ผู้เขียน หัวข้อ: ความสำคัญของ ?อัลอัซฮาร์? ต่อมุสลิมและรัฐบาลไทย  (อ่าน 3120 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ musalmarn

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 796
  • เพศ: ชาย
  • สักวัน... ฉันจะขี่ม้า
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
    • ชมรมศาสนศึกษา แผนกอิสลาม มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์

ความสำคัญของ ?อัลอัซฮาร์? ต่อมุสลิมและรัฐบาลไทย


ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตากรุณาปรานีเสมอ ขอความสันติและความจำเริญแด่ศาสดามุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่าน

ระหว่างวันที่ 23-30 มิถุนายน 2550 ผู้อ่านคงได้มีโอกาสอ่านข่าว ฟังข่าวเกี่ยวการมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาลของ ดร. มูฮัมหมัด ซัยยิด ฏอนฏอวี[1] (Dr. Muhammad Sayid Tantawy) ผู้นำสูงสุดของมหาวิทยาลัยอัลอัซฮาร์และผู้นำสูงสุดทางศาสนาอิสลามของอียิปต์ หรือ Grand Imam of Al Azhar เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันในด้านกิจการศาสนาอิสลาม ตลอดจนการขยายความร่วมมือด้านการศึกษาของเยาวชนไทยมุสลิม และเพื่อสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา (interfaith dialogue) ตามนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาและเสริมสร้างสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้

แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้จักสถาบันอัลอัซฮาร์แห่งนี้ ดังนั้นการรู้จักสถาบันแห่งนี้จะทำให้หลายคนรู้ถึงจุดประสงค์ของวิถีทางการทูตของรัฐต่อโลกมุสลิมในการแก้ปัญหาชายแดนใต้

รู้จักอัลอัซฮาร์

ในขณะนักเรียนมัธยมทั่วประเทศได้ทราบผล Anet และ Onet เพื่อศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในสถาบันต่างๆ ของประเทศไทย

แต่สำหรับนักเรียนมุสลิมภาคใต้ หรือภาคอื่นของไทยดูเหมือนจะมีทางเลือกมากกว่านักเรียนทั่วไปแม้สถาบันอุดมศึกษาด้านวิชาการมุสลิมในประเทศจะมีอยู่เพียง 2 แห่ง เท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะนักเรียนส่วนหนึ่งกำลังหาที่เรียนในต่างประเทศ สถาบันหนึ่งที่นักศึกษามุสลิมต้องการไปเรียนมากที่สุดคือ มหาวิทยาลัยอัลอัซฮาร์ (AL-Azhar) ประเทศอียิปต์ สถาบันวิชาการศาสนาของโลกมุสลิม ซึ่งก่อตั้งมานานนับพันปี เรียกได้ว่าเก่าแก่กว่ามหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด ของอังกฤษเสียอีก

ที่นี่เสมือนมหาวิทยาลัยเปิด ตลาดวิชาสำหรับมุสลิมผู้ศรัทธา ใส่ใจในหลักวิชาการศาสนาทุกคน ไม่มีการสอบคัดเลือกเพื่อเข้าศึกษา

ในปีหนึ่งๆ จะมีนักศึกษามุสลิมจากภาคใต้หรือที่อื่น เข้าศึกษาต่อด้านศาสนาและสามัญ (แต่ส่วนใหญ่เป็นศาสนา) ในระดับอุดมศึกษาที่สถาบันแห่งนี้ ไม่ต่ำกว่า 100 คน หากรวมนักศึกษามุสลิมจากประเทศไทย ที่กำลังศึกษาอยู่ในสถาบันแห่งนี้ทุกชั้นปี คาดว่ามีไม่ต่ำกว่า 3,000 คน

ก่อนที่ผู้เขียนจะกล่าวถึงสาเหตุที่มุสลิมไปเรียนต่อที่อียิปต์ ผู้เขียนขอกล่าวถึงหลักสูตรการเรียนศาสนาที่จังหวัดชายแดนใต้

หลักสูตรการเรียนศาสนาอิสลามได้แบ่งชั้นเรียนเป็น ๑๐ ชั้นปี (แต่ปัจจุบันได้ปรับเป็น 12 ปีตามการศึกษาขั้นพื้นฐาน) ได้แก่ หลักสูตรอิสลามศึกษาตอนต้น (- อิบติดาอียะฮฺ ปีที่ 1-4 หรือ 1-6) หลักสูตรอิสลามศึกษาตอนกลาง (- มุตาวัซซีเตาะฮฺ ปีที่ 5-7) และหลักสูตรอิสลามศึกษาตอนปลาย (- ซานาวียะฮฺ ปีที่ 8-10)

การเรียนการสอนในหลักสูตรจะแบ่งเป็น 3 หมวดวิชา 1.หมวดด้านศาสนา ประกอบด้วยวิชาหลักศรัทธา, คัมภีร์อัลกุรอาน, อรรถาธิบายอัลกุรอาน, หลักการอรรถาธิบายกุรอาน, วจนะศาสดา, หลักการวจนะศาสดา, กฏหมายอิสลาม, หลักการนิติศาสตร์อิสลาม, การแบ่งมรดก 2.หมวดภาษา ประกอบด้วย ภาษาอาหรับ, สำนวนโวหารอาหรับ, ภาษามลายู, ภาษาอังกฤษ 3.หมวดสังคมและจริยธรรม ประกอบด้วยวิชาประวัติศาสตร์อิสลาม, มารยาทอิสลาม และมารยาทกับต่างศาสนิก, เศรษฐศาสตร์อิสลาม, ตรรกศาสตร์, ปรัชญาอิสลาม, ดาราศาสตร์

โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีมากกว่า 300 แห่ง และผู้ที่จบระดับซานาวีย์ (อิสลามศึกษาตอนปลาย) ในปีหนึ่งๆ ไม่ต่ำกว่า 900 คน ในขณะสถาบันการศึกษาด้านศาสนาระดับมหาวิทยาลัยของไทยมีเพียง 2 แห่ง คือวิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และวิทยาลัยอิสลามยะลา ซึ่งรับนักเรียนปีหนึ่งๆ เพียงไม่กี่คน ทำให้นักเรียนที่เหลือต้องดิ้นรนไปศึกษาต่อยังต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นมาเลเซียอินโดนีเซีย บูรไน ตะวันออกกลางซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นมหาวิทยาลัยปิดมีโควตาชัดเจนในการรับนักศึกษาใหม่

