ผู้เขียน หัวข้อ: คุฏบะฮฺวันศุกร์ มัสญิดอัรฺ-ริฎวาน(นานา) นครราชสีมา 15 ต.ค. 53  (อ่าน 3175 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

 :salam:

การใช้ความดีเป็นสื่อในการขอพร
15 ตุลาคม 2553 / 6  ซุลเกาะอฺดะฮฺ 1431

   พี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงยำเกรงอัลลอฮฺด้วยการปฏิบัติความดีและละเว้นความชั่วอย่างจริงจัง และท่านทั้งหลายจงอย่าได้ตาย จนกว่าท่านจะเป็นผู้ยอมจำนนต่ออัลอิสลามโดยสิ้นเชิง
   เชื่อว่าพี่น้องหลายคนคงจะได้ติดตามข่าวการช่วยชีวิตคนงานเหมืองติดอยู่ใต้ดินลึกกว่า 600 เมตรนานกว่า 60 วันเป็นผลสำเร็จอย่างน่าชื่นชมเมื่อวานนี้ สำหรับท่านที่ไม่มีโอกาสได้ติดตามข่าว ขอเล่าย่อ ๆ ให้ได้รับรู้กัน
   เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ปีนี้(2553) เหมืองทองคำและทองแดงแห่งหนึ่งที่กรุงซานโฮเซ ประเทศชิลีเกิดหินถล่ม ทำให้คนงานเหมือง 33 คนติดอยู่ในหลุมหลบภัยของเหมืองแห่งนั้น ซึ่งอยู่ลึกลงไปจากพื้นโลก 625 เมตร หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่กู้ภัยได้ใช้เครื่องมือเจาะลงไปใต้ดินเพื่อสำรวจว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีคนรอดชีวิต ผ่านไป 17 วัน จึงได้มีกระดาษบันทึกข้อความผูกกับเครื่องมือขุดเจาะขึ้นมาว่าคนงานทั้งหมดยังมีชีวิตและมีกำลังใจที่ดี ทางการชิลีจึงเจาะอุโมงค์เล็ก ๆ เข้าไปจนถึงจุดที่คนงานอยู่และส่งอาหาร น้ำ ยารักษาโรคและเครื่องมือสื่อสารลงไป วางแผนว่าจะขุดอุโมงค์ขนาดใหญ่พอที่จะช่วยนำผู้ประสบภัยขึ้นมาได้ภายใน 120 วัน คือประมาณต้นเดือนธันวาคม
   อย่างไรก็ตามในที่สุดก็มีคนที่ฉลาดหลักแหลมคิดวิธีช่วยเหลือด้วยการขุดท่อทรงกลมกว้างประมาณ 66 ซ.ม. ลงไปถึงจุดเกิดเหตุ และสร้างแคปซูลชื่อฟีนิกส์ลงไปรับเอาคนงานทั้งหมดดึงขึ้นมาด้วยลวดสลิงทีละคน ๆ จนครบทั้ง 33 คนในสภาพที่รอดชีวิตมาได้สำเร็จเมื่อเช้าวานนี้ (14 ต.ค.) อย่างที่กล่าว รวมเวลาที่ต้องอยู่ใต้ดิน 69 วัน รายละเอียดพี่น้องหาอ่านเอาได้จากหนังสือพิมพ์ เพราะเรื่องนี้เป็นข่าวดังไปทั่วโลก
   ที่เอาเรื่องนี้มาเกริ่นนำให้กับพี่น้องก็เพราะว่า พอรู้ข่าวนี้ สิ่งแรกที่ผมนึกถึงก็คือ หะดีษบทหนึ่งที่ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เล่าไว้ให้ประชาชาติของท่านได้รับทราบ ดังนี้


“จากอะบูอับดุรฺเราะหฺมาน อับดุลลอฮฺ อิบนิอุมัรฺ อิบนิลค็อฎฎอบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เล่าว่า : ชายสามคนจากประชาชาติก่อนหน้าพวกท่านได้ออกเดินทางรอนแรมไปจนกระทั่งเข้าพักอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง เมื่อเขาได้เข้าไปในถ้ำแล้ว บังเอิญหินก้อนหนึ่งได้ตกลงมาจากภูเขาปิดกั้นพวกเขาไว้ในถ้ำ พวกเขาทั้งสามจึงได้กล่าวขึ้นว่า ความจริงแล้วพวกท่านไม่สามารถรอดพ้นไปจากหินก้อนนี้ได้ นอกจากจะต้องขอต่ออัลลอฮฺตะอาลาโดยการเอาการกระทำดีของพวกท่าน (เป็นสื่อ)


