ผู้เขียน หัวข้อ: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี  (อ่าน 12359 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #30 เมื่อ: ม.ค. 26, 2010, 07:15 PM »
0
 salam

ตอนที่ 7/3

    พระนางอาอิชะฮ์ได้เล่าถึงความรักชองท่านศาสดา ศ้อลฯที่มีต่อภรรยาสองคน คือ ซัยนับและอุมมุสะลามะฮ์ว่า แม้นาง

ทั้งสองจะเป็นภรรยาที่ท่านศาสดารักมาก แต่ฉันก็คิดว่าก็ยังเป็นรองจากความรักที่ศาสดามีต่อฉัน

   พระนางอาอีซะฮ์จึงมีความหึงมาก เมื่อท่านศาสดาไปอยู่กับซัยนับนาน นางจึงไปหาฮัฟเซาะฮ์ บินติ อุมัร(ภรรยาของท่านศาสดา)

เพื่อร่วมกันคิดหาหนทางมิให้ศาสดาไปอยู่กับซัยนับนาน ๆ แล้วในที่สุดก็ตกลงกัน โดยมีเซาดะฮ์ บินติซำอะฮ์(ภรรยาของท่านศาสดา)

อีกคนหนึ่งเข้าร่วมในข้อตกลงนั้นด้วย ทั้งสามได้ตกลงกันว่า คนใดคนหนึ่งก็ตามเมื่อท่านศาสดามาหา หากมาจากบ้านของซัยนับ
 
ให้กล่าวถามท่านศาสดาว่า “ท่านทำไมจึงมีกลิ่นเหม็น”(ท่านศาสดาเป็นผู้ที่เกลียดกลิ่นเหม็น)

   เมื่อท่านศาสดาออจากบ้านซัยนับมาหาอาอีซะฮ์ อาอีซะฮ์ได้พูดกับท่านศาสดาว่า ฉันได้กลิ่นเหม็น ท่านไปกินอะไรเหม็น ๆ มาหรือ?

   และเมื่อท่านศาสดามาหาฮัฟเซาะฮ์ก็ได้รับคำถามเช่นเดียวกัน และเมื่อมาหาเซาดะฮ์ก็ถูกถามในทำนองเดียวกัน ซึ่งเซาดะฮ์ถามว่า

ท่านไปกินน้ำผึ้งที่ไปทำรังไว้ที่ต้นไม้ที่มีกลิ่นเหม็นมาหรือ?

   ท่านศาสดาทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ท่านจึงใช้เวลาอยู่กับซัยนับลดลง ทางด้านซัยนับเธอก็มีความรู้สึกเหมือนภรรยาทั่ว ๆ ไป

ที่มีต่อสามี และเธอรู้ดีว่า อาอีซะฮ์กำลังคิดอย่างไรกับเธอ เธอจึงได้ไปผูกสัมพันธ์กับภรรยาของท่านศาสดาที่มิได้มีข้อตกลงดังกล่าวข้างต้น

กับอาอีซะฮ์ ซึ่งก็ได้ข้อตกลงมาว่า ต้องไปขอร้องให้ฟาติมะฮ์ลูกสาวของท่านศาสดามาเป็นผู้แทนในการเจรจาระหว่างพวกนางกับบิดา

ของฟาติมะฮ์ ซึ่งความต้องการของพวกนางมีเพียงให้มีความยุติธรรมระหว่างพวกนางกับอาอีซะฮ์เท่านั้น

   เมื่อฟาตีมะฮ์ไปพบกับท่านร่อซูล ศ้อลฯ ซึ่งในขณะนั้น ท่านร่อซูล ศ้อลฯ อยู่กับพระนางอาอีซะฮ์ ฟาตีมะฮ์ได้พูดกับท่านศาสดาว่า

บรรดาภรรยาของพ่อได้ส่งลูกมาให้บอกว่า “พวกนางขอให้พ่อให้ความเสมอภาคโดยเฉพาะกับธิดาสาวของอะบีกุฮาฟะฮ์” คือ อาอีซะฮ์

   ท่านศาสดาศ้อลฯ ได้ถามธืดาสาว(ฟาตีมะฮ์)ของท่านว่า ลูกไม่รักเหมือนอย่างที่พ่อรักดอกหรือ? นางตอบว่า ลูกรักทุกอย่างเหมือนที่

พ่อรัก ท่านศาสดาศ้อลฯกล่าวว่า ลูกจงรักอาอีซะฮ์ ฟาตีมะฮ์ได้กลับไปหาบรรดาภรรยาของท่านศาสดา เพื่อบอกให้รู้ถึงผลการเจรจา

แต่ภรรยาที่ส่งนางมาไปเป็นผู้แทนในการเจรจา ต่างยังไม่พอใจในผลการเจรจาจึงขอร้องให้ฟาตีมะฮ์กลับไปเจรจาใหม่ ซึ่งฟาตีมะฮ์ปฏิเสธ

แล้วในที่สุด ซัยนับก็ถูกเลือกให้เป็นผู้แทนในการเจรจา

   เมื่อซัยนับขอเข้าพบท่านศาสดา ท่านศาสดาก็อนุญาตให้เข้าพบ ซึ่งในการพบกันครั้งนี้ มีพระนางอาอีซะฮ์ร่วมอยู่ด้วย เนื่องจาก

ในขณะนั้น ท่านศาสดาอยู่ที่บ้านของอาอีซะฮ์ ซัยนับได้ใช้เวลาในการต่อรองอยู่นาน จนคำพูดบางช่วงได้พาดพิงไปถึงอาอีซะฮ์ด้วย

เป็นเหตุให้อาอีซะฮ์มีความโกรธมาก ท่านศาสดา ศ้อลฯจึงได้ให้ซัยนับหยุดพูด ซึ่งซัยนับก็หยุด

   ความขัดแย้งยังไม่อาจคลี่คลายลงได้ ท่านร่อซูลุลลอฮ์จึงไม่ไปบ้านของภรรยาคนใดในช่วงระยะเวลาถึงหนึ่งเดือนเต็ม ๆ จนกระทั่ง

หัวใจดวงน้อย ๆ ของภรรยาทุกคนเกิดความวิตก ต่างมีความเสียใจในการละเลยของนางต่อหน้าที่ที่พึงถวายและมอบแด่องค์พระศาสดา

สำหรับซัยนับนั้น นางเป็นสตรีที่มีคุณธรรมอันสูงส่ง นางไม่ชอบการใส่ร้ายผู้ใด ซึ่งพิสูจน์ได้จากวันที่มีปัญหาเกิดขึ้นกับอาอีซะฮ์ ในขณะ

ที่ทุกคนต่างประณามว่าอาอีซะฮ์สำส่อน นางกลับกล่าวว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า กับเหตุการณ์นี้ ฉันคิดว่า ไม่ใช่เรื่องเสียหายอันใดแน่นอน

   ซัยนับใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในกรอบแห่งคุณธรรม กอปรกับความมั่นใจว่า จะได้ติดตามท่านร่อซูล ศ้อลฯ เป็นคนแรกในการกลับคืน

สู่พระเมตตาของพระองค์ แล้วในที่สุดนางก็เป็นภรรยาคนแรกที่ติดตามท่านศาสดาไปสู่อ้อมกอดของพระผู้เป็นเจ้า นางมีอายุได้ห้าสิบสามปี

นางสิ้นชีวิตในปีที่ยี่สิบแห่งฮิจเราะฮ์ศักราช โดยมีอะมีรุ้ลมุมินีน อุมัร บิน อัล-ค๊อตต๊อบเป็นอีหม่ามนำละหมาดให้แก่เรือนร่างที่ไร้วิญญาณของนาง

และศพของนางถูกนำไปฝังไว้ที่บะเกียะอ์


จบตอนที่ 7 ช่วงชีวิตของท่านศาสนทูต ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กับ ท่านหญิงซัยนับ บินติ ญะหฺซิน

วัสสลาม

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #31 เมื่อ: ม.ค. 29, 2010, 06:58 PM »
0
 salam

ตอนที่ 8

ท่านร่อซูลุลลอฮ์
การสมรสกับมัยมูนะฮ์ บินติ อัล-ฮาริษะฮ์ ร่อดิยั้ลฯ

   ในวันหนึ่งท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ้อลฯ กล่าวว่า สตรีสี่พี่น้องนี้ คือ ศรัทธาชนที่เข้มแข็ง มัยมูนะฮ์ อุมมลฟัดล อัสมาอ์ และซัลมา มารดาของพวกนางคือ ฮินดุน บินติ ซุเฮร บิน อัลฮาริษ ผู้อาวุโสท่านหนึ่งในยุคนั้น
    มัยมูนะฮ์ บินติอัลฮาริษ ผู้มีฉายานามที่ผู้คนในสมัยนั้นขานเรียกเธอว่า “อัลหิลาลียะฮ์” (เดือนเสี้ยว) นางเป็นหม้ายเมื่ออายุ 26 ปี ชื่อเดิมของ
เธอคือ บัรเราะฮ์ หลังจากสมรสกับศาสดาแล้ว ได้เปลี่ยนชื่อให้ใหม่เป็น “มัยมูนะฮ์” นางเป็นสุภาพสตรีที่อยู่ในตระกูลที่สูง และเปี่ยมล้นไปด้วยคุณธรรม
   ท่านศาสดาศ้อลฯ ได้สมรสกับนางในตอนที่เดินทางไปทำอุมเราะฮฺกอดอ คือ ในปีที่เจ็ดแห่งฮิจเราะฮ์ศักราชโดยที่ท่านศาสดา ศ้อลฯ ได้ให้ศอด๊าก(สินสอด)แก่นางสี่ร้อยดิรฮัม และได้สร้างที่พักให้แก่นางหลังหนึ่งอยู่ริมทางระหว่างมักกะฮ์สู่มะดีนะฮ์ อันเป็นสถานที่ที่นางต้องการอยากให้
นำเรือนร่างที่ไร้วิญญาณของนางไปฝังที่นั่น นางเสียชีวิตในปีที่ห้าสิบเจ็ดแห่งฮิจเราะฮ์ศักราช (ข้อความช่วงนี้รายงานโดยท่านบุคอรีย์)
มัยมูนะฮ์ ร่อดียั้ลฯ ได้รายงานฮาดีสไว้หลายฮาดีส ซึ่งท่านอีหม่ามบุคอรีย์และมุสลิมได้รายงานไว้ในซอฮีฮัยนิสิบสามฮาดีส
หากเราจะศึกษาถึงท่านศาสดากับการเป็นสามีของมัยมูนะฮ์ ก็เหมือนกับท่านศาสดาในการเป็นสามีของภรรยาท่านอื่น ๆ พระนางอาอีซะฮ์ได้ตอบคำถามที่ว่า เมื่อท่านศาสดาอยู่กับภรรยา ท่านปฏิบัติตัวของท่านอย่างไร ? นางตอบว่า ท่านศาสดาเป็นผู้ที่มีบุคลิกภาพดีที่สุด ท่านไม่เคยใช้คำหยาบ ท่านไม่เคยตอบการกระทำที่ชั่วด้วยการกระทำที่ชั่ว แต่ท่านจะเป็นคนให้อภัย
   พระนางอาอีซะฮ์กล่าวต่อว่า ท่านศาสดาไม่เคยเฆี่ยนตีคนใช้ ไม่เคยเฆี่ยนตีหรือทำร้ายใครด้วยมือของท่าน นอกจากในสมรภูมิรบเพื่อปกป้องอธิปไตยแห่งอัล-อิสลาม ท่านศาสดาไม่เคยล้างแค้นใคร นอกจากผู้กระทำจะกระทำผิดกับหลักการของศาสนา ท่านก็จะปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักการ ซึ่งหากจะเป็นการล้างแค้นก็เป็นไปเพื่ออัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์ และท่านศาสดานั้น หากมีตัวเลือกในภารกิจต่าง ๆ ท่านจะต้องเลือกในสิ่งที่ง่ายหรือสะดวกสบาย นอกจากสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่พระเป็นเจ้าไม่พึงประสงค์ ท่านก็จะหลีกห่างสิ่งนั้น และเมื่อท่านอยู่ตามลำพังกับภรรยา ท่านก็จะเป็นคนที่นิ่มนวลและให้เกีรยติพวกนางเป็นพิเศษ ท่านเป็นคนอารมณ์ดี ชอบหยอกล้อภรรยา (รายงานโดยอิบนุอะซากิร จาก อาอีซะฮ์)
   สำหรับมัยมูนะฮ์ บินติ อัล-ฮาริษ ภรรยาท่านศาสดาผู้นี้ พระนางอาอีซะฮ์ได้เล่าว่า นางเป็นหญิงที่สะอาดสะอ้านและนางช่วยทำให้พวกเรามีสัมพันธ์กับวงศาคณาญาติใกล้ชิดยิ่งขึ้น
   อุมมุฟัดล ภรรยาของอัล-อับบาส ลุงของท่านศาสดา ศ้อลฯ ได้เล่าถึงการสมรสน้องสาวของเธอกับท่านศาสดา ศ้อลฯ ว่า เดิมมัยมูนะฮ์มีชื่อว่า”บัรเราะฮ์” และในบางรายงานระบุว่า เธอได้เสนอตัวเธอให้แก่ศาสดา จึงมีอัล-กุรอานประทานลงมาว่า

   “ซึ่งพวกนางได้อพยพมาพร้อมกับเจ้าและหญิงที่มีศรัทธาซึ่งหากนางได้มอบตัวเองต่อศาสดา ถ้าศาสดาปรารถนาจะสมรสกับนาง เป็นการเฉพาะสำหรับเจ้า(คนเดียว)มิใช่หมายถึงบรรดาศรัทธาชนคนอื่นด้วย” ซูเราะฮ์อัล-อะห์ซาบ โองการที่ 50



