วันนี้สังคมไทยกำลังก้าวถึงทางตัน เส้นทางที่เหลืออยู่ดูราวกับว่ามีเพียง 2 เส้นทางเท่านั้น
ทางหนึ่งคือ เส้นทางแบบประชาธิปไตย ที่แก้ปัญหาแบบไปวันๆ และไร้ทิศทางนำพาประเทศ
ส่วนอีกเส้นทางหนึ่งคือ หวนกลับไปศิโรราบกับระบอบอิสลาม (แบบบริสุทธิ์)
ประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของระบบโลก ต้องมียุทธศาสตร์ 4 ระดับคือ
ยุทธศาสตร์ระดับโลก ระดับภูมิภาค ระดับประเทศ รวมทั้งระดับเมืองและชุมชน
จะวางยุทธศาสตร์โลก.....ไทยได้ ต้องใช้หน่วยวิเคราะห์ที่เรียกว่า “ระบบโลก” กล่าวคือ
เราต้องรู้ว่า ระบบโลกมีความเป็นมาอย่างไร และกำลังจะเคลื่อนตัวไปในทิศทางเช่นไรในอนาคต
ที่ผ่านมา เราคิดกันแค่ยุทธศาสตร์ระดับประเทศ
ทั้งๆ ที่คนไทยเริ่มตระหนักรู้ว่าประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของระบบโลกแล้ว
ที่น่าสังเกตก็คือ ประเทศมหาอำนาจ อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และรัสเซีย
จะมีการกำหนดวางยุทธศาสตร์โลก
และถือว่านี่คือยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญสูงสุด แต่ในทางกลับกัน
บรรดาประเทศเล็กๆ ส่วนใหญ่ รวมทั้งประเทศไทย ไม่มีการวางยุทธศาสตร์โลก
หรือพูดอีกแบบหนึ่งว่า ประเทศเล็กๆ เหล่านี้ ในเมื่อไม่มียุทธศาสตร์โลกของตัวเอง
ทิศทางใหญ่ทางยุทธศาสตร์เกือบทั้งหมดจะถูกกำหนดวางจากประเทศใหญ่ๆ
เพื่อให้บรรดาประเทศเหล่านี้ปฏิบัติตาม
การเปลี่ยนแปลงแบบอภิวัตน์ของการเมืองไทย ได้ก่อเกิดผลผลิตที่สำคัญ 2 ประการ
ประการที่ 1 การสร้างระบบรัฐทหารเผด็จอำนาจและระบบเศรษฐกิจ
ที่รวมศูนย์อำนาจ ผูกขาดความมั่งคั่งไว้ที่ส่วนกลาง
บรรดานายทหารและนายตำรวจที่มีอำนาจเด็ดขาด
สามารถสร้างความมั่งคั่งจากการมีอำนาจเหนือระบบการเมือง
และสามารถหารายได้ผลประโยชน์พิเศษจากการลงทุนทางธุรกิจ
และจากผลประโยชน์พิเศษที่ชนชั้นนำอเมริกันมอบให้ (ทั้งที่ทำภายใต้กฎหมายและนอกกฎหมาย)
ภายใต้กฎหมาย คือ บรรดาผลประโยชน์ร่วม
โดยการอ้างสิทธิสัมปทานแหล่งแร่ธาตุและทรัพยากรที่มีค่าทั้งหมด
เพื่อยกให้ทุนข้ามชาติอเมริกาเข้ามาลงทุน
เช่น การตัดป่าไม้และการผลิตดีบุกในช่วงอดีต รวมถึงกรณีเรื่องน้ำมันและแก๊สในยุคปัจจุบัน
นอกกฎหมาย คือ การหารายได้พิเศษ อย่างเช่น การค้าเฮโรอีนในยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
รวมทั้งการค้าของเถื่อน การค้าอาวุธ ค้าน้ำมันเถื่อนและยาบ้าใน(3จชต.)ยุคปัจจุบัน
ระบบอำนาจพิเศษเหล่านี้กลายเป็นที่มาของระบบมาเฟียทหารและมาเฟียตำรวจ
ซึ่งสามารถเชื่อมตรงและควบคุมบรรดามาเฟียท้องถิ่นสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้
นักวิชาการ (สีแดง) มักจะเรียกระบบรัฐทหารเผด็จอำนาจนี้ว่า ระบบอำมาตย์
โดยมีเจตนาเพื่อจะเชื่อมระบบที่กล่าวว่า “ชั่วร้าย” นี้
ว่าเป็นส่วนหนึ่ง (ข้ารับใช้) ของระบบกษัตริย์ของไทยในสมัยโบราณ
ผมคิดว่า นี่คือ ความเข้าใจผิด.....
