ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 74 สูเราะฮฺ อัลมุดดัษษิรฺ  (อ่าน 3036 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

 :salam:

คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺ

อัลมุดดัซซิรฺ (ผู้อยู่ในผ้าห่ม) เป็นสูเราะฮฺมักกียะฮฺ มี 56 อายะฮฺ

บทนำ (R3.)

   ชื่อ: ซูเราะฮฺนี้ได้ชื่อมาจากคำว่า “อัล-มุดดัซซิรฺ” (المدثر) ในอายะฮฺแรก และเป็นแค่ชื่อเท่านั้น มิใช่เรื่องของเนื้อหาที่อยู่ข้างใน
   ระยะเวลาของการประทานซูเราะฮฺ : เจ็ดอายะฮฺแรกของซูเราะฮฺนี้ได้ถูกประทานมาในช่วงแรก ๆ ที่ท่านรอซูลุลลอฮฺอยู่ในมักกะฮฺ แม้ในบางฮะดีษที่บันทึกไว้ในบุคอรี, มุสลิม, ติรฺมิซี, มุสนัดอะหฺมัด จากญาบิรฺ บิน อับดุลลอฮฺก็กล่าวว่า อายะฮฺนี้เป็นอายะฮฺแรกสุดที่ถูกประทานมายังท่านรอซูลุลลอฮฺ แต่ประชาคมมุสลิมเห็นพ้องเป็นเอกฉันท์ว่า อายะฮฺแรกสุดที่ได้ถูกประทานมายังท่านรอซูลุลลอฮิประกอบด้วยห้าอายะฮฺแรกของสูเราะฮฺอัล-อะลัก อย่างไรก็ตามสิ่งที่ได้รับยืนยันจากฮะดีษที่เชื่อถือได้ก็คือ หลังจากการประทานห้าอายะฮฺแรกนี้แล้วก็ไม่มีการประทานใด ๆ มายังท่านรอซูลุลลอฮฺเป็นระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นเมื่อมีการประทานวะฮีย์ลงมาอีกครั้งหนึ่ง สันก็เริ่มต้นด้วย 7 อายะฮฺของซูเราะฮฺนี้ อิมามซุฮฺรีได้ให้รายละเอียดไว้ดังนี้
   “การประทานวะฮีย์มายังท่านรอซูลุลลอฮิได้หยุดไประยะหนึ่ง และในช่วงนี้เองที่ท่านรู้สึกสิ้นหวังและเสียใจเป็นอย่างมากจนท่านได้ขึ้นไปบนยอดภูเขาเพื่อจะกระโดดลงมา แต่เมื่อใดก็ตามที่ท่านยืนอยู่บนยอดเขา มลาอิกะฮฺญิบรีลก็จะปรากฏตัวขึ้นและบอกท่านว่า ท่านเป็นรอซูลของอัลลอฮฺเพื่อเป็นการปลอบใจท่านและทำให้ท่านมีจิตใจสงบ” (อิบนุญะรีรฺ)
   หลังจากนั้น อิมามซุฮฺรีก็รายงานฮะดีษจากญาบิรฺ บิน อับดุลลอฮฺดังต่อไปนี้ :-
   “ท่านรอซูลุลลอฮฺได้พูดถึงช่วงเวลาที่การประทานวะฮีย์ได้ขาดหายไปว่า : วันหนึ่งเมื่อฉันกำลังเดินอยู่ ทันใดนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงเรียกจากชั้นฟ้า ฉันจึงแหงนหน้าขึ้นไปและเห็นมลาอิกะฮฺองค์เดียวกับที่ได้มาหาฉันที่ถ้ำฮิรอกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ระหว่างฟ้าและแผ่นดิน ฉันตกใจมาก และเมื่อกลับถึงบ้าน ฉันก็รีบบอกว่า ห่มผ้าให้ฉันที ห่มผ้าให้ฉันที ดังนั้นคนในบ้านจึงได้เอาผ้าห่มมาห่มให้ฉัน ในตอนนั้นเองที่อัลลอฮฺได้ประทานวะฮีย์ลงมาว่า ยาอัยยุฮัลมุดดัซซิร.. จากนั้นมา การประทานวะฮีย์ก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง” (บุคอรี, มุสลิม, มุสนัดอะหมัด, อิบนุญะรีร)
   อายะฮฺส่วนที่เหลือของซูเราะฮฺ (อายะฮฺที่ 8-56) ได้ถูกประทานมาเมื่อช่วงเวลาทำฮัจญ์ครั้งแรกได้มาถึงหลังจากการเผยแผ่อิสลามอย่างเปิดเผยได้เริ่มต้นแล้วในมักกะฮฺ ในหนังสือ “ซีเราะฮฺ” (ประวัติศาสตร์ของท่านรอซูลุลลอฮฺ) โดยอิบนุฮิชามได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้อย่างละเอียด และเราจะขอนำมาอ้างต่อไปนี้
   เนื้อหาสาระ : ดังที่อธิบายไว้ข้างต้น วะฮีย์ครั้งแรกที่มายังท่านรอซูลุลลอฮฺ ประกอบด้วยห้าอายะฮฺแรกของซูเราะฮฺ อัล-อะลัก ซึ่งมีข้อความว่า : “จงอ่าน ด้วยพระนามของพระผู้อภิบาลของเจ้า ผู้ทรงสร้างมนุษย์มาจากก้อนเลือดที่เกาะติดอยู่ จงอ่าน และพระผู้อภิบาลของเจ้านั้นเป็นผู้ทรงเกียรติยิ่ง ผู้ทรงสอนความรู้ด้วยปากกา และทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้”
   นี่เป็นประสบการครั้งแรกในการได้รับวะฮีย์ของท่านรอซูลุลลอฮฺในวะฮีย์ครั้งแรกนี้ไม่ได้มีการบอกว่าภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่ท่านได้รับมอบหมายคืออะไร และท่านมีหน้าที่อะไรจะต้องทำในอนาคต ท่านเพียงแต่ถูกนำมาให้รู้จักสภาพของวะฮีย์ และหลังจากนั้นก็ถูกปล่อยไว้ตามลำพังสักระยะหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อทำให้ท่านผ่อนคลายจากสภาพความตึงเครียดที่เกิดขึ้นจากการได้รับวะฮีย์และเพื่อที่ท่านจะได้มีความพร้อมทางด้านจิตใจที่จะรับวะฮีย์และปฏิบัติภารกิจแห่งการเป็นนบีในอนาคต หลังจากที่ช่วงเวลานี้ผ่านไป เมื่อมีการประทานวะฮีย์ลงมาอีกครั้งก็ได้มีการประทานเจ็ดอายะฮฺของซูเราะฮฺนี้ลงมา ในเจ็ดอายะฮฺนี้ท่านได้ถูกบัญชาเป็นครั้งแรกให้ลุกขึ้นและเตือนผู้คนถึงผลของการดำเนินชีวิตที่พวกเขาปฏิบัติอยู่และประกาศถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺในโลก พร้อมกันนี้ท่านก็ได้รับคำสั่งว่า : สิ่งที่ภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้ต้องการให้เจ้าปฏิบัติเดี๋ยวนี้ก็คือ ชีวิตของเจ้าจะต้องสะอาดบริสุทธิ์ในทุกด้านและเจ้าจะต้องปฏิบัติหน้าที่ในการปฏิรูปคนของเจ้าอย่างจริงใจโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนทางโลก หลังจากนั้น ในประโยคสุดท้าย ท่านก็ได้ถูกสั่งให้อดทนต่อความทุกข์ยากลำบากทุกอย่างที่ท่านอาจจะต้องประสบในการปฏิบัติภารกิจเพื่อพระผู้อภิบาลของท่าน
