ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 58 สูเราะฮฺ อัลมุญาดะละฮฺ  (อ่าน 3612 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด


 :salam:

คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺ อัลมุญาดะละฮฺ (المجادلة)- การร้องขอ/การโต้แย้ง

เป็นสูเราะฮฺ มะดะนียะฮฺ มี 22 อายะฮฺ

บทนำ(R3.)
ชื่อ : ซูเราะฮฺนี้ได้ชื่อมาจากคำว่า ตุญาดิลุกะ (تجادلك) ในอายะฮฺแรกซึ่งเอ่ยถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่มาร้องขอความช่วยเหลือต่อท่านรอซูลุลลอฮฺถึงเรื่อง “ซิฮารฺ” ที่สามีของเธอกล่าวออกมาและทำให้สามีของเธอต้องตกที่นั่งลำบาก เธอจึงต้องการให้ท่านรอซูลุลลอฮฺหาทางออกให้ และอัลลอฮฺได้ทรงอธิบายคำร้องขอของเธอโดยการใช้คำว่า “มุญาดะละฮฺ” (مجادلة) ดังนั้นซูเราะฮฺนี้จึงได้เป็นที่รู้จักกันในชื่อนี้ คำนี้สามารถอ่านได้สองสำเนียง คือ “มุญาดะละฮฺ” ซึ่งหมายความว่า “การร้องขอและความโต้แย้ง” และถ้าอ่านออกเสียงว่า “มุญาดิละฮฺ” ก็จะหมายถึง “หญิงผู้ร้องขอและโต้แย้ง”
ระยะเวลาของการประทานสูเราะฮฺ : ไม่มีฮะดีษบอกว่า การร้องขอและการโต้แย้งนี้เกิดขึ้นเมื่อใด แต่ในเนื้อหาของซูเราะฮฺนี้มีร่องรอยที่ทำให้สามารถกล่าวได้ด้วยความเชื่อมั่นว่ามันเกิดขึ้นหลังจากสงครามสนามเพลาะ (เดือนเชาวาล ฮ.ศ. 5) ในซูเราะฮฺ อัลอะฮฺซาบ ในขณะที่ปฏิเสธเรื่องการรับเอาบุตรบุญธรรมมาเป็นลูกที่แท้จริงนั้น อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวไว้แต่เพียงว่า “และอัลลอฮฺไม่ทำให้ภรรยาที่สูเจ้าหย่าโดยการซิฮารฺเป็นแม่ของสูเจ้า” เท่านั้น แต่ในซูเราะฮฺนั้นไม่ได้มีอะไรบ่งบอกว่าการหย่าภรรยาโดยการซิฮารเป็นบาปหรือเป็นความผิดและก็ไม่มีคำสั่งใด ๆ ทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ในทางตรงข้าม ในซูเราะฮฺนี้ กฎหมายเกี่ยวกับการซิฮารทั้งหมดได้ถูกวางไว้ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคำสั่งที่เป็นรายละเอียดเหล่านี้ได้ถูกประทานลงมาหลังจากที่ได้มีการเอ่ยถึงเรื่องนี้ในซูเราะฮฺอัลอะฮฺซาบ
เนื้อหาสาระ: ในเรื่องนี้ได้มีการออกคำสั่งแก่มุสลิมเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ ที่กำลังเผชิญหน้าพวกเขาอยู่ในเวลานั้น
   ตั้งแต่เริ่มต้นซูเราะฮฺไปจนถึงอายะฮฺที่ 6 คำสั่งทางด้านกฎหมายเกี่ยวกับการ “ซิฮาร” ได้ถูกประทานลงมา และพร้อมกันนั้นมุสลิมก็ได้ถูกกำชับเตือนอย่างเข้มงวดว่า ถ้าพวกเขายังคงดึงดันปฏิบัติตามสิ่งที่ทำกันมาในยุคแห่งความโง่เขลาหลังจากเข้ารับอิสลามแล้วก็เท่ากับพวกเขาทำลายขอบเขตที่อัลลอฮฺได้ทรงกำหนดไว้ หรือปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามหรือเขาสร้างกฎระเบียบที่ขัดกับอัลลอฮฺขึ้นมา การทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่พวกเขาจะได้รับความอัปยศและความตกต่ำในโลกนี้เท่านั้นแต่ยังจะได้รับการสอบสวนและรับโทษอย่างหนักในโลกหน้าด้วย
   ในอายะฮฺที่ 7-10 พวกตลบตะแลง (มุนาฟิก) ได้ถูกตำหนิในการที่พวกเขาแอบกระซิบและปรึกษากันอย่างลับ ๆ เพื่อวางแผนต่อต้านท่านรอซูลุลลอฮฺและเพราะเจตนาร้ายที่แอบแฝงอยู่ในใจทำให้พวกเขาทักทายท่านในลักษณะที่มีเจตนาร้ายแทนเจตนาดีเช่นเดียวกับพวกยิว เกี่ยวกับเรื่องนี้บรรดามุสลิมได้รับการปลอบใจว่า : การกระซิบกันของพวกมุนาฟิกไม่อาจที่จะทำอันตรายสูเจ้าได้ ดังนั้นสูเจ้าจงออกไปทำหน้าที่ของสูเจ้าด้วยความไว้วางใจในอัลลอฮฺ” นอกจากนี้แล้ว พวกเขายังได้ถูกสอนบทเรียนทางศีลธรรมว่า : บรรดาผู้ศรัทธานั้นเมื่อพูดกันอย่างลับ ๆ ก็จะไม่พูดกันในเรื่องบาปและการฝ่าฝืนคำสั่งของรอซูล ถ้าพวกเขาพูดกันอย่างลับ ๆ พวกเขาก็จะต้องพูดกันในเรื่องของความดีและในเรื่องของความยำเกรงพระเจ้า”
   ในอายะฮฺที่ 11-13 มุสลิมได้ถูกสอนให้รู้ถึงมารยาทบางอย่างของสังคมและได้รับคำสั่งให้ทำลายความเลวทรามทางสังคมบางอย่างที่ผู้คนปฏิบัติกันอยู่ในตอนนั้นเหมือนดังที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ นั่นคือในตอนนั้น ถ้าใครบางคนนั่งอยู่ในที่ประชุมและมีจำนวนคนมากกว่ามาถึง พวกเขาก็จะไม่แสดงความเอื้อเฟื้อโดยการขยับชิดกันเพื่อให้คนอื่นได้มีที่นั่ง ซึ่งทำให้คนมาทีหลังต้องยืนหรือนั่งอยู่ที่ประตูหรือกลับไป หรือดูว่าหากมีที่ว่างก็จะกระโดข้ามหัวคนอื่นเข้าไปนั่งยังที่ตรงนั้น นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในที่ประชุมของท่านรอซูลุลลอฮฺ ดังนั้น อัลลอฮฺจึงได้ทรงออกคำสั่งว่า : “อย่าเป็นคนเห็นแก่ตัวและใจแคบในที่ประชุมแต่จงเป็นคนใจกว้างเปิดที่ให้ผู้มาใหม่ได้เข้าไปนั่งด้วย”
   “ในทำนองเดียวกันความเลวทรามอีกอย่างหนึ่งที่มีอยู่ในหมู่ผู้คนก็คือเมื่อพวกเขาไปหาใครบางคนที่มีความสำคัญ พวกเขาก็จะนั่งกันยืดเยื้อโดยไม่เกรงใจว่าจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่เจ้าของบ้าน แต่ถ้าเจ้าของบ้านบอกว่าให้เขากลับกันได้แล้ว พวกเขาก็จะเสียความรู้สึก ถ้าเขาลุกขึ้นจากที่ประชุม พวกเขาก็จะบ่นว่าเขาไม่มีมารยาท ถ้าเขาบอกพวกเขาทางอ้อมว่าเขามีธุระอย่างอื่นที่จะต้องทำและขอตัว พวกเขาก็จะทำเป็นหูทวนลมต่อคำขอร้องของเขา ท่านรอซูลุลลอฮฺเองก็เคยมีประสบการณ์อันไม่เหมาะสมเช่นนี้ของผู้คน ในที่สุด เพื่อที่จะทำลายมารยาทที่ไม่ดีเช่นนี้ อัลลอฮฺจึงได้สั่งว่า เมื่อมีการขอให้ลุกขึ้นจากที่ประชุม พวกเขาก็ควรจะลุกขึ้นและแยกย้ายกลับไป
   ความไม่ดีงามอีกอย่างหนึ่งในหมู่ผู้คนก็คือ แต่ละคนอยากที่จะปรึกษาหารือเป็นการส่วนตัวกับท่านรอซูลุลลอฮฺโดยไม่มีความจำเป็นที่แท้จริงแต่ประการใด หรือบางครั้งบางคนก็อยากที่จะเข้ามาใกล้ท่านในระหว่างประชุมและกระซิบอะไรบางอย่าง การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะสร้างความอึดอัดใจแก่ท่านรอซูลุลลอฮฺเท่านั้น แต่ยังทำให้คนที่นั่งอยู่ในที่ประชุมรู้สึกรำคาญด้วย นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมอัลลอฮฺจึงได้วางข้อกำหนดไว้ว่าใครต้องการที่จะปรึกษากับท่านเป็นการส่วนตัวก็จะต้องให้อะไรบางอย่างเป็นทานเสียก่อนวัตถุประสงค์ก็เพื่อที่จะเตือนคนเหล่านี้ให้รู้ว่าการกระทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดีและให้เลิกเสีย ดังนั้น ข้อจำกัดนี้จึงได้ถูกนำมาใช้บังคับชั่วระยะเวลาหนึ่งและเมื่อผู้คนแก้ไขปรับปรุงพฤติกรรมของตนเองแล้ว มันก็ได้ถูกยกเลิกไป
   จากอายะฮฺที่ 14 ไปจนกระทั่งจบซูเราะฮฺ สมาชิกของสังคมมุสลิมซึ่งมีทั้งมุสลิมผู้จริงใจและพวกตลบตะแลงและผู้ที่ลังเลปะปนกัน ตางได้ถูกบอกให้รู้ว่าอะไรที่ใช้เป็นเกณฑ์ตัดสินความจริงใจในอิสลาม มุสลิมประเภทหนึ่งเป็นเพื่อนกับศัตรูของอิสลาม ถ้าเป็นเรื่องผลประโยชน์ของตนเองแล้ว คนพวกนี้ไม่เคยลังเลที่จะทรยศต่อศาสนาที่เขาประกาศศรัทธา พวกเขาจะแพร่ขยายความสงสัยทุกอย่างต่ออิสลามและขัดขวางคนมิให้ปฏิบัติตามแนวทางของอัลลอฮฺ แต่เนื่องจากพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมมุสลิม การยอมรับความศรัทธาแบบจอมปลอบของพวกเขาจึงเป็นสิ่งที่ป้องกันพวกเขาไว้ มุสลิมประเภทที่สองก็คือพวกที่หากเป็นเรื่องศาสนาของอัลลอฮฺแล้ว พวกเขาจะไม่แยแสที่จะพูดเรื่องของคนอื่นแม้แต่กับพ่อ พี่น้อง ลูกและครอบครัวของตัวเองแม้เขาจะไม่สงวนความรู้สึกรักไว้สำหรับผู้อื่นที่ทำตัวเป็นศัตรูต่ออัลลอฮฺและรอซูล ของพระองค์ ในอายะฮฺเหล่านี้ อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าคนประเภทแรกนั้น ความจริงแล้วเป็นพวกพ้องของชัยฏอน ไม่ว่าพวกเขาพยายามจะสาบานให้คนอื่นเชื่อมั่นในอิสลามของพวกเขาเพียงใดก็ตาม และมุสลิมประเภทสองนี้เท่านั้นที่จะได้รับเกียรติแห่งการอยู่ในพรรคของอัลลอฮฺ พวกเขาเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นมุสลิมที่แท้จริง พวกเขาเท่านั้นที่จะได้รับความสำเร็จที่แท้จริงและพวกเขาเท่านั้นที่อัลลอฮฺทรงโปรดปราน

