เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม

จริงหรือไม่ ? ที่ เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงเป็น นบี เพราะมี มัวะญีซาต

<< < (39/39)

faison:
ขออภัยที่ขุดกระทู้ขึ้นมาครับ
การเชื่อว่าพระพุทธเจ้าเป็นหนึ่งในบรรดานบี เป็นความเชื่อที่เหมือนกับลัทธิ ก็อดยานีย์ใช่ไหม

MD:
ขอบคุณที่ขุดขึ้นมา อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่ายังมีเรื่องแบบนี้ด้วย ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย แต่ยังไงก็อย่าทะเลาะกันเลยนะ ไม่งั้น เรื่องนี้ถึงครูอังคณาแน่

Carrothz:
ฟันธงไม่ได้หรอกครับ เพราะคัมภีร์ที่กล่าวถึง สังคายนาหลายรอบมาก จนเราไม่รู้ว่าเหลือดั้งเดิมกี่ %

อาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้

เหมือนเรื่องท่านนบีอีซา ท่านก็ไม่ได้บอกว่าท่านเป็นบุตรอัลลอฮฺ แต่หลังๆ ก็กล่าวถึงกันแบบนั้นนี่ครับ ผมว่าถ้าข้อมูลไม่พออย่าไปชี้ชัดเลย

nada-yoru:
อ่านกระทู้นี้ตั้งแต่กระทู้แรกจนกระทู้ล่าสุด...
เป็นสุดยอดมหากาพย์ ที่ช่วงเวลานั้นตัวข้าน้อยไม่ได้เข้าเว็บแน่ๆ
เลยไม่อ่านกระทู้อะไรแบบนี้...

อ่านมาทั้งหมดพอจับประเด็นได้ว่า

1.การที่เราจะศึกษาอะไรหรือศึกษาประวัติศาสตร์อะไรก็ตามแต่สิ่งที่เราต้องตระหนักมากๆเลยก็คือ แหล่งที่มา
และผู้ที่เขียนมันขึ้นมา หากที่มาคลุมเครือ
ให้เราเลือกที่จะอ่าน แต่อย่าเลือกที่จะเชื่อ
แต่ถ้าคิดว่า เมื่อที่มาไม่สมบูรณ์ มันดูเสียเวลาในการอ่าน
เอาเวลาไปอ่านอย่างอื่นที่มีที่มาที่ไปมากกว่านี้ดีกว่า...
เราก็จะเหลือเวลาเพิ่มขึ้นในการศึกษาในสิ่งที่น่าจะให้ความสำคัญกว่า...ข้าน้อยมองว่าอย่างนี้นะคะ...และใช่ว่ากระทู้นี้
จะไร้ความสำคัญ ข้าน้อยมองว่าบทความในกระทู้นี้สำคัญมาก
ถึงได้เบิ่งตาอ่านตั้งแต่กระทู้แรกจนถึงกระทู้ล่าสุด...
เพราะมันทำให้เราตระหนักว่า...เราควรเรียงลำดับความสำคัญ
อย่างไรในการศึกษาหาความรู้...

2.ไม่ว่าศาสดาของศาสนาพุทธจะเป็นหนึ่งในนบีในอิสลามหรือไม่อย่างไร ข้าน้อยมองว่ามันไม่ใช่ประเด็นสำคัญในการศึกษา
หาความรู้ของมุสลิมเรานัก ในเมื่อเรามีอิสลาม มีอัลกุรอ่าน
มีแบบฉบับจากท่านรอซู้ล ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
ให้ศึกษาเป็นแนวทางอยู่แล้ว และเราเชื่อมิใช่หรือว่า
อิสลามนั้นสมบูรณ์แล้วตามที่อัลลอฮฺได้บอกเรา
 ซึ่งลมหายใจนี้จะศึกษาความรู้ในอิสลามได้หมดหรือไม่
เราไม่มีทางตอบได้ เวลาของการมีชีวิตไม่ได้ยาวอะไเลย...
หากเราเอาเวลาที่มีอยู่ ซึ่งไม่รู้ว่ามีเท่าไหร่ไปให้กับสิ่งอื่น
เป็นสำคัญ...เราอาจจะต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง
ว่าทำไมเราถึงไม่ทุ่มเทกำลังกายกำลังใจให้กับสิ่งสำคัญที่สุด
ในชีวิตเราอย่างเต็มที่ อย่างที่ข้าน้อยกำลังรู้สึกอยู่ ณ ปัจจุบันนี้...เพราะเป็นคนนึงที่ชอบศึกษาโน่นนี่...จนทุกวันนี้
ต้องมานั่งทอดถอนใจว่า เวลาที่ผ่านมา เรามัวไปทำอะไรอยู่
ทำไมเราถึงไม่ทิ้งตัวลงนัั่งอ่านสัจธรรม อ่านในสิ่งที่เราเชื่อมั่น
และศรัทธาอยู่ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้...

3.การศึกษาอะไรให้ถ่องแท้ก่อนเผยแพร่นั้นอาจทำได้ยาก
สำหรับเราๆ การยกหลักฐานและที่มาของสิ่งที่เรานำมา
เสวนาด้วยกับคนอื่นจึงเป็นทางออกที่สวยงามที่สุด
หากเราไม่ยกหลักฐานหรือที่มา เรานี่แหล่ะ ที่ต้องรับผิดชอบ
กับทุกๆถ้อยคำของเรา ถ้าเรารับผิดชอบไหว เราก็ทำมันเถิด...
แต่เราต้องยอมรับให้ได้ถึงผลที่จะตามมาไม่ว่าจะผลในทางบวก
หรือทางลบ...