วัสสลาม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 03, 2010, 05:08 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #32 เมื่อ: ก.พ. 02, 2010, 10:19 PM »
0
 salam

ขอมะอัฟทุกท่านที่ติดตามกระทู้นี้ เมื่อครั้งที่แล้วพิมพ์เรื่องราวของท่านหญิงมัยมูนะฮฺ ขาดไปเล็กน้อย จึงนำมาเสนอเพิ่มเติม
ตอนที่ 8 (ต่อ)

เมื่อท่านร่อซูล ศ้อลฯ ล่วงรุ้ถึงความต้องการของเธอ ท่านศาสดา ศ้อลฯ จึงได้ส่งอาวส์ บิน คุวะลี่ และอาบารอแฟะไปยังลุงของท่านเพื่อตอบตกลงในการสมรส จริง ๆแล้ว ตรงนี้มีรายงานว่า ในขณะที่ผู้แทนทั้งสองของท่านร่อซูล ศ้อลฯ เดินทางมาที่บ้านของเธอ เธอกำลังขี่อูฐอยู่ เธอเล่าว่า เธอมีความดีใจถึงกับอุทานออกมาว่า ทั้งอูฐและทุกอย่างที่อยู่บนอูฐขอถวายเป็นของอัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์
ท่านร่อซูล ศ้อล ได้สมรสกับนางในเดือนเซาวาล ปีที่เจ็ดแห่งฮิจเราะฮ์ศักราชและในปีที่หกสิบเจ็ดแห่งฮิจเราะฮ์ศักราช นางก็ได้เดินทางสู่จุดหมายปลายทางที่นางรอคอย นั่นคือการเดินทางสู่สถานอันนิรันดร์กาล ขออัลลอฮ์ได้โปรดหลั่งเราะห์มัตแด่มารดาแห่งศรัทธาชน ทั้งนี้เนื่องจากชีวิตของนางเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน


จบตอนที่ 8 ช่วงชีวิตของท่านหญิงมัยมูนะฮฺ

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #33 เมื่อ: ก.พ. 02, 2010, 10:26 PM »
0
 salam

ตอนที่ 9

ท่านร่อซูลุลลอฮ์
การสมรสกับซอฟียะฮ์ ร่อดียั้ลฯ

    เพื่อเป็นอนุสรณ์ระลึกถึงมารดาแห่งศรัทธาชนซอฟียะฮ์ ได้เล่าถึงประวัติการเป็นมาของเธอ ด้วยตัวเธอเองไว้ว่า
   ฉันเป็นลูกที่พ่อแม่ของฉันรักมากที่สุด และเป็นหลานของลุงซึ่งมีนามว่า อะบูยาซิร รักมากที่สุด ไม่ว่าท่านทั้งสองจะอยู่ที่ไหน?? จะไปไหน? หรือกำลังทำอะไร? ฉันจะต้องอยู่ในภวังค์ของท่านทั้งสองเสมอ
   และมื่อท่านร่อซูล ศ้อลฯ เดินทางมามะดีนะฮ์โดยช่วงแรกได้มาพำนักอยู่ที่กุบา ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่อยู่ชานมะดีนะฮ์ หมู่บ้านนี้ปกครองโดย บะนีย์ อัมร บิน อาวฟ์
   อะบีหุยัย บิน อัคต๊อบ บิดาของฉัน และลุงของฉัน อะบูยาซิร บิน อัคต๊อบ ได้ไปสังเกตการณ์ดูท่านร่อซูลุลลอฮ์ตั้งแต่ก่อนแสงอรุณขึ้นของวันนั้น และกว่าจะกลับมาก็มืดค่ำ ทั้งสองกลับมาถึงบ้านอย่างเงียบ ๆ คอตกดุจคนสิ้นอนาคต ค่อย ๆ ย่องเดินเหมือนคนละเหี่ยใจ ฉันจึงทำให้ทั้งสองตกใจ แต่ทั้งสองก็ไม่ได้แสดงอาการตระหนกตกใตแต่ประการใด ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า เขาทั้งสองมิได้หันมาสนุกสนานกับฉันเหมือนเดิม ๆ เลย
   ฉันได้ยินเสียงอะบูยาซิร ผู้เป็นลุงของฉัน พูดกับบิดาฉันว่า
   เขาคนนั้นใช่มูฮัมมัดหรือ?
   บิดาของฉันตอบไปว่า ใช่ เขาคือมูฮัมมัด
   ลุงของฉันถามต่อไปว่า มั่นใจหรือว่า ใช่?
   บิดาของฉันตอบว่า ใช่
   ลุงของฉันถามต่อไปว่า ท่านคิดอย่างไรกับเขา?
   บิดาของฉันตอบว่า ศัตรู ! ตราบเท่าที่ชีวิตของฉันยังอยู่
   สำหรับซอฟียะฮ์ บินติหุยัย บินอัคต๊อบ นั้น นางเป็นชาวยิว ชาวอิสราเอล บิดาของนางเป็นลูกหลานของร่อซูลุลลอฮ์ฮารูน มารดาของนางเป็นชนเผ่ากุรอยเซาะฮ์ ซึ่งเป็นพี่น้องกับเผ่าอันนะดีร
   นางแต่งงานมาแล้วสองครั้งก่อนหน้าที่จะแต่งกับท่านร่อซูลุลลอฮ์ นางเคยเป็นภรรยาของคนสำคัญแห่งชนเผ่านั้น ซึ่งนางเองก็เป็นธิดาสาวของผู้นำแห่งชนเผ่านั้น
   ชีวิตของนางกับท่านร่อซูลุลลอฮ์เริ่มขึ้น ในปีที่เจ็ดแห่งฮิจเราะฮ์ศักราช เมื่อตอนที่ท่านศาสดาออกไปยับยั้งเล่ห์เพทุบายของชาวยิวที่คอยบัร ในการปกป้องครั้งนี้ ท่านศาสดาสามารถยึดเมืองต่าง ๆ ไว้ได้ โดยเฉพาะหัวเมืองสำคัญ ๆ  อย่างเช่น อัลกุมูส ซึ่งถือเป็นเมืองที่มีการคุ้มกันเข้มแข็งที่สุดของชาวยิวคอยบัร และเมืองนี้คือที่อยู่ของ อิบนุอัลหะกี๊ก ซึ่งเป็นสามีของนางซอฟียะฮ์
   ในที่สุดกองทัพของมุสลิมก็จับเชลยศึกไว้ได้จำนวนมาก ซึ่งในจำนวนนั้นมีซอฟียะฮ์ บินติหุยัย บินอั๊คตอบ ซึ่งท่านศาสดาได้คัดไว้เป็นเชลยศึก ในการดูแลของท่านเอง
   ในสมรภูมิการต่อสู้นี้ ซอฟียะฮ์ต้องสูญเสียบิดาและสามีตลอดจนพี่ ๆ น้อง ๆ ไป และในการนี้ก็เป็นอภิสิทธิ์ของท่านร่อซูล ศ้อลฯ ที่จะทรงพิจารณาเลือกนางเป็นเชลย เป็นทาสีของท่านต่อไป หรือจะเลือกเสพสุขกับนางในฐานะทาสีก็ได้ แต่ศาสดาได้ปล่อยนางให้มีอิสรภาพ ให้เป็นเสรีชน และแต่งงานกับนางเพื่อเป็นการให้เกียรตินางที่กำลังตกอยู่ในภาวะที่ต่ำต้อยที่สุด นั่นคือความปราชัย และเป็นการสมานหัวใจของนางที่แตกสะบั้นอันเกิดจากความสูญเสียหมดสิ้นแล้วซึ่งทุกอย่าง การสมรสของท่านศาสดากับนาง จึงเป็นการชุบชีวิตใหม่ที่สดใสให้กับนาง
   ท่านอีหม่ามอะห์มัด ร่อดียั้ลฯ ได้รายงานว่า ท่านร่อซูลุลลอฮ์ได้ทรงเลือกที่จะปล่อยนางให้ได้รับอิสรภาพและสมรสกับนาง หรือส่งนางกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวของนางที่ยังเหลืออยู่ ซึ่งท่านได้ทรงเลือกประการแรก และในการสมรสกับนางนั้น ได้เอาการปล่อยให้เป็นเสรีชนหรือให้อิสรภาพแก่ตัวนาง เป็นสินสอด(มะฮัร)ในการสมรส                     รายงานโดย บุคอรีย์และมุสลิม
   หลังจากสงครามคอยบัรยุติลง ศาสดาได้นำทัพกลับมะดีนะฮ์ เมื่อนำทัพเดินทางออกจากคอยบัรมาประมาณหกไมล์ เพื่อการพักผ่อนจึงหยุดพักตรงนั้น และที่นั่น ความประสงค์ของศาสดาที่จะสมรสกับนาง แต่นางปฏิเสธ หลังจากนักรบทุกคนได้รับการพักผ่อนนานพอสมควรแล้ว ก็ได้นำทัพออกเดินทางกลับสู่มะดีนะฮ์ ณ อีกแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า ซอฮ์บาอ์ เป็นสถานที่ที่ห่างคอยบัรออกไปประมาณ สิบหกไมล์ ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ้อลฯ มีความรู้สึกว่า นางตอบรับการขอสมรสแล้ว สาวใช้ของนาง หลังจากดูแลและให้ความสะดวกแก่นางในภารกิจต่าง ๆ ของนางแล้ว ได้ยืนขึ้นต้อนรับท่านศาสดา ศ้อลฯ แล้วบอกรับการสมรสแทนนาง
   ท่านศาสดา ศ้อลฯได้ถามว่า เพราะอะไร เมื่อก่อนหน้านี้นางจึงปฏิเสธ ก็ได้รับคำตอบว่า นางกลัวอันตรายซึ่งอาจย้อนมาเกิดขึ้นกับท่านศาสนทูตได้ เนื่องจากยังอยู่ใกล้ถิ่นของชาวยิวคอยบัร
   ในวันนี้นางมีอายุได้สิบเจ็ดปี และนางสิ้นชีวิตในสมัยการปกครองของมุอาวิยะฮ์ ในเดือนเราะมะดอนปีที่ห้าสิบแห่งฮิจเราะฮ์ศักราช และศพของนางถูกนำไปฝังที่บะเกียะอ์