เอกสารอ้างอิง
R1. The Noble Qur’an (Dr.Muhammad Taqi-ud-Din al-Hilali and Dr.Muhammad Muhsin Khan.)
R2. อัลกุรอานฉบับแปลภาษาไทย โดย มัรวาน สะมะอุน
R3. ตัฟฮีมุลกุรฺอาน(อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน)
R4. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรฺอานแห่งนครมาดีนะฮ์
R5. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย (โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์-ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา)



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
 :salam:

ฟังเสียงอ่านสูเราะฮฺ อัลมุญาดะละฮฺ โดยอิมาม อะลียฺ อัลหุซัยฟี ตามลิงก์นี้

http://173.193.202.112/hthfi/058.mp3

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลมุญาดะละฮฺ อายะฮฺที่ 1 – 4




คำอ่าน
1. ก็อดสะมิอัลลอฮุ ก็อวลัลละตี ตุญาดิลุกะฟีเซาญิฮา วะตัชตะกี..อิลัลลอฮฺ  วัลลอฮุยัสมะอุตะหาวุเราะกุมา อิน..นัลลอฮะสะมีอุม..บะศีรฺ
2. อัลละซีนะ ยุซฮิรูนะ มิน..กุม..มิน..นิสา...อิกุม มา..ฮุน..นะอุม..มะฮาติฮิม อิน อุม..มะฮาตุฮุม อิลลัลลา..อีวะลัดนะฮุม วะอิน..นะฮุมละยะกูลูนะ มุน..กะร็อม..มินัลก็อวลิ วะซูรอ, วะอิน..นัลลอฮะละเฆาะฟูรุนเฆาะฟูรฺ
3. วัลละซีนะยุซอฮิรูนะ มิน..นิสา...อิฮิม ษุม..มะยะอูดูนะลิมากอลู ฟะตะหฺรีรุเราะเกาะบะติม..มิน..ก็อบลิอัย..ยะตะมา...สสา, ซาลิกุมตูอะซูนะบิฮฺ, วัลลอฮุบิมาตะอฺมะลูนะเคาะบีรฺ
4. ฟะมัลลัมยะญิดฟะศิยามุชะฮฺร็อยนิ มุตะตาบิอัยนิ มิน..ก็อบลิอัย..ยะตะมา...สสา, ฟะมัลลัมยัสตะฏิอฺ ฟะอิฏอามุสิตตีนะมิสกีนา ซาลิกะลิตุอ์มินูบิลลาฮิวะเราะสูลิฮฺ, วะติลกะหุดูดุลลอฮฺ วะลิลกาฟิรีนะอะซาบุนอะลีม

คำแปล R1.
1. Indeed Allah has heard the statement of her (Khaulah bint Tha'labah) that disputes with you (O Muhammad) concerning her husband (Aus bin As-samit), and complains to Allah. And Allah hears the argument between you both. Verily, Allah is All-Hearer, All-Seer.
2. Those among you who make their wives unlawful (Az-zihar) to them by saying to them "You are like my mother's back." they cannot be their mothers. None can be their mothers except those who gave them birth. And verily, they utter an ill word and a lie. And verily, Allah is Oft-Pardoning, Oft-Forgiving.
3. And those who make unlawful to them (their wives) (by Az-zihar) and wish to free themselves from what they uttered, (the penalty) in that case (is) the freeing of a slave before they touch each other. That is an admonition to you (so that you may not return to such an ill thing). And Allah is All-Aware of what you do.
4. And he who finds not (the money for freeing a slave) must fast two successive months before they both touch each other. And for him who is unable to do so, He should feed sixty of Miskin (poor). That is in order that you may have perfect faith in Allah and his messenger. These are the limits set by Allah. And for disbelievers, there is a painful torment.


คำแปล R2.
1.   แท้จริงอัลเลาะฮฺได้ยินคำพูดของหญิงซึ่งทำการโต้ตอบกับเจ้าในกรณีของสามีของนาง และนางร้องทุกข์ต่ออัลเลาะฮฺ และอัลเลาะฮฺทรงได้ยินการโต้ตอบของเจ้าทั้งสอง แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงได้ยิน ทรงมองเห็น
2.   บรรดาสามีที่เปรียบเทียบภริยาเหมือนหลังมารดาจากพวกเจ้า จากบรรดาภริยาของพวกเขา ทั้ง ๆ ที่พวกนางมิใช่มารดาของพวกเขา อันมารดาของพวกเขามิใช่อื่นใด นอกจากเป็นหญิงผู้ให้กำเนิดแก่พวกเขามา และแท้จริงพวกเขาพูดถึงคำพูดต้องห้ามและมุสา และแท้จริงอัลเลาะฮฺทรงอโหสิยิ่ง ทรงอภัยยิ่ง (ظهار  ซิฮารฺ เปรียบเทียบภริยาเหมือนหลังของมารดา คือคำพูดที่บ่งความหมายว่า ภรรยาของฉันเป็นที่ต้องห้ามในการร่วมเพศสำหรับฉัน เหมือนที่ฉันถูกห้ามมิให้ร่วมเพศกับมารดา ในยุคยาฮิลียะฮฺ เมื่อใครพูดอย่างนั้นภริยาของเขาก็ต้องห้ามสำหรับเขาไปจนตลอดชีวิต อัลกุรอานได้ลงมาเพื่อลบล้างประเพณีของยาฮิลียะฮฺดังกล่าว)
3.   และบรรดาสามีที่เปรียบเทียบภริยาเหมือนหลังมารดา หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับคำพูดเสียใหม่ ดังนั้น (พวกเขาผู้เป็นสามีนั้นต้อง) ปล่อยทาสเป็นอิสระหนึ่งคนก่อนที่ทั้งสอง (สามี – ภริยา) จะทำการสัมผัส (ทางเพศ) ซึ่งกันและกัน นั้นแหละที่พวกเขาถูกอบรมมาและอัลเลาะฮฺทรงตระหนักในสิ่งที่พวกเจ้าประพฤติ
4.   ต่อมาผู้ใดไม่ได้ (ทาสมาปลดปล่อย) ก็ให้เขาทำการถือศีลอดสองเดือนติดต่อกันก่อนที่คนทั้งสองจะสัมผัสซึ่งกันและกัน ที่สุดผู้ใดไม่สามารถ (ที่จะถือศีลอด) ก็ให้เขาให้อาหารแก่คนหกสิบคน นั้นเพื่อพวกเจ้าศรัทธากับอัลเลาะฮฺและศาสนทูตของพระองค์ และนั้นเป็นหลักเกณฑ์ของอัลเลาะฮฺ และสำหรับบรรดาจำพวกเนรคุณนั้น ต้องรับการลงโทษอันทรมานที่สุด


คำแปล R3.
1. อัลลอฮฺทรงได้ยินคำพูดของผู้หญิงที่กำลังอุทธรณ์กับเจ้าเกี่ยวกับเรื่องสามีของนางและกำลังร้องทุกข์ต่ออัลลอฮฺ อัลลอฮฺทรงได้ยินการสนทนากันของสูเจ้าทั้งสอง แท้จริง อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงได้ยินผู้ทรงเห็นอยู่เสมอ
2. บรรดาผู้ที่ผลักไสภรรยาของตนออกไปโดยวิธีการซิฮารฺนั้น (ควรรู้ไว้เถิดว่า) ภรรยาของพวกเขามิใช่แม่ของพวกเขา แม่ของพวกเขาก็คือผู้ให้กำเนิดพวกเขาเท่านั้น พวกเขากล่าวสิ่งที่น่ารังเกียจและกล่าวคำเท็จ และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงให้อภัย เป็นผู้ทรงยกโทษให้เสมอ
3. บรรดาผู้กล่าวซิฮารฺเกี่ยวกับภรรยาของพวกเขาไปแล้วและต้องการที่จะกลับมายังสิ่งที่พวกเขาได้กล่าวไป จะต้องปล่อยทาสคนหนึ่งให้เป็นอิสระก่อนที่ทั้งสองจะแตะต้องซึ่งกันและกัน นี่คือสิ่งที่สูเจ้าได้ถูกแนะนำให้กระทำ และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ถึงสิ่งที่สูเจ้ากระทำ
4. และคนที่ไม่สามารถหาทาสได้จะต้องถือศีลอดต่อเนื่องกันเป็นเวลาสองเดือนก่อนที่ทั้งสองจะแตะต้องกัน และคนที่ไม่สามารถทำได้ก็ต้องให้อาหารคนยากจนหกสิบคน ที่สั่งเช่นนั้นก็เพื่อที่สูเจ้าจะได้ศรัทธาในอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ นี่คือขอบเขตที่อัลลอฮฺได้ทรงกำหนดไว้ และสำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธนั้นคือการลงโทษอันเจ็บปวด