แต่สำหรับมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัรเป็นมหาวิทยาลัยเปิดรับไม่อั้น เพียงให้มีใบรับรองการจบศาสนาระดับซานาวีย์ก็เพียงพอ ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุให้มีนักศึกษาไทยตัดสินใจไปที่นั้นเป็นเหตุผลหลัก ส่วนเหตุผลรองคือ มหาวิทยาลัยอัลอัซฮัรเป็นมหาวิทยาลัยด้านอิสลามศึกษาติดอันดับหนึ่งของโลกมุสลิม และที่สำคัญหากต้องการพูดอาหรับได้ดีต้องเรียนโลกอาหรับเท่านั้น ซึ่งเหมือนกับภาษาอังกฤษหากต้องการพูดภาษาอังกฤษได้ดีต้องเรียนกับเจ้าของภาษาเท่านั้น

มีต่อ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิ.ย. 27, 2007, 05:05 PM โดย [MusalmarN] »

ออฟไลน์ กูปีเยาะฮฺสะอื้น

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1679
  • เพศ: ชาย
  • ที่สุดแห่งชีวิต
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
เมื่อวานได้ไปร่วมการรับปริญญาดุษฎีบัณดิษของท่านเชค ที่ม.อ. หาดใหญ่มาด้วย
ดีใจมากๆ
มีหลักเกณฑ์ ยึดหลักการ มีหลักฐาน มั่นหลักธรรม

ออฟไลน์ musalmarn

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 796
  • เพศ: ชาย
  • สักวัน... ฉันจะขี่ม้า
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
    • ชมรมศาสนศึกษา แผนกอิสลาม มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
ความสำคัญของ ‘อัลอัซฮาร์’ ต่อมุสลิมและ&
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มิ.ย. 27, 2007, 04:58 PM »
0
ประวัติ การก่อตั้ง มหาลัยอัลอัซฮัร

หลังการพิชิตอียิปต์ของพวกฟาตีมียะห์ โดยแม่ทัพ เญาฮัร อัซซิกิลลีย์ ในยุคสมัยคอลีฟะห์ อัลมุอิซซ์ลี ดีนิลลลาห์ แห่งราชวงศ์ฟาตีมียะห์ แม่ทัพเญาฮัร อัซซิกกิลลีย์ก็ได้สร้างกรุงไคโร ขึ้นเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ แล้วเสร็จราว 9 เดือน แม่ทัพเญาฮัรก็ได้สร้างมัสยิดญามิอ์ อัลอัซฮัร เพื่อเป็นสถานที่ประกอบนมัสการ โดยเปิดละหมาดวันศุกร์อย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 7 เดือนรอมาดอน ปี ฮ.ศ. 361

มัสยิดญามิอ์ อัลฮัซฮัร นับเป็นมัสยิด สำคัญแห่งที่ 4 ในหัวเมืองสำคัญของอาณาจักรอิสลาม ในยุคแรกวัตถุประสงค์การก่อสร้างนั้น มิใช่เพื่อจะให้เป็นสถาบันทางการศึกษาเหมือนดังปัจจุบัน แต่สร้างขึ้นเพื่อเป็นมัสยิดหลวงอย่างเป็นทางการของพวกฟาตีมียะห์ และเพื่อเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงการเผยแพร่แนวคำสอนของชีอะห์ อิสมาอีลียะห์ที่พวกฟาตีมียะห์ยึดถือ

ความคิดในเรื่องการใช้มัสยิดอัลฮัซฮัรเป็นสถาบันการศึกษานั้น เพิ่งจะมาเริ่มในยุคสมัยคอลีฟะห์ อัลอาซีซ บิลลาห์ อันเป็นผลมาจากการแน่นหนักในการเผยแพร่แนวคำสอนของชีอะห์ ดังนั้นในปี ฮ.ศ. 378 เสนาบดียะกู๊บ อิบนุ กิลลิซ ซึ่งเป็นชาวยิวที่รับอิสลาม ได้แต่งตั้งนักวิชาการนิติศาสตร์จำนวน 37 ท่าน ให้ดำเนินการเรียนการสอนตามแนวทางชีอะห์

ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา มัสยิดญามิอ์ อัลอัซฮัร ก็กลายเป็นสถาบันทางการศึกษาหรือมหาวิทยาลัยที่สำคัญในโลกอิสลาม เหตุที่เรียกสถาบันทางการศึกษาซึ่งแต่ดั้งเดิมคือ มัสยิดญามิอ์แห่งนี้ว่า อัลอัซฮัร ก็เพื่อว่าเป็นอนุสรณ์แก่ท่านหญิงฟาตีมะห์ อัซซะฮ์รอฮ์ บุตรีของท่านศาสนทูต บ้างก็ว่าที่เรียกเช่นนั้นก็เพราะมีบรรดาปราสาท และตำหนักของคอลีฟะห์ตลอดจนสวนดอกไม้ ที่ถูกสร้างอยู่รายรอบ

นาม "มหาวิทยาลัยอัล-อัซฮาร์ อัชชะรีฟ" ซึ่งมีความเก่าแก่มากกว่ามหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ของอังกฤษเสียอีก
 
คณะการศึกษาต่างๆ อัลอัซฮัร

มหาวิทยาลัยอัล อัซฮัร จะเปิดรับสมัครนักศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศประมาณกลางเดือนกันยายน – กลางเดือนตุลาคมของทุกปี และจะเปิดทำการสอนภาคเรียนที่ 1 ประมาณเดือนตุลาคม เป็นต้นไป ซึ่งคณะต่าง ๆ ที่ทางมหาวิทยาลัยจะทำการเปิดสอนมีดังนี้

1. คณะศาสนศาสตร์
2. คณะนิติศาสตร์อิสลาม-สากล
3. คณะอักษรศาสตร์
4. คณะศึกษาศาสตร์อิสลามและภาษาอาหรับ
5. คณะนิเทศศาสตร์อิสลาม
6. คณะพาณิชยกรรมศาสตร์
7. คณะคุรุศาสตร์
8. คณะอักษรศาสตร์และการแปล
9. คณะแพทย์ศาสตร์
10. คณะเภสัชกรรมศาสตร์
11. คณะทันตกรรมศาสตร์
12. คณะวิศวกรรมศาสตร์
13. คณะวิทยาศาสตร์
14. คณะเกษตรศาสตร์


ทั้ง 14 คณะที่กล่าวข้างต้นนั้น ที่เป็นสายศาสนามี 4 คณะ คือ คณะศาสนศาสตร์ คณะนิติศาสตร์อิสลามและสากล คณะอักษรศาสตร์ภาษาอาหรับ คณะนิเทศศาสตร์อิสลาม ส่วนคณะที่เป็นกึ่งศาสนา – สามัญ มี 2 คณะ คือ ศึกษาศาสตร์ และคุรุศาสตร์ ส่วนคณะต่าง ๆ ที่นอกเหนือจาก 6 คณะนี้ เป็นสายสามัญ (ซึ่งหากนักศึกษาไทยสามารถนำมาวุฒิมัธยมศึกษาปีที่6มาศึกษาต่อได้)