จบตอนที่ 9 ช่วงชีวิตของท่านหญิงซอฟียะห์ บินติหุยัย

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #34 เมื่อ: ก.พ. 03, 2010, 02:08 AM »
0

อ้างถึง
พระนางอาอีซะฮ์ได้ตอบคำถามที่ว่า เมื่อท่านศาสดาอยู่กับภรรยา
ท่านปฏิบัติตัวของท่านอย่างไร ? นางตอบว่า

ท่านศาสดาเป็นผู้ที่มีบุคลิกภาพดีที่สุด ท่านไม่เคยใช้คำหยาบ
ท่านไม่เคยตอบการกระทำที่ชั่วด้วยการกระทำที่ชั่ว แต่ท่านจะเป็นคนให้อภัย

   พระนางอาอีซะฮ์กล่าวต่อว่า ท่านศาสดาไม่เคยเฆี่ยนตีคนใช้
ไม่เคยเฆี่ยนตีหรือทำร้ายใครด้วยมือของท่าน
นอกจากในสมรภูมิรบเพื่อปกป้องอธิปไตยแห่งอัล-อิสลาม
ท่านศาสดาไม่เคยล้างแค้นใคร นอกจากผู้กระทำจะกระทำผิด
กับหลักการของศาสนา ท่านก็จะปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักการ
ซึ่งหากจะเป็นการล้างแค้นก็เป็นไปเพื่ออัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์
และท่านศาสดานั้น หากมีตัวเลือกในภารกิจต่าง ๆ
ท่านจะต้องเลือกในสิ่งที่ง่ายหรือสะดวกสบาย
นอกจากสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่พระเป็นเจ้าไม่พึงประสงค์ ท่านก็จะหลีกห่างสิ่งนั้น
และเมื่อท่านอยู่ตามลำพังกับภรรยา ท่านก็จะเป็นคนที่นิ่มนวล
และให้เกีรยติพวกนางเป็นพิเศษ ท่านเป็นคนอารมณ์ดี ชอบหยอกล้อภรรยา
(รายงานโดยอิบนุอะซากิร จาก อาอีซะฮ์)

^
^

loveit: loveit: loveit:



salam

   อุมมุฟัดล ภรรยาของอัล-อบบาส ลุงของท่านศาสดา ศ้อลฯ
ได้เล่าถึงการสมรสน้องสาวของเธอกับท่านศาสดา ศ้อลฯ ว่า
เดิมมัยมูนะฮ์มีชื่อว่า”บัรเราะฮ์” และในบางรายงานระบุว่า
เธอได้เสนอตัวเธอให้แก่ศาสดา จึงมีอัล-กุรอานประทานลงมาว่า

   “ซึ่งพวกนางได้อพยพมาพร้อมกับเจ้าและหญิงที่มีศรัทธา
ซึ่งหากนางได้มอบตัวเองต่ศาสดา ถ้าศาสดาปรารถนาจะสมรสกับนาง
เป็นการเฉพาะสำหรับเจ้า(คนเดียว)มิใช่หมายถึงบรรดาศรัทธาชนคนอื่นด้วย”
ซูเราะฮ์อัล-อะห์ซาบ โองการที่ 50[/size]

[/color]

วัสสลาม


วะอะลัยกุมมุสลาม วะเราะมาตุลลอฮฺ วะบารอกาตุ


ไม่เข้าใจอายะฮฺดังกล่าวค่ะแช...  ::)


วัสลามค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 03, 2010, 03:43 AM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #35 เมื่อ: ก.พ. 03, 2010, 08:26 PM »
0
 salam

