสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้นเป็นสิทธิของพระองค์ทั้งสิ้น และเพียงพอแล้วที่อัลลอฮฺเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้คุ้มครองรักษา (*9*)
(1) หมายถึงทั้งพวกยิวและคริสต์
(2) คือขอบเขตที่ศาสนาได้กำหนดไว้ เช่น ทำการอิบาดะฮ์จนไม่มีเวลาประกอบอาชีพ เป็นต้น
(3) เช่นพูดว่าพระองค์องค์เดียวเท่านั้นที่ควรได้รับการสักการะ ไม่มีภาคีใด ๆ แก่พระองค์ และพระองค์ไม่ทรงมีพระบุตร
(4) คือทรงกล่าวแก่นางว่า “จงมีบุตรชายคนหนึ่ง” แล้วนางก็ตั้งครรภ์และคลอดมาเป็นชายได้ชื่อว่า อีซา ด้วยเหตุนี้ท่านนะบีอีซาจึงถือว่าเป็นดำรัสของพระองค์
(5) คือท่านนะบีอีซาเกิดขึ้นจากวิญญาณหนึ่งที่มาจากพระองค์โดยตรง มิใช่ผ่านชายใด ด้วยเหตุนี้ท่านนะบีอีซาจึงเกิดขึ้นโดยไม่มีบิดา
(6) รวมถึงศรัทธาต่อท่านนะบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ด้วย
(7) คืออย่ากล่าวว่า อัลลอฮฺ แบ่งภาคออกเป็นสามองค์ คือ พระบิดา พระบุตร และพระจิต โดยที่แต่ละองค์เป็นพระเจ้าโดยสมบูรณ์ ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วก็เป็นพระเจ้าองค์เดียว ดังกล่าวนี้เป็นความเข้าใจผิดของคริสต์ชน
(8) คือทรงบริสุทธิ์เกินกว่าที่จะถือเอานะบีอีซา เป็นพระบุตรของพระองค์ เพราะพระองค์ไม่ทราบต้องพึ่งพาอาศัยใครซึ่งแตกต่างกับมนุษย์ที่จำต้องมีบุตรที่จะได้ช่วยเหลือพ่อแม่ยามชรา
(9) คือทำหน้าที่คุ้มครองรักษากิจการงานต่าง ๆ ของพวกเขา
ซูเราฮอัตเตาบัต
30. “และชาวยิวได้กล่าวว่า อุซัยร์(*1*)เป็นบุตรของอัลลอฮ์ และชาวคริสต์ได้กล่าวว่า อัล-มะซีห์(*2*)เป็นบุตรของอัลลอฮ์ นั่นคือถ้อยคำที่พวกเขากล่าวขึ้นด้วยปากของพวกเขาเอง ซึ่งคล้ายกับถ้อยคำของบรรดาผู้ที่ได้ปฏิเสธการศรัทธามาก่อน ขออัลลอฮ์ทรงละอ์นัต(*3*)พวกเขาด้วยเถิด พวกเขาถูกหันเห(*4*)ไปได้อย่างไร?