   ในการปฏิบัติตามบัญชาของอัลลอฮฺดังกล่าวเมื่อท่านรอซูลุลลอฮฺเริ่มเผยแผ่อิสลามและได้อ่านกุรอานที่ได้ถูกประทานมาอย่างต่อเนื่องหลังจากนั้น ชาวมักกะฮฺก็เริ่มรู้สึกตกใจและได้แสดงความเป็นศัตรูต่อต้านท่าน สภาพการณ์เป็นเช่นนี้อยู่หลายเดือนจนกระทั่งเวลาแห่งการทำฮัจญ์ใกล้มาถึง ชาวมักกะฮฺกล่าวว่า ถ้าท่านรอซูลุลลอฮฺเริ่มไปเยี่ยมกองคาราวานของผู้ทำฮัจญ์ สิ่งที่ท่านนำมาเผยแผ่ก็อาจจะแพร่ไปทั่วทุกส่วนของอารเบีย และมีอิทธิพลต่อคนอีกนับไม่ถ้วน ดังนั้นพวกหัวหน้าชาวกุเรชจึงได้ประชึมกันและตกลงกันว่าจะรณรงค์ต่อต้านท่านรอซูลุลลอฮฺในหมู่ผู้มาทำฮัจญ์ทันทีที่คนเหล่านั้นมาถึง หลังจากที่ตกลงกันเช่นนี้แล้ว วะลีด บิน อัลมุฆีเราะฮฺได้กล่าวแก่ที่ประชุมว่า “ถ้าพวกท่านพูดอะไรที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับมุฮัมมัด ผู้คนก็จะหมดความไว้วางใจเรา ดังนั้น ขอให้เรามาตกลงกันเป็นเสียงเดียวเสียก่อนว่าเราจะพูดเหมือนกันโดยไม่ขัดแย้งกัน” บางคนกล่าวว่าพวกเขาจะเรียกมุฮัมมัดว่าพ่อมดหมอผี แต่วะลีดกล่าวว่า “ไม่ สาบานด้วยพระเจ้าได้เลยว่าเขาไม่ใช่พ่อมดหมอผี เรารู้จักพ่อมดหมอผีว่าเขาบ่นพึมพำอะไรและสิ่งที่คนพวกนี้กล่าวออกมาก็ไม่เหมือนกับกุรอานเลย” บางคนกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น เราจะกล่าวว่าเขาเสียสติ” วะลีดกล่าวว่า “เขาไม่ใช่คนบ้า เราเคยเห็นคนบ้าและคนเสียสติ คนที่พูดอะไรไม่เป็นเรื่องเป็นราวและทำอะไรโง่ ๆ คือคนเสียสติ แต่ใครจะเชื่อว่าสิ่งที่มุฮัมมัดนำมาเสนอนั้นเป็นคำพูดของคนบ้า?” บางคนก็กล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นเราก็จะบอกว่าเขาเป็นกวี” วะลีดจึงกล่าวว่า “เขาไม่ใช่กวี เพราะเรารู้จักบทกวีในทุกรูปแบบและสิ่งที่เขานำมาเสนอนั้นก็มิได้อยู่ในรูปแบบของกวี” บางคนกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น เขาก็คือนักมายากล” วะลีดจึงกล่าวว่า “เขาไม่ใช่นักมายากล เราจะนำสิ่งนี้มาใช้กับมุฮัมมัดไม่ได้ สิ่งที่ท่านกล่าวมานี้ล้วนเป็นที่รู้กันว่าเป็นการกล่าวหาเท็จ ขอสาบานด้วยพระเจ้า คำพูดของเขาไพเราะ รากของเขาลึก และกิ่งก้านสาขาของเขาก็มีผลดก” เมื่อได้ยินเช่นนั้น อบูญะฮัลจึงขึ้นมาขัดจังหวะการพูดของวะลีดว่า “ผู้คนจะไม่มีวันพอใจท่าน จนกว่าท่านจะพูดอะไรบางอย่างออกมาเกี่ยวกับมุฮัมมัด” วะลีดกล่าวว่า “ฉันขอคิดสักครู่หนึ่ง” หลังจากที่เขาครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุด วะลีดก็กล่าวว่า “สิ่งที่ใกล้ความจริงที่สุดก็คือ พวกท่านควรบอกชาวอาหรับว่าเขาเป็นนักมายากลที่ได้นำคำพูดที่จะทำให้คนแตกแยกจากพ่อของเขา พี่น้องของเขา ภรรยาและลูก ๆ และครอบครัวของเขา” ทั้งหมดก็เห็นด้วยกับข้อเสนอของวะลีด ดังนั้น ตามแผนการดังกล่าวชาวกุเรชก็จะไปเที่ยวบอกผู้มาทำฮัจญ์และเตือนทุกคนที่พบให้ระวังมายากลของท่านรอซูลุลลอฮฺซึ่งจะทำให้เกิดการแตกแยกในครอบครัว แต่ผลก็คือ แผนการนี้ได้ทำให้ชื่อของท่านรอซูลุลลอฮฺเป็นที่รู้จัไปทั่วอารเบีย (อิบนุฮิชาม หน้า 288-289 สิ่งที่วะลีดได้เสนอตามที่อะบูญะฮัลรบเร้านั้นได้ถูกรายงานโดยอิบนุญะรีรฺในหนังสือตัฟซีรฺของเขา จากรายงานของอิคริมะฮฺ)
   เรื่องราวนี้ได้ถูกกล่าวไว้ในส่วนที่สองของซูเราะฮฺโดยมีลำดับตอนของเนื้อหาดังต่อไปนี้
   ในอายะฮฺที่ 8-10 บรรดาผู้ปฏิเสธสัจธรรมได้ถูกเตือนว่า “สูเจ้าจะได้เห็นผลอันชั่วร้ายของสิ่งที่สูเจ้าทำอยู่ขณะนี้ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ”
   ในอายะฮฺที่ 11-26 ได้มีการบอกวะลีด บิน อัลมุฆีเราะฮฺ โดยไม่ได้เอ่ยนามของเขาว่าอัลลอฮฺได้ประทานความโปรดปรานแก่เขาอย่างไร แต่เขากลับแสดงความเป็นศัตรูต่อศาสนาที่แท้จริงอย่างไร เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้มีการพูดถึงความขัดแย้งทางความคิดของเขาว่าในด้านหนึ่งเขาเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ในสัจธรรมของมุฮัมมัดและกุรอาน แต่ในอีกด้านหนึ่งเขาก็ไม่ต้องการเอาความเป็นผู้นำและฐานะของเขาในหมู่ผู้คนเข้าไปเสี่ยง ดังนั้นเขาจึงไม่เพียงแต่ไม่เชื่อเท่านั้น แต่หลังจากที่เขามีความขัดแย้งในตัวเองอยู่เป็นเวลานาน เขายังออกมายับยั้งผู้คนมิให้ใช้วิธีการกล่าวหาว่ากุรอานเป็นมายากล เพื่อที่จะขัดขวางผู้คนมิให้เชื่อด้วย หลังจากที่เปิดโปงลักษณะอันชั่วร้ายของเขาแล้วก็ได้มีการกล่าวหาว่า “ทั้ง ๆ ที่มีจิตใจต่ำช้าเช่นนี้ คนผู้นี้ก็ยังต้องการให้ตัวเองได้รับความโปรดปรานยิ่งขึ้น ในขณะที่ตอนนี้เขาสมควรที่จะได้รับไฟนรกและไม่ได้รับความดีงามอีกต่อไป”
   ในอายะฮฺที่ 27-48 ได้การพูดถึงความน่าสะพรึงกลัวของนรกและได้มีการอธิบายให้ผู้คนได้รู้ว่าคนที่มีลักษณะอย่างไรที่สมควรได้รับนรก
   ในอายะฮฺที่ 49-53 ได้มีการชี้เห็นถึงสาเหตุสำคัญที่ทำให้บรรดาผู้ปฏิเสธหลงผิดโดยกล่าวว่า “เนื่องจากพวกเขาไม่เกรงกลัวชีวิตโลกหน้าและมองว่าชีวิตแห่งโลกนี้เป็นที่สิ้นสุดในตัวของมันเอง พวกเขาจึงหนีออกจากกุรอานเหมือนพวกเขาเป็นลาป่าที่หนีจากสิงโต ดังนั้น พวกเขาจึงได้เสนอเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ไร้เหตุผลสำหรับการศรัทธา ในขณะที่ถึงแม้เงื่อนไขเหล่านี้จะได้รับการปฏิบัติจนครบทุกอย่าง พวกเขาก็ไม่มีวันศรัทธา”
   กล่าวโดยสรุปก็คือ ในเรื่องของการศรัทธานั้น อัลลอฮฺไม่จำเป็นต้องทำตามเงื่อนไขของใครเพื่อที่จะให้ใครคนนั้นมาศรัทธา คัมภีร์กุรอานเป็นคำตักเตือนที่ได้ถูกนำมาเสนอต่อหน้ามนุษย์อย่างเปิดเผย ตอนนี้ใครที่ประสงค์จะยอมรับก็ยอมรับ อัลลอฮฺทรงมีสิทธิ์ที่มนุษย์จะต้องเกรงกลัวการฝ่าฝืนพระองค์ และพระองค์เท่านั้นทรงมีอำนาจที่จะให้อภัยคนที่ยำเกรงพระองค์ ถึงแม้ว่าคนผู้นั้นอาจจะทำความผิดในการฝ่าฝืนพระองค์มาหลายครั้งในอดีตก็ตาม