คำสอนของท่านศาสนาระบุไว้ชัดเจนกว่าพันปีแล้วว่า มุสลิมที่ดีต้องเรียนรู้ศึกษาตลอดชีวิต จากครรภ์มารดา จนถึงหลุมฝังศพ

มหาวิทยาลัยอัลอัซฮาร์ เป็นตัวอย่างหนึ่งของสถาบันอุดมศึกษา ในโลกมุสลิม ซึ่งมุ่งให้โอกาสทางการศึกษาแก่มุสลิมผู้ศรัทธาอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่คำนึงถึงแม้แต่ความสามารถและสติปัญญา

มหาวิทยาลัยอัลอัซฮาร์ ไม่เพียงแต่สถาบันการศึกษาเท่านั้นแต่ ยังเป็นสถาบันที่ (ได้รับการยอมรับจากนักวิชาการโลกมุสลิม) ให้บริการตอบปัญหาศาสนาแก่มุสลิมทั่วโลกตามแนวคิดอิสลามสายกลางโดยเฉพาะปัญหาการก่อการร้ายที่ทำในนามศาสนา ซึ่งปัญหาการตีความศาสนาเกี่ยวกับชายแดนใต้หากเป็นไปได้ควรให้ผู้เชี่ยวชาญภาษาอาหรับหรืออังกฤษส่งไปสถาบันแห่งนี้ได้ อันจะนำความกระจ่างแก่คนมุสลิมชายแดนใต้อย่างแน่นอน (โปรดดูคำวินิฉัยของผู้ก่อการได้ที่ http://amandamai.com/thai/content.php?page=sub&category=28&id=251)

หากผู้อ่าน รัฐบาลหรือผู้ที่ทำงานความมั่นคงอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวผู้นำอัลอัซฮาร์ และ สถาบันอัลอัซฮาร์สามารถหาข้อมูลภาษาอาหรับหรืออังกฤษเพิ่มเติมได้ที่ http://www.alazhar.org/index6.htm หรือข้อมูลนักเรียนไทยที่อียิปต์ได้ที่ http://www.miftahcairo.com



[1] ประวัติโดยสังเขปของ ดร. มูฮัมหมัด ซัยยิด ฏอนฏอวี เกิด 28 ตุลาคม 1928 ที่เมืองซูฮาค ประเทศอียิปต์ จำคัมภีร์อัลกุรอานตั้งแต่เด็ก จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่วิทยาลัยอเลกซานเดรีย ปริญญาตรี โท และเอก สาขาวิชาอรรถาธิบาย คัมภีร์อัลกุรอาน ณ มหาวิทยาลัยอัลอัซฮาร์ ประเทศอียิปต์ ระดับเกียรตินิยม ปี 1966 ปี 1968 เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยอัลอัซฮาร์ ปี 1976 เป็นคณบดีคณะศาสนศาสตร์ ปี 1986 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นมุฟตี ( ผู้ตัดสินปัญหาศาสนา) ประจำประเทศอียิปต์ ปี 1996 ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้นำสูงสุดของอัลอัซฮาร์

อ้างอิงจาก ; ประชาไทออนไลน์

โดย อ. อับดุชชะกูร์ บิน ชาฟิอีย์ ดินอะ
ผู้ช่วยผู้จัดการโรงเรียนจริยธรรมศึกษามูลนิธิ ต.สะกอม อ.จะนะ จ.สงขลา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 02, 2007, 11:32 PM โดย [MusalmarN] »

ออฟไลน์ musalmarn

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 796
  • เพศ: ชาย
  • สักวัน... ฉันจะขี่ม้า
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
    • ชมรมศาสนศึกษา แผนกอิสลาม มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
ผู้นำอิสลามของอียิปต์ ชี้ทำความเข้าใจ-รับฟัง ช่วยให้อยู่กันอย่างสันติ

สภามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์มอบปริญญาศิลปศาสตร์ ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาอิสลามศึกษา แก่ ดร.โมฮาหมัด  ซาอิด  ตันตาวี (H.E.Prof.Dr. Muhammad Sayid Tantawy) แห่งมหาวิทยาลัยอัล ? อัซฮาร์ และผู้นำสูงสุดทางศาสนาอิสลาม ของประเทศสาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ ในฐานะที่เป็นผู้มีบทบาทสำคัญด้านอิสลามศึกษาในระดับนานาชาติ โดยมี นายชวน หลีกภัย อุปนายกสภามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นประธานมอบ

เมื่อเวลา 14.00 น. (26 มิ.ย.)  ที่ห้องประชุมทองจันทร์ หงศ์ลดารมภ์  อาคารเรียนรวมและหอสมุด คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ สภามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้ทำพิธีมอบปริญญาศิลปศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ฯ  แก่ ดร.โมฮาหมัด ซาอิด ตันตาวี ผู้นำสูงสุดทางศาสนาอิสลาม ของประเทศสาธารณรัฐอาหรับอียิปต์และผู้บริหารมหาวิทยาลัยอัล ? อัซฮาร์ สาธารณรัฐอียิปต์ ในฐานะนักปราชญ์ และผู้นำศาสนาอิสลามที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล (Grand Shoikh of Al Azhar) ในสังคมพหุวัฒนธรรมของโลกในยุคโลกาภิวัตน์ และมีส่วนก่อให้เกิดประโยชน์ต่อภูมิภาคและนานาชาติ

สำหรับ ดร.โมฮาหมัด ซาอิด ตันตาวี สำเร็จการศึกษาปริญญาโทด้านการศึกษา และปริญญาเอกเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยอัล - อัซฮาร์ เคยดำรงตำแหน่งเป็นคณบดีในคณะอูศูลุดดีน และคณบดีคณะอิสลามและภาษาอาหรับ มหาวิทยาลัยอัล - อัซฮาร์ และเคยเป็นอาจารย์รับเชิญจากมหาวิทยาลัยในหลายประเทศ เป็นนักวิชาการที่มีผลงานที่โดดเด่นหลายชิ้น เป็นผู้ที่ได้รับอุทิศตนเพื่อวงการการศึกษาอิสลามอย่างอุตสาหะและยาวนาน จนทำให้มีลูกศิษย์มากมายอยู่ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนักปราชญ์และผู้นำศาสนาอิสลามที่ได้รับการยอมรับระดับสากล ตั้งแต่ปี 2539 จนถึงปัจจุบัน