(1) คือนักปราชญ์ยิวส ซึ่งทำหน้าที่รวบรวมบัญญัติแห่งคัมภีร์เตารอตจากบรรดาชาวยิวที่จดจำไว้ แล้วรวบรวมเป็นเล่มขึ้นทั้งนี้หลังจากที่ต้นฉบับได้สูญหายไป ด้วยเหตุเขาจึงได้รับการเคารพนับถือ จนกระทั่งถูกเข้าใจว่าเป็นพระบุตรของอัลลอฮ์
(2) หมายถึงท่านนะบีอีซา
(3) ละอ์นัตคือการขับไล่ให้ออกความเอ็นดูเมตตาของอัลลอฮ์ การขอให้อัลลอฮ์ทรงละอ์นัต จึงหมายถึงขอให้อัลลอฮ์ทรงขับไล่ให้ออกจากความเอ็นดูเมตตาของพระองค์ อนึ่ง พึงสังเกตด้วยว่าข้อความของอัล-กุรอ่านที่ว่า นั้นเป็นประโยค ดุอาอ์ หมายถึงขอให้อัลลอฮ์ทรงละอ์นัต
(4) คือหันเหออกจากความจริง
31. “พวกเขาได้ยึดเอาบรรดานักปราชญ์ของพวกเขา และบรรดาบาดหลวงของพวกเขาเป็นพระเจ้า(*1*)อื่นจากอัลลอฮ์ และยึดเอาอัล-มะซีห์บุตรของมัรยัมเป็นพระเจ้าด้วย(*2*) ทั้ง ๆที่พวกเขามิได้ถูกใช้นอกจากเพื่อเคารพสักการะผู้ทีสมควรได้รับการเคารพสักการะ(*3*) แต่เพียงองค์เดียว ซึ่งไม่มีผู้ใดควรได้รับการเคารพสักการะนอกจากพระองค์เท่านั้น พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่พวกเขาให้มีภาคีขึ้น”
(1) เนื่องจากพวกเขาได้ยึดถือคำแนะนำของนักปราชญ์และบาดหลวงแทนบัญญัติของพระเจ้า จึงเท่ากับว่าพวกเขาถือเอานักปราชญ์และบาดหลวงเป็นพระเจ้า
(2) เนื่องจากท่านนะบีอีซาเกิดมาโดยไม่มีบิดาจึงเข้าใจผิดว่าพระองค์แบ่งภาคมาเกิด เลยถือว่าท่านเป็นพระเจ้า
(3) หมายถึงอัลลอฮ์ ซุบห์ฯ
--อัลกุรอ่านสอนให้เราตอบโต้ต่ออุมัตนัสรอนีอย่างชาญฉลาดและหลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ในการโต้แย้งต่อพวกเขาเหล่านั้นเพราะในวันกิยามัตนั้นอัลลอฮจะทรงตอบแทนต่อพวกเขาเอง
ซูเราะฮอัลนะฮลุ
125. จงเรียกร้องสู่แนวทางแห่งพระเจ้าของสูเจ้าโดยสุขุม และการตักเตือนที่ดี และจงโต้แย้งพวกเขาด้วยสิ่งที่ดีกว่า(*1*) แท้จริงพระเจ้าของพระองค์และพระองค์ทรงรู้ดียิ่งถึงบรรดาผู้ที่อยู่ในทางที่ถูกต้อง(*2*)
(1) คือด้วยเหตุผลและหลักฐาน ด้วยความอ่อนโยนและสุภาพ
(2) เจ้าไม่มีหน้าที่ฮิดายะฮ์พวกเขา หน้าที่ของเจ้าคือเรียกร้องเชิญชวน และเรา(พระองค์) มีหน้าที่สอบสวนและลงโทษพวกเขา
126. และหากพวกเจ้าจะลงโทษ(ฝ่ายปรปักษ์)(*1*)ก็จงลงโทษเยี่ยงที่พวกเจ้าได้รับโทษ และหากพวกเจ้าอดทน แน่นอน มันเป็นการดียิ่งสำหรับบรรดาผู้อดทน
(1) ผู้ที่อธรรมต่อพวกเจ้าและทำร้ายพวกเจ้า ก็จงปฏิบัติเยี่ยงที่พวกเขากระทำต่อพวกเจ้า อย่าทำให้มากกว่า
127. และจงอดทนเถิด และการอดทนของเจ้าจะมีขึ้นไม่ได้ เว้นแต่ด้วย(การเตาฟีกของ) อัลลอฮ์(*1*) และอย่าเศร้าโศกต่อพวกเขา และอย่าคับใจในสิ่งที่พวกเขาวางกลอุบาย