เอกสารอ้างอิง
R1. The Noble Qur’an (Dr.Muhammad Taqi-ud-Din al-Hilali and Dr.Muhammad Muhsin Khan.)
R2. อัลกุรอานฉบับแปลภาษาไทย โดย มัรวาน สะมะอุน
R3. ตัฟฮีมุลกุรฺอาน(อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน)
R4. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรฺอานแห่งนครมาดีนะฮ์
R5. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย (โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์-ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา)



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลมุดดัษษิรฺ อายะฮฺที่ 1- 7


คำอ่าน
1.   ยา..อัยยุฮัลมุดดัษษิรฺ
2.   กุม ฟะอัน..ซิรฺ
3.   วะร็อบบะกะ ฟะกับบิรฺ
4.   วะษิยาบะกะ ฟะฏ็อฮฺฮิรฺ
5.   วัรฺรุจญซะฟะฮฺญุรฺ
6.   วะลาตัมนุน..ตัสตักษิรฺ
7.   วะลิร็อบบิกะฟัศบิรฺ

คำแปล R1.
1. O you (Muhammad) enveloped (in garments)!
2. Arise and warn!
3. And your Lord (Allah) magnify!
4. And your garments purify!
5. And keep away from Ar-Rujz (the idols)!
6. And give not a thing in order to have more (or consider not your deeds of Allah's obedience as a favour to Allah).
7. And be patient for the sake of your Lord (i.e. perform your duty to Allah)!


คำแปล R2.
1.   โอ้ผู้ห่มผ้า (นบีมุฮำมัด)
2.   เจ้าจงยืนขึ้นแล้วจงประกาศเตือนเถิด
3.   และเฉพาะต่อองค์อภิบาลของเจ้านั้น เจ้าจงสดุดีความยิ่งใหญ่เถิด
4.   และแก่เสื้อผ้าของเจ้านั้น เจ้าจงทำความสะอาด
5.   และแก่ความชั่วร้ายทั้งหลาย เจ้าจงปลีกห่างเถิด
6.   และเจ้าจงอย่าเอื้อเฟื้อ (สิ่งใด ๆ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ) เจ้าจะได้ (ตอบแทนที่) มาก (กว่าที่ให้ไป)
7.   และเฉพาะเพื่อองค์อภิบาลของเจ้า เจ้าจงอดทนเถิด


คำแปล R3.
1. โอ้ ผู้อยู่ในผ้าห่ม
2. จงลุกขึ้นและจงประกาศเตือน
3. และจงประกาศความยิ่งใหญ่ของพระผู้อภิบาลของเจ้า
4. และเสื้อผ้าของเจ้านั้นจงรักษาให้สะอาด
5. และจงห่างไกลจากสิ่งสกปรกโสมม
6. และจงอย่าทำคุณแก่คนอื่นโดยหวังสิ่งตอบแทนอันมากมาย
7. และจงอดทนเพื่อพระผู้อภิบาลของเจ้า


คำแปล R4.
1. โอ้ผู้ห่มกายอยู่เอ๋ย
2. จงลุกขึ้น แล้วประกาศตักเตือน
3. และแด่พระเจ้าของเจ้า จงให้ความเกียงไกร (ต่อพระองค์)
4. และเสื้อผ้าของเจ้า จงทำให้สะอาด
5. และสิ่งสกปรกก็จงหลบหลีกให้ห่างเสีย
6. และอย่าทำคุณ เพื่อหวังการตอบแทนอันมากมาย
7. และเพื่อพระเจ้าของเจ้าเท่านั้นจงอดทน


คำแปล R5.
๑. โอ้นบีมุฮำมัดผู้กำลังห่มผ้า
๒. เจ้าจงลุกขึ้นเถิด แล้วจงประกาศเตือนแก่มวลชนให้สำนึกถึงภัยอันจะอุบัติแก่พวกเขาเนื่องจากความเลวร้ายที่ทุกคนกระทำไว้ และเนื่องจากการคัดค้านในสัจธรรม
๓. และเฉพาะผู้ทรงทรงอภิบาลของเจ้าเจ้าจงยกย่องโดยอย่าให้ผสมผสานกับความเชื่อในภาคีใด ๆ ทั้งปวง
๔. และเสื้อผ้าของเจ้านั้น เจ้าก็จงทำความสะอาดเถิด อย่าให้มีสิ่งสกปรกเจือปนอยู่
๕. และวัตถุเคารพนั้นเจ้าก็จงละทิ้งเสีย อย่าได้สนใจที่จะกราบไหว้เหมือนพวกอาหรับมุซริกีนทั่วไปกระทำกัน
๖. และเจ้าอย่าให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดแก่ผู้อื่นเพื่อเจ้าจะได้เพิ่มพูนให้มากขึ้นโดยหวังจะได้รับการตอบแทนจากผู้นั้นอย่างมากมายในภายหลัง
๗. แลเพื่อพระผู้ทรงอภิบาลของเจ้าเท่านั้น เจ้าจงอดทนที่จะประพฤติตามคำบัญชาของพระองค์โดยเคร่งครัด


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 17, 2012, 09:34 AM โดย webmaster »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมุดดัษษิรฺ อายะฮฺที่ 8 – 10

คำอ่าน
8.   ฟะอิซานุกิเราะฟิน..นากูรฺ
9.   ฟะซาลิกะ เยามะอิซี..เยามุนอะสีรฺ
10.   อะลัลกาฟิรีนะ ฆ็อยรุยะสีรฺ

คำแปล R1.
8. Then, when the trumpet is sounded (i.e. its second blowing);
9. Truly, that Day will be a hard Day.
10. Far from easy for the disbelievers.


คำแปล R2.
8.   แท้จริงเมื่อ (ถึงวาระ) ถูกเป่าลงไปในสังข์
9.   ซึ่งที่จริงวันนั้น เป็นวันที่ยุ่งยากที่สุด
10.   แก่พวกเนรคุณ มิใช่วันที่ง่ายดายเลย


คำแปล R3.
8. และเมื่อแตรถูกเป่า
9. นั่นแหละจะเป็นวันแห่งความยากลำบาก
10. สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย


คำแปล R4.
8. ในที่สุด เมื่อเสียงเป่าถูกเป่าขึ้น
9. นั่นคือ วันนั้น วันแห่งความยากลำบาก
10. แก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา มิใช่เป็นเรื่องง่าย


คำแปล R5
๘. ครั้นแล้วเมื่อได้มีการเป่าในสิ่งนี้เป็นครั้งที่สองเพื่อให้ทุกชีวิตฟื้นคืนชีพจากความตาย
๙. ซึ่งที่จริงเหตุการณ์นั้นในวันนั้นเป็นวันแห่งความยุ่งยากโดยแท้
๑๐. สำหรับบรรดาจำพวกเนรคุณ ย่อมไม่เป็นความสะดวกสบายเลย ส่วนผู้มีศรัทธาทั้งหลายจะได้พบกับความสะดวกสบายเป็นที่สุด




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลมุดดัษษิรฺ อายะฮฺที่ 11 – 30

คำอ่าน
11.   ซัรฺนี วะมันเคาะลักตุวะหีดา
12.   วะญะอัลตุละฮู มาลัม..มัมดูดา
13.   วะบะนีนะชุฮูดา
14.   วะมะฮฺฮัตตุละฮูตัมฮีดา
15.   ษุม..มะยัฏมะอุอันอะซีด
16.   กัลลา..อิน..นะฮูกานะลิอายาตินาอะนีดา
17.   สะอุรฺฮิกุฮู เศาะอูดา
18.   อิน..นะฮูฟักกะเราะวะก็อดดัรฺ
19.   ฟะกุติละกัยฟะก็อดดัรฺ
20.   ษุม..มะกุติละกัยฟะก็อดดัรฺ
21.   ษุม..มะนะซ็อรฺ
22.   ษุม..มะอะบะสะวะบะสัรฺ
23.   ษุม..มะอัตบะเราะวัสตักบัรฺ
24.   วะกอละอินฮาซาอิลลาสิหฺรุย..ยุอ์ษัรฺ
25.   อินฮาซาอิลลาก็อวลุลบะชัรฺ
26.   สะอุศลีฮิสะก็อรฺ
27.   วะมา..อัดรอกะมาสะก็อรฺ
28.   ลาตุบกี วะลาตะซัรฺ
29.   เลาวาหะตุลลิลบะชัรฺ
30.   อะลัยฮา ติสอะตะอะชัรฺ

คำแปล R1.
11. Leave Me alone (to deal) with whom I created alone (without any wealth or children etc.  i.e. Al-Walid bin Al-Mughirah Al-Makhzumi)
12. And then granted him resources in abundance.
13. And children to be by his side.
14. And made life smooth and comfortable for him.
15. After all that he desires that I should give more;
16. Nay! Verily, he has been stubborn and opposing our Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.).
17. I shall oblige him to (climb a slippery mountain in the Hell-fire called As-Sa'ud, or ) face a severe torment!
18. Verily, he thought and plotted;
19. So let him be cursed: how he plotted!
20. And once more let him be cursed, How he plotted!
21. Then he thought;
22. Then he frowned and he looked in a bad tempered way;
23. Then he turned back and was proud.
24. Then he said: "This is nothing but magic from that of old,
25. "This is nothing but the word of a human being!"
26. I will cast him into Hell-fire
27. And what will make you know (exactly) what Hell-fire is?
28. It spares not (any sinner), nor does it leave (anything unburnt)!
29. Burning and blackening the skins!
30. Over it are nineteen (angels as guardians and keepers of Hell).


คำแปล R2.
11.   เจ้าจงปล่อยข้าไว้กับผู้ที่บันดาลเขามาอย่างโดเดี่ยว (ให้ข้าลงโทษเขาเพราะเขาทระนงตน และขัดขวางการประกาศของเจ้า)
12.   และเราได้โปรดแก่เขาให้มีทรัพย์สมบัติอันมากมาย
13.   และบุตรบริวารที่เฝ้าแหน(พวกเขา)
14.   และข้าได้ให้ความสะดวกสบายแก่เขาอย่างที่สุด
15.   แต่หลังจากนั้นเขากลับละโมบที่จะให้ข้าเพิ่มพูน (แก่เขาให้มากขึ้นไปอีก)
16.   เป็นไปไม่ได้ เพราะแท้จริงเขาเป็นผู้ดื้อรั้นต่อบรรดาโองการของเรา
17.   ในไม่ช้าข้าจะบังคับให้เขารับโทษอันแสนลำเค็ญ
18.   เพราะแท้จริงเขาได้ครุ่นคิดและเตรียมการ (คำกล่าวหาต่าง ๆ เกี่ยวกับอัลกุรอาน)
19.   ดังนั้นเขาจึงประสบความหายนะ เป็นอย่างไรเล่าที่เขาเตรียมการไว้
20.   หลังจากนั้นเขาจึงประสบความหายนะ เป็นอย่างไรเล่าที่เขาเตรียมการไว้
21.   หลังจากนั้นเขาได้พินิจใคร่ครวญ (ถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาของเขา)
22.   หลังจากนั้นเขาก็บึ้งตึงและหมองคล้ำ
23.   หลังจากนั้นเขาก็หันหลังให้ และหยิ่งผยอง
24.   แล้วเขาก็พูดว่า “สิ่งนี้มิใช่อะไรเลยนอกจากเป็นมายากลที่ถูกสืบทอดกันมา (จากนักมายากลอื่น ๆ )
25.   “สิ่งนี้มิใช่อื่นใด นอกจากเป็นเพียงถ้อยคำของมนุษย์ธรรมดา (ที่ประพันธ์ขึ้น)”
26.   “ในไม่ช้าหรอก ข้าจะให้เขาเข้าสู่นรกสะก๊อรฺ
27.   และอะไรที่ทำให้เจ้ารู้ว่า อันใดคือนรกสะก๊อรฺ?
28.   มัน (เป็นนรกที่เผาผลาญจน) ไม่มีเหลือและไม่ทิ้ง (สิ่งใดไว้เลย)
29.   มันเผาไหม้ผิวหนังมนุษย์จนเกรียม
30.   มันมี (มลาอิกะฮฺเฝ้าอยู่) สิบเก้าคน


คำแปล R3.
11. จงปล่อยฉันกับคนที่ฉันสร้างเขาไว้ตามลำพัง
12. และฉันได้ให้ความมั่งคั่งอย่างมากมายแก่เขา
13. และลูกหลานที่อยู่ข้างเคียงเขา
14. และทำให้หนทางไปสู่ความเป็นผู้นำของเขา (และความเจริญรุ่งเรือง) สะดวกง่ายดาย
15. แต่เขาก็ยังต้องการให้ฉันเพิ่มให้เขามากขึ้นอีก
16. ไม่มีวัน เพราะเขาเป็นศัตรูต่ออายะฮฺของเรา
17. ในไม่ช้า ฉันจะทำให้เขาต้องรับความลำบากหนักขึ้น
18. เขาคิดและพยายามที่จะวางแผน
19. ขอพระองค์ทรงทำลายเขาในสิ่งที่เขาพยายามคิดขึ้นมา
20. และขอพระองค์ทรงทำลายเขาในสิ่งที่เขาพยายามคิดขึ้นมา
21. หลังจากนั้น เขาจึงหันไปรอบ ๆ
22. แล้วเขาก็หน้าบึ้งถลึงตา
23. แล้วก็หันหลังให้และแสดงอาการโอหัง
24. แล้วเขาก็กล่าวว่า “นี่มิใช่อะไรนอกไปจากมายากลที่สืบทอดกันมาแต่อดีต
25. มิใช่สิ่งใดนอกไปจากคำพูดของมนุษย์คนหนึ่ง
26. ในไม่ช้า ฉันจะโยนเขาเข้าไปในนรก
27. แล้วเจ้ารู้ไหมว่านรกคืออะไร
28. มันจะไม่เหลือสิ่งใดไว้และมันจะไม่ปล่อยใครไป
29. มันจะเผาไหม้ผิวหนัง
30. ผู้ดูแลสิบเก้าองค์ได้ถูกแต่งตั้งไว้เหนือมัน


