السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
ความเป็นทาสต่ออัลเลาะฮ์
ท่านทั้งหลาย พึงทราบเถิดว่า ในศักยภาพของความเป็นมนุษย์นั้น ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม แท้จริงแล้ว เขาก็คือบ่าวที่ถูกครอบครอง หรือเป็นข้าทาสของอัลเลาะฮฺ (ซ.บ.) นั่นเอง พระองค์ทรงตรัสว่า
{إِنْ كُلُّ مَنْ فِي السَّماواتِ وَالأَرْضِ إِلاّ آتِي الرَّحْمَنِ عَبْداً، لَقَدْ أَحْصاهُمْ وَعَدَّهُمْ عَدّاً، وَكُلُّهُمْ آتِيهِ يَوْمَ الْقِيامَةِ فَرْداً}
ความว่า " ไม่ว่า ทุกๆ คนที่อยู่ในฟากฟ้าและแผ่นดิน นอกจากต้องมาสู่องค์ผู้ทรงเมตตา โดยความเป็นบ่าว (ด้วยกันทั้งนั้น) แน่นอนที่สุด พระองค์ได้จำกัดพวกเขาเอาไว้ และพระองค์ใด้นับจำนวนพวกเขาได้อย่างครบถ้วน และพวกเขาทั้งหมด จะต้องมาสู่พระองค์ในวันชