สมัยตอนดิฉันเด็กๆ...คนที่มีแฟน(โดยไม่ได้แต่งงาน)จะโดนประณาม
ผู้หญิงที่ออกตัวว่ามีแฟนแล้ว(โดยไม่ได้แต่งงาน)จะถูกตีตราว่าหน้าด้าน
ดาราที่เป็นพระเอกนางเอกก็ยังต้องบอกว่าตัวเองไม่มีแฟน
แต่สมัยนี้
มันกลับตรงกันข้ามอย่างสุดโต่ง
ดังนั้น
ดิฉันจึงคิดว่า
ที่เขามีแฟนทั้งๆที่รู้ว่าบาปก็เพราะการเปลี่ยนแปลงของสังคม
สมัยนี้ใครๆก็มีแฟน ใครๆก็ทำกัน ไม่มีสิแปลก ( ขี้เหร่หรือไงถึงไม่มีใครเอาประมาณนั้น)
ซึ่งเรื่องการมีแฟนถือว่าเป็นค่านิยมอย่างหนึ่ง
เพราะคนในสังคมต่างยอมรับการที่ผู้หญิงผู้ชาย(หรือเพศที่345...) จะคบกันเชิงชู้สาว
โดยการยอมรับของคนในสังคม...ทำให้สมาชิกในสังคมมองว่าการมีแฟนเป็นเรื่องปกติ
ที่คนส่วนใหญ่ในสังคมปฏิบัติกัน
จนทำให้เรื่องไม่ดี เรื่องน่าละอาย เรื่องผิดบาป กลายเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนก็ทำกัน
ตัวอย่างอื่นๆก็เช่น
การใส่กางเกงขาสั้น ใส่เสื้อสายเดี่ยว
การไม่เคารพผู้อาวุโส
การผิดเพศ
การเป็นนักร้อง(สมัยก่อนสมัยก่อนไม่เป็นที่นิยมเพราะเป็นอาชีพเต้นกินรำกิน)
นางเอกละครแก่นเซี้ยว...ยิ่งร้ายก็ยิ่งดี(ผู้หญิงสมัยนี้จึงมีนิสัยมีการแสดงออกแบบร้ายๆ)
ภาพยนต์ลามกที่ผู้ชมมองว่าเป็นศิลปะ
สาเหตุทั้งหมดก็เพราะสังคมเกิดการพลวัตร
แต่ที่สำคัญ
เพราะมนุษย์ควบคุมตนเองไม่ได้
และคล้อยตามสังคมอย่างไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ เหมือนไม้หลักปักขี้เลน
ไปตามการหล่อหลอมจากสังคม
ทั้งๆที่ลืมไปว่า
แมลงวันทั้งฝูงที่รุมตอมขี้....มันไม่ได้หมายความว่าขี้จะหอม
เช่นเดียวกันกับใครๆที่มีแฟนกัน.....มันก็ไม่ได้หมายความว่าถูกต้อง
อัสลามุอะลัยกุม วะเราะมาตุลลอฮฺ วะบารอกาตุ
เห็นด้วยกับข้อความด้านบนตรงที่ว่า การมี "แฟน"นั้น เป็น "ค่านิยม"
เพราะคำๆนี้เพิ่งจะมามีบัญญัติศัพท์ใช้เมื่อไม่นานมานี้เอง
สมัยรัตนโกสินทร์ต้นๆยังไม่มีเลย...แถมคำว่า "กิ๊ก" ก็เพิ่งจะมาบัญญัติศัพท์ใช้กัน
ในหมู่วัยรุ่นเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง...
ดังนั้น...สิ่งใหม่เหล่านี้แน่นอนว่า มันเป็นค่านิยมไปตามกลไกของสังคม
แล้วแต่ว่า คนในสังคมในยุคนั้นๆ เขามีค่านิยมกันเช่นไร
และยุคนั้น มีกลุ่มชนใดเป็น "มหาอำนาจ"
เพราะกลุ่มชนที่มีอำนาจอยู่ในยุคนั้นๆ จะพยายามกำหนดกลไก
ของสังคม กำหนดค่านิยมต่างๆให้เป็นไปตามที่ตนปรารถนา
และกำหนดมาตรฐานให้ผู้อื่นตาม...
ส่วนตัวเรานั้น...เราต้องคิดและมอง ไตร่ตรองว่า
ตัวเรานั้น เราใช้อะไรเป็นมาตรฐาน
ในการดำเนินชีวิตของตนเอง
เรามีอะไรเป็นบรรทัดฐานให้กับการเดินทางของชีวิตตัวเอง
หากเรายึด "อิสลาม" เป็นมาตรฐาน เป็นบรรทัดฐาน เป็นธรรมนูญแล้ว
กลไกใดๆที่จะมีมาใหม่ๆ ก็ไม่อาจล้ม"ธง"ของเราลงได้...
ในเมื่อเราเลือกที่จะปัก "ธงแห่งอัลอิสลาม"ลงไปในหัวใจแล้ว...
แน่นอนว่า...เราอาจจะกลายเป็นคนแปลกหน้า เป็นคนแปลก
หรืออาจจะถูกมองว่าเป็นคนบ้า ไปบ้างในบางครั้ง...
เพราะว่า...เมื่อเราทำอะไรตามมาตรฐานของเราที่เรายึดเอาไว้อย่างมั่นคง
ท่ามกลางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปเสมอนั้น...เราย่อมต้องกลายเป็นคนแปลกหน้า
ในกลุ่มชนในแต่ละยุคที่เราก้าวผ่านอย่างแน่นอน...
และแน่นอนว่า ไม่ว่าเราจะหอบกายและใจของเราไปอยู่ยังจุดใดของโลกนี้
ไม่ว่าแต่ละจุดที่เราไปยืนอยู่ สังคมและกลไกของสังคมนั้นๆจะเป็นเช่นไร
หากเรามี "จุดยืน"ของเราอยู่แล้ว...เราก็ยืนอยู่บนจุดน้ัน พยามอย่างที่สุด
ที่จะยืนหยัดบนจุดยืนดังกล่าวให้ได้...
แน่นอนว่า...เราจะสามารถไปยืนอยู่ ณ จุดใดๆบนโลกนี้ได้อย่างไม่หวาดหวั่น
และไม่หวั่นกลัวต่อความผันผวนภายนอก...และยากที่สังคมที่เราไปอยู่
จะกลืนกินเราได้ ในเมื่อเรามีมาตรฐานในการดำเนินชีวิตของเราอยู่แล้ว
และเรารู้ว่าเรากำลังเดินไปที่ใด เรามีเป้าหมายใดในชีวิต...
การมุ่งสู่เป้าหมายอย่างมาดมั่น จะทำให้เราสามารถยืนหยัดบนจุดยืน
ท่ามกลางความผันแปรของสังคมได้ไม่ยากนัก...
ปลาที่อ่อนแอ จะไม่สามารถว่ายทวนกระแสน้ำได้ฉันใด
คนที่ปล่อยให้ความอ่อนแอภายในมีอิทธิพลเหนือจิตใจ
ก็มิอาจพาตัวเองทวนกระแสสังคมไปสู่แสงสว่างที่แท้จริงได้ฉันนั้น...
เราทุกคนเกิดมาอ่อนแอ...
และสามารถเข้มแข็งได้ หากเรามีความยำเกรงเป็นที่ตั้ง
และเมื่อเราทำผิดพลาดเนื่องจากความอ่อนแอของเรา
เราจึงต้องขออภัยโทษ...อัลลอฮฺคือผู้ทรงอภัยยิ่ง อีกทั้งยังทรงเมตตายิ่ง...
วันนี้...หากเราไม่กำหนดมาตรฐานหรือไม่วางแผน
ให้กับชีวิตของตัวเองเอาไว้เพื่อเป็นแนวทางที่จะก้าวเดิน
วันพรุ่งนี้...คนอื่นๆก็จะก้าวเข้ามากำหนดมาตรฐาน
และวางแผนให้กับชีวิตของเราเอง...
เราอยากเลือกเอง หรืออยากให้คนอื่นเลือกให้
ก็ขึ้นอยู่กับเราแล้ว...
แน่นอนว่า...การศึกษาหาความรู้นั้นสำคัญยิ่ง...
แล้วความรู้เช่นใดเล่า ที่จะนำเราสู่แสงสว่างแท้จริง...
หยุดคิดสักนิดนึงว่า...ความรู้ที่เรากำลังแสวงหาอยู่ในวันนี้
ใครเป็นผู้กำหนดหลักสูตรให้เราศึกษา...
แน่นอนว่า...ผู้กำหนดหลักสูตรให้เราเรียนนั้น
ย่อมมีบทบาทสำคัญ
แล้วเราจะเลือกศึกษาตามหลักสูตรของใคร...
หลักสูตรจากผู้ที่สร้างเราและทุกสรรพสิ่งมา...
หรือว่า...ศึกษาตามหลักสูตรของมหาอำนาจในยุคนั้นๆ...
ใครหน้าไหนก็บังคับหรือกำหนดทั้งหมดของชีวิตเราไม่ได้
หากเราไม่ยอม
เว้นแต่ผู้นั้นคืออัลลอฮฺ...เพราะแท้จริงแล้ว
อัลลอฮฺนั้นได้ล้อมชีวิตของเราเอาไว้หมดแล้ว...
และบางครั้ง...การที่เราแข็งขืน อาจจะถูกมองว่าเป็นคนแข็งๆ
แต่ขอให้เราแข็งเถิด หากว่าแท้จริงแล้วความแข็งนั้น
จะเป็นเกราะป้องกันหัวใจเราไม่ให้อ่อนไหวได้...
เพราะแท้จริงแล้ว...ความอ่อนแอกับความอ่อนไหวจะเป็นมิตร
ที่ติดตามกันไปทุกที่...
ซึ่งใจที่เข้มแข็งก็หาใช่ว่ามันจะไม่อ่อนโยน...
จงอ่อนโยน แต่อย่าอ่อนไหว...
จงเข้มแข็ง แต่อย่าแข็งกระด้าง...
(พ่อข้าน้อยสอนสั่งมาตลอด
เพราะว่า ข้าน้อยคือ ลูกสาวท่ีต้องเดินทางไกล
และอยู่นอกบ้านเสมอๆ ไม่ค่อยได้อยู่ในสายตาท่าน)
และอย่าได้เห็นกงจักรเป็นดอกบัว อย่ามองดอกบัวเป็นกงจักร
แล้วอย่าเป็นบัวที่แล้งน้ำ เพราะบัวที่ไม่มีรากใบมันจะมอง
ให้สวยงามและมีความหมายได้อย่างไร
เพราะคนเราย่อมต้องไม่ลืมว่าเรานั้นเป็นใคร แล้วมาจากไหน
ดอกบัวสวยชูช่อโผล่พ้นโคลนตมเหนือผืนน้ำให้ผู้คนชื่นชมได้
ก็เพราะมีรากใบคอยช่วยและเจือจุนอยู่เบื้องล่าง...
สุดท้้ายไม่ท้ายสุด...สำหรับ ความหมายของคำว่า "แฟน"
มันคงไม่ลึกซึ้งเท่ากับ ความหมายของคำว่า "อะรูซะตี"
^^
วัสลามค่ะ