คำแปล R4.
11. จงปล่อยข้าไว้กับผู้ที่ข้าได้สร้างเขาไว้แต่ลำพังเถิด
12. และข้าได้ทำให้เขามีทรัพย์สมบัติอย่างล้นเหลือ
13. และลูกหลานอย่างพรั่งพร้อม
14. และข้าได้ทำให้เขาสุขสบายอย่างราบรื่น
15. แล้วเขายังโลภที่จะให้ข้าเพิ่มพูนแก่เขาอีก
16. เปล่าเลย ! เพราะว่าเขาเป็นผู้ดื้อรั้นต่อสัญญาณต่าง ๆ ของเรา
17. ในไม่ช้าข้าจะเพิ่มพูนความยากลำบากแก่เขา
18. แท้จริงเขาได้ใคร่ครวญและคาดคะเน
19. ดังนั้นเขาได้รับความหายนะ เขาจะคาดคะเนได้อย่างไร ?
20. แล้วเขาได้รับความหายนะ เขาจะคาดคะเนได้อย่างไร ?
21. แล้วเขาได้ตรึกตรอง
22. แล้วเขาทำหน้าบูดบึ้ง และทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
23. แล้วเขาก็ผินหลังออกไป และหยิ่งผยอง
24. แล้วเขากล่าวว่า นี่มิใช่อื่นนอกจากเป็นมายากลที่สืบทอดกันมา
25. นี่มิใช่อื่นใดนอกจากเป็นคำพูดของปุถุชน
26. ในไม่ช้าข้าจะโยนเขาเข้าสู่กองไฟที่เผาไหม้
27. และอันใดเล่าทำให้เจ้ารู้ได้ว่า สิ่งที่เผาไหม้นั้นคืออะไร ?
28. มันจะไม่เหลืออะไรเลย และมันจะไม่ปล่อยผู้ใดให้คงเหลือไว้ (เช่นกัน)
29. มันจะเผาไหม้ผิวหนังจนเกรียมดำ
30. เหนือมันมีมะลาอิกะฮฺสิบเก้าท่าน


คำแปล R5
๑๑. เจ้าจงละข้าไว้กับผู้ที่ข้าได้สร้างเขาขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยวเถิด เพื่อข้าจะได้ลงโทษเขา เขาผู้นั้นคือ อัลวะลีด บินมุฆีเราะห์ ซึ่งเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองมักกะห์คนหนึ่ง
๑๒. และข้าได้ทำให้เขามีทรัพย์สินอันมั่งคั่งเป็นเศรษฐีซึ่งมีทรัพย์มหาศาลทั้งในมักกะห์และฏออิฟ มีทั้งปศุสัตว์และสวน ทาส รวมทั้งทรัพย์สินประมาณเก้าพันดีนาร
๑๓. และเขามีลูกอันมากมายถึงสิบคนที่คอยอยู่กับเขาตลอดเวลา ในจำนวนนั้นได้เข้ารับอิสลามสามคน คือ คอลิด ฮิซามและอัลวะลีด
๑๔. และข้าได้ให้ความสมบูรณ์พูนสุดกับเขาอย่างยิ่งล้น เป็นที่นับหน้าถือตาของคนร่วมสังคมเป็นอย่างดี
๑๕. แต่ภายหลังเขาก็ละโมบที่จะให้ข้าเพิ่มให้เขายิ่งขึ้นอีก
๑๖. หามิได้เขาไม่ได้รับเพิ่มหรอก เพราะแท้จริงเขาเป็นผู้ดื้อรั้นต่อบรรดาโองการแห่งอัลกุรอานของเรา ไม่ยอมเชื่อฟังและศรัทธา
๑๗. ต่อไปข้าจะบังคับเขาให้ขึ้นไปสู่สถานลงโทษอันรุนแรงที่สุด
๑๘. แท้จริงเขาได้ไตร่ตรองและกำหนดแผนไว้ที่จะพูดให้ร้ายแก่อัลกุรอานและศาสนทูตแห่งอัลเลาะห์
๑๙. แล้วเขาก็ขอให้ถูกลงลงโทษอย่างรุนแรงตามที่เขากำหนดไว้อย่างไร
๒๐. หลังจากนั้นก็ขอให้เขาถูกลงโทษอย่างรุนแรงตามที่เขาได้กำหนดไว้อย่างไร
๒๑. หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่ใบหน้าของพรรคพวกของเขา
๒๒. แล้วเขาก็บึ้งตึงและหมองคล้ำเนื่องเพราะความทุกข์ระทมที่เขามีอยู่
๒๓. หลังจากนั้นเขาก็หันหลังให้การศรัทธา และเขาทระนงตน ต่อการประพฤติตามคำสอนของนบีมุฮำมัด
๒๔. แล้วเขาก็พูดว่า สิ่งนี้มิใช่อื่นใดนอกจากเป็นเพียงวิทยากลที่ถูกถ่ายทอดมาโดยมุฮำมัด จากบรรดานักวิทยากลทั้งหลาย
๒๕. สิ่งนี้มิใช่อื่นใดนอกจากเป็นเพียงคำพูดของมนุษย์
๒๖. ต่อไปข้าจักนำเขาสู้นรกซะก็อร
๒๗. และอะไรทำให้เจ้ารู้ว่าอะไรคือนรกซะก็อร
๒๘. มันเป็นนรกซึ่งเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่าง มันไม่เหลือไว้และไม่ทิ้งไว้เลย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเพียงเล็กน้อยก็ตาม
๒๙. มันทำให้ผิวหนังไหม้เกรียม
๓๐. มันมีมลาอิกะห์สิบเก้าท่าน เฝ้าดูแลอยู่




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 18, 2010, 11:31 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมุดดัษษิรฺ อายะฮฺที่ 31 – 48

คำอ่าน
31.   วะมาญะอัลนา..อัศหาบัน..นาริ อิลลามะลาอิกะเตา..วะมาญะอัลนาอิดดะตะฮุม อิลลาฟิตนะตัลลิลละซีนะกะฟะรู ลิยัสตัยกินัลละซีนะอูตุลกิตาบะ วะยัซดาดัลละซีนะอามะนู..อีมาเนา..วะลายัรฺตาบัลละซีนะอูตุลกิตาบะ วัลมุอ์มินูนะ วะลิยะกูลัลละซีนะฟีกุลูบิฮิม..มะรอฎู..วัลกาฟิรูนะมาซา..อะรอดัลลอฮุบิฮาซามะษะลา, กะซาลิกะยุฎิลลุลลอฮุมัย..ยะชา...อุวะยะฮฺดีมัยยะชา..อุ์ วะมายะอฺละมุญุนูดะร็อบบิกะอิลลาฮู, วะมาฮิยะอิลลาซิกรอลิลบะชัรฺ
32.   กัลลาวัลเกาะมัรฺ
33.   วัลลัยลิอิซอัดบัรฺ
34.   วัศศุบหิอิซา..อัสฟัรฺ
35.   อิน..นะฮาละอิหฺดัลกุบัรฺ
36.   นะซีร้อลลิลบะชัรฺ
37.   ลิมัน..ชา...อะมิน..กุมอัย..ยะตะก็อดดะมะ เอายะตะอัคค็อรฺ
38.   กุลลุนัฟสิม..บิมากะสะบัตเราะฮีนะฮฺ
39.   อิลลา..อัศหาบัลยะมีน
40.   ฟีญัน..นาตี..ยะตะสา...อะลูน
41.   อะนิลมุจญริมีน
42.   มาสะละกะกุมฟีสะก็อรฺ
43.   กอลูลัมนะกุมินัลมุศ็อลลีน
44.   วะลัมนะกุนุฏอิมุลมิสกีน
45.   วะกุน..นานะคูฎุมะอัลคอ...อิฎีน
46.   วะกุน..นานุกัซซิบุบิเยามิดดีน
47.   หัตตา..อะตานัลยะกีน
48.   ฟะมาตัน..ฟะอุฮุมชะฟาอะตุชชาฟิอีน

คำแปล R1.
31. And we have set none but angels as guardians of the Fire, and we have fixed their number (19) only as a trial for the disbelievers, in order that the people of the Scripture (Jews and Christians) may arrive at a certainty [That this Qur'an is the truth as it agrees with their Books i.e. their number (19) is written in the Taurat (Torah) and the Injeel (Gospel)] and the believers may increase in faith (as this Qur'an is the truth) and that no doubts may be left for the people of the Scripture and the believers, and that those in whose hearts is a disease (of hypocrisy) and the disbelievers may say: "What Allah intends by this (curious) example ?" Thus Allah leads astray whom He wills and guides whom He wills. And none can know the hosts of your Lord but He. And this (Hell) is nothing else than a (warning) reminder to mankind.
32. Nay, and by the moon,
33. And by the night when it withdraws,
34. And by the dawn when it brightens,
35. Verily, it (Hell, or their denial of the Prophet Muhammad, or the Day of Resurrection) is but one of the greatest calamities.
36. A warning to mankind,
37. To any of you that chooses to go forward (by working righteous deeds), or to remain behind (by committing sins),
38. Every person is a pledge for what he has earned,
39. Except those on the right, (i.e. the pious true believers of Islamic Monotheism);
40. In Gardens (Paradise) they will ask one another,
41. About Al-Mujrimun (polytheists, criminals, disbelievers, etc.), (and they will Say to them):
42. "What has caused you to enter Hell?"
43. They will say: "We were not of those who used to offer their Salat (prayers)
44. "Nor we used to feed Al-Miskin (the poor);
45. "And we used to talk falsehood (all that which Allah hated) with vain talkers.
46. "And we used to belie the Day of Recompense
47. "Until there came to us (the death) that is certain."
48. So no intercession of intercessors will be of any use to them.