คำแปล R4.
1. โดยแน่นอน อัลลอฮฺทรงได้ยินถ้อยคำของสตรีที่กำลังโต้แย้งกับเจ้าในเรื่องสามีของนางและ นางได้ร้องทุกข์ต่ออัลลอฮฺ และอัลลอฮฺนั้นทรงได้ยินการตอบโต้ของเจ้าทั้งสอง แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรู้เห็นเสมอ
2. บรรดาผู้เปรียบเทียบภรรยาของพวกเขาในหมู่พวกเจ้าว่าเสมือนแม่ของพวกเขานั้น พวกนางมิได้เป็นแม่ของพวกเขา บรรดาแม่ของพวกมิได้เป็นอื่นใดนอกจากเป็นผู้ให้กำเนิดพวกเขาเท่านั้น และแท้จริงพวกเขานั้นกล่าวคำพูดที่น่าเกลียดและกล่าวเท็จ และแท้จริงอัลลอฮนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษทรงยกโทษให้เสมอ
3. และบรรดาผู้เปรียบเทียบภรรยาของพวกเขาก็เสมือนแม่ของพวกเขานั้น แล้วพวกเขาจะคืนสู่ถ้อยคำที่พวกเขาได้กล่าวไว้ ดังนั้น (สิ่งที่จำเป็นแก่เขาต้องปฏิบัติคือ) การปล่อยทาสหนึ่งคนก่อนที่เขาทั้งสองจะแตะต้องต่อกัน (ร่วมหลับนอน)
นั้นคือสิ่งที่พวกเจ้าถูกเตือน เอาไว้ใช้ให้ปฏิบัติและอัลลอฮทรงรอบรู้ยิ่งในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ
4. ส่วนผู้ที่ไม่สามารถหา (ทาส) ได้ก็ต้องถือศีลอดสองเดือนติดต่อกัน ก่อนที่เขาทั้งสองจะแตะต้องต่อกัน(ร่วมหลับนอน) สำหรับผู้ที่ไม่สามารถจะถือศิลอดได้ ก็ต้องให้อาหารแก่คนยากจนจำนวนหกสิบคนทั้งนี้เพื่อจะให้พวกเจ้าศรัทธาต่ออัล ลอฮ และร่อซูลของพระองค์  นั่นคือขอบเขตของอัลลอฮ และสำหรับพวกปฏิเสธศรัทธานั้นจะได้รับการลงโทษอย่างเจ็บปวด


คำแปล R5.
๑. แท้จริงอัลเลาะห์ได้ยินถ้อยคำของหญิงที่ทำการโต้ตอบเจ้าในเรื่องสามีของนาง และนางทำการร้องทุกข์ต่ออัลเลาะห์ สาเหตุเริ่มแรกที่จะประทานโองการนี้ลงมา สืบเนื่องมาจากหญิงคนหนึ่งชื่อ “เคาละฮ์ บินติ สะอ์ละบาฮ์” มีสามีชื่อ “เอาส์ บิน ซอมิต” วันหนึ่งสามีไม่พอใจนาง จึงกล่าวคำ “ซิฮาร” คือเปรียบภรรยาเสมือนหลังของมารดา โดยพูดว่า “ข้าถือว่าเจ้าเป็นสิ่งต้องห้ามแก่ข้า ประหนึ่งข้าถูกต้องห้ามแก่แม่ของข้า” ตามธรรมเนียมอาหรับถือว่าชายใดพูดเช่นนั้น ถือว่าเขาต้องห้ามสำหรับภรรยาของเขาไปจนตลอดชีวิต จะยุ่งเกี่ยวทางเพศไม่ได้โดยเด็ดขาด ดังนั้นเคาละฮ์จึงมาซักถามท่านนบีมุฮำมัดถึงการกระทำของสามี ท่านก็ตอบว่าทั้งสองฝ่ายต้องเลิกยุ่งเกี่ยวทางเพศโดยเด็ดขาด นางก็แย้งท่านนบี โดยอ้างว่าสามีไม่ได้ระบึถึงคำหย่าโดยตรง เมื่อท่านนบีไม่สามารถแก้ไขกฎเกณฑ์นี้ได้ นางจึงยกมือวิงวอนต่ออัลเลาะห์ ร้องทุกข์เรื่องราวของนางสู่พระองค์ อัลกุรอานจึงถูกประทานลงมาและท่านนบีได้รับโองการแล้วก็ถ่ายทอดให้เคาละฮ์ฟัง เป็นการตอบความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนั้น และอัลเลาะห์ทรงได้ยินการโต้ตอบของเจ้าทั้งสอง แท้จริงอัลเลาะห์ทรงได้ยิรที่สุด ทรงมองเห็นที่สุด
๒. บรรดา (สามี) ผู้ทำการเปรียบภริยาเป็นหลังมารดา จากพวกเจ้าทั้งหลายต่อภริยาของพวกเขา พวกนางเหล่านั้นหาใช่มารดาของพวกเขาไม่ มารดาของพวกเขามิเป็นอื่นไปได้นอกจากเป็นผู้ให้กำเนิดแก่พวกเขา และแท้จริงพวกเขานั้นได้นำคำพูดต้องห้ามและเป็นบาปมาพูดจากับภริยาของเขา และแท้จริงอัลเลาะห์เป็นผู้ทรงอโหสิ อีกทั้งทรงอภัยยิ่ง ทั้งนี้หากพวกเขาทำการไถ่ผิดตามวิธีการที่จะกล่าวต่อไป
๓. และบรรดาผู้เปรียบภริยากับหลังมารดาหลังจากนั้นพวกเขาก็คืนสิ่งที่พวกเขาได้พูดไว้ โดยประสงค์จะอยู่ร่วมกับภริยาที่ถูกห้ามเพราะการเปรียบเทียบนั้น ก็ให้เขาทำการไถ่ความผิดด้วยการปล่อยทาสให้เป็นอิสระ ก่อนหน้าที่เขาทั้งสองจะมาสัมพันธ์ทางเพศกัน นั้นแหละที่พวกเจ้าถูกสอนไว้ และอัลเลาะห์ทรงตระหนักยิ่งนักในสิ่งที่พวกเจ้าประพฤติไว้
๔. ดังนั้นหากผู้ใดไม่ได้ทาสที่จะทำการปลดปล่อย ก็ให้เขาทำการถือศีลอดสองเดือนติดต่อกันก่อนที่เขาทั้งสองจะสัมพันธ์ทางเพศกัน แต่ถ้าใครไม่สามารถที่จะทำการถือศีลอด ก็ให้เขาให้อาหารแก่คนอนาถาหกสิบคน คนละ ๑ ทะนาน นั้นแหละเพื่อพวกเจ้าจักศรัทธาต่ออัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์และนั้นเป็นหลักเกณฑ์แห่งอัลเลาะห์ และจำพวกไร้ศรัทธานั้น ย่อมได้รับการลงโทษอันทรมานที่สุด หลังจากนั้นท่านนบีมุฮำมัดได้ถามเอ๊าส์ว่า มีทาสปล่อยไหม เขาตอบว่าไม่มี ถามว่าถือศีลอดไหวไหม เขาตอบว่าไม่ไหว แม้กระทั่งข้าวสารจะทำทานแก่คนจน ๖๐ คน เขาก็ไม่มี จนท่านนบีมุฮำมัด ต้องช่วยเขาไป ๑๕ ทะนาน



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 17, 2012, 11:30 PM โดย webmaster »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลมุญาดะละฮฺ อายะฮฺที่ 5-6

คำอ่าน
5. อิน..นัลละซีนะยุหา..ดดูนัลลอฮะ วะเราะสูละฮู กุติบูกะมากุติบัลละซีนะมิน..ก็อบลิฮิม วะก็อดอัน..ซัลนา..อายาติม..บัยยินาต, วะลิลกาฟิรีนะอะซาบุม..มุฮีน
6. เยามะยับอะษุฮุมุลลอฮุญะมีอัน..ฟะยุนับบิอุฮุม..บิมาอะมิลู อะหฺศอฮุลลอฮุ วะนะสูฮฺ, วัลลอฮุอะลากุลลิชัยอิน..ชะฮีด

คำแปล R1.
5. Verily, those who oppose Allah and his messenger (Muhammad) will be disgraced, as those before them (among the past nation), were disgraced. And we have sent down clear Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.). And for the disbelievers is a disgracing torment.
6. On the Day when Allah will resurrect them all together (i.e. the Day of Resurrection) and inform them of what they did. Allah has kept account of it, while they have forgotten it. And Allah is witness over all things.


คำแปล R2.
5.   แท้จริงบรรดาผู้ล่วงละเมิดต่ออัลเลาะฮฺและศาสนทูตของพระองค์ พวกเขาได้รับความอัปยศเหมือนเช่นที่คนในสมัยก่อนพวกเขาได้รับความอัปยศ และแท้จริงเราได้ลงบรรดาสัยลักษณ์อันชัดแจ้ง และสำหรับพวกเนรคุณต้องได้รับการลงโทษอันอัปยศที่สุด
6.   ในวันซึ่งอัลเลาะฮฺทรงให้พวกเขาฟื้นขึ้นมาทั้งหมด (จากความตาย) แล้วพระองค์ก็ทรงแจ้งแก่พวกเขาถึงสิ่งที่พวกเขาได้ประพฤติไว้ อัลเลาะฮฺได้ทรงคำนวณไว้แล้วอย่างครบถ้วน แต่พวกเขาลืมมัน และอัลเลาะฮฺทรงเป็นสักขีพยานเหนือทุก ๆ สิ่ง


คำแปล R3.
5. บรรดาผู้ต่อต้านอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์จะได้รับความอัปยศเช่นเดียวกับบรรดาคนก่อนหน้าพวกเขา เราได้ประทานอายะฮฺทั้งหลายที่ชัดแจ้งลงมาแล้วและสำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธจะได้รับการลงโทษอย่างน่าอัปยศ
6. (การลงโทษนี้จะมีขึ้น) ในวันที่อัลลอฮฺจะทรงให้พวกเขาทั้งหมดฟื้นขึ้นอีกครั้งหนึ่งและจะบอกพวกเขาถึงสิ่งที่พวกเขาได้ทำไว้ พวกเขาได้ลืมมันไปแล้ว แต่อัลลอฮฺได้ทรงบันทึกการกระทำทั้งหมดของพวกเขาไว้ครบถ้วน และอัลลอฮฺทรงเป็นพยานต่อทุกสิ่ง