4.มารยาทในการให้ความรู้...เป็นสิ่งสำคัญสูงสุด
หากขาดมารยาทในการให้ความรู้...ความรู้นั้นจะมัวหมองลง
ด้วยกับผู้ที่ให้มันมา...และมันจะทำให้ผู้ให้ความรู้มัวหมองตาม...

5.เราจะศึกษาอะไรก็ได้ แล้วแต่ความชอบ แล้วแต่ความสนใจ
ของเรา แต่เราต้องไม่ลืมว่า...เราควรให้ความสำคัญกับอะไร
ก่อนอะไรหลัง...

6.การไม่เข้าใจกันระหว่างผู้เสวนานั้น ข้าน้อยมองว่า
ไม่ได้เกิดจากความขัดแย้งในตัวของศาสนา...
แต่เป็นความแตกต่างของแต่ละศาสนามากกว่า...
ในเมื่อมันไม่เหมือนกัน เราต้องเข้าใจว่ามันไม่เหมือนกัน
ต่อให้มีเนื้อหาหรืออะไรในนั้นที่เหมือนกันอยู่บ้างก็ตามแต่
แต่สุดท้ายมันก็ไม่ใช่ศาสนาเดียวกันอยู่ดี
ในเมื่อไม่ได้มีอะไรที่เหมือนกันทั้งหมด
มันจึงเป็นคนละศาสนากัน...แล้วเราจะหาที่มาอะไรได้มากมาย
ในเมื่อเราเกิดไม่ทันยุคนั้น แล้วคนในยุคนัั้นก็ตายไปหมดแล้ว
ไม่มีใครลุกขึ้นมาตอบคำถามทีี่เราสงสัยได้...
ซึ่งการจะฮุก่มคนที่ตายไปแล้วว่าอย่างนั้นอย่างนี้
มันอาจจะทำให้ตัวเราเองมัวหมองหรือมีบาปได้...
หากว่าความจริง ณ ที่อัลลอฮฺแล้วมันไม่เป็นดั่งที่เราฮุก่มไว้...

ซึ่งในความไม่เหมือนกันนั้น ไม่ใช่เหตุให้เกิดข้อขัดแย้งกัน
หากเรายึดตามที่ท่านรอซู้ลของเราเคยกล่าวไว้ว่า...

...ศาสนาของท่านก็คือศาสนาของท่าน
ศาสนาของฉันก็คือศาสนาของฉัน...

แล้วเราจะไม่ทะเลาะกับศาสนิกอื่นให้เหนื่อยกายและใจ
จนเกินความจำเป็น...
แต่เราจะเสวนากันด้วยหลักการของกันและกัน...

แล้วเราจะอยู่กับศาสนาของเรา
เพราะนี่คือศาสนาของเรา...นั่นคือศาสนาของเขา...

สุดท้าย...เราต้องแยกแยะความแตกต่างนั้นให้ออก
อย่าจับมาปนกันจนทำให้เราผู้ศึกษาสับสน...

หากกลัวว่าตัวเองไม่อาจแยกแยะความแตกต่างของแต่ละ
ศาสนาได้...ทางออกที่ดีที่สุดก็คือ...เลือกศึกษา
ในสิ่งที่เราศรัทธาอย่างมั่นคงต่อไป...เราจะได้ไม่หวั่นไหว
ไปกับความสับสนของตัวเอง...

แต่ถ้าใครรู้สึกว่า เราแยกแยะได้ ก็แล้วแต่ค่ะ...
มนุษย์นั้นถูกสร้างมาไม่เหมือนกัน...ต่างคนต่างจิตต่างใจ...
สติปัญญาอัลลอฮฺก็ให้มาไม่เท่ากัน...พื้นที่สมองพระองค์
ก็สร้างมาให้ไม่เท่ากัน...

สำหรับตัวข้าน้อยเอง...อิสลามคือสัจธรรมและสมบูรณ์แล้ว
ด้วยเดชานุภาพของอัลลอฮฺ...และเพียงพอแล้วสำหรับข้าน้อย

ส่วนการศึกษาแนวทางและความคิดของศาสนาอื่นๆน้ัน
จะทำเมื่อถึงคราวจำเป็นจริงๆที่ต้องใช้ความรู้ตรงนั้น...
หรือมีสถานการณ์บางอย่างให้ต้องศึกษาเพิ่มเติม...

เพราะรู้ว่า เวลาของตัวเองไม่ได้มีมากมาย
หากเทียบกับความรู้ที่ยังไม่ได้เรียนจากอัลกุรอ่าน...

ทุกคนย่อมมีสิ่งสำคัญ และแต่ละคนก็ให้ความสำคัญในแต่ละอย่างแตกต่างกันไปตามลำดับ...

ซึ่งทุกวันนี้...ข้าน้อยให้คำตอบตัวเองได้แล้วว่า

...อะไรสำคัญที่สุดในชีวิต...

...ซึ่งไม่ใช่ชีวิต...แต่เป็นผู้ให้ชีวิต...


หากที่เขียนไปทั้งหมดผิดพลาดประการใด
ท้วงติง ตักเตือนกันได้เสมอนะคะ...

วัสลามค่ะ





นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version