เอาคำอธิบาย อายะฮฺนี้เต็ม ๆ มาให้อ่านเพื่อสร้างความเข้าใจมากขึ้น


“โอ้ นบี เราได้ทำให้บรรดาภรรยาของเจ้าเป็นที่อนุมัติแก่เจ้าสำหรับคนที่เจ้าได้ให้ของขวัญแต่งงาน(เศาะดาก,มะฮัรฺ)แก่พวกนางไปแล้ว

และบรรดาผู้หญิงที่เจ้าครอบครองอยู่จากบรรดาทาสหญิงที่อัลลอฮฺทรงประทานแก่เจ้า และลูกสาวของพี่น้องชายทางพ่อของเจ้าและลูกสาว

ของพี่น้องหญิงทางพ่อของเจ้า และลูกสาวของพี่น้องชายทางแม่ของเจ้า และลูกสาวของพี่น้องหญิงทางแม่ของเจ้าซึ่งได้อพยพไปกับเจ้า

และหญิงผู้ศรัทธาที่เสนอตัวเองแก่นบี ถ้าหากนบีต้องการจะแต่งงานกับนาง สิทธิพิเศษนี้สำหรับเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่สำหรับบรรดาผู้ศรัทธา

คนอื่น ๆ เรารู้ดีถึงสิ่งที่เราได้กำหนดแก่บรรดาผู้ศรัทธาเกี่ยวกับภรรยาของพวกเขาและทาสหญิงของพวกเขา(เจ้าได้รับการยกเว้น)

ทั้งนี้เพื่อจะได้ไม่เป็นอุปสรรคต่อเจ้า และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงให้อภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ”
อัลอะหฺซาบ 50


1. นี่เป็นคำตอบต่อข้อคัดค้านของคนที่กล่าวหาท่านนบีมุฮัมมัด(ขอความสันติจงมีแด่ท่าน)ห้ามคนอื่นมีภรรยามากกว่า 4 คนในเวลาเดียวกัน

แต่ตัวท่านเองกลับมีภรรยาคนที่ 5 ข้อโต้แย้งนี้เกิดขึ้นมาเพราะในตอนที่ท่านรอซูลุลลอฮฺแต่งงานกับนางซัยนับนั้น ท่านมีภรรยาอยู่ 4 คนแล้ว

นั่นคือ (1) นางเซาดะฮฺ ซึ่งท่านแต่งานด้วยในปีที่ 3 ก่อนการอพยพ  (2) นางอาอิชะฮฺ ซึ่งท่านแต่งงานด้วยในปีที่สามก่อนการอพยพ

แต่มาอยู่กับท่านในเดือนเชาวาล ใน ฮ.ศ. 1 (3) นางฮัฟเซาะฮฺซึ่งท่านแต่งานด้วยในเดือนชะอฺบาน ฮ.ศ. 3 และ (4) นางอุมมุสะละมะฮฺ

ที่ท่านแต่งงานด้วยในเดือนเชาวาล ฮ.ศ. 4 ดังนั้น นางซัยนับจึงนับเป็นภรรยาคนที่ 5 ในที่นี้อัลลอฮฺได้ทรงตอบข้อโต้แย้งของกาฟิรฺ

และมุนาฟิกว่า เป็นพระประสงค์ของพระองค์ที่ให้ท่านนบีมีภรรยาในเวลาเดียวกันได้มากกว่า 4 คน

2. นอกจากนี้ในอายะฮฺนี้อัลลอฮฺยังได้ทรงอนุญาตให้ท่านแต่งงานกับ

    2.1 ทาส/เชลยหญิงที่อยุ่ในความครอบครองของท่าน ซึ่งท่านได้ปฏิบัติตามข้ออนุญาต  นี้ 4 ครั้งด้วยกัน คือ

(1) แต่งงานและให้อิสระแก่นางร็อยฮานะฮฺ เชลยหญิงจากการสู้รบกับพวกบนีกุร็อยเซาะฮฺ

(2) แต่งงานและให้อิสระแก่ญุวัยรียะฮฺ เชลยหญิงจากการสู้รบกับบนีมุสฏอลิก

(3) แต่งงานและให้อิสระแก่ เศาะฟียะฮฺ เชลยหญิงจากการสู้รบและยึดค็อยบัรฺ

(4) อยู่ร่วมฉันทน์สามี-ภรรยากับนางมารียะฮฺ อัลกิบตียะฮฺ ทาสที่ได้รับมอบจากผู้ครองเมือง มุเกากิส แห่งอียิปต์ แต่ไม่มีหลักฐานการให้อิสระ

    2.2 หญิงในหมู่ญาติที่อพยพไปในทางของอัลลอฮฺเช่นเดียวกับท่านนบี ซึ่งในการนี้ ท่านได้แต่งงานกับนางอุมมุหะบีบะฮฺ ในฮ.ศ. 7

   2.3 หญิงที่เสนอตัวต่อท่านนบี โดยไม่ต้องให้มะฮัรฺ ซึ่งท่านได้แต่งงานกับนาง มัยมูนะฮฺ ในเดือนเชาวาล ฮ.ศ. 7 แต่ท่านได้เสนอมะฮัรฺให้แก่นาง แม้นางจะเป็นผู้เสนอตัวเอง

   ทั้งหมดนี้เป็นสิทธิพิเศษสำหรับท่านนบีที่จะทำให้ท่านปฏิบัติหน้าที่ของท่านโดยไม่มีอุปสรรค เช่น เพื่อสร้างมิตรภาพระหว่างกลุ่ม เผ่า

 และบรรดาหัวหน้ากลุ่มหรือเผ่าต่าง ๆ รวมทั้งการให้การดูแลคุ้มครองแม่ม่ายที่เกิดจากสงคราม

   - ไม่เป็นที่อนุมัติสำหรับผู้ศรัทธาชายที่จะมีภรรยามากกว่า 4 คนในเวลาเดียวกัน และ

    - ไม่เป็นที่อนุมัติที่จะไม่จ่ายมะฮัรฺให้แก่หญิงที่เสนอตัวเองให้แก่ชายผู้ศรัทธา

 
คำอธิบายนี้เก็บความจาก “ตัฟฮีมุลกุรฺอาน” เล่ม 5  หน้า 2062-2063 (บรรจง บินกาซัน แปล)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #36 เมื่อ: ก.พ. 03, 2010, 09:19 PM »
0

วะอะลัยกุมมุสลาม วะเราะมาตุลลอฮฺ วะบารอกาตุ

อัลฮัมดุลิลลาฮฺ...