คำแปล R4.
5. แท้จริงบรรดาผู้ต่อต้านอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ พวกเขาจะถูกทำให้อัปยศเช่นเดียวกับบรรดาก่อนหน้าพวกเขาได้ถูกทำให้อัปยศมา ก่อนแล้ว และแน่นอนเราได้ประทานอายาตทั้งหลายอันชัดแจ้ง และสำหรับพวกปฏิเสธศรัทธาจะได้รับการลงโทษอย่างน่าอดสู
6. วันที่อัลลอฮฺจะทรงให้พวกเขาทั้งหมดฟื้นคืนชีพขึ้นมา แล้วพระองค์จะทรงแจ้งให้พวกเขาทราบถึงสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติไว้ อัลลอฮฺทรงประเมินมันไว้อย่างครบถ้วน แต่พวกเขาลืมมัน และอัลลอฮฺทรงเป็นพยานต่อทุกสิ่งทุกอย่าง


คำแปล R5.
๕. แท้จริงบรรดาจำพวกที่ต่อต้านคำบัญชาของอัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ พวกเขาย่อมได้รับความอัปยศเช่นเดียวกับคนในสมัยก่อนพวกเขาได้รับความอัปยศ เนื่องจากการขัดขืนศาสนทูตของพวกเขาเอง และแท้จริงเราได้ลงบรรดาสัญลักษณ์อันชัดแจ้งลงมา และสำหรับจำพวกเนรคุณนั้น ต้องได้รับโทษอันอัปยศที่สุด
๖. ในวันที่อัลเลาะห์ทรงฟื้นพวกเขาคืนชีพขึ้นมาทั้งหมด แล้วพระองค์ก็ทรงแจ้งแก่พวกเขาถึงสิ่งที่พวกขาได้ประพฤติไว้ ซึ่งอัลเลาะห์ได้นับมันไว้อย่างครบจำนวน แต่พวกเขาได้ลืมมันไปแล้วและอัลเลาะห์ทรงเป็นสักขีพยานแก่ทุก ๆ สิ่ง


สูเราะฮฺ อัลมุญาดะละฮฺ อายะฮฺที่ 7-10


คำอ่าน
7. อะลัมตะเราะอัน..นัลลอฮะยะอฺละมุ มาฟิสสะมาวาติวัลอัรฎฺ มายะกูนุมิน..นัจญวา ษะลาษะติน อิลลาฮุวะรอบิอุฮุม วะลาค็อมสะติน อิลลาฮุวะสาดิสุฮุม วะลาอัดนามิน..ซาลิกะ วะลา..อักษะเราะอิลลาฮุวะ มะอะฮุม อัยนะมากานู ษุม..มะยุนับบิอุฮุม บิมาอะมิลู เยามัลกิยามะฮฺ อิน..นัลลอฮะบิกุลลิชัยอินอะลีม
8. อะลัมตะเราะอิลัลละซีนะนุฮู อะนิน..นัจญวา ษุม..มะยะอูดูนะลิมานุฮูอันฮุ วะยะตะนาเญานะบิลอิษมิวัลอุดวานิ วะมะอฺศิยะติรฺเราะสูลิ วะอิซาญา..อูกะหัยเยากะบิมาลัมยุหัยยิกะบิฮิลลาฮุ วะยะกูลูนะ ฟี..อัน..ฟุสิฮิม เลาลายุอัซซิบุนัลลอฮุ บิมานะกูล, หัสบุฮุมญะฮัน..นะมุ ยัศเลานะฮา ฟะบิอ์สัลมะศีรฺ
9. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู..อิซาตะนาญัยตุม ฟะลาตะตะนาเญาบิลอิสมิ วัลอุดวานิ วะมะอฺศิยะติรฺเราะสูล วะตะนาเญาบิลบิรฺริ วัตตักวา วัตตะกุลลอฮัลละซี..อิลัยฮิตุหฺชะรูน
10. อิน..นะมัน..นัจญวามินัชชัยฏอนิ ลิยะหฺซุนัลละซีนะอามะนู วะลัยสะบิฎอ...รฺริฮิม ชัยอันอิลลาบิอิซนิลลาฮฺ, วะอะลัลลอฮิ ฟัลยะตะวักกะลิลมุอ์มินูน

คำแปล R1.
7. Have you not seen that Allah knows whatsoever is in the heavens and whatsoever is on the earth? there is no Najwa (secret counsel) of three, but He is their fourth (with his knowledge, while He himself is over the Throne, over the seventh heaven), nor of five but He is their sixth (with his Knowledge), not of less than that or more, but He is with them (with his knowledge) wheresoever they may be; and afterwards on the Day of Resurrection, He will inform them of what they did. Verily, Allah is the All-Knower of everything.
8. Have you not seen those who were forbidden to hold secret counsels, and afterwards returned to that which they had been forbidden, and conspired together for sin and wrong doing and disobedience to the Messenger (Muhammad). And when they come to you, they greet you with a greeting wherewith Allah greets you not, and say within themselves: "Why should Allah punish us not for what we say?" Hell will be sufficient for them, they will burn therein, and worst indeed is that destination!
9. O you who believe! when you hold secret counsel, do it not for sin and wrong-doing, and disobedience towards the messenger (Muhammad) but do it for Al-Birr (righteousness) and Taqwa (virtues and piety); and fear Allah unto whom you shall be gathered.
10. Secret counsels (conspiracies) are only from Shaitan (Satan), in order that he may cause grief to the believers. But he cannot harm them In the least, except as Allah permits, and In Allah let the believers put their trust.


คำแปล R2.
7.   เจ้าไม่รู้หรือว่า แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้สรรพสิ่งในฟากฟ้าและสรรพสิ่งในแผ่นดิน ไม่มีจากการซุบซุบกันของคนสามคนนอกจากพระองค์ทรงเป็นที่สี่จากพวกเขา และไม่มีห้าคนนอกจากพระองค์ทรงเป็นที่หกจากพวกเขา และไม่มีน้อยกว่านั้นและไม่มีมากกว่านั้น นอกจากพระองค์ทรงอยู่พร้อมกับพวกเขาเสมอ (ไม่ว่า) พวกเขาจะอยู่ที่ไหนก็ตาม หลังจากนั้นพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกเขาถึงสิ่งที่พวกเขาได้ประพฤติไว้ในวันกิยามะฮฺ แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ที่สุดกับทุก ๆ สิ่ง
8.   เจ้าไม่สังเกตหรือต่อบรรดา (พวกยะฮูดี) ที่ถูกห้ามไว้มิให้ทำการร่วมซุบซิบกัน แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็คืนกลับมายังสิ่งที่พวกเขาถูกห้ามไว้นั้น แล้วพวกเขาก็ซุบซิบกันในการบาป และการก่ออริต่อกัน และการฝ่าฝืนคำสั่งของศาสนทูต และเมื่อพวกเขาได้มาหาเจ้า พวกเขาได้คารวะต่อเจ้าด้วยวิธีการที่อัลเลาะฮฺมิได้ให้เจ้านำมาทำการคารวะ และพวกเขารำพึงกับตัวของพวกเขาเองว่า “ไฉนอัลเลาะฮฺไม่ทรงลงโทษพวกเขา เพราะสิ่งที่พวกเราพูด(หากมุฮำมัดเป็นฝ่ายถูกต้อง)?” เป็นความเพียงพอแก่พวกเขาที่พวกเขาเข้าสู่นรกยะฮันนัม แท้จริงมันเป็นที่อยู่อันชั่วช้ายิ่ง
9.   โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย เมื่อพวกเจ้าทำการซุบซิบกัน พวกเจ้าก็จงอย่าได้ซุบซิบกันในการบาป, การเป็นศัตรู และการฝ่าฝืนคำสั่งของศาสนทูต และพวกเจ้าจงซุบซิบกันเกี่ยวกับคุณความดี และความยำเกรงและพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะฮฺซึ่งพวกเจ้าจะต้องถูกรวบรวมไปสู่พระองค์
10.   อันที่จริงการซุบซิบกัน (ในเรื่องเลวร้ายนั้น) มาจากมารร้าย เพื่อทำให้บรรดาผู้มีศรัทธาเศร้าตรม แต่มันก็หาทำอันตรายแก่เขาสักกรณีเดียวไม่ นอกจากโดยอนุญาตของอัลเลาะฮฺ และเฉพาะต่ออัลเลาะฮฺเท่านั้น บรรดาปวงศรัทธาชนจงมอบหมาย


คำแปล R3.
7. เจ้าไม่รู้หรือว่า อัลลอฮฺทรงรู้ถึงทุกสิ่งในชั้นฟ้าทั้งหลายและในแผ่นดิน? มันไม่อาจเป็นไปได้เลยที่คนสามคนจะซุบซิบกันและอัลลอฮไม่ได้เป็นที่สี่ในหมู่พวกเขา หรือห้าคนซุบซิบกันและอัลลอฮฺมิได้เป็นที่หกในหมู่พวกเขา และไม่ว่าน้อยกว่านั้นหรือมากกว่านั้น อัลลอฮฺก็จะทรงอยู่กับพวกเขาไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหน หลังจากนั้นในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ พระองค์ก็จะทรงบอกพวกเขาให้รู้ถึงสิ่งที่พวกเขาได้ทำไป แท้จริงอัลลอฮฺทรงรอบรู้ทุกสิ่ง
8. เจ้าไม่เห็นบรรดาผู้ที่ถูกห้ามอบปรึกษากันอย่างลับ ๆ แต่ก็ยังทำในสิ่งที่พวกเขาถูกห้ามไว้อีกกระนั้นหรือ? พวกเขาแอบคุยกันในเรื่องบาปและการฝ่าฝืนและการไม่เชื่อฟังรอซูล และเมื่อพวกเขามาหาเจ้าพวกเขาจะกล่าวทักทายเจ้าในลักษณะที่อัลลอฮฺไม่ได้ทักทายเจ้า และพวกเขากล่าวกับตัวเองว่า “ทำไมอัลลอฮฺถึงไม่ลงโทษเราในสิ่งที่เรากล่าวไป?” นรกก็เพียงพอแล้วสำหรับพวกเขา พวกเขาจะเป็นเชื้อเพลิงของมัน ช่างเป็นบั้นปลายที่เลวร้ายจริง ๆ
9. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเมื่อสูเจ้าแอบคุยกัน ก็จงอย่าแอบคุยกันในเรื่องของบาปและการฝ่าฝืนและการไม่เชื่อฟังรอซูล แต่จงคุยกันในเรื่องคุณธรรมและความยำเกรงพระเจ้า และจงเกรงกลัวอัลลอฮฺซึ่งต่อหน้าพระองค์ สูเจ้าทั้งหมดจะถูกรวบรวมไว้ด้วยกัน
10. แท้จริงการซ่องสุมกันวางแผนลับ ๆ เป็นงานของชัยฏอนเพื่อที่จะสร้างความทุกข์ใจให้แก่บรรดาผู้ศรัทธา แต่มันไม่สามารถที่จะทำร้ายพวกเขาได้ เว้นเสียแต่อัลลอฮฺจะทรงอนุมัติ และขอให้บรรดาผู้ศรัทธาไว้วางใจในอัลลอฮฺเท่านั้น