คนหนึ่งจากพวกเขาได้กล่าวว่า “ข้าแต่อัลลอฮฺ ข้าพระองค์มีบิดามารดาที่ชราภาพ และข้าพระองค์ไม่เคยให้ภรรยา, ลูก, คนใช้และทาส รับประทานอาหารก่อนท่านทั้งสองเลย วันหนึ่งข้าพระองค์ได้ออกไปไกลเพื่อหาใบไม้ (ให้สัตว์เลี้ยง) และได้กลับมาช้าจนกระทั่งท่านทั้งสองได้หลับไปก่อน ข้าพระองค์ได้รีดนมให้ท่านทั้งสองดื่ม แต่พบว่าท่านทั้งสองยังหลับอยู่ ข้าพระองค์ไม่ชอบที่จะปลุกท่านทั้งสองและไม่ชอบที่จะให้ภรรยา, ลูก, คนใช้และทาสดื่มก่อนท่านทั้งสอง ข้าพระองค์จึงยืนคอยการตื่นของท่านทั้งสองโดยที่ถ้วยนมอยู่ในมือของข้าพระองค์จนกระทั่งแสงอรุณขึ้น ทั้ง ๆ ที่เด็ก ๆ ได้ส่งเสียงร้องอยู่รอบ ๆ เท้าของข้าพระองค์ด้วยความหิวกระหาย ในที่สุดท่านทั้งสองได้ตื่นขึ้นแล้วดื่มนม(ที่เตรียมไว้ให้ท่านทั้งสอง) ข้าแต่อัลลอฮฺ ถ้าแม้นว่า การที่ข้าพระองค์กระทำไปนั้นเพื่อพระองค์ท่านแล้ว ขอพระองค์ได้โปรดให้พวกเราพ้นจากสภาพที่พวกเราเป็นอยู่จากหินก้อนนี้เถิด” แล้วหินที่อุดปากถ้ำก็ได้เคลื่อนไปนิดหนึ่ง โดยที่เขาทั้งสามไม่สามารถออกไปจากถ้ำได้


ชายอีกคนหนึ่งได้กล่าวว่า “ข้าแต่อัลลอฮฺ มีลูกสาวของอาของข้าพระองค์คนหนึ่งซึ่งนางเป็นสุดที่รักยิ่งของข้าพระองค์ (และอีกในรายงานหนึ่งว่า ข้าพระองค์รักนางยิ่งและข้าพระองค์ต้องการตัวนางแต่นางไม่ยินดีกับข้าพระองค์) จนกระทั่งมีอยู่ปีหนึ่งเกิดความแห้งแล้ง นางได้มาหาข้าพระองค์และข้าพระองค์ก็ได้ให้ทรัพย์แก่นางไป 120 เหรียญทองคำ โดยนางจะต้องเปิดโอกาสให้ข้าพระองค์ได้อยู่ร่วมกับนาง นางก็ยินยอมปฏิบัติตาม จนกระทั่งข้าพระองค์สามารถ (ที่จะร่วม) กับนาง (และในอีกรายงานว่า ขณะที่ข้าพระองค์ได้นั่งอยู่ระหว่างขาทั้งสองของนาง) นางได้กล่าวขึ้นว่า ท่านจงยำเกรงอัลลอฮฺ ท่านจงอย่าทำลายความบริสุทธิ์ นอกจากท่านมีสิทธิ์เสียก่อน ข้าพระองค์จึงผละออกจากนางไป ทั้ง ๆ ที่นางเป็นที่รักยิ่งของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ก็ยินยอมให้ทองดังกล่าวแก่นางไป ข้าแต่อัลลอฮฺ ถ้าแม้นว่าการที่ข้าพระองค์กระทำไปนั้นเพื่อพระองค์ท่านแล้ว ขอพระองค์ได้โปรดให้พวกเราพ้นจากสภาพที่พวกเราเป็นอยู่” แล้วหินก้อนนั้นก็เคลื่อนออกไปโดยที่พวกเขาทั้งสามไม่สามารถออกไปจากถ้ำได้