ดร.โมฮาหมัด ซาอิด ตันตาวี เป็นปราชญ์ที่สมถะเรียบง่าย สุภาพนุ่มนวล และเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม ใฝ่สันติ เป็นผู้สนับสนุนแนวคิดอิสลามสายกลาง ส่งเสริมการปรองดอง และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมที่หลากหลาย ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวปรากฏเด่นชัดในงานเขียนและคำเทศนาของท่านในโอกาสต่างๆ เช่น คำกล่าวผ่านสื่อมวลชนถึงพี่น้องมุสลิมในประเทศไทย เมื่อครั้งเดินทางเยือนอียิปต์ ของนายสวนิต คงสิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2550 แสดงความสนับสนุนนโยบายสมานฉันท์ของรัฐบาลไทย และแสดงความปรารถนาอยากเห็นผู้คนต่างศาสนิกทั้งหลายอยู่ด้วยกันโดยสันติ ดังใจความตอนหนึ่งว่า

?สิ่งที่เราสั่งสอนให้แก่ลูกหลานของเราในอัล - อัซฮาร์ และอยากจะกล่าวในสิ่งเดียวกันแก่มนุษย์ทั้งมวล คือความเป็นภราดรภาพระหว่างมนุษยชาติ และความแตกต่างทางความคิดและความเชื่อทางศาสนา ไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางความร่วมมือระหว่างกันความเชื่อทางศาสนาไม่อาจบังคับได้ หากแต่มนุษย์ทุกคนมีอิสระในทางความคิด และความเชื่อในศาสนาของตน และเราควรให้ความเคารพแก่กันและกัน ควรต้องจงรักภักดีต่อแผ่นดินเกิดของเรา

ดังนั้น ข้าพเจ้าขอฝากลูกหลานทุกคนในประเทศไทยว่า ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดจงเป็นพี่น้องที่มีความรักให้กันและกัน ไม่มีความแตกแยกระหว่างมุสลิมหรือไม่ใช่มุสลิม แต่ตนควรจะมุ่งปฏิบัติหน้าที่ของตนเองในการนำพาประเทศไทยสู่ความเจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้า ทุกคนต้องทำงานด้วยใจอันสัตย์ซื่อ ตั้งใจแน่วแน่ ให้ความสามารถที่ตนมี ประชาชาติใดที่มีความร่วมมือในสังคมบนความหลากหลายของศาสนา ประชาชาตินั้นจะเปี่ยมไปด้วยความสุขความเจริญก้าวหน้า มั่งคั่ง และความสงบสุข?


ดร.โมฮาหมัด ซาอิด ตันตาวี แห่งมหาวิทยาลัยอัล - อัซฮาร์ กล่าวปาฐกถาพิเศษให้คณาจารย์และนักศึกษาของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เกี่ยวกับความเป็นมาของมหาวิยาลัยอัล - อัซฮาร์  ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่มีอายุเก่าแก่กว่า 1,000 ปี และมีชื่อเสียงมากที่สุดในอียิปต์ ได้รับการยอมรับและจัดอันดับในระดับนานาชาติ เป็นสถาบันอิสลามศึกษาที่ได้รับมาตรฐานที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และมีชาวมุสลิมทั่วโลกนิยมส่งบุตรหลานไปเล่าเรียน รวมทั้งจากประเทศไทยด้วย โดยปัจจุบันมีนักศึกษาไทยศึกษาอยู่ 1,500 คนโดยเปิดสอนทั้งสายศาสนาและสามัญควบคู่กันไป

ดร.โมฮาหมัด ซาอิด ตันตาวี กล่าวในตอนหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องสิทธิเสรีภาพของความเป็นมนุษย์  ซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทางมหาวิทยาลัยให้ความสำคัญและสอนนักศึกษาทั่วโลกโดยระบุว่า ตามบทบัญญัติของคัมภีร์อัล - กุรอาน นั้นหากผู้หนึ่งทำลายชีวิตผู้หนึ่งอย่างไร้ความผิดไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ก็ไม่ต่างจากการทำลายมนุษยชาติทั้งมวล และในทางกลับกันหากผู้ใดช่วยชีวิตหนึ่งก็เท่ากับช่วยมนุษย์ทั้งโลก ทางมหาวิทยาลัยจึงสอนให้นักศึกษาเคารพในสิทธิของความเป็นมนุษย์ซึ่งเท่าเทียมกัน และชี้ให้เห็นว่า การฆ่า การขับไล่ออกจากถิ่นฐาน หรือเหยียดสีผิว หรือลิดรอนสิทธิ์เป็นสิ่งเลวร้ายที่สุด ซึ่งจะนำไปสู่ความหายนะ ดังนั้นจึงได้พยายามสอนให้นักศึกษาเห็นถึงความสันติในการอยู่ร่วมกัน

?ขณะเดียวกันทางมหาวิทยาลัยยังได้ชี้ให้นักศึกษาทั่วโลกเห็นว่า ความรู้ทั้งศาสนาและสามัญนั้นเป็นประโยชน์ และเราจำเป็นต้องเรียนรู้และนำมาใช้ประโยชน์เพื่อมนุษยชาติ ซึ่งที่ใดที่รู้จักใช้วิทยาการหรือเทคโนโลยี ที่นั่นก็จะเจริญ แต่ความรู้ที่สมบูรณ์ตามหลักการอิสลามต้องคู่กับคุณธรรมและอยู่บนพื้นฐานที่ถูกต้องตามศาสนา แต่ในทางกลับกัน ความรู้ที่มุ่งสร้างความแตกแยกหรือความขัดแย้ง นั้นไม่ใช่หลักของอิสลาม ซึ่งความรู้แบบนี้ความโง่เขลายังประเสริฐกว่า ตามหลักการอิสลามจึงไม่อนุญาตให้ใช้ความรู้ไปในเรื่องไม่สร้างสรรค์ สร้างความขัดแย้งอคติ และบ่อนทำลายสังคม และในกรณีที่เกิดความแปลกแยกกันทางความคิด แต่ละฝ่ายจะต้องรอมชอมกัน เนื่องจากทุกชุมชนย่อมมีความแตกต่างแต่ความแตกต่างไม่ได้หมายถึงความแตกแยก อิสลามจึงได้เรียกร้องให้มนุษย์ทุกคนทำความเข้าใจและเปิดรับฟังเรื่องราวของกันและกัน เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติ?