คำแปล R4.
7. เจ้าไม่เห็นดอกหรือว่า อัลลอฮฺทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย และสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน การซุบซิบกันในสามคนจะไม่เกิดขั้น เว้นแต่พระองค์จะทรงเป็นที่สี่ของพวกเขาและมันจะไม่เกิดขึ้นในห้าคน เว้นแต่พระองค์ทรงเป็นที่หกของพวกเขา และมันจะไม่เกิดขึ้นน้อยกว่านั้น และจะไม่เกิดขึ้นมากกว่านั้นเว้นแต่พระองค์จะทรงอยู่ร่วมกับพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในแห่งหนใด แล้วพระองค์ก็จะทรงแจ้งพวกเขาให้ทราบในวันกิยามะฮฺถึงสิ่งที่พวกเขาได้ ปฏิบัติไว้ (ในโลกดุนยา) แท้จริงอัลลอฮเป็นผู้ทรงรอบรู้ทุกสิ่ง
8. เจ้าไม่เห็นดอกหรือว่า บรรดาผู้ที่ถูกห้ามจากการซุบซิบกัน แล้วพวกเขาก็กลับไปกระทำในสิ่งที่พวกเขาได้ถูกห้ามเอาไว้ และพวกเขาซุบซิบนินทากันในการทำบาปและการเป็นศัตรูและการฝ่าฝืนท่านร่อซูล และเมื่อพวกเขามาหาเจ้า พวกเขาจะกล่าวทักทายไม่เหมือนกับที่อัลลอฮฺทรงกล่าวทักทายด้วยคำพูดนั้น และพวกเขากล่าวในหมู่พวกเขาว่าทำไมอัลลอฮฺจึงไม่ทรงลงโทษเราตามที่เราได้ กล่าวทักทาย (มุฮัมมัด) นรกก็เป็นการพอเพียงแก่พวกเขาแล้ว พวกเขาก็จะถูกเผาไหม้ในนั้นมันเป็นทางกลับที่ชั่วร้ายยิ่ง
9. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย เมื่อพวกเจ้าซุบซิบต่อกัน ก็อย่าได้ซุบซิบกันด้วยการทำบาปและการเป็นศัตรู และการฝ่าฝืนท่านร่อซูลแต่จงซุบซิบกันเพื่อการทำความดี และการยำเกรง พวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮ ผู้ซึ่งพวกเจ้าจะถูกรวบรวมให้กลับไปหาพระองค์
10. แท้จริงการซุบซิบนินทากันนั้นเป็นการงานของชัยฏอน เพื่อมันจะก่อความเสียใจให้แก่บรรดามุอฺมิน แต่มันจะไม่ให้ร้ายแต่อย่างใดแก่พวกเขา เว้นแต่ด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺ และเฉพาะอัลลอฮฺเท่านั้นบรรดามุอฺมิน ต้องมอบความไว้วางใจ


คำแปล R5.
๗.เจ้าไม่รู้หรือ โอ้มุฮำมัด แท้จริงอัลเลาะห์ทรงรอบรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในฟากฟ้า และสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน จะไม่มีจากกลุ่มคนสามคนที่แอบซุบซิบเพียงพวกเขาเท่านั้น นอกจากพระองค์ทรงเป็นที่สี่ของพวกเขา รับรู้ทุกสิ่งที่พวกเขาแอบซุบซิบกันนั้น และไม่มีกลุ่มคนห้าคนที่แอบซุบซิบกัน นอกจากพระองค์เป็นที่หกจากพวกเขา และไม่มีจำนวนต่ำกว่านั้นและไม่มีจำนวนมากกว่านั้น นอกจากพระองค์ต้องอยู่พร้อมกับพวกเขาเสมอ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่หนใดก็ตาม หลังจากนั้นพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกเขาถึงสิ่งที่พวกเขาได้เคยประพฤติไว้ในวันปรภพ แท้จริงอัลเลาะห์ทรงรอบรู้ยิ่งนักในทุก ๆ สิ่ง
๘. เจ้าไม่สังเกตหรือ บรรดาผู้ถูกห้ามจากการแอบซุบซิบ แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับคืนไปยังสิ่งที่พวกเขาเคยถูกห้ามไว้อีก โดยมีการแอบซุบซิบกันต่อไป โองการนี้จะประทานมาเกี่ยวกับชาวยิวและพวกมุนาฟิกีน เมื่อพวกเขามองเห็นมุสลิม พวกเขาก็แอบซุบซิบกันและมองตาของมุสลิม ท่านศาสนทูตจึง ท่านศาสนทูตจึงห้ามพวกนั้นมิให้ทำเช่นนั้น พวกเขาก็หยุดในระยะหนึ่ง แต่ต่อมาพวกเขาก็หวนกลับไปทำใหม่ และพวกเขาแอบซุบซิบกันในเรื่องร้ายและการเป็นศัตรูกัน และเรื่องที่จะฝ่าฝืนคำสั่งของศาสนทูต และเมื่อพวกเขาเข้ามาหาเจ้า เขาก็จะทำการทักทายคารวะเจ้าด้วยแบบที่อัลเลาะห์มิได้สั่งให้นำมาใช้ทำการคารวะ ซึ่งกันและกัน กล่าวคือ ที่อัลเลาะห์ใช้นั้นให้กล่าว “อัสสะลามุอะลัยกุม” แปลว่า “สันติสุขจงประสบแก่ท่าน” แต่พวกเขาจะแกล้งว่าให้เพี้ยนไปว่า “อัสซามุอะลัยกุม” ซึ่งแปลว่า “ความตายจงประสบแก่ท่าน” และพวกเขาจะกล่าวในระหว่างพวกเขากันเองว่า ไฉนเล่า ไฉนอัลเลาะห์จึงไม่ลงโทษพวกเราเพราะสิ่งที่พวกเราพูด หากว่าเขาเป็นศาสนทูตจริงตามที่เขาอ้าง เป็นการเหมาะสมแก่พวกเขา นรกยะฮันนัมซึ่งพวกเขาต้องเข้าไปในนั้น แท้จริงมันเป็นที่กลับเข้าไปอยู่อันชั่วช้ายิ่งนัก
๙. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย เมื่อพวกเจ้าทำการซุบซิบกันพวกเจ้าจงอย่าซุบซิบในการบาปและการก่อศัตรูและการฝ่าฝืนศาสนทูตแห่งอัลเลาะห์แต่พวกเจ้าจงซุบซิบกันแต่ในคุณความดีและความยำเกรงและพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะห์ซึ่งพวกเจ้าจะถูกนำตัวไปรวมไว้ยังพระองค์ ในปรภพเพื่อรับการสอบสวนและพิพากษา
๑๐. โดยแท้จริงแล้วการแอบซุบซิบกันในเรื่องร้ายนั้นมาจากมารร้ายเพื่อทำความเศร้าโศกแก่บรรดาผู้ศรัทธา และมันหาทำอันตรายใด ๆ สักกรณีเดียวแก่พวกเขาไม่ยกเว้นโดยการอนุญาตของอัลเลาะห์ และเฉพาะต่ออัลเลาะห์เท่านั้น บรรดาผู้มีศรัทธาจงทำการมอบหมายเถิด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 17, 2012, 11:29 PM โดย webmaster »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมุญาดะละฮฺ อายะฮฺที่ 11-13

คำอ่าน
11. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู..อิซากีละละกุม ตะฟัสสะหูฟิลมะญาลิสิ ฟัฟสะหู ยัฟสะหิลลาฮุละกุม วะอิซากีลัน..ชุซู ฟัน..ชุซู ยัรฺฟะอิลลาฮุลละซีนะ อามะนูมิน..กุม วัลละซีนะอูตุลอิลมะดะเราะญาต, วัลลอฮุบิมาตะอฺมะลูนะเคาะบีรฺ
12. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู..อิซานาญัยตุมุรฺเราะสูละ ฟะก็อดดิมูบัยนะยะดัยนัจญวากุม เศาะดะเกาะฮฺ ซาลิกะค็อยรุลละกุมวะอัฏฮัรฺ ฟะอิลลัมตะญิดู ฟะอิน..นัลลอฮะเฆาะฟูรุรฺเราะหีม
13. อะอัชฟักตุมอัน..ตุก็อดดิมูบัยนะยะดัยนัจญวากุมเศาะดะกอต ฟะอิลลัมตัฟอะลู วะตาบัลลอฮุอะลัยกุม ฟะอะกีมุศเศาะลาตะ วะอาตุซซะกาตะ วะอะฏีอุลลอฮะ วะเราะสูละฮฺ, วัลลอฮุเคาะบีรุม..บิมาตะอฺมะลูน

คำแปล R1.
11. O you who believe! When you are told to make room in the assemblies, (spread out and) make room. Allah will give you (ample) room (from his mercy). And when you are told to rise up [for prayers, Jihad (holy fighting in Allah's cause), or for any other good deed], rise up. Allah will exalt in degree those of you who believe, and those who have been granted knowledge. And Allah is well-acquainted with what you do.
12. O you who believe! When you (want to) consult the messenger (Muhammad) in private, spend something in charity before your private consultation. That will be better and purer for you. But if you find not (the means for it), then verily, Allah is Oft-Forgiving, Most Merciful.
13. Are you afraid of spending in charity before your private consultation (with him)? If then you do it not, and Allah has forgiven you, then (at least) perform As-Salat (Iqamat-as-Salat) and give Zakat and obey Allah (i.e. do all what Allah and his Prophet order you to do). And Allah is All-Aware of what you do.