“ชายคนที่สามกล่าวว่า “ข้าแต่อัลลอฮฺ ข้าพระองค์ได้ว่าจ้างคนงานและได้ให้ค่าจ้างแก่พวกเขา นอกจากคนงานคนหนึ่งได้ออกไปโดยไม่ได้รับค่าจ้าง ข้าพระองค์ได้นำเอาค่าจ้างของเขามาลงทุนจนกระทั่งมีทรัพย์สินเพิ่มพูนขึ้นมากมาย หลังจากนั้นเป็นเวลานาน คนงานคนนั้นได้มาหาข้าพระองค์แล้วกล่าวว่า โอ้บ่าวของอัลลอฮฺ กรุณาจ่ายค่าจ้างที่ค้างไว้ให้แก่ฉันด้วยเถิด ข้าพระองค์ได้กล่าวแก่เขาว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านเห็นอยู่นั้น ไม่ว่าจะเป็นอูฐ วัว แพะ แกะ หรือทาส มาจากเงินของท่าน เขาได้กล่าวว่า โอ้บ่าวของอัลลอฮฺ อย่าได้พูดล้อเล่นกับฉันเลย ข้าพระองค์ตอบว่า ฉันไม่ได้พูดล้อเล่นกับท่านดอก ชายคนนั้นจึงนำส่วนของเขากลับไปทั้งหมดโดยไม่ได้ทิ้งไว้แม้แต่สิ่งเดียว ข้าแต่อัลลอฮฺ ถ้าแม้นการที่ข้าพระองค์กระทำไปนั้นเพื่อพระองค์ท่านแล้ว ขอพระองค์ได้โปรดให้พวกเราพ้นจากสภาพที่เราเป็นอยู่” แล้วหินก้อนนั้นก็เคลื่อนออก และพวกเขาทั้งสามก็ออกจากถ้ำได้”                  รายงานสอดคล้องต้องกันโดยบุคอรี,มุสลิม
   สถานการณ์ของคนงานในเหมืองกับสถานการณ์ของชายทั้งสามคนนี้ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ได้นำมาเล่าให้พี่น้องได้ฟังก็เพื่อที่จะบอกกับพี่น้องว่า อุบัติเหตุเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ คนงานเหมืองอาจติดในเหมืองที่ถล่ม คนเดินทางอาจหลงทาง เราเองก็อาจไปรถตายอยู่กลางทางบนถนนหรือสถานที่ที่ไม่เคยรู้จัก แม้กระทั่งติดอยู่ในลิฟต์ ความคับขันอาจจะมาประสบกับเราเมื่อใดก็ได้ การแก้ไขปัญหา ส่วนหนึ่งได้แก่การช่วยเหลือตนเองและขอรับการช่วยเหลือจากผู้อื่น และอีกส่วนหนึ่งก็คือการพึ่งพาอัลลอฮฺตะอาลา วิธีการขอดุอาอุ์โดยใช้ความดีของตนเป็นสื่อนั้นเป็นสิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้กระทำได้ เรียกว่าการตะวัสสุล แต่จะต้องขอต่ออัลลอฮฺตะอาลาเท่านั้น โดยไม่ต้องขอผ่านผู้อื่น เช่น โต๊ะกะเราะมัตหรือโต๊ะวะลี และอัลลอฮฺก็จะทรงตอบรับคำขอของเราแน่นอน พระองค์อาจเปิดโอกาสให้คนอื่นมาช่วย เปิดโอกาสให้เราได้ค้นพบหนทางอื่นในการแก้ปัญหา หรือด้วยวิธีการใด ๆ ตามที่พระองค์ประสงค์
   ข้อสำคัญเราต้องมีการงานที่ดีที่จะใช้ตะวัสสุล เพราะอัลลอฮฺจะตอบแทนทุก ๆ การกระทำของเราอยู่แล้ว พระองค์ดำรัสว่า



“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าละอองธุลี เขาก็จะเห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าละอองธุลีเขาก็จะเห็นมัน”                   อัซซัลซะละฮฺ 99:7-8
   ถ้าเราทำความดีมาก ๆ เราย่อมมีภาคผลจากความดีมากเป็นเงาตามตัว ถ้าเราต้องการขออะไรจากอัลลอฮฺก็สามารถตะวัสสุลด้วยความดีของเรา เราละหมาดครบตามที่พระองค์กำหนด เราละหมาดเสริมเท่าที่เราสามารถ เราทำอิบาดะฮฺที่เป็นฟัรฎุครบถ้วนด้วยเจตนาบริสุทธิ์ต่อพระองค์ และยังทำกิจกรรมที่เป็นสุนนะฮฺ เราบริจาคเพื่อสร้างมัสญิด สร้างประโยชน์สาธารณะ ช่วยเหลือแม่ม่ายเด็กกำพร้า คนตกทุกข์ได้ยาก โดยไม่หวังสิ่งใดนอกจากบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮฺ เวลาคับขัน ความดีเหล่านี้จะช่วยเรา แต่ถ้าเราเกิดตกทุกข์ได้ยาก นึกถึงความดีเพื่อที่จะใช้เป็นสื่อหรือตะวัสสุลต่ออัลลอฮฺก็นึกไม่ออกสักอย่าง ละหมาดก็ไม่ครบ ศีลอดก็ไม่ถือ กุรฺอานก็ไม่เคยอ่าน วิชาความรู้ก็ไม่เคยเผยแพร่ให้กับคนด้อยความรู้ เหล้าก็ดื่ม กลางคืนก็เที่ยว นอกจากจะไม่มีสื่อในการตอบแทนความดีงามแล้ว ถ้าไม่เตาบะฮฺตัว อาจทำให้เกิดวิกฤติในดุนยานี้ ยังจะต้องถูกลงโทษในอาคิเราะฮฺอีกด้วย



(คัดลอกจากเอกสารเผยแพร่ของมัสญิดอัรฺ-ริฎวาน(นานา) นครราชสีมา โดย Bangmud)

 

GoogleTagged