คำแปล R2.
31.   และเราไม่แต่งตั้งผู้เฝ้านรก (จากพวกอื่น) นอกจากมลาอิกะฮฺโดยเฉพาะ และเรามิได้ระบุจำนวนของพวกเขา (มลาอิกะฮฺ) ไว้ (เพื่ออื่นใด) นอกจากเพื่อเป็นการลงโทษแก่บรรดาจำพวกเนรคุณ เพื่อทำให้บรรดาจำพวกที่ได้รับคัมภีร์มา (คือพวกยิวและคริสต์) ได้มีความเชื่อมั่นและทำให้บรรดาผู้มีศรัทธาได้เพิ่มพูนศรัทธายิ่งขึ้น และเพื่อบรรดาจำพวกที่รับคัมภีร์และบรรดาจำพวกที่มีศรัทธาไม่สงสัย และเพื่อพวก (มุชริกีน) ที่มีความป่วยไข้ในหัวใจของพวกเขา และบรรดาจำพวกเนรคุณจะได้พูดว่า “อันใดหรือที่อัลเลาะฮฺทรงประสงค์กับอุทาหรณ์นี้” เช่นนั้น อัลเลาะฮฺทรงปล่อยให้หลงใหลแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงชี้นำแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และไม่มีใครกองทัพจำนวน(มลาอิกะฮฺ)แห่งองค์พระผู้อภิบาลของเจ้าได้นอกจากพระองค์เท่านั้น และมัน (นรกสะก๊อรฺ) นั้น มิใช่อื่นใดนอกจากเป็นข้อเตือนใจแก่มวลมนุษย์
32.   เป็นไปไม่ได้ขอยืนยันกับดวงเดือน
33.   ขอยืนยันกลางคืนเมื่อมัน (เคลื่อนคล้อย) ให้หลัง (มืดสนิทตอนดึก
34.   ขอยืนยันกับยามเช้าเมื่อมันฉายแสง
35.   แท้จริงมัน (นรกสะก๊อรฺ) นั้นเป็นหนึ่งในภัยพิบัติอันยิ่งใหญ่
36.   ซึ่งเป็นสิ่งตกเตือนแก่มนุษย์
37.   คือ แก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์จากพวกเจ้าที่หวังก้าวหน้า (ในการทำดี) หรือล้าหลัง (ในการทำดีก็ตาม)
38.   ทุก ๆ ชีวิตย่อมถูกจำจองไว้ด้วยสิ่งที่เขาพากเพียรไว้
39.   นอกจากบรรดาชาวขวา
40.   พวกเขาจะได้อยู่ในสวรรค์ โดยต่างคนต่างถามไถ่กัน
41.   ถึงคนบาปทั้งหลายว่า
42.   อะไรหรือเป็นให้พวกท่านเข้าไปอยู่ในนรกสะก๊อรฺ
43.   พวก (คนบาป) เหล่านั้นตอบว่า “เพราะเรามิได้เป็นผู้หนึ่งจากบรรดาจำพวกที่ทำละหมาด
44.   “และเราไม่เคยเลี้ยงอาหารแก่คนอนาถา
45.   “และเราได้แต่พูดวิจารณ์ (หลักศษสนา)ร่วมกับบรรดาผู้พูดวิจารณ์ทั้งมวล
46.   “และเราว่าวันตอบแทนเป็นเรื่องเท็จ”
47.   “จนกระทั่งกิจการอันแน่นอนยิ่งได้มาประสบแก่เรา”
48.   แท้จริงบารมีของบรรดาผู้สงเคราะห์ไม่อาจอำนวยประโยชน์แก่พวกเขาเลย


คำแปล R3.
31. เรามิได้ให้ผู้ใดเป็นผู้เฝ้านรกนอกไปจากมลาอิกะฮฺเท่านั้น และเรามิได้กำหนดจำนวนไว้เพื่ออื่นใดนอกไปจากเพื่อการทดสอบบรรดาผู้ปฏิเสธเพื่อที่ชาวคัมภีร์จะได้เกิดความเชื่อมั่น และบรรดาผู้ศรัทธาจะได้เพิ่มพูนความศรัทธา และชาวคัมภีร์และบรรดาผู้ศรัทธาจะได้ไม่สงสัย และเพื่อที่คนในหัวใจมีโรค และบรรดาผู้ปฏิเสธจะได้กล่าวว่า “อัลลอฮฺหมายความว่าอะไรในการยกอุปมานี้? นี่แหละคือวิธีการที่อัลลอฮฺทำให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์หลงผิด และทรงนำทางผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และไม่มีผู้ใดรู้ถึงไพร่พลของพระผู้อภิบาลของเจ้านอกไปจากพระองค์เองและที่นรกได้ถูกเอ่ยขึ้นมา ก็เพื่อที่จะเป็นการตักเตือนสำหรับมนุษย์
32. ไม่เลย ขอสาบานด้วยดวงจันทร์
33. และขอสาบานด้วยกลางคืนเมื่อมันหมดไป
34. และขอสาบานด้วยยามเช้าเมื่อยามอรุณรุ่ง
35. นรกก็เป็นหนึ่งในบรรดาสิ่งที่ยิ่งใหญ่
36. เป็นการตักเตือนต่อมนุษย์ชาติ
37. เป็นการตักเตือนทุกคนในหมู่สูเจ้าที่ปรารถนาจะไปข้างหน้าหรือจะอยู่ข้างหลัง
38. ทุกคนก็คือสัญญาสำหรับสิ่งที่เขาได้ทำไว้
39. ยกเว้นผู้ที่อยู่ด้านขวา
40. จะได้อยู่ในสวรรค์ ซึ่งที่นั่นพวกเขาจะถาม
41. เกี่ยวกับผู้ทำความผิด
42. “อะไรที่นำพวกท่านเข้าไปในนรก?”
43. พวกเขากล่าวว่า “เรามิได้เป็นผู้หนึ่งในบรรดาผู้ปฏิบัตินมาซ”
44. และเรามิได้เลี้ยงอาหารคนยากจน
45. และเราเคยร่วมกับบรรดาผู้มั่วสุมในการพูดจาต่อต้านสัจธรรม
46. และเราเคยปฏิเสธวันแห่งการตอบแทน
47. จนกระทั่งสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เกิดขึ้นแก่เรา”
48. ในเวลานั้น การขอไถ่โทษของผู้ขอไถ่โทษจะไม่อำนวยประโยชน์ใด ๆ แก่พวกเขา