คำแปล R2.
11.   โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย เมื่อมีผู้กล่าวแก่พวกเขาว่า “พวกท่านจงขยายที่นั่ง (ของพวกท่านให้คนอื่นเข้ามานั่งด้วย)” ดังนั้นพวกเจ้าก็จงขยาย (ที่นั่ง) เถิด แล้วอัลเลาะฮฺจักทรงขยายแก่พวกเจ้า (ให้กว้างขวาง) และเมื่อมีผู้พูดว่า “พวกท่านจงลุกขึ้นเถิด (จากที่นั่ง)” ดังนั้นพวกท่านก็จงลุกขึ้นเถิด แน่นอนอัลเลาะฮฺทรงยกย่องบรรดาผู้ศรัทธาจากพวกเจ้า และบรรดาผู้ได้รับความรู้หลายฐานันดร และอัลเลาะฮฺทรงตระหนักยิ่ง ในสิ่งที่พวกเจ้าประพฤติ
12.   โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย เมื่อพวกเจ้าได้เข้าพบศาสนทูต พวกเจ้าก็จงล่วงหน้าไว้ก่อนการเข้าพบของพวกเจ้าด้วยการทำทาน (แก่บรรดาคนอนาถา) นั้นเป็นความดีสำหรับพวกเจ้า และเป็นความสะอาดยิ่ง (แก่จิตใจและทรัพย์สินของพวกเจ้า) แต่ถ้าพวกเจ้าไม่ได้ (ทำเช่นนั้น) แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงให้อภัยอีกทั้งทรงเมตตายิ่ง
13.    พวกเจ้ากลัว (ยากจน) หรือ? การที่พวกเจ้าล่วงหน้าการทำทานก่อนการเข้าพบของพวกเจ้านั้น ดังนั้นเมื่อพวกเจ้าไม่ได้กระทำ และอัลเลาะฮฺทรงรับการสารภาพโทษแก่พวกเจ้าแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าก็จงดำรงการละหมาดและบริจาคทานซะกาต และพวกเจ้าจงภักดีต่ออัลเลาะฮฺและศาสนทูตของพระองค์ และอัลเลาะฮฺทรงตระหนักยิ่งในสิ่งที่พวกเจ้าประพฤติ


คำแปล R3.
11. โอ้บรรดาผู้ศรัทธา เมื่อมีการขอให้สูเจ้าเปิดช่องว่างให้ในที่ชุมนุม สูเจ้าก็จงเปิดที่ให้ อัลลอฮฺจะทรงจัดหาที่ให้แก่สูเจ้า และเมื่อมีการขอให้สูเจ้าลุกขึ้น สูเจ้าก็จงลุกขึ้น บรรดาผู้ศรัทธาและได้รับความรู้ในหมู่สูเจ้านั้น อัลลอฮฺจะทรงยกย่องพวกเขาในหลายตำแหน่ง และอัลลอฮฺทรงรู้ดีถึงสิ่งที่สูเจ้ากระทำไป
12. โอ้บรรดาผู้ศรัทธา เมื่อสูเจ้าปรึกษากับท่านรอซูลเป็นการส่วนตัว สูเจ้าจงให้อะไรบางสิ่งเป็นทานก่อนที่สูเจ้าจะปรึกษา นี่เป็นการดีกว่าสำหรับสูเจ้าและเป็นการบริสุทธิ์กว่า อย่างไรก็ตามถ้าหากสูเจ้าไม่สามารถหาสิ่งใดมาให้เป็นทานได้ แท้จริงแล้วอัลลอฮฺเป็นผุ้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ
13. สูเจ้ากลัวว่า ก่อนที่สูเจ้าจะปรึกษาเป็นการส่วนตัว สูเจ้าจะต้องจ่ายทานกระนั้นหรือ? หากสูเจ้าไม่ทำเช่นนั้นและอัลลอฮฺได้ทรงอภัยให้สูเจ้าในเรื่องนี้แล้ว ดังนั้นสูเจ้าจงดำรงนมาซและจ่ายซะกาตเป็นประจำและเชื่อฟังอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ อัลลอฮฺทรงรู้ดีถึงสิ่งที่สูเจ้ากระทำ?


คำแปล R4.
11. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย เมื่อได้มีเสียงกล่าวแก่พวกเจ้าว่า จงหลีกที่ให้ในที่ชุมนุม พวกเจ้าก็จงหลีกที่ให้เขาเพราะอัลลอฮฺจะทรงให้ที่กว้างขวางแก่พวกเจ้า (ในวันกิยามะฮฺ) และเมื่อมีเสียงกล่าวว่าจงลุกขึ้นยืนจากที่ชุมนุมนั้น พวกเจ้าก็จงลุกขึ้นยืน เพราะอัลลอฮฺจะทรงยกย่องเทิดเกียรติแก่บรรดาผู้ศรัทธาในหมู่พวกเจ้า และบรรดาผู้ได้รับความรู้หลายชั้น และอัลลอฮฺทรงรอบรู้ยิ่งในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ
12. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย เมื่อพวกเจ้าจะปรึกษาหารือท่านร่อซูลเป็นการส่วนตัว (เป็นการลับ) พวกเจ้าจงบริจาคทานก่อนการปรึกษาหารือของพวกเจ้า นั่นเป็นการกระทำที่ดีสำหรับพวกเจ้าและเป็นการทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว หากพวกเจ้าไม่สามารถหามาได้ แท้จริงอัลลอฮเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ
13. พวกเจ้ากลัวต่อการบริจาคทานก่อนหน้าการปรึกษาหารือเป็นการส่วนตัวของพวกเจ้า กระนั้นหรือ? หากพวกเจ้ามิได้กระทำเช่นนั้น อัลลอฮฺก็ได้ทรงอภัยโทษให้แก่พวกเจ้าแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าจงดำรงไว้ซึ่งการละหมาดและบริจาคซะกาต และจงเชื่อฟังภักดีต่ออัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ และอัลลอฮฺทรงรอบรู้ยิ่งในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ


คำแปล R5.
๑๑. โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย เมื่อมีผู้กล่าวแก่พวกเจ้าว่า พวกท่านจงขยายให้กว้างขวางในที่นั่งชุมนุมของศาสดามุฮำมัดหรือที่ประชุมทางวิชาการ หรือทำซิกรุลเลาะห์ พวกเจ้าจงขยายให้กว้างเถิด แล้วอัลเลาะห์จักทรงขยายแก่พวกเจ้าให้กว้างขวางอย่างแน่นอน โดยให้อยู่ในสวรรค์อันกว้างขวาง และเมื่อมีผู้กล่าวแก่พวกเขาอีกว่า พวกท่านจงลุกไปเถิด เพื่อประกอบกิจกรรมที่ดีงาม ดังนั้นพวกเจ้าก็จงลุกไปตามที่พูดนั้น แน่นอนอัลเลาะห์ทรงยกย่องบรรดาผู้มีศรัทธาจากพวกเจ้า และบรรดาผู้มีความรู้หลายฐานันดร และอัลเลาะห์ทรงตระหนักถึงสิ่งที่พวกเจ้าประพฤติเสมอ
๑๒. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย เมื่อพวกเจ้าเข้าพบศาสนทูตพวกเจ้าก็จงทำทานแก่บรรดาผู้ยากไร้ก่อนหน้าการเข้าพบของพวกเจ้า นั้นย่อมเป็นความดีงามที่สุดและเป็นความบริสุทธิ์ที่สุดสำหรับพวกเจ้า แต่ถ้าพวกเจ้าไม่มีสิ่งที่จะนำมาทำทานดังกล่าวนั้น ก็ไม่เป็นบาปแต่ประการใด ๆ แท้จริงอัลเลาะห์ทรงให้อภัยยิ่ง อีกทั้งทรงเมตตายิ่ง
๑๓. พวกเจ้ากลัวความยากจนหรือในการที่พวกเจ้าจะทำทานก่อนหน้าการเข้าพบของพวกเจ้า ดังนั้นเมื่อพวกเจ้าไม่กระทำตามคำบัญชานั้น และอัลเลาะห์ก็ได้ให้การลุแก่โทษแก่พวกเจ้าแล้ว โดยยกเลิกการทำทานดังกล่าว พวกเจ้าก็จงดำรงการละหมาดเถิด และพวกเจ้าจงบริจาคทานซะกาตและจงภักดีต่ออัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ และอัลเลาะห์ทรงตระหนักถึงสิ่งที่พวกเจ้าประพฤติเสมอ




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมุญาดะละฮฺ อายะฮฺที่ 14-19

คำอ่าน
14. อะลัมตะเราะอิลัลละซีนะตะวัลเลาก็อวมันเฆาะฎิบัลลอฮุ อะลัยฮิม มาฮุม..มิน..กุม วะลามินฮุม วะยะหฺลิฟูนะอะลัลกะซิบะ วะฮุมยะอฺละมูน
15. อะอัดดัลลอฮุละฮุมอะซาบัน..ชะดีดา, อิน..นะฮุมสา...อะมากานูยะอฺมะลูน
16. อิตตะเคาะซุ..อัยมานุฮุม ญุน..นะตัน..ฟะศ็อดดู อันสะบีลิลลาฮิ ฟะละฮุมอะซาบุม..มุฮีน
17. ลัน..ตุฆนิยะอันฮุม อัมวาลุฮุม วะลาเอาดุฮุม..มินัลลอฮิชัยอา, อุลา..อิกะอัศหาบุน..นารฺ ฮุมฟีฮาคอลิดูน
18. เยามะยับอะษุฮุมุลลอฮุญะมีอัน..ฟะยะหฺลิฟูนะละฮู กะมายะหฺลิฟูนะละกุม วะยะหฺสะบูนะอัน..นะฮุมอะลาชัยอ์, อะลา..อิน..นะฮุมฮุมุลกาซิบูน
19. อิสตะหฺวะซะอะลัยฮิมุชชัยฏอนุ ฟะอัน..สาฮุมซิกร็อลลอฮฺ, อุลา..อิกะหิซบุชชัยฏอน, อะลา..อิน..นะหิซบัชชัยฏอนนิ ฮุมุลคอสิรูน

คำแปล R1.
14. Have you (O Muhammad) not seen those (hypocrites) who take for friends a people upon whom is the Wrath of Allah (i.e. Jews)? They are neither of you (Muslims) nor of them (Jews), and they swear to a lie while they know.
15. Allah has prepared for them a severe torment. Evil indeed is that which they used to do.
16. They have made their oaths a screen (for their evil actions). Thus they hinder (men) from the path of Allah, so they shall have a humiliating torment.
17. Their children and their wealth will avail them nothing against Allah. They will be (the) dwellers of the Fire, to dwell therein forever.
18. On the Day when Allah will resurrect them all together (for their account), then they will swear to him as they swear to you (O Muslims). And they think that they have something (to stand upon). Verily, they are liars!
19. Shaitan (Satan) has overtaken them. So he has made them forget the remembrance of Allah. They are the party of Shaitan (Satan). Verily, it is the party of Shaitan (Satan) that will be the losers!