(1) จงอดทนต่อสิ่งที่เจ้าได้รับจากการทำร้ายในทางของอัลลอฮ์ เจ้าจะไม่บรรลุสู่ตำแหน่งอันสูงส่งนี้ได้ นอกจากด้วยการช่วยเหลือและการเตาฟีกของอัลลอฮ์
128. แท้จริง อัลลอฮฺทรงอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ยำเกรง (*1*) และบรรดาผู้กระทำความดี (*2*)
(1) โดยให้ความช่วยเหลือและได้รับความสำเร็จ
(2) ด้วยการปกปักษ์รักษาให้พ้นจากการวางแผนของผู้วางแผน
nada-yoru:
เคยเจอคริสเตียนมาเผยแผ่ศาสนา จนสามารถล่อให้ข้าน้อยเข้าไปร่วมงาน
ในโบสถ์คริสต์ได้สำเร็จมาแล้วค่ะ ตอนนั้นไม่รู้เลยว่าบัตรที่เขาให้มานั้น
คือบัตรเข้าชมงานของชาวคริสต์ เพราะตอนนั้นอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก
รุ่นพี่ให้มา เราก็รับมา เขาชวนให้ไป เราก็ไปกับเขาด้วย (ช่างเดียงสาเสียจริงเรา)
แต่นั่นกลับเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้ตระหนักว่า...หากเรามั่นคงบนจุดยืนของศาสนา
ที่เราได้ร่ำเรียนและปฏิบัติมา ใครก็ไม่อาจชักจูงเราไปได้ตลอดรอดฝั่งแน่...
และนั่นทำให้เราได้รับรู้ถึงแนวทางการเผยแผ่ศาสนาของชาวคริสต์
ชาวคริสต์เขามุ่งมั่นในการเผยแผ่ศาสนากันอย่างขมีขมันมากค่ะ...
เอาจริงเอาจัง แต่มีน้องชาวคริสเตียนคนนึงที่รู้จักกัน เขาก็บ่นๆให้ฟังว่า
ผู้ที่ทำหน้าที่เผยแผ่ศาสนาคริสต์ บางคนก็รู้ไม่จริง เผยแผ่ศาสนาแบบผิดๆ
ทำแบบผิดๆกันเยอะ...บางคนไม่ได้ศึกษาให้ลึกลงไป แล้วฮึกเหิม
นำศาสนาไปเผยแผ่ทั้งๆที่ตัวเองยังไม่ใช่ผู้รู้ในข้อบัญญัติศาสนาอย่างแท้จริง...
เลยทำให้เกิดปัญหาตามมา...
คริสเตียนเขาก็มีอุดมการณ์ที่ต้องการให้มนุษย์ทุกคนเป็นส่วนหนึ่ง
ของผู้ที่จะได้รับสวรรค์จากพระเจ้าไม่ต่างไปจากมุสลิมเราที่กำลังประกาศศาสนาอิสลาม
เพื่อให้มนุษย์เราได้รับสวรรค์จากอัลลอฮฺ...
เพียงแต่เรากับเขามีหลักการและหลักอากีดะที่แตกต่างกัน...
มีหลักศรัทธาที่ต่างกันอย่างมาก...แม้เป้าหมายจะไม่ได้แตกต่าง
หากว่าหลักความเชื่อต่างกัน ผลลัพธ์ก็ย่อมต้องแตกต่างกัน...
น้องเขาบอกว่า เขาเคยได้รับการเผยแผ่จากรุ่นพี่คนนึง(ตอนนั้นน้องเขายังเป็นชาวพุทธอยู่)
แล้วเขาก็รับคริสต์ ปฏิญาณเป็นชาวคริสเตียน เรียนรู้คัมภีร์ของคริสต์
แต่เขาก็ต้องมาชะงัก เมื่อรุ่นพี่คนที่ชักจูงเขามา บอกกับเขาว่า...
พี่เขาไม่อาจยอมรับได้ถึงคำว่า "นิรันดร์" ที่ถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์
เขาบอกว่า เขาไม่อาจยอมรับถึงสิ่งที่ "ไม่มีที่สิ้นสุด"ได้
เขาเชื่อว่า ทุกอย่างมีเกิดก็มีดับสูญ คำว่า "นิรันดร์" ทำให้เขาเกิดความกลัว
กลัวว่า มันจะดำเนินต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เขาไม่ชอบแบบนั้น...