Ref ; ประชาไทออนไลน์

อ้างจาก: ท่าน muddee
เมื่อวานได้ไปร่วมการรับปริญญาดุษฎีบัณดิษของท่านเชค ที่ม.อ. หาดใหญ่มาด้วย
ดีใจมากๆ

อัลฮัมดุลลิลลาฮ ที่ท่านมีโอกาส... ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 02, 2007, 06:42 PM โดย [MusalmarN] »

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
ญะซากัลลอฮ์ครับน้อง  [MusalmarN]  ที่ได้นำเสนอข่าวที่น่าสนใจ  :)
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ คนจำเป็น

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 115
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
มหาลัยเก่าแก่ แหล่งความรู้ คับคุณภาพ ครับ
มีลูกศิษย์มากมายจากไทยเข้าไปศึกษาหาความรู้กัน
แต่ที่แน่ๆ ลูกศิษย์แถวนี้ ยังต้องยืมชื่อสถาบันนี้ เป็นนิค เพื่อให้เกียรติกับสถาบันนี้อย่างมากมาย

ออฟไลน์ قطوف من أزاهير النور

  • ดุนยา..มาเพื่อไป
  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1582
  • อยากเป็นเด็กดีของอัลลอฮฺ
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • แวะไปเม้นหน่อยน่า ^^

อ้างถึง

1. คณะศาสนศาสตร์
2. คณะนิติศาสตร์อิสลาม-สากล
3. คณะอักษรศาสตร์
4. คณะศึกษาศาสตร์อิสลามและภาษาอาหรับ
5. คณะนิเทศศาสตร์อิสลาม
6. คณะพาณิชยกรรมศาสตร์
7. คณะคุรุศาสตร์
8. คณะอักษรศาสตร์และการแปล
9. คณะแพทย์ศาสตร์
10. คณะเภสัชกรรมศาสตร์
11. คณะทันตกรรมศาสตร์
12. คณะวิศวกรรมศาสตร์
13. คณะวิทยาศาสตร์
14. คณะเกษตรศาสตร์




ไม่มีคณะเศรษฐศาสตร์ หรอกหรอคะ  หรือว่ารวมไปกับพาณิชยกรรมศาสตร์ ?
يَا بُنَيَّ إِنْ قَدَرْتَ أَنْ تُصْبِحَ وَتُمْسِيَ لَيْسَ فِي قَلْبِكَ غِشٌّ لِأَحَدٍ فَافْعَلْ
 ثُمَّ قَالَ لِي يَا بُنَيَّ وَذَلِكَ مِنْ سُنَّتِي وَمَنْ أَحْيَا سُنَّتِي فَقَدْ أَحَبَّنِي وَمَنْ أَحَبَّنِي كَانَ مَعِي فِي الْجَنَّةِ

"โอ้ลูกรัก ถ้าหากเจ้าสามารถที่จะตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าจนถึงเวลาเย็น โดยที่เจ้าไม่คิดร้ายต่อผู้ใด เจ้าจงกระทำเถิด
หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่ฉันอีกว่า โอ้ลูกรัก และนั่นแหละเป็นแนวทางของฉัน
ผู้ใดฟื้นฟูแนวทางของฉันแสดงว่าเขารักฉัน และผู้ใดรักฉัน เขาได้อยู่กับฉันในสวรรค์"
(บันทึกโดย อัตติรมีซี)

ออฟไลน์ คนเดินดิน

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1620
  • ขอให้ได้รับความโปรดปรานจากพระผู้ทรงเมตตาด้วยเถิด
  • Respect: +17
    • ดูรายละเอียด
;) ;) ;)

แล้วถ้าจบปริญญาตรีแล้วอยากไปเรียนต่อหล่ะ

ต้องทำไง?

บวกกับความรู้ทางด้านศาสนาก็มีอยู่ไม่มากด้วย

ภาษาอาหรับก็ไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่

เหมือนคนเดินดิน1 เนี่ยจะสามารถเรียนได้ไหม?

(อยากเรียนจริงๆ นะ  พอดีว่าเมื่อคืนฟังวิทยุอยู่ก็มีประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการเรียนต่อที่นี่เหมือนกัน)
เพราะรู้ดีว่าเป็นเพียงหนึ่งคนที่อ่อนแอ  จึงทำให้คำนึงถึงคุณค่าของหนึ่งชีวิต  โปรดชี้แนะแนวทางที่เที่ยงตรงด้วยเถิด  ยาร็อบบี  سَلَّمْنَا مُسْلِمِيْنَ وَمُسْلِمَاتٍ فِي الدُّنْيَا وَ الأخِرَةِ

ออฟไลน์ musalmarn

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 796
  • เพศ: ชาย
  • สักวัน... ฉันจะขี่ม้า
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
    • ชมรมศาสนศึกษา แผนกอิสลาม มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
สิ่งที่ได้รับจากการมาเยือนไทยของ 2 ผู้นำ ?มุสลิมโลกสายกลาง?

by อ.อับดุชชะกูร์ บินชาฟิอีย์ดินอะ

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอขอความสันติจงมีแด่ศาสดามุฮัมมัดและผู้เจริญรอยตามท่านสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน


เป็นที่ทราบกันดีว่าระหว่างวันที่ 23-30 มิถุนายน 2550 ศ.ดร.มูฮัมหมัด ซัยยิด ฏอนฏอวี (Dr.Muhammad Sayid Tantawy) ผู้นำสูงสุดทางศาสนาอิสลามของอียิปต์ หรือ Grand Imam of Al Azhar และ ศ.ดร.อับดุลลอฮ บิน มุหชินอัตตุรกี (H.E. Dr.Abdullah bin Abdul Mohsin Al-Turki) เลขาธิการสันนิบาตมุสลิมโลก ได้มีโอกาสเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันในด้านกิจการศาสนาอิสลาม ตลอดจนการขยายความร่วมมือด้านการศึกษาของเยาวชนไทยมุสลิม และเพื่อสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา (interfaith dialogue) ตามนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาและเสริมสร้างสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ผู้เขียนได้มีโอกาสติดตามและฟังคำบรรยายของบรมครูของข้าพเจ้า (สมัยเรียนประเทศอียิปต์ปี 2534-2539) คือ ศ.ดร.มูฮัมหมัด ซัยยิด ฏอนฏอวี ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ สำนักคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา เมื่อ 26 มิถุนายน 2550 และ ดร.อับดุลลอฮ บิน มุห ชินอัตตุรกี ที่โรงแรมซีเอส ปัตตานี เมื่อ 28 มิถุนายน 2550

จากการรับฟังเนื้อหาสาระสำคัญของทั้งสองท่าน พบว่ามีประเด็นหลักที่เหมือนกันอยู่ 3 ประการใหญ่ ดังนี้

1. ทางสายกลางของหลักการศาสนาอิสลามและสามารถอยู่ร่วมกับต่างศาสนิกอย่างสันติ

ศ.ดร.มูฮัมหมัด ซัยยิด ฏอนฏอวี กล่าวว่า:

?อิสลามเป็นศาสนาแห่งสันติภาพ ยึดมั่นตามหลักสายกลาง ปฏิเสธความสุดโต่ง ความคลั่งในชาติพันธ์...สิ่งที่เราสั่งสอนให้แก่ลูกหลานของเราในอัลอัซฮาร์ และอยากจะกล่าวในสิ่งเดียวกันแก่มนุษย์ทั้งมวล คือความเป็นภราดรภาพระหว่างมนุษยชาติ และความแตกต่างทางความคิดและความเชื่อทางศาสนา ไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางความร่วมมือระหว่างกัน

ความเชื่อทางศาสนาไม่อาจบังคับได้ เพราะพระเจ้าได้โองการความว่า ไม่มีการบังคับในการนับถือศาสนา...หากแต่มนุษย์ทุกคนมีอิสระในทางความคิด และความเชื่อในศาสนาของตน และเราควรให้ความเคารพแก่กันและกัน...ศาสนายอมรับความแตกต่างทางชาติพันธุ์ เพราะพระเจ้าได้โองการความว่า ?โอ้ มนุษย์ทั้งหลาย แท้จริงเราได้สร้างเจ้าให้เป็นชาย หญิง เชื้อชาติ และเผ่าพันธ์ต่างๆ เพื่อที่จะทำความรู้จักซึ่งกันและกัน?

ข้าพเจ้าจึงขอฝากลูกหลานทุกคนในประเทศไทยว่า ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด จงเป็นพี่น้องที่มีความรักให้กันและกัน ไม่มีความแตกแยกระหว่างมุสลิมหรือไม่ใช่มุสลิม แต่ควรจะมุ่งปฏิบัติหน้าที่ของตนเองในการนำพาประเทศไทยสู่ความเจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้า

ทุกคนต้องทำงานด้วยใจอันสัตย์สื่อ ตั้งใจแน่วแน่ ใช้ความสามารถที่ตนมี ประชาชาติใดที่มีความร่วมมือในสังคมบนความหลากหลายของศาสนา ประชาชาตินั้นจะเปี่ยมไปด้วยความสุขความเจริญก้าวหน้า มั่งคั่ง และความสงบสุข?


การที่ ศ.ดร.มูฮัมหมัด ซัยยิด ฏอนฏอวี เสวนาธรรมกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ผู้นำศาสนาพุทธเป็นเครื่องยืนยันในการยึดหลักการศาสนาสายกลาง ซึ่งท่านเองยอมรับว่าที่ประเทศอียิปต์ บ่อยครั้งท่านก็เสวนาธรรม ?บาบาซานูซาฮฺ? ซึ่งเป็นผู้นำศาสนาคริสตร์ในอียิปต์

สำหรับ ศ.ดร.อับดุลลอฮ บิน มุหชิน อัตตุรกี เลขาธิการสันนิบาตมุสลิมโลก ได้ให้ทัศนะต่อประเด็นนี้ว่า

?สันติบาตมุสลิมโลกมุ่งเน้นที่จะสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อศาสนาอิสลามที่มุ่งทางสายกลาง (ในภาษาอาหรับเรียกว่า Mutadil) ปฏิเสธความคิดที่จะนำศาสนาอิสลามมาใช้ในทางที่ผิด หรือเบี่ยงเบนไปในการก่อความรุนแรง และก่อการร้ายในประเทศไทยและประเทศอื่นๆในโลก...หากมุสลิมอยู่ในสังคมพหุวัฒนธรรม ต้องแสดงตัวตนของความเป็นมุสลิมที่ถูกต้องและดีงามออกมาให้มากที่สุด"

จากทัศนะข้างต้นของท่านทั้งสองจะพบว่าสอดคล้องกับหลักคำสอนในคัมภีร์อัลกุรอาน วัจนศาสดาที่พูดถึงแนวคิดสายกลาง (แนวคิดสายกลางในที่นี้หมายถึงแนวคิดที่เข้าใจหลักการและเป้าหมายของศาสนาอิสลามอย่างถูกต้อง) โดยอัลลอฮได้ตรัสความในทำนองเดียวกันว่า

?เราได้ให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติสายกลาง เพื่อพวกเจ้าจะได้เป็นสักขีพยานแก่มนุษย์ทั้งหลาย และศาสดาก็จะเป็นสักขีพยานแก่พวกเจ้า?

(ซูเราะฮอัล บะกอเราะฮฺ 2:143)

?จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าบรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย จงอย่าปฏิบัติให้เกินขอบเขตในศาสนาของพวกท่าน โดยปราศจากความเป็นจริง และจงอย่าปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำของพวกหนึ่งพวกใดที่พวกเขาได้หลงผิดมาก่อนแล้ว และได้ทำให้ผู้คนมากมายหลงผิดด้วย และพวกเขาก็ได้หลงผิดไปจากทางอันเที่ยงตรง?

(ซูเราะฮอัล มาอิดะฮฺ 5:77)

?มุสลิมถูกเรียกว่า อุมมะตัน วะสะฏ็อน (ประชาชาติสายกลาง) นักอรรถาธิบายอัลกุรอานได้อธิบายคำว่า ?วะสัฏ? (ในภาษาอาหรับแปลว่ากลาง) คือ ?ความสมดุลที่เที่ยงตรง? ?สิ่งที่ดีที่สุด? (คิยารฺ หรือ คอยรฺ) ท่านยูซุฟ อลี ได้กล่าวว่า ?สารัตถะแห่งอิสลามคือการหลีกเลี่ยงจากความเลยเถิดไม่ว่าด้านใดก็ตาม อิสลามเป็นศาสนาที่เรียบง่ายและสามารถปฏิบัติได้จริง?

(เชิงอรรถที่ 143 ของอายะฮฺ : ซูเราะฮอัล บะกอเราะฮฺ 2:143)

อัลลอฮฺ ได้ทำให้อุมมะฮฺ (ประชาชาติ) นี้ให้เป็นอุมมะฮฺสายกลาง ดังนั้น มุสลิมต้องดำเนินตามทางสายกลาง ทางซึ่งไม่มีการสุดโต่งหรือความเลยเถิดใดๆ เป็นวิถีทางที่จะต้องมีการเข้ามาร่วมกันเป็นความสมดุลที่ประสานกลมกลืน

ท่านศาสดาได้เป็นแบบอย่างของการทำความดีต่อชนต่างศาสนิก ดั่งรายงานจากอบูอุบัยด์ ในหนังสือ al-Amwal หน้า 613 (quoted in al-Qardhawi,1994: 2/275 ว่า ?ท่านนบีเคยบริจาคทานแก่ญาติผู้ตายชาวยิวในขณะที่ท่านเดินผ่าน? อีกสายรายงานหนึ่ง โดยมุฮัมหมัด บิน อัลหะซัน กล่าวไว้ในหนังสือ Sart al-Sair เล่ม 1 หน้า 144 quoted in al Qardhawi 1994, 2/274) ว่า ?ท่านศาสดาเคยบริจาคทานแก่คนยากจนชาวมุชริกีนมักะฮ (ผู้บูชาเทวรูป)?