คำแปล R4.
31. และเรามิได้แต่งตั้งผู้ใดเป็นยามเฝ้าประตูนรก นอกจากมะลาอิกะฮฺเท่านั้น และเรามิได้กำหนดจำนวนของพวกเขาไว้ เว้นแต่เพื่อเป็นการทดสอบแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา เพื่อบรรดาอะฮฺลุลกิตาบจะได้เชื่อมั่น และบรรดาผู้ศรัทธาจะได้เพิ่มพูนการศรัทธา และบรรดาอะฮฺลุลกิตาบรวมทั้งบรรดาผู้ศรัทธาจะไม่ต้องสงสัย และเพื่อบรรดาผู้ในหัวใจของพวกเขามีโรคอีกทั้งบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะ กล่าวว่า อัลลอฮฺทรงประสงค์อะไรด้วยอุปมานี้ เช่นนั้นแหละอัลลอฮฺจะทรงให้หลงทางผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และจะทรงชี้แนะทางแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และไม่มีผู้ใดรู้จำนวนไพร่พล ของพระเจ้าของเจ้านอกจากพระองค์ และนี่มิใช่อื่นใดนอกจากเป็นข้อตักเตือนแก่มนุษย์
32. เปล่าเลย ขอสาบานด้วยดวงจันทร์
33. ขอสาบานด้วยกลางคืนเมือมันคล้อยไป
34. ขอสาบานด้วยยามเช้าเมื่อมันทอแสง
35. แท้จริงนรกนั้นแน่นอนเป็นหนึ่งในความหายนะอันใหญ่หลวง
36. เพื่อเป็นการเตือนสำทับแก่มนุษย์
37. สำหรับผู้ที่ประสงค์ในหมู่พวกเจ้าจะรุดหน้า (ไปสู่ความดี) หรือจะรั้งท้าย (เพื่อกระทำความชั่ว)
38. แต่ละชีวิตย่อมถูกค้ำประกันกับสิ่งที่มันขวนขวายไป
39. ยกเว้นบรรดาผู้อยู่เบื้องขวา
40. อยู่ในสวนสวรรค์หลากหลาย พวกเขาจะไต่ถามซึ่งกันและกัน
41. เกี่ยวกับพวกที่กระทำความผิด
42. อะไรที่นำพวกท่านเข้าสู่กองไฟที่เผาไหม้
43. พวกเขากล่าวว่า เรามิได้อยู่ในหมู่ผู้ทำละหมาด
44. เรามิได้ให้อาหารแก่บรรดาผู้ขัดสน
45. และพวกเราเคยมั่วสุมอยู่กับพวกที่มั่วสุม
46. และเราเคยปฏิเสธวันแห่งการตอบแทน
47. จนกระทั่งความตายได้มาเยือนเรา
48. ดังนั้นการชะฟาอะฮฺของบรรดาผู้มีชะฟาอะฮฺจะไม่เกิดประโยชน์อันใดแก่พวกเขา


คำแปล R5
๓๑. และเรามิได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของนรกให้มาจากสิ่งอื่นใดนอกจากมลาอิกะห์เท่านั้น และเรามิได้กำหนดจำนวนของพวกเขาไว้ทั้งสิบเก้านั้นเพื่ออื่นใดเลยนอกจากเพื่อเป็นข้อทดสอบแก่บรรดาจำพวกไร้ศรัทธาเพื่อสร้างความมั่นใจโดยบรรดาจำพวกที่เคยได้รับคัมภีร์มาก่อนในตัวนบีมุฮำมัด เพราะสอดคล้องกับคำพยากรณ์ที่มีปรากฏในคัมภีร์ก่อน ๆ และเพื่อจะได้เพิ่มพูนศรัทธาแก่บรรดาพวกชาวคัมภีร์ที่มีศรัทธาในนบีมุฮำมัดยิ่งขึ้น และเพื่อจะได้ไม่ลังเลโดยพวกที่ได้รับคัมภีร์และบรรดาผู้มีศรัทธา และเพื่อบรรดาจำพวกมุนาฟิกีนที่มีความป่วยในหัวใจของพวกเขา และบรรดาจำพวกเนรคุณจะได้พูดว่า อะไรหรือที่อัลเลาะห์ทรงประสงค์อุทาหรณ์กับสิ่งนี้ เช่นนั้นแหละ อัลเลาะห์ทรงยังความหลงผิดแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และทรงชี้นำแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และไม่มีผู้ใดรู้จำนานกองทัพของพระผู้ทรงอภิบาลของเจ้านอกจากพระองค์เองเท่านั้น และสิ่งนั้นหาใช่อื่นใดไม่นอกจากเป็นคำเตือนแก่มวลมนุษย์
๓๒. เป็นไปไม่ได้ ขอสาบานในเรื่องดังกล่าวกับดวงเดือน
๓๓. และขอสาบานกับกลางคืน เมื่อมันได้คล้อยหลังไปแล้ว จนเวลากลางวันเริ่มเข้ามาแทน
๓๔. และขอสาบานกับเวลาเช้าตรู่เมื่อมันส่องแสงและให้ความสว่าง
๓๕. แท้จริงมัน นรกซะก็อร นั้นเป็นหนึ่งจากบรรดาการลงโทษที่ยิ่งใหญ่ในวันปรภพ
๓๖. เป็นสิ่งตักเตือนแก่มนุษย์ให้ตระหนักถึงภัยอันเกิดขึ้นจากการคัดค้านสัจธรรม
๓๗. สำหรับผู้ใดจากพวกเจ้าที่มีความปรารถนาจะกระทำความดีงาม หรือจะละเว้นความดีและกระทำความชั่ว เขาก็ย่อมได้รับการตอบแทนอย่างสาสมกับการกระทำเสมอ
๓๘.ทุก ๆ ชีวิตย่อมถูกจองจำไว้ด้วยสิ่งที่เขาได้พากเพียรไว้ไม่ว่าจะเป็นกาฟิรหรือมุสลิมก็ตาม ซึ่งหากเป็นกาฟิรการไถ่ถอนตัวเองก็คือการกระทำความดีต่าง ๆ
๓๙. ยกเว้นบรรดาชาวขวาซึ่งเป็นศรัทธาชนที่ได้รับหนังสือบันทึกความประพฤติด้วยมือขวาของเขา พวกนี้ไม่ถูกจองจำไว้แต่ประการใด เพราะเขากระทำแต่ความดีงามเป็นอาจิณอยู่แล้ว
๔๐. พวกนี้จะได้อยู่ในสรวงสวรรค์ โดยต่างคนต่างก็ซักถามซึ่งกันและกัน
๔๑.ถึงข่าวของบรรดาคนบาปทั้งหลายที่ถูกนำตัวเข้าไปสู่นรก
๔๒. และเมื่อมีบางคนที่พ้นโทษออกมาจากนรกได้เข้าสู่สวรรค์แล้ว ชาวสวรรค์ก็จะถมเขาว่า อันใดหรือเป็นเหตุให้พวกท่านต้องลงสู่ขุมนรกซะก็อร
๔๓. พวกเขาตอบว่า เพราะพวกเราไม่เคยทำการละหมาดเลย
๔๔. และเราไม่เคยให้อาหารแก่คนอนาถา ไม่ว่าจะโดยหน้าที่จากบทบัญญัติที่บังคับไว้ เช่น ซะกาต หรือโดยอาสาสมัคร เช่น การเอื้เฟื้อเผื่อแผ่ทั่วไปก็ตาม
๔๕. และพวกเราเข้าไปร่วมกับบรรดาจำพวกที่พูดสิ่งโมฆะทั้งหลาย เช่น พูดว่าอัลกุรอานเป็นกวีนิพนธ์บ้าง เป็นวิทยากลบ้าง และมุฮำมัดเป็นกวี เป็นคนวิกลจริตเป็นต้น
๔๖. และพวกเราเมื่อครั้งใช้ชีวิตอยู่ในสากลโลก ได้กล่าวหาในเรื่องของวันตอบแทนว่าเป็นเรื่องมดเท็จและเหลวไหล
๔๗. จนกระทั่งสิ่งที่มั่นใจคือวันกิยามะห์ได้มาประสบแก่พวกเราสมจริงดังคำประกาศของนบีมุฮำมัดทุกประการ
๔๘. แท้จริงการสงเคราะห์ของบรรดาผู้สงเคราะห์ไม่อาจอำนวยประโยชน์แก่พวกเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นมลาอิกะฮ์หรือบรรดานบีและบรรดาคนประพฤติความดีก็ตาม เพราะเงื่อนไขสำคัญที่จะได้รับการสงเคราะห์ก็คือ การศรัทธาในอัลเลาะห์องค์เดียว แต่พวกเขาไม่มีศรัทธาดังกล่าว



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมุดดัษษิรฺ อายะฮฺที่ 49 – 56