รุ่นพี่คนนั้นก็เลยขอกลับเข้ามาสู่ศาสนาพุทธที่เชื่อว่า ทุกอย่างมีเกิดและมีดับสูญ
น้องคนนั้นก็เลยดูเคว้งคว้าง ถามข้าน้อยว่า ศาสนาพี่เชื่อเรื่อง "สวรรค์อันนิรันดร์"รึเปล่า
ข้าน้อยเลยบอกว่า เชื่อสิ...พระเจ้าจะตอบแทนสวรรค์อันนิรันดร์ให้กับผู้ที่พระองค์ทรงเลือก
ซึ่งเราก็ไม่มีทางรู้ได้ว่า เราจะเป็นผู้ถูกเลือกรึเปล่า เรารู้แค่ว่า เราจะต้องทำอย่างไรบ้าง
ให้พระองค์พอใจ...ทำอย่างไรให้พระองค์รัก...เพราะพระองค์บอกคุณสมบัติ
ของชาวสวรรค์เอาไว้ให้เราได้ศึกษาและนำมาปฏิบัติแล้ว...
น้องเขาก็เลยถามว่า พี่กลัวคำว่า "นิรันดร์"รึเปล่า ข้าน้อยบอกว่า
มันขึ้นอยู่กับว่า อะไรที่เป็นนิรันดร์มากกว่า หากเป็นความทุกข์หรือนรกอันนิรันดร์นั้น
พี่กลัวนะ เพราะหมายความว่า มันเป็นความทุกข์ทนที่ไม่มีวันสิ้นสุด
แต่ถ้าเป็น ความสุขอันนิรันดร์หรือสวรรค์อันนิรันดร์ พี่อยากได้และปรารถนา
เพราะว่าเวลาเรามีความสุข เราก็ไม่มีความรู้สึกว่าอยากให้ความสุขนั้นสิ้นสุดลงมิใช่หรือ
แล้วทำไมพี่จะต้องกลัวกับคำว่า "นิรันดร์" หากว่ามันคือ ความสุขอันนิรันดร์
ที่เราจะได้รับจากพระเจ้าที่เราศรัทธา ปัญหามันอยู่ที่ว่า
เรารู้จักเจ้าของความสุขอันนิรันดร์แล้วหรือยังก็เท่านั้นเอง...
น้องเขาเลยถามต่อว่า...แล้วพี่คิดว่าพ่ีรู้จักหรือยัง...
ข้าน้อยบอกว่า...พี่กำลังทำความรู้จักอยู่...และมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับพี่เพียงฝ่ายเดียว
หากว่าเจ้าของความสุขอันนิรันดร์จะไม่ปรารถนาที่จะให้พี่รู้จัก...
เมื่อพระองค์ปรารถนาจะให้เราได้รู้จัก เราจะได้รู้จักพระองค์เอง...
ที่เราทำได้ก็คือ พยายามศึกษาและทำความรู้จักกับพระองค์...
พี่นั้นแน่ใจในสิ่งที่พี่ศรัทธา...สำหรับพี่ อิสลามคือสัจธรรม...
อิสลามจะไม่บังคับใครให้ศรัทธา และพี่ก็ไม่เคยบังคับใครให้ต้องมาเชื่อในสิ่งที่พี่เชื่อ
เพราะ...สัจธรรมจะถูกตามหาด้วยตัวของมันเอง...
สิ่งที่พี่ทำก็คือ ป่าวประกาศ แต่จะไม่มัดมือใครหรือหลอกล่อให้เขาเชื่อในสิ่งที่พี่เชื่อ...
หากเขาจะเชื่อหรือศรัทธา ก็ด้วยกับจิตใจของเขายอมรับมันเอง...
และพี่ไม่ได้กดดันหรือรู้สึกไม่ดีหรือรู้สึกอึดอัดกับการปฏิบัติตาม
กฎเกณฑ์ที่อิสลามวางไว้ อาจมีบ้างที่รู้สึกขี้เกียจ
แต่มันไม่ได้เกิดมาจากการปฏิเสธหรือไม่ให้เกียรติกฎดังกล่าว
พี่ให้เกียรติกฎทุกกฎในอิสลามนะ...แม้จะปฏิบัติได้ไม่หมด...