2. ความสำคัญของการศึกษา/ผู้รู้

ศ.ดร.มูฮัมหมัด ซัยยิด ฏอนฏอวี กล่าวว่า:

?...ความรู้ทั้งศาสนาและสามัญนั้นเป็นประโยชน์ และเราจำเป็นต้องเรียนรู้และนำมาใช้ประโยชน์เพื่อมนุษยชาติ ซึ่งที่ใดที่รู้จักใช้วิทยาการหรือเทคโนโลยีที่นั่นก็จะเจริญ แต่ความรู้ที่สมบูรณ์ตามหลักการอิสลามต้องคู่กับคุณธรรมและอยู่บนพื้นฐานที่ถูกต้องตามศาสนา แต่ในทางกลับกันความรู้ที่มุ่งสร้างความแตกแยกหรือความขัดแย้ง นั้นไม่ใช่หลักของอิสลาม ซึ่งความรู้แบบนี้ความโง่ เขายังประเสริฐกว่า ตามหลักการอิสลามจึงไม่อนุญาตให้ใช้ความรู้ไปในเรื่องไม่สร้างสรรค์ สร้างความขัดแย้งอคติ และบ่อนทำลายสังคม..."

สำหรับ ศ.ดร. อับดุลลอฮ บิน มุหชิน อัตตุรกี ได้ให้ทัศนะต่อการศึกษา/ผู้รู้ว่า

?ประเด็นการศึกษา ถือว่าเป็นพื้นฐานสำคัญ ถือว่าเป็นประเด็นพื้นฐานของสังคม....ปัจจุบันสังคมมุสลิมกำลังเผชิญปัญหาโถมใส่หลายประการโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมและการสร้างบรรทัดฐานในการรักษาดุลยภาพระหว่างการคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของมุสลิมกับการใช้ชีวิตในสังคมต่างวัฒนธรรมภายใต้บรรยากาศแห่งความเข้าใจซึ่งกันและกัน ความเอื้ออาทร และความมั่นคงในชีวิต...

ผู้รู้และผู้เผยแพร่ต้องไม่ท้อถอย ในการเชื่อมโยงอัลกุรอ่านและประวัติศาสตร์มุสลิมให้รู้ว่าต้องยืนหยัดบนความถูกต้อง สำคัญที่สุดคือผู้รู้ต้องเข้าถึงแก่นแท้ของศาสนา ขอยืนยันว่าภารกิจของความรู้ความเข้าใจศาสนาเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด ผู้นำศาสนาถือเป็นผู้นำด้านจิตวิญญาณของประชาชน จงอย่านิ่งเฉย และคำสอนต้องไม่เบี่ยงเบนหลักศาสนา ให้ใช้ความเมตตาธรรมนำเผยแพร่ ไม่ใช่นำความรุนแรงเพื่อประหัตประหารจนล้มตาย นั้นไม่ใช้แนวทางศาสนาที่ถูกต้อง"


การไม่มีความรู้เพียงพอหรือผู้รู้ที่พยายามตีความเพื่อประโยชน์ของตนหรือกลุ่มก็สามารถนำหายนะสู่สังคมดั่งคำกล่าวของท่านที่ว่า

?...สำหรับคนบางกลุ่มที่เป็นมุสลิมใช้ความรุนแรงนั้น เราอาจแบ่งได้ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก กลุ่มที่ไม่มีความรู้อย่างแท้จริงในด้านศาสนา กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มที่ได้รับการแนะนำสั่งสอนจากกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีต่อสังคมมุสลิมอย่างแท้จริง...เรื่องญิฮาดมีความเข้าใจผิดกันอยู่มาก ที่จริงแล้ว ญิฮาด ถูกกำหนดขึ้นในครั้งแรกเพื่อต่อต้านการรุกราน จากฝ่ายศัตรูที่ท่านศาสดามูฮัมหมัด ท่านได้อพยพ ในขณะที่ฝ่ายศัตรูก็ยังเข้ามารุกรานอยู่อีก จึงต้องมีการต่อต้านและป้องกัน จึงเรียกว่าการญิฮาด นอกจากนี้ยังมีการญิฮาด เพื่อที่จะปกป้องสิทธิอันพึงมีพึงได้ ขจัดความอยุติธรรมต่างๆ มีการญิฮาดเพื่อขจัดกำแพงที่ทำให้บุคคลไม่สามารถเข้าถึงอิสลามได้ ก็เรียกว่าเป็นการญิฮาดได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม การญิฮาด ?ไม่ใช่? การสร้างความหวาดกลัว หรือสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับสังคมแต่อย่างไร?"

3. การสานเสวนา หรือภาษาอาหรับเรียกว่า al- Hiwar

ศ.ดร. มูฮัมหมัด ซัยยิด ฏอนฏอวี มีทัศนะเรื่องการสานเสวนาว่า:

"การแก้ปัญหาความขัดแย้ง ความไม่เข้าใจซึ่งกันและกันนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือการสานเสวนาหรือภาษาอาหรับเรียกว่า al-Hiwar เพราะอัลลอฮฺเจ้าได้โองการในคัมภีร์อัลกุรอานหลายครั้งเกี่ยวการสานเสวนา เช่นพระองค์ได้ตรัสไว้ ความว่าท่านทั้งหลายจงสานเสวนาด้วยวาจาที่สุภาพยิ่งด้วยเหตุและผล (โปรดดูอัลกุรอานซูเราะฮอัลอันนะห์ลุ .16: 125) และขณะเดียวกันพระเจ้าเองยังได้ทำแบบอย่างให้มนุษย์เห็นเกี่ยวกับการสานเสวนากับซาตานมารร้ายที่ทรยศต่อพระองค์ บรรดาศาสนฑูตเองก็ได้สานเสวนากับศัตรูหลายต่อหลายครั้ง...."