แจ่มแจ้งแล้วค่ะแช ขอบคุณค่ะ... ;D

จะรออ่านต่อไปนะคะ ชอบค่ะ อยากเป็นให้ได้ดั่งมารดาแห่งศรัทธาชน...
ขอแค่เสี้ยวนึงก็ยังดีค่ะ อินชาอัลลอฮฺ

วัสลามค่ะ

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #37 เมื่อ: ก.พ. 08, 2010, 07:58 PM »
0
 salam

ตอนที่ 10

ท่านร่อซุลุลลอฮ์
การสมรสกับญุวัยรียะฮ์ บินติ อัลฮาริษ ร่อดิยั้ลฯ

    อาอิซะฮ์ได้พูดถึงญุวัยรียะฮ์ว่า
    “นางเป็นสตรีที่สวยมาก ไม่ว่าใครเห็นนางจะต้องเอ่ยปากชมและนึกถึงความน่ารักของนาง”
    เหตุที่มาของการที่ท่านศาสดาแต่งงานกับญุวัยรียะฮ์ บินติ อัลฮาริษ เริ่มขึ้นที่ท่านศาสดาได้รับข่าวว่าผ๔นำของชนเผ่า อัล-มุสตอลิก นามว่า อัล-ฮาริษ บิน ติร๊อร วางแผนที่จะขยี้กองทัพของมุสลิม
    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปีที่หกแห่งฮิจเราะฮ์ศักราช ฮาริษ บิน ติร๊อรเป็นแม่ทัพ เป็นผู้นำ เป็นผู้อาวุโสของชนเผ่า อัล-มุสตอลิก เขาเป็นบิดาของบัรเราะฮ์ ซึ่งเป็นชื่อเดิมของญุวัยรียะฮ์
    การสู้รบกันเกิดขึ้นที่ อัล-มุรอยเซี๊ยอ์ ซึ่งฝ่ายมุสลิมได้รับชัยชนะ และได้จับเชลยทั้งชายและหญิงไว้เป็นจำนวนมาก ในจำนวนนั้นมีญุวัยรียะฮ์รวมอยู่ด้วย
    ญุวัยรียะฮ์เคยเป็นภรรยาของมะซาเฟี๊ยะ บิน ซ๊อฟวาน ซึ่งเป็นลูกของลุงนาง สามีของนางเป็นศัตรูตัวฉกาจของอิสลามซึ่งถูกฆ่าตายในสมรภูมินี้
    ญุวัยรียะฮ์จึงได้มาพบท่านศาสดา เพื่อขอให้คลี่คลายสถานภาพของนาง
    พระนางอาอีซะฮ์ได้เล่าไว้ว่า ในสงครามครั้งนี้ ฉันได้ออกสงครามร่วมกับท่านศาสดา เมื่อฉันเห็นนางมาที่ประตูที่พักของฉัน ฉันรู้สึกรังเกียจนางเหลือเกิน ฉันรู้ดีว่าท่านศาสดาเมื่อได้เห็นนาง ต้องมีความรู้สึกเหมือนอย่างที่ฉันเห็น(นั่นคือนางน่ารักเหลือเกิน)
    แล้วเมื่อนางเข้าพบท่านศาสดา พร้อมรายงานตัวว่า นางคือ ญุวัยรียะฮ์ บินติ อัล-ฮาริษ บินอะบีย์ ติร๊อร ซึ่งเป็นอาวุโสสูงสุดของชนเผ่าอัล-มุสตอลิก
    นางกล่าวว่า นางได้รับบะลา ซึ่งท่านเท่านั้นที่จะแก้ไขสถานการณ์ได้ บะลาดังกล่าวนั้น คือ ฉันถูกซาบิต บิน กอยส์ บิน อัซซัมมาส จับเป็นเชลย แล้วฉันได้ขอไถ่ตัว การมาพบท่านนี้ เพื่อขอให้ท่านได้ไถ่ตัวฉันด้วย
    ท่านศาสดาได้พูดว่า มีอะไรอื่นอีกไหม สำหรับการขอความช่วยเหลือจากฉัน ?
    นางตอบว่า หมายถึงอะไรหรือ ท่านร่อซูล ศ้อลฯ ?
    ท่านศาสดาจึงกล่าวว่า ฉันรับผิดชอบในการไถ่ตัวของเธอ และฉันขอแต่งงานกับเธอ
    นางกล่าวตอบว่า เป็นความยินดีอย่างยิ่ง
    การแต่งงานของท่านร่อซูลุลลอฮ์ กับ ญุวัยรียะฮ์ แฝงไว้ด้วยบทเรียนที่สำคัญ นั่นคือการลบล้างความรู้สึกของผู้คนสมัยนั้น ที่รังเกียจทาสีหรือเชลยศึก และเป็นการสอนบรรดาสาวกให้ดูแลและให้เกียรติเฉลยศึกที่เป็นสตรี อีกทั้งเป็นการสอนถึงกุศโลบายด้วยการให้เกียรติผู้นำของชนผู้ไร้ศรัทธา ทั้งนี้ เนื่องจากนางเป็นธิดาของผู้อาวุโสสูงสุดของชนเผ่านั้น
    ชาวมุสตอลิกได้รับข่าวการสมรสนี้ด้วยความรู้สึกที่ยินดี ซึ่งท่านร่อซูล ศ้อลฯ ได้ปล่อยสตรีที่เป็นเชลยศึกของชนเผ่ามุสตอลิกทั้งหมด เพื่อเป็นการให้เกียรติในการผูกสัมพันธ์ฐานการสมรส
    พระนางอาอีซะฮ์ได้เล่าถึงสถานการณ์นี้ว่า ในการสงครามครั้งนี้ กองทัพมุสลิมจับเชลยศึกไว้ได้เป็นจำนวนมาก ท่านศาสดาได้แบ่งเชลยศึกให้ทหารราบหนึ่งส่วนและทหารม้าสองส่วน ซึ่งญุวัยรียะฮ์ถูกแบ่งเป็นของซาบิต บิน กอยส์ แล้วนางได้เข้าพบท่านร่อซูล ศ้อลฯ เพื่อขอให้ช่วยไถ่ตัวนาง แล้วท่านร่อซูล ศ้อลฯ ได้สมรสกับนางเพื่อเป็นการไถ่ตัว
    เมื่อข่าวการแต่งงานแพร่สะพัดออกไป ผู้คนต่างแปลกประหลาดใจด้วยการกล่าวถ้อยคำที่ส่อถึงความฉงนใจว่า บรรดาเผ่าที่เป็นดองกับท่านศาสดาถูกจับเป็นเชลย แล้วพวกเขาก็ถูกปล่อยให้เป็นเสรีชนถึงประมาณร้อยครอบครัว ด้วยการที่ท่านศาสดา ศ้อลฯ ทรงสมรสกับญุวัยรียะฮ์ ธิดาของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งชนเผ่านั้น
    ฮาริษ บิน ติร๊อรฺ ได้เข้าพบท่านศาสดา ศ้อลฯ เพื่อปรารภว่า ลูกสาวของฉันไม่สมควรที่จะเป็นเชลย ท่านศาสดา ศ้อลฯ จึงให้อำนาจแก่ฮาริษ เพื่อเลือกอนาคตให้แก่ธิดาสาว ยังความปลื้มใจแก่ฮาริษมาก และเมื่อฮาริษได้บอกถึงโอกาสนี้แก่ธิดาสาว นางก็ได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่อนาคตของนางด้วยการเข้าสู่พิธีสมรสกับพระศาสดา ศ้อลฯ
    แล้วต่อมา อัล-ฮาริษ บิน ติร๊อร ก็ได้เข้ารับนับถืออิสลาม ซึ่งถือเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของอิสลามและของฮาริษ ตลอดจนเผ่ามุสตอลิก ทั้งนี้ก็เพราะความประทับใจที่ฮาริษมีต่อองค์พระศาสดา ศ้อลฯ
    พระนางญุวัยรียะฮ์ ก็ได้รับการสถาปนาเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระศาสดา ศ้อลฯ นางเป็นคนในครอบครัวแห่งศาสดา ที่รักในการทำอิบาดะฮ์มากที่สุด
    การเข้าสู่พิธีสมรสของนางกับพระศาสดา ศ้อลฯ เป็นตัวอย่างอันสูงว่ง บ่งชี้ถึงความรัก ความปรารถนาดีที่พระศาสดา ศ้อลฯ มีต่อชาวโลก เป็นการให้เกียรติผู้นำของชนเผ่าที่ตกอยู่ในสภาพปราชัย
    ขออัลลอฮ์ ได้โปรดยินดีกับพระนางญุวัยรียะฮ์ บินติ อัล-ฮาริษ