นั่นเป็นเพราะพี่มันไม่ได้ดีพอ ยังไม่ดีพอ แต่สำหรับกฎนั้น
มันดีในตัวของมันอยู่แต่เดิมแล้ว หากน้องจะตัดสินอิสลาม
ก็จงศึกษากฎเกณฑ์และหลักการของศาสนา อย่าศึกษาจาก
ผู้ที่นับถือ...เพราะผู้ที่นับถือย่อมต้องบกพร่องกันได้...
แต่สำหรับพี่...อิสลามนั้น...หาข้อบกพร่องไม่ได้...
ปกติเวลาคุยกับน้องที่เป็นคริสเตียน ข้าน้อยจะไม่ไปพาดพิง
หรือตำหนิหลักคำสอนของเขาให้เขาต้องรู้สึกระคายเคืองใจ
แต่จะพยายามนำเสนอในส่วนของตัวเอง...
เพราะศาสนาของเขา เขาก็ย่อมต้องคิดว่า มันดีที่สุดสำหรับเขา
พอๆกับเราที่ก็เชื่อว่า ศาสนาของเรานั้นดีที่สุดสำหรับเรา...
เขาก็ย่อมต้องอยากให้เราลองปฏิบัติตามศาสนาของเขาดูบ้าง
เผื่อเราอาจจะติดใจ...และเขาก็ยอมที่จะลองปฏิบัติตามศาสนาเรา
เพื่อแสดงความใจกว้างให้เราดูว่าเขาไม่ใช่ผู้ที่ปิดกั้น...
แล้วเราจำเป็นด้วยหรือที่จะต้องไปลองทำตามศาสนาของเขา
ในเมื่อเราศรัทธามั่นในความเชื่อของเราและปฏิญาณตนไปแล้ว
ศาสนาของท่านก็คือ ศาสนาของท่าน
ศาสนาของฉันก็คือ ศาสนาของฉัน
นั่นคือคำพูดที่ข้าน้อยมักพูดเสมอเมื่อมีผู้ท้าให้ลองปฏิบัติ
ตามศาสนาของเขาดู...
นั่นจึงเป็นการให้เกียรติผู้นับถือศาสนาอื่น...
แต่ไม่ได้หมายความว่าการให้เกียรตินั้นหมายถึง
การยอมเชื่อตามหลักการของเขาหากว่ามันขัดกับหลักการ
ของศาสนาเราอย่างชัดแจ้ง...
เขาก็ว่าของเขาดี เราก็ว่าของเราดี...
แต่เราจะทำอย่างไร...ในเมื่ออย่างไรแล้ว..
สัจธรรม(ความจริง)ย่อมมีเพียงหนึ่งเดียว...
ดังนั้น...เราก็จงยึดมั่นบนหนทางของเราและจงอยู่กับความจริง
แล้วเราจะไม่หลง...
nada-yoru:
ปกติ ต่างศาสนิกที่มีความรู้เกี่ยวกับอิสลามนั้นมีเยอะนะคะ
แต่น้อยนักท่ีต่างศาสนิกที่มีความรู้ดังกล่าวจะมีความเข้าใจในอิสลาม
เพราะถ้าเขาเข้าใจอิสลามจริงๆ เขาก็คงเข้ารับอิสลามไปแล้ว...
ดังนั้น...จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะได้อ่านอะไรที่ต่างศาสนิกเขียนถึงอิสลาม
ราวกับว่าเขาได้มีการศึกษาอิสลามมาอย่างละเอียด แต่เรานั้นรับรู้ได้ว่า
สิ่งที่เขาศึกษามามันไม่ได้สร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นกับเขา...
เพราะหากเขาเข้าใจในอิสลามที่เขาได้ศึกษามา เขาก็ย่อมที่จะปฏิเสธอิสลาม
ได้ยากค่ะ...
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version