ในขณะที่ ศ.ดร.อับดุลลอฮ บิน มุหชิน อัตตุรกี ได้ให้ทัศนะอย่างหนักแน่นและชัดเจนว่า 

"ปัญหาทุกอย่างต้องแก้ไขด้วยการ Hiwar หรือสานเสวนาอย่างสันติ ด้วยเหตุผลนี้ผู้รู้ทางศาสนาควรร่วมมือกับทุกฝ่าย การพูดคุยอย่างสันติเพื่อหาวิธีการที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ความรุนแรงไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ นอกจากนั้นมันยังเพิ่มปัญหา ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับรัฐบาลที่พยายามแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และดำเนินการด้วยสันติ..."

สุดท้ายท่านทั้งสองไม่ลืมที่จะขอบคุณรัฐบาลไทยและพี่น้องประชาชนทุกคนที่ให้การต้อนรับและหวังว่าจะได้มีการร่วมมือกับรัฐบาลไทยต่อไป ในเรื่องการเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เรื่องการศึกษา การแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความชำนาญด้านต่างๆ

จาก 3 ข้อหลักที่ทั้งสองได้แสดงทัศนะที่สอดคล้องดังกล่าวนั้นจะพบว่า 2 ข้อแรก เป็นการให้คำแนะนำหรือภาษาอาหรับเรียกว่า Nasihat โดยตรงต่อมุสลิมโดยเฉพาะผู้นำศาสนา ที่จะต้องกล้าแสดงจุดยืนด้านธรรมะและหลักการที่ถูกต้องตามหลักศาสนาโดยเฉพาะในเรื่องการก่อการร้ายที่ทำร้ายผู้บริสุทธิโดยใช้คำญิฮาดเป็นเครื่องมือ

สำหรับรัฐบาล ผู้นำประชาชน หรือแม้กระทั่งขบวนการทุกกลุ่ม จะต้องให้ความสำคัญกับกระบวนการสันติวิธีโดยเฉพาะการสานเสวนา เพราะหนึ่งในเครื่องมือสำคัญของสันติวิธีที่จะต้องรีบทำคือศาสนเสวนามุสลิม-พุทธ หรือไทยมุสลิมเชื้อสายมลายู-กับมิใช่มลายู (ในประเทศไทยมีหลากหลายเชื้อชาติ) รัฐบาลกับผู้นำประชาชน หรือแม้กระทั่งขบวนการทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่รัฐหรือ ผบ.ทบ.มั่นใจ เพราะหากไม่รีบทำอาจจะนำไปสู่สงครามระหว่างศาสนา-เชื้อชาติได้

ศาสนเสวนาหรือสานเสวนา ต่างกับการสนทนาทั่วไปตรงที่ไม่มีการคุกคามอัตลักษณ์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพราะมุ่งให้ผู้ร่วมศาสนเสวนารับฟังและเรียนรู้จุดยืนซึ่งกันละกัน บนพื้นฐานการให้เกียรติความแตกต่างโดยปราศจากการครอบงำ บีบบังคับโน้มน้าว หรือบังคับให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเปลี่ยนแปลงความคิดความศรัทธาของตน หากแต่เป็นการเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกัน

อัลลอฮฺเจ้าได้โองการในคัมภีร์อัลกุรอานความว่า ?ท่านทั้งหลายจงสานเสวนาด้วยวาจาที่สุภาพยิ่งด้วยเหตุและผล? (โปรดดูอัลกุรอานซูเราะฮอัลอันนะห์ลุ .16 : 125)

เป็นที่ทราบกันดี (โดยเฉพาะทัศนะของนพ.พลเดช ปิ่นประทีป รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ) ว่าปัจจัยสาเหตุหลักของปัญหาภาคใต้ แบ่งเป็น 2 ปัจจัยหลัก คือ

1.ปัญหาทางประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างปัตตานีกับสยาม

2.ปัญหาที่เป็นผลกระทบจากกระบวนการฟื้นฟูอิสลามในระดับโลก ภูมิภาค และระดับท้องถิ่น


ส่วนปัจจัยเร่ง คือ

1.ปัญหาของการดำเนินนโยบายความมั่นคงของรัฐในพื้นที่ที่เป็นปัญหา ทั้งด้านแนวคิดและด้านการบริหารจัดการ

2.การปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ยุทธวิธีของฝ่ายขบวนการหลังปี 2535 เป็นต้นมา ที่ฝ่ายขบวนการเปลี่ยนสภาพ ทำให้มีการเปลี่ยนยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีของฝ่ายก่อการไม่ใช้แบบเดิม ยุทธศาสตร์ของฝ่ายก่อการใช้ยุทธศาสตร์ในการสร้างศรัทธาและความชอบธรรมในการต่อสู้ ด้วยงานการเมืองที่มีมิติในเชิงศาสนา เชิงประวัติศาสตร์และชาติพันธุ์


ด้านการทหารฝ่ายก่อการใช้วิธีสร้างความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ก่อเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว ไม่เลือกเป้าหมาย ใช้ Soft Target (เป้าหมายที่อ่อนไหว) มุ่งตัดตอนความน่าเชื่อถือของอำนาจรัฐ ทำให้ประชาชนยิ่งไม่เชื่อถืออำนาจรัฐ ขณะเดียวกันก็หวาดกลัวฝ่ายก่อกา รซึ่งมุ่งทำทุกอย่างเพื่อแยกดินแดนด้วยอำนาจขององค์กรทางสากล ไม่ใช่เอาชนะด้วยการยึดพื้นที่จริง

การที่รัฐมุ่งใช้กำลังทหาร จัดทหารพรานเป็นจำนวนมากเข้าควบคุมพื้นที่และบีบรัดเขตอิทธิพลของฝ่ายก่อการลงเรื่อยๆ จะบีบเขตอิทธิพลให้ค่อยๆ แคบลงเรื่อย จะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในที่สุด แต่มันไม่ได้จบแค่นี้ เพราะแม้จะยึดพื้นที่ได้ แต่ก็อาจยึดคนไม่ได้ หรือคุมคนได้ แต่ยึดความคิดคนไม่ได้

ดังนั้น สิ่งที่รัฐได้รับจากสองผู้นำคนสำคัญของมุสลิมโลกสายกลางเยือนไทยครั้งนี้ คือการปรับความเข้าใจในหลักศาสนาที่ถูกต้อง การประณามการใช้วิธีการอย่างสุดโต่งนามศาสนาเกี่ยวกับญิฮาดที่ทำร้ายสังคม และที่สำคัญ เวทีโลกและนานาชาติจะช่วยลดการเคลื่อนไหวต่อต้านประเทศไทยในโลกมุสลิมได้มาก  อันจะทำให้ผู้ก่อการต้องเปลี่ยนยุทธศาตร์การต่อสู้ในอนาคตอย่างแน่นอน

Ref ; Prachathai Online

 

GoogleTagged