ที่จริงแล้ว รัฐทหารเผด็จอำนาจนี้เชื่อมตรงและขึ้นต่อกับระบบทุนโลกเป็นสำคัญ
ที่สำคัญ ในยุคจอมพลสฤษดิ์นั้น
สถาบันทหารไทยมีฐานะ“อำนาจสูงสุด” เหนือกว่าสถาบันอำนาจอื่นๆ ทั้งหมดในประเทศไทย
หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา และพฤษภาทมิฬ การเผด็จอำนาจของทหารเหนือรัฐไทยเริ่มเสื่อมอำนาจลงเรื่อยๆ
ชนชั้นนายทุนไทยเริ่มมีบทบาททางการเมืองสูงขึ้น
การเมืองไทยจึงเปลี่ยนจากยุคทหารมาสู่ยุครัฐสภา
แต่เนื่องจากชนชั้นนายทุนไทยเติบโตขึ้นมาจากระบบทุนนิยมแบบพึ่งพา
การพัฒนาของทุนไทยจึงต้องขึ้นต่อผลประโยชน์ของทุนต่างชาติ (อเมริกา ญี่ปุ่น และสิงคโปร์) เป็นสำคัญ
ไทย จึง ไม่เป็น “ไท” และเพื่อ “คนไทย”
ประการที่ 2 โครงสร้างพื้นฐานทางวัฒนธรรมและการศึกษาต้องพึ่งพาทั้งด้านข่าวสาร ความรู้ ทฤษฎี
รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญจากโลกตะวันตก โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา
ยิ่งพัฒนาจึงยิ่งด้อยพัฒนา (ทางปัญญา)
ชนชั้นปัญญาชนไทยกลายเป็นชนชั้นที่ช่วยกันผลิตซ้ำ
ความคิดทฤษฎี (อเมริกา) สอนและยกย่องภูมิปัญญาตะวันตกและวัฒนธรรมตะวันตก
คลั่งคำว่า “เสรีประชาธิปไตย” คลั่ง “ความขาว และของนอก”
รวมทั้งคลั่งคำว่า “วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และความทันสมัยตะวันตก”
เยาวชนไทยถูกผลิตให้ “เห็นแก่ตัว หลงอำนาจเงินตรา”
บรรดาสื่อไทยส่วนใหญ่ก็ช่วยทำหน้าที่เป็นศูนย์ในการเผยแพร่วัฒนธรรมทุนนิยม ทั้งด้านแฟชั่นและค่านิยม
สื่อไทยทำหน้าที่เพียงแค่การ ‘เล่าข่าว’ เล่าข่าวตามที่ศูนย์ข่าวสารโลก
เช่น CNN ABC CBS วิเคราะห์ตีความ และนำเสนอ
ชนชั้นนำไทย รวมทั้งปัญญาชนไทย และคนไทยทั่วไปจึงพลอยกลายเป็น “คนว่านอนสอนง่าย”
คิดตามตะวันตกและหลงตามก้นอเมริกา
การตกเป็นทาสภูมิปัญญาและวัฒนธรรมตะวันตกหยั่งรากลึกมาก
จนยากที่จะแก้ได้ง่ายๆ
“ที่ประเทศไทยเจริญมาได้ทุกวันนี้ เพราะเรายอมตัวเป็นขี้ข้าฝรั่ง เรียกว่ายอมเป็นขี้ข้าจึงได้ดีและรุ่งเรือง”
ชาวอเมริกาเชื่อว่า ความมีอิสระเสรีภาพจะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงเกียรติแห่งความเป็นมนุษย์
อีกทั้งระบบการตลาดแบบเสรีและระบอบประชาธิปไตย
จะสามารถค้ำประกันถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ทุกๆคนได้
ดั่งที่มันได้เกิดขึ้นมาแล้วในตะวันตก และที่กำลังเป็นอยู่ในเอเชีย
นับตั้งแต่อะตาเทิรกเป็นต้นมามีผู้คนจำนวนเป็นล้านๆคน
ในประเทศอิสลามที่ได้รับเอาแนวความคิดแบบตะวันตกเช่นนี้มาในฐานะเป็นตัวเลือก
แต่กระนั้นมาในปัจจุบันนี้คนมุสลิมจำนวนหลายสิบล้านคน
ก็เริ่มที่จะปฏิเสธแนวความคิดที่ว่ามานี้
โดยหันกลับมาสู่รากเหง้าที่มาเดิมของพวกเขา
นั้นก็คืออิสลามอันสะอาดบริสุทธิ์กว่า พวกเขามีความเชื่อและศรัทธาที่ว่า
มีพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงองค์เดียวเท่านั้น นั้นคืออัลลอฮฺ
และ มูฮัมมัดนั้นเป็นศาสนทูตของพระองค์
อีกทั้งอิสลามอันเป็นการยอมทำตามเจตนารมณ์แห่งอัล-กุรอานนั้น
จะเป็นวิถีทางเดียวเท่านั้นที่จะนำไปสู่สรวงสวรรค์
และ สังคมแห่งการมีจิตสำนึกต่อพระผู้เป็นเจ้านั้น
สมควรที่จะต้องถูกปกครองด้วยกฎหมายแห่งอิสลามหรือที่เรียกว่าชะรีอะฮฺ
หลังจากที่ได้พยายามด้วยกับวิถีทางอื่นและประสบกับความล้มเหลวมาแล้ว
พวกเขาก็กลับคืนสู่อ้อมกอดแห่งอิสลามอีกครั้งหนึ่ง