คำแปล R2.
14.   เจ้าไม่สังเกตบรรดาที่คบเป็นเพื่อนกับกลุ่มชนที่อัลเลาะฮฺทรงกริ้วแก่พวกเขาดอกหรือ? พวกเขามิใช่ส่วนหนึ่งจากพวกเจ้า และพวกเจ้าก็มิใช่ส่วนหนึ่งจากพวกเขา และพวกเขาสาบานบนความเท็จ ทั้ง ๆ ที่พวกเขาก็รู้ดี
15.   อัลเลาะฮฺทรงเตรียมโทษทัณฑ์อันร้ายแรงสำหรับพวกเขา แท้จริงพวกเขานั้น สิ่งที่พวกเขาประพฤติไว้เลวทรามยิ่งนัก
16.   พวกเขาได้ยึดเอาคำสาบานของพวกเขามาเป็นโลห์ (เพื่อความปลอดภัยของตนเอง) แล้วพวกเขาก็ทำการขัดขวางจากแนวทางของอัลเลาะฮฺ ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับการลงโทษอันอัปยศที่สุด
17.   อันทรัพย์สินของวกเขาและลูก ๆ ของพวกเขา จะไม่สามารถป้องกันพวกเขาจาก (การลงโทษของ) อัลเลาะฮฺ ได้สักเพียงสิ่งเดียวก็ตาม พวกเหล่านั้นเป็นชาวนรกโดยแท้ พวกเขาต้องเข้าอยู่ในนั้นโดยนิรันดร
18.   ในวันซึ่งอัลเลาะฮฺทรงฟื้นพวกเขาขึ้นมาทั้งหมด แล้วพวกเขาก็สาบานต่อพระองค์ ประดุจเดียวกับที่พวกเขาเคยสาบานต่อพวกเจ้ามาก่อน และพวกเขาคิดว่า พวกเขานั้นยืนอยู่บนสิ่งหนึ่ง (ที่ถูกต้องและอำนวยคุณแก่พวกเขาแล้ว) พึงสังวร แท้จริงพวกเขานั้นเป็นผู้มุสาโดยแท้
19.   มารร้ายได้ทำให้พวกเขาเมามัว แล้วมันก็ทำให้พวกเขาลืมระลึกถึง (คำสอนของ) อัลเลาะฮฺ พวกเหล่านั้นจึงเป็นพลพรรคของมารร้าย พึงสังวร แท้จริงพลพรรคของมารร้ายนั้นย่อมประสบแต่ความขาดทุน


คำแปล R3.
14. เจ้าไม่เห็นบรรดาผู้นำเอาหมู่คนที่อัลลอฮฺทรงกริ้วมาเป็นมิตรกระนั้นหรือ? พวกเขามิได้เป็นพวกสูเจ้าและมิได้เป็นพวกของพวกเขาด้วย และพวกเขาสาบานต่อความเท็จโดยที่พวกเขารู้
15. อัลลอฮฺทรงเตรียมการลงโทษอันแสนสาหัสไว้สำหรับพวกเขาแล้ว ความชั่วทั้งนั้นที่พวกเขาได้ทำไป
16. พวกเขาได้ช้คำสาบานของพวกเขาเป็นสิ่งปิดบังแล้วพวกเขาก็ขัดขวางผู้อื่นจากหนทางของอัลลอฮฺ ดังนั้นพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันอัปยศ
17. ความมั่งคั่งร่ำรวยของพวกเขาและลูกหลานของพวกเขาจะไม่อาจช่วยเหลืออะไรให้พวกเขาพ้นไปจากอัลลอฮฺได้ พวกเขาเหล่านั้นเป็นชาวนรก พวกเขาจะอยู่ในนั้นตลอดไป
18. วันที่อัลลอฮฺทรงให้พวกเขาฟื้นขึ้นมาทั้งหมดอีกครั้งหนึ่งนั้น พวกเขาจะสาบานต่อพระองค์ดังที่พวกเขาสาบานต่อสูเจ้า โดยพวกเขาคิดว่าคำสาบานของพวกเขาจะช่วยอะไรพวกเขาได้บ้าง จงรู้ไว้เถิดว่าพวกเขาเป็นผู้โกหกทั้งสิ้น
19. ชัยฏอนได้เข้าไปมีอำนาจเหนือพวกเขาแล้วและได้ทำให้พวกเขาลืมการระลึกถึงอัลลอฮฺ พวกเขาเป็นพลพรรคของชัยฏอน จงรู้ไว้เถิดว่าพรรคของชัยฏอนนั้นเป็นพวกที่ขาดทุนอย่างแท้จริง


คำแปล R4.
14. เจ้ามิเห็นดอกหรือบรรดาผู้ที่เป็นมิตรกับชนกลุ่มหนึ่งซึ่งอัลลอฮฺทรงกริ้ว พวกเขา?พวกเขา(มุนาฟิกีน) มิได้เป็นพวกของพวกเจ้า และมิได้เป็นพวกของพวกเขา (ยะฮูด) และพวกเขาสาบานในเรื่องโกหกทั้งนั้น ทั้ง ๆ ที่พวกเรารู้ดีอยู่แล้ว
15. อัลลอฮทรงเตรียมการลงโทษอย่างสาหัสไว้ให้แก่พวกเขาแล้ว แท้จริงพวกเขานั้น สิ่งที่พวกเขากระทำไปมันชั่วช้าจริง ๆ
16. พวกเขาได้ยึดถือเอาการสาบานของพวกเขาเป็นโล่ห์ป้องกัน แล้วพวกเขาก็ขัดขวางผู้คนให้ออกจากทางของอัลลอฮ ดังนั้นสำหรับพวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่างน่าอดสู
17. ทรัพย์สมบัติของพวกเขา และลูกหลานของพวกเขาจะไม่ช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากการลงโทษของอัลลอฮไปได้แต่ อย่างใดชนเหล่านั้นเป็นชาวนรก พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล
18. วันที่อัลลอฮจะทรงให้พวกเขาฟื้นคืนชีพขึ้นมาทั้งหมด แล้วพวกเขาก็จะสาบานต่อพระองค์ดังเช่นที่พวกเขาสาบานต่อพระเจ้าและพวกเขาคิด ว่า แท้จริงพวกเขาอยู่บนสิ่งหนึ่งแห่งความจริงแล้ว พึงทราบเถิด แท้จริงพวกเขาเป็นผู้โกหก
19. ชัยฎอนมารร้ายได้เข้าไปครอบงำพวกเขาเสียแล้ว มันจึงทำให้พวกเขาลืมการรำลึกถึงอัลลอฮ ชนเหล่านั้นคือบรรดาพรรคพวกของชัยฏอน พึงทราบเถิดว่า แท้จริงพรรคพวกของชัยฏอนนั้น พวกเขาเป็นผู้ขาดทุน


คำแปล R5.
๑๔. เจ้าไม่เห็นบรรดาพวกสับปลับทั้งหลายที่ยึดเอากลุ่มชนที่อัลเลาะห์ทรงกริ้วพวกเขามาเป็นมิตรสหาย พวกเขาย่อมไม่ใช่ส่วนหนึ่งขงพวกเจ้าและพวกเจ้าก็หาใช่ส่วนหนึ่งจากพวกเขาไม่ และพวกเขาล้วนสาบานบนความเท็จ ทั้ง ๆ ที่พวกเขารู้ สาเหตุสืบมาจากชายผู้หนึ่งจากพวกยิวชื่อ อับดุลเลาะห์ บิน นับตัลและเพื่อน ๆ ของเขา ได้เข้ามาสอดแนมเอาข่าวจากฝ่ายท่านนบีมุฮำหมัด แล้วนำไปบอกเล่าแก่ฝ่ายยิวซึ่งคอยทำลายล้างฝ่ายท่านมุฮำหมัดตลอดเวลา
๑๕. อัลเลาะห์ได้ทรงเตรียมการลงโทษอันร้ายแรงแก่พวกเขา เพราะแท้จริงพวกเขา สิ่งที่พวกเขาได้ประพฤติไว้เป็นความชั่วช้ายิ่ง
๑๖. พวกเขาได้ยึดเอาคำสาบานของพวกเขามาเป็นโล่ป้องกันตนเองให้พ้นจากความผิดที่เขากระทำต่อฝ่ายมุสลิม แล้วพวกเขาก็คอยขัดขวางผู้คนมิให้สนใจต่อแนวทางของอัลเลาะห์ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องได้รับการลงโทษอันอัปยศยิ่ง
๑๗. อันทรัพย์สมบัติของพวกเขาและบุตรบริวารของพวกเขาไม่อาจป้องกันและช่วยเหลือพวกเขาไว้ได้จากการลงโทษของอัลเลาะห์สักกรณีเดียวก็ตาม พวกเหล่านั้นเป็นชาวนรก พวกเขาต้องเข้าประจำในนั้นโดยนิรันดร
๑๘. โอ้มุฮำมัด จงระลึกเถิด วันซึ่งอัลเลาะห์ทรงฟื้นพวกเขา (ชาวมุนาฟิกีน) ทั้งหมดขึ้นมาจากหลุมศพและวิญญาณและร่าง แล้วพวกเขาก็ยังสาบานต่ออัลเลาะห์เหมือนเช่นที่พวกเขาเคยสาบานกับพวกเจ้ามาก่อนนั่นเอง ในภพนี้พวกนั้นแสร้งสาบานว่าพวกเขามีศรัทธาและเมื่อฟื้นขึ้นในภพหน้าพวกเขาก็ยังดื้อรั้นสาบานว่าพวกเขามีศรัทธา (และเมื่อฟื้นขึ้นในโลกอาคิเราะห์พวกเขาก็ยังสาบานเช่นนั้นต่ออัลเลาะห์อยู่อย่างเดิม) และพวกเขาคิดว่าพวกเขานั้นได้รับประโยชน์จากการสาบานดังกล่าวเหมือนที่พวกเขาเคยได้ในภพนี้มาก่อนโดยสาบานนั้นสามารถป้องกันตัวเองมิให้ฝ่ายมุสลิมเข้าใจผิด พึงสังวรพวกเขาเป็นพวกมุสาโดยแท้จริง
๑๙. อันมารร้ายได้เข้าควบคุมจิตใจของพวกเขาไว้แล้ว มันเรียกร้องให้เขาทำแต่ความผิดและการทรยศ แล้วมันก็ทำให้พวกเขาลืมการระลึกถึงอัลเลาะห์ พวกเหล่านั้นเป็นคณะของมารร้าย พึงสังวรเถิด อันที่จริงคณะของมารร้ายนั้น พวกเขาเป็นผู้ประสบความขาดทุนอย่างแท้จริง