วัสสลาม

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #38 เมื่อ: ก.พ. 09, 2010, 05:37 AM »
0

ตอนที่ 11 (สุดท้าย)

ท่านร่อซูลุลลอฮ์
การสมรสกับรอมละฮ์ บินติ อะบีซุฟยาน


   ชายหญิงจากมักกะฮ์จำนวนหนึ่งเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งในจำนวนหญิงที่เข้ารับนับถือ คือ รอมละฮฺ บินติอะบีซุฟยาน ซึ่ง(อะบูซุฟยาน)เป็นผู้นำของชาวกุเรซและเป็นหัวหน้าสูงสุดของชนชาวมักกะฮ์ในสมัยนั้น อีกทั้งยังเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของบรมศาสดา ศ้อลฯ
   รอมละฮ์ บินติ อะบีซุฟยาน เป็นภรรยาของอุบัยดุลลอฮ์ บิน ญะห์ซิน ทั้งสองได้เข้ารับนับถืออิสลามและได้ฮิจเราะฮ์ไปยังฮะบะซะฮ์ สำหรับรอมละฮ์นี้ ผู้คนในสมัยนั้นรู้จักกันในนาม “อุมมุหะบีบะฮ์”
   ที่ฮะบะซะฮ์นั้น รอมละฮ์ต้องได้รับความโศกเศร้าอย่างที่สุด เนื่องจากสามีของนางเกิดความสับสนและคลางแคลงในอิสลาม จนถึงกับเข้านับถือนัศรอนีย์(คริสต์)
   นางได้รับความเสียใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก แต่กระนั้นนางก็ยังยืนหยัดอยู่ในอิสลามอย่างเหนียวแน่น ไม่ยอมถือศาสนาใหม่ตามสามีแต่ประการใด
   ที่ฮะบะซะฮ์ นางต้องอยู่โดดเดี่ยว ไร้ที่พึ่ง ความทุกข์ระทมอันสุดแสนกระหน่ำทับถมสู่ร่างกายและจิตใจของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า กอปรกับความวิตกหวาดผวาในความดุร้ายของอะบูซุฟยานผู้เป็นบิดา ซึ่งคือศัตรูหมายเลขหนึ่งของท่านศาสดาดังได้กล่าวแล้ว
   ส่วนมารดาของนาง คือ ฮินดุนนั้น เป็นศัตรูของศาสดาที่หมายจะฆ่าฮัมซะฮ์ ผู้เป็นราชสีห์แห่งอิสลาม
   ทั้งหมดเหล่านี้ ยิ่งสร้างความวิตก ความทุกข์ ความกังวลให้เกิดขึ้นแก่หัวใจอันอ่อนโยน นิ่มนวลของนาง
   ไม่นานต่อมา สามีของนางถึงแก่กรรม ณ ที่ฮะบะซะฮ์นั้น
   ยิ่งทำให้นางโดดเดี่ยว ไม่รู้จะอยู่ต่อไปอย่างไร ? นางได้มอบชีวิตของนางไว้กับพระเป็นเจ้า
   ข่าวความระทมทุกข์ของอุมมุหะบีบะฮ์ได้แพร่สะพัดมาถึงท่านร่อซูลุลลอฮ์ ทำให้ท่านร่อซูล ศ้อลฯ ปรารถนาที่จะทดแทนความอดทนต่อสู้ของนาง จึงได้มีสารไปยังนัจยาซีย์ผู้เป็นเจ้าเมืองฮะบะซะฮ์ ในสารระบุถึงความปรารถนาที่จะขอแต่งงานกับนางด้วย
   นัจยาซีย์จึงได้ส่งคนไปบอกถึงความในสารนั้นแก่นาง นางมีความดีใจมาก และพร้อมกันนั้น ท่าน ร่อซูล ศ้อลฯ ได้ส่งค่าสมรสไปให้นางเป็นเงิน 400 ดิรฮัมด้วย
   และในการนี้ นัจยาซีย์ก็ได้มอบของขวัญมากมายแก่นางด้วยเช่นกัน
   นางเดินทางไปยังมะดีนะฮ์ โดยที่กษัตริย์นัจยาซีย์ได้ให้ซาเราะห์มีล คุ้มกันนางตลอดเส้นทาง
   และนางก็ได้เข้าสู่พิธีสมรสกับพระบรมศาสดา ศ้อลฯ
   เมื่อข่าวการสมรสของนางกับท่านศาสดา ศ้อลฯ แพร่สะพัดไปถึง อะบูซุฟยานผู้เป็บิดาถึงกับกล่าวด้วยความยโสลำพองว่า แต่งกับสัตว์ที่ไม่มีสะพายนั้นนะหรือ ?
   อยู่มาวันหนึ่ง อะบูซุฟยานได้ไปหาอุมมุหะบีบะฮ์ภรรยาของจอมศาสดา โดยหวังว่าจะสามารถนำนางกลับมาอยู่ในศาสนาเดิมได้
เมื่ออะบูซุฟยานได้เข้าไปในบ้าน และกำลังจะนั่งลงบนที่นั่งในบ้านของนาง นางได้ห้ามมิให้อะบูซุฟยานกระทบที่นั่งนั้น เป็นเหตุให้อะบูซุฟยานโกรธมาก จึงพูดขึ้นว่า ที่นั่งนี้มันไม่มีเกียรติพอที่จะให้พ่อได้นั่ง หรือพ่อไม่มีเกียรติพอที่จะนั่งบนที่นั่งนี้ นางกล่าวสวนออกมาทันทีว่า พ่อไม่มีเกียรติพอที่จะนั่งบนที่นั่งนี้ เพราะนี่คือที่นั่งของท่านร่อซูลุลลอฮ์ ส่วนพ่อมีหัวใจที่สกปรก พ่อไม่ได้เป็นผู้ศรัทธา
   อะบูซุฟยานโกรธมากยิ่งขึ้นถึงกับกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า ลูกจะต้องประสบกับความเลวร้ายหายนะอย่างที่สุด
   อุมมุหะบีบะฮ์ ภรรยาแห่งท่านศาสดา ศ้อลฯกล่าวว่า มิได้หรอกพ่อ ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า ความดีต่างหากที่จะประสบกับลูก
   ในปีฟัตห์(ชัยชนะ)มักกะฮ์ อะบูซุฟยานได้เข้ารับนับถืออิสลาม โดยศาสดาได้ให้เกียรติแก่อะบูซุฟยานด้วยการให้ผู้ประกาศ ประกาศว่า “ใครเข้ามาอยู่ในมัสยิดหะรอม จะได้รับความปลอดภัย และใครเข้ามาอยู่ในบ้านอะบูซุฟยานก็จะได้รับความปลอดภัย
   อะบูซุฟยานได้ร่วมปกป้องอธิปไตยแห่ง อัล-อิสลาม ด้วยการเข้าร่วมรบ ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับกองทัพของมุสลิม และรอมละฮ์ธิดาสาวของอะบูซุฟยาน ที่รู้จักในนามอุมมุหะบีบะฮ์ ก็ได้กลายเป็นมารดาแห่งศรัทธาชนซึ่งเปี่ยมสุขไปด้วยความรัก ความเคารพจากศรัทธาชนทั้งมวลจวบจนปัจจุบัน