คำอ่าน
49.   ฟะมาละฮุมอะนิตตัซกิเราะติมุอฺริฎีน
50.   กะอัน..นะฮุมหุมุรุม..มุสตัน..ฟิเราะฮฺ
51.   ฟัรฺร็อตมิน..ก็อสวะเราะฮฺ
52.   บัลยุรีดุกุลลุมริอิม..มินฮุมอัย..ยุอ์ตาศุหุฟัม..มุนัชชะเราะฮฺ
53.   กัลลาบัลลายะคอฟูนัลอาคิเราะฮฺ
54.   กัลลา..อินนะฮู ตัซกิเราะฮฺ
55.   ฟะมัน..ชา...อะซะกะเราะฮฺ
56.   วะมายัซกุรูนะอิลลาอัย..ยะชา...อัลลอฮฺ, ฮุวะอะฮฺลุตตักวา วะอะฮฺลุลมัฆฟิเราะฮฺ

คำแปล R1.
49. Then what is wrong with them (i.e. the disbelievers) that they turn away from (receiving) admonition?
50.As if they were frightened (wild) donkeys.
51. Fleeing from a hunter, or a lion, or a beast of prey.
52. Nay, Every one of them desires that he should be given Pages spread out (coming from Allah with a writing that Islam is the right religion, and Muhammad has come with the truth from Allah the Lord of the heavens and earth, etc.).
53. Nay! But they fear not the hereafter (from Allah's punishment).
54. Nay, verily, this (Qur'an) is an admonition,
55. So whosoever will (let him read it), and receive admonition (from it)!
56. And they will not receive admonition unless Allah wills; He (Allah) is the one, deserving that mankind should be afraid of, and should be dutiful to him, and should not take any Ilah (God) along with him, and he is the one who forgives (sins).


คำแปล R2.
49.   แล้วอะไรเล่าจักประสบแก่พวกเขาขณะที่พวกเขาหันเหจากคำเตือน (อัลกุรอาน)?
50.   คล้ายกับว่าพวกเขาเป็นลาป่าที่พยศ
51.   มันเผ่นหนีจากนายพราน (หรือสิงโต)
52.   ทว่า ทุก ๆ บุคคลจากพวกเขาต่างมีความประสงค์ที่จะได้รับคัมภีร์ที่กางมาแล้ว ๆ (จากฟากฟ้ามาอ่านโดยตนเอง ไม่ต้องอาศัยศาสนทูต และมิใช่กุรอานที่ทยอยลงมา)
53.   เป็นไปไม่ได้ ทว่าพวกเขาไม่เกรงกลัวโลกหน้าต่างหาก (จึงทำให้พวกเขาคิดเช่นนั้น)
54.   เป็นไปไม่ได้ แท้จริงอัลกุรอานเป็นคำเตือน (จากอัลเลาะฮฺ)
55.   ดังนั้นผู้ใดที่มีความต้องการ เขาก็นึกถึงคำเตือนนั้นได้ (โดยการนำมาอ่านและประพฤติตาม
56.   และพวกเขาจะไม่ได้รับคำเตือน นอกจากโดยอัลเลาะฮฺทรงประสงค์ พระองค์ทรงเป็นผู้ได้รับการยำเกรง และเป็นผู้ให้อภัย (แก่คนทำผิดที่สารภาพผิด)


คำแปล R3.
49. แล้วเป็นอย่างไรกับคนเหล่านี้ ที่พวกเขาหันห่างออกจากการตักเตือน
50. เหมือนกับพวกเขาเป็นลาป่า
51. ที่วิ่งหนีสิงโต?
52. ไม่เลยพวกเขาแต่ละคนต้องการที่จะให้มีจดหมายเปิดผนึกส่งไปยังเขา
53. ไม่มีทาง ความจริงก็คือว่าพวกเขาไม่กลัวโลกหน้า
54. ไม่มีวัน แท้จริงแล้วนี่คือการตักเตือน
55. ดังนั้น ใครที่ประสงค์ก็จงใส่ใจคิด
56. แต่พวกเขาจะไม่มีวันใส่ใจ เว้นเสียแต่ว่าอัลลอฮฺจะทรงประสงค์ พระองค์เท่านั้นคือผู้ที่ควรได้รับความเกรงกลัว และพระองค์คือผู้ทรงให้อภัย (ผู้เกรงกลัวพระองค์)


คำแปล R4.
49. ดังนั้นเกิดอะไรขึ้นแก่พวกเขา โดยทีพวกเขาผินหลังออกห่างจากการเตือนสติ
50. ประหนึ่งว่าพวกเขาเป็นลาเปรียวที่ตื่นตระหนก
51. หนีจากเสือสิงห์
52. แท้จริงแล้วทุกคนในหมู่พวกเขาต้องการที่จะมีแผ่นกระดาษกางแผ่ยืนมาให้แก่เขา
53. ไม่เลยทีเดียว! ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังไม่กลัววันปรโลกอีกด้วย
54. เปล่ามิได้! แท้จริงนั่นคือข้อเตือนสติ
55. ฉะนั้นผู้ใดประสงค์เขาก็จะจดจำรำลึกไว้
56. และพวกเขาจะไม่จดจำรำลึกได้ เว้นแต่อัลลอฮฺจะทรงประสงค์ พระองค์เท่านั้นคือพระเจ้าแห่งการยำเกรงและพระเจ้าแห่งการให้อภัย


คำแปล R5
๔๙. แล้วจะมีประโยชน์อะไรแก่พวกเขาเล่าเมื่อพวกเขาเป็นผู้หันเหออกจากคำเตือนของอัลเลาะห์ตั้งแต่เริ่มต้น นอกจากต้องได้รับโทษทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า
๕๐. พวกเขาแสดงทีท่าต่อศาสนทูตประหนึ่งพวกเขาเป็นลาพยศ
๕๑. ที่หนีจากเสือกระนั้น พวกเขาก็หนีจากศาสนทูตไม่ยอมรับฟังคำประกาศด้วยประการทั้งปวง ในทำนองเดียวกันในยุคสมัยที่ปราศจากศาสนทูต บรรดาผู้หลบหนีผู้รู้ก็ไม่มีโอกาสทราบเรื่องราวของศาสนาได้
๕๒. แต่ทุกบุคคลจากพวกเขาต่างก็คิดว่า ต้องรอให้เขาได้รับคัมภีร์ที่เปิดมาแล้ว ๆ จากอัลเลาะห์โดยตรง โดยไม่ผ่านศาสนทูตผู้ใด แล้วพวกเขาจึงจะประพฤติตาม
๕๓. เป็นไปไม่ได้ แต่ทว่าพวกเขาไม่มีความเกรงกลัวในวันปรภพนั่นเอง ที่พวกเขาไม่ยอมศรัทธา ทั้งนี้เพราะสิ่งที่ศาสนทูตนำมาประกาศนั้นก็พร้อมแล้วด้วยหลักการอันเป็นมหัศจรรย์ที่แสดงถึงฐานะศาสนทูตอันแท้จริง
๕๔. พึงทราบเถิด แท้จริงอัลกุรอานเป็นคัมภีร์เตือนแก่ประชาชาติทั้งหลาย ผู้ใดเชื่อถือเขาก็ได้รับโชคดี ส่วนผู้ใดคัดค้าน เขาก็ประสบความหายนะ
๕๕. ดังนั้น ผู้ใดประสงค์จะได้รับโชค เขาก็ระลึกถึงคำเตือนนั้น และปฏิบัติตามคำเตือนอย่างครบถ้วน
๕๖. และพวกเขาจะไม่ระลึกถึงคำเตือนนอกจากเป็นไปโดยอัลเลาะห์ระสงค์เท่านั้น พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่น่ายำเกรง และเป็นพระผู้ทรงให้อภัยแก่บรรดาผู้กระทำผิดทั้งหลายที่ขอลุแก่โทษต่อพระองค์ และทรงให้เขาเข้าสวรรค์เมื่อถึงวันปรภพ



ดำรัสของอัลลอฮฺผู้ยิ่งใหญ่เป็นจริงเสมอ (صدق الله العظيم)
จบสูเราะฮฺที่ 74 อัลมุดดัษษิรฺ

 

GoogleTagged