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลมุญาดะละฮฺ อายะฮฺที่ 20-22

คำอ่าน
20. อิน..นัลละซีนะยุหา..ดดูนัลลอฮะ วะเราะสูละฮู..อุลา..อิกะฟิลอะซัลลีน
21. กะตะบัลลอฮุ ละอัฆลิบัน..นะ อะนะวะรุสุลี อิน..นัลลอฮะ เกาะวียุนอะซีซ
22. ละตะญิดุก็อวมัย..ยุอ์มินูนะบิลลาฮิ วัลเยามิลอาคิริ ยุวา..ดดูนะมัน หา..ดัลลอฮะ วะเราะสูละฮู วะเลากานูอาบา..อะฮุม วะอับนา..อะฮุม วะอิควานะฮุม เอาอะชัเราะตะฮุม อุลา...อิกะ กะตะบะฟีกุลูบิฮิมุลอีมานะ วะอัยยะดะฮุม..บิรูหิม..มินฮฺ วะยุดคิลุฮุมญัน..นาติน..ตัจญรีมินตะหฺติฮัลอันฮารุ คอลิดีนะฟีฮา เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม วะเราะฎูอันฮฺ อุลา...อิกัหิซบุลลอฮฺ อะลา..อิน..นะหิซบัลลอฮิ ฮุมุลมุฟลิหูน

คำแปล R1.
20. Those who oppose Allah and his Messenger (Muhammad), they will be among the lowest (most humiliated).
21. Allah has decreed: "Verily! It is I and My messengers who shall be the victorious." Verily, Allah is All-Powerful, All-Mighty.
22. You (O Muhammad) will not find any people who believe in Allah and the last day, making friendship with those who oppose Allah and His Messenger (Muhammad), even though they were their fathers, or their sons, or their brothers, or their kindred (people). For such he has written faith in their hearts, and strengthened them with Ruh (proofs, light and true guidance) from himself. And we will admit them to Gardens (Paradise) under which rivers flow, to dwell therein (forever). Allah is pleased with them, and they with Him. They are the party of Allah. Verily, it is the party of Allah that will be the successful.


คำแปล R2.
20.   แท้จริงบรรดาจำพวกที่ต่อต้าน (คำบัญชาของ) อัลเลาะฮฺและศาสนทูตของพระองค์พวกเหล่านั้นย่อมอยู่ในกลุ่มที่อัปยศที่สุด
21.   อัลเลาะฮฺได้ทรงลิขิตไว้แล้วว่า “แท้จริงข้าและศาสนทูตของข้าจะต้องพิชิต (ฝ่ายต่อต้าน) อย่างแน่นอน” แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงพลานุภาพที่สุด ทรงอำนาจที่สุด
22.   เจ้าจะไม่พบคนกลุ่มที่มีศรัทธาในอัลเลาะฮฺ และวันสุดท้ายว่าพวกเขาจะรักอาลัยต่อผู้ที่ต่อต้านอัลเลาะฮฺและศาสนทูตเลย และมาดแม้นพวกนั้นจะเป็นบิดาของพวกเขา, หรือเป็นพี่น้องของพวกเขา, หรือเป็นวงศ์ญาติของพวกเขาเองก็ตาม พวกเหล่านั้น อัลเลาะฮฺได้ลิขิตศรัทธาไว้ในหัวใจของพวกเขา และทรงสนับสนุนพวกเขาด้วยพลังจิตจาก (พระกรุณาธิคุณของ)พระองค์ และพระองค์จะให้พวกเขาเข้าสู่สวรรค์ซึ่งมีธารน้ำไหลผ่านอยู่เบื้องใต้ของมัน พวกเขาเข้าอยู่ในนั้นโดยถาวร อัลเลาะฮฺทรงโปรดพวกเขาและพวกเขาก็มีความยินดีในพระองค์ พวกเหล่านั้นเป็นพลพรรคฝ่ายอัลเลาะฮฺ พึงสังวร แท้จริงพลพรรคฝ่ายอัลเลาะฮฺย่อมประสบชัยชนะอย่างแน่นอน


คำแปล R3.
20. แน่นอนบรรดาผู้ฝ่าฝืนอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์นั้นคือผู้ที่อยู่ในความต่ำช้าน่าสงสารที่สุด
21. อัลลอฮฺได้ทรงลิขิตไว้แล้วว่า : “ฉันและบรรดารอซูลของฉันจะชนะอย่างแน่นอนที่สุด” แท้จริงอัลลอฮฺทรงเป็นผู้ทรงพลัง ทรงมีอำนาจสูงส่ง
22. เจ้าจะไม่พบหมู่ชนใดที่ศรัทธาในอัลลอฮฺและในวันสุดท้ายรักคนที่ต่อต้านอัลลอฮิและรอซูลของพระองค์ ถึงแม้คนเหล่านั้นจะเป็นบิดาของพวกเขาหรือลูก ๆ ของพวกเขาหรือเครือญาติของพวกเขาก็ตาม พวกเขาเหล่านั้นคือผู้ที่พระองค์จารึกความศรัทธาไว้ในหัวใจของพวกเขาแล้วและได้ทำให้พวกเขามีความเข้มแข็งด้วยวิญญาณจากพระองค์ พระองค์จะทรงรับพวกเขาเข้าสู่สวนสวรรค์ที่ภายใต้นั้นมีลำน้ำหลายสายไหลผ่านเพื่อให้พวกเขาพักอยู่ในนั้นตลอดไป อัลลอฮฺทรงพึงพอพระทัยพวกเขาและพวกเขาก็ยินดีกับพระองค์ พวกเขาเป็นพรรคของอัลลอฮฺ พึงรู้ไว้เถิดว่าผู้ที่อยู่ในพรรคของอัลลอฮฺเท่านั้นคือผู้ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง


คำแปล R4.
20. แท้จริงบรรดาผู้ฝ่าฝืนอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์ ชนเหล่านั้นอยู่ในหมู่ผู้อัปยศอดสู
21. อัลลอฮฺ ทรงกำหนดไว้ว่า แน่นอนข้าและร่อซูลของข้าจะมีชัยชนะเหนือกว่า แท้จริงอัลลอฮฺ นั้นเป็นผู้ทรงพลัง ผู้ทรงอำนาจเหนือ
22. เจ้าจะไม่พบหมู่ชนใดที่พวกเขาศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และวันปรโลกรักใคร่ชอบพอผู้ที่ต่อต้านอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์  ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นพ่อของพวกเขา หรือลูกหลานของพวกเขา หรือพี่น้องของพวกเขา หรือเครือญาติของพวกเขาก็ตาม ชนเหล่านั้นอัลลอฮฺได้ทรงบันทึกการศรัทธาไว้ในจิตใจของพวกเขา และได้ทรงเสริมพวกเขาให้มีพลังมากขึ้นด้วยการสนับสนุนพระองค์ และจะทรงให้พวกเขาได้เข้าสวนสวรรค์หลากหลาย มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่าน ณ เบื้องล่างของสวนสวรรค์ โดยเป็นผู้พำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล อัลลอฮฺทรงโปรดปรานต่อพวกเขาและพวกเขาก็ยินดีปรีดาต่อพระองค์ ชนเหล่านั้นคือพรรคของอัลลอฮฺ พึงรู้เถิดว่า แท้จริงพรรคของอัลลอฮฺนั้น พวกเขาเป็นผู้ประสบความสำเร็จ

คำแปล R5.
๒๐. แท้จริงบรรดาผู้ต่อต้านอัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์พวกเหล่านั้นย่อมอยู่ในกลุ่มผู้อัปยศ ในวันปรภพ โดยต้องเข้าไปรวมกันอยู่ในนรก
๒๑. อัลเลาะห์ได้ทรงบันทึกไว้ ในเลาฮุลมะฮ์ฟูซ ว่าแท้จริงข้าและบรรดาศาสนทูตของข้าต้องประสบชัยชนะเหนือพวกเนรคุณทั้งมวล แท้จริงอัลเลาะห์ทรงพลานุภาพยิ่ง ทั้งทรงอำนาจเป็นที่สุด
๒๒. เจ้าจะไม่พบกลุ่มชนหนึ่งที่ศรัทธามั่นในอัลเลาะฮฺและวันสุดท้ายว่า พวกเขาจะรักอาลัยกับผู้ที่ต่อต้านอัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ ซึ่งพวกศรัทธาจะไม่คบค้าสมาคมและเชื่อฟังพวกเหล่านั้นในทุกกรณี และแม้ว่าพวกนั้นจะเป็นบิดาของพวกเขา หรือเป็นบุตรของพวกเขา หรือเป็นพี่น้องของพวกเขา หรือเป็นเครือญาติของพวกเขาก็ตาม พวกเหล่านั้นอัลเลาะห์ได้ทรงลิขิตศรัทธาไว้แล้วในหัวใจของพวกเขา และทรงเสริมพลังพวกเขาด้วยรัศมีจากพระองค์ และทรงให้พวกเขาเข้าสู่สวรรค์ซึ่งมีธารน้ำไหล ณ เบื้องใต้ของมัน พวกเขาเข้าประจำในนั้นโดยนิรันดร อัลเลาะห์ทรงยินดีต่อพวกเขา และพวกเขาก็ยินดีต่อพระองค์ พวกเหล่านั้นเป็นไพร่พลผู้ช่วยเหลือศาสนาแห่งอัลเลาะห์ พึงสังวร แท้จริงไพร่พลของอัลเลาะห์ย่อมเป็นพวกที่สมหวังแน่นอน



(صدق الله العظيم ) ดำรัสของอัลลอฮฺผู้ยิ่งใหญ่เป็นจริงเสมอ
จบสูเราะฮฺที่ 58 อัลมุญาดะละฮฺ


ออฟไลน์ iqwan

  • ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลเลาะฮ์ มุฮำมัดดุ้รร่อซูลุ้ลลอฮฺ
  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 168
  • เพศ: ชาย
  • มาซาอั้ลลอฮฺ
  • Respect: +23
    • ดูรายละเอียด
 :salam:อั้ลฮำดุลิ้ลลาฮิร๊อบบิ้ลอาละมีน, ยะซากั้ลลอฮุคอยรอน...ขอบคุณมากครับ และขออัลเลาะฮ์(ซ.บ)ทรงตอบรับดุอาของคุณครับ
อั้ลลามะอฺบูดุบิฮักกิ้ลฟิ้ลวุยู๊ดอิ้ลลั้ลลอฮฺ

ทุกๆปัญหา มีทางแก้...ถ้าแก้ไม่ได้ นั่นไม่ใช่ปัญหา
" Any Problem can Solve...if can't Solve
that not the Problem"

 

GoogleTagged