.............................................................

จบข้อความทั้งหมดในหนังสือ วันเวลาของพระศาสดา ศ้อลฯ กับมารดาแห่งศรัทธาชน
หรือ เมื่อพระศาสดาเป็นสามี โดย การีม วันแอเลาะ

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #39 เมื่อ: ก.ย. 01, 2010, 11:35 AM »
0
 salam

อ่านจบแล้วค่ะแช (เพิ่งมีเวลาเข้ามาต่อค่ะ  hehe )
ญะซากัลลอฮุคอยรอนค่ะ...  myGreat:

อัลฮัมดุลิลลาฮฺ....

 loveit:

วัสสลามค่ะ

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #40 เมื่อ: ก.ย. 05, 2013, 05:10 PM »
0

กลับมาอ่านอีกรอบ...
เลยทำให้เกิดคำถามว่า...

หนังสือเล่มนี้ไม่ได้บอกไว้เกี่ยวกับท่านหญิงอาอิชะ
เกี่ยวกับว่าพระนางเสียชีวิตปีไหน อายุเท่าไหร่ ใช้ชีวิตคู่กับท่านศาสนทูต
เป็นระยะเวลาเท่าไหร่...แล้วศพถูกฝังอยู่ที่ไหน
เหมือนๆกับที่เขียนเกี่ยวกับภรรยาท่านอื่นๆของท่านรอซู้ล หรือคะ...

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #41 เมื่อ: ก.ย. 08, 2013, 05:04 PM »
0
 :salam:

หาต้นฉบับไม่เจอแล้ว

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #42 เมื่อ: ก.ย. 08, 2013, 05:57 PM »
0
วะอะลัยกุมมุสลามค่ะ

น้ำท่วมครั้งก่อนคงมีอิทธิพลทำให้ต้นฉบับลอยตามน้ำไปใช่มั้ยคะแช
ป่านนี้อาจจะลอยไปติดอยู่ที่ปากอ่าวที่ไหนสักอ่าวนึง...
เพราะหนูไม่คิดว่าบ้านแชจะมีปลวกเหมือนบ้านหนู...
เนื่องจากกลับบ้านไปรอบก่อน...หนังสือสุดรักของหนูโดนปลวกเคี้ยวเล่น
ไปหลายเล่ม พ่อบอกว่า โทษทีที่ไม่ทันดูให้ พวกมันบุกเข้าบ้านเราแบบเงียบๆ
เราเลยไม่ทันตั้งตัว ไม่มีเวลาตั้งรับ แต่ตอนนี้มันเสร็จเราแล้ว
(แต่กว่ามันจะเสร็จเรา หนังสือหนูก็เสร็จมันไปแล้วค่ะแช) ^^


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ alkiyamah

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 34
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #43 เมื่อ: ก.ย. 08, 2013, 07:42 PM »
+1
บทสรุป

          ท่านหญิงอาอิชะฮฺ ได้ใช้ชีวิตอย่างสมถะเรียบง่าย และเป็นบรมครูผู้เชี่ยวชาญในการถ่ายทอดวิชาความรู้ และเผยแผ่หลักธรรมคำสอนของศาสนาอิสลาม เป็นระยะเวลาอีก 48 ปี ภายหลังจากการเสียชีวิตของท่านรอซูลุลลอฮฺ 

          ท่านหญิงอาอิชะฮฺได้ล้มป่วยและเสียชีวิตในคืน วันอังคารที่ 17 เดือนรอมฏอน ปี ฮ.ศ. 58 ขณะที่ท่านอายุได้ 66 ปี (บางทัศนะกล่าวว่า 73 ปี) โดยมีท่านอบูฮุรอยเราะฮฺเป็นผู้นำละหมาดญะนาซะฮฺ และร่างอันทรงเกียรติของท่านหญิงอาอิชะฮฺได้ถูกฝังไว้ ณ กุโบรอัลบะกีอฺ พร้อมกับภริยาคนอื่นๆ ของท่านศาสดามูฮัมหมัด 

          แม้ว่าท่านหญิงอาอิชะฮฺ สตรีผู้เป็นที่รักยิ่งของท่านศาสดา  และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับท่านในฐานะภริยาอย่างทรงคุณค่าที่สุดตลอดระยะเวลา 9 ปีจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ชื่อเสียงและเกียรติประวัติ ตลอดจนคุณงามความดี ความรู้ของสตรีผู้เพียบพร้อม เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม และจริยวัตรอันงดงามเหล่านี้ ยังคงมีบทบาทสูงสุดต่อคำสอนของอิสลาม และเป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดแก่บรรดาสตรีผู้ศรัทธาทั้งหลาย ทั้งในด้านการใช้ชีวิต ความเป็นอยู่ ครอบครัว และสังคม ซึ่งควรน้อมนำไปปฏิบัติตาม และนี่คือเรื่องราวของ “ท่านหญิงอาอิชะฮฺ รอฏิยัลลอฮุอันฮุมา” มารดาแห่งศรัทธาชน

ที่มา :
http://www.islammore.com/main/content.php?page=sub&category=66&id=2413
http://www.islammore.com/main/content.php?page=sub&category=66&id=2410
http://www.islammore.com/main/content.php?page=sub&category=66&id=2409
http://www.islammore.com/main/content.php?page=sub&category=66&id=2408

 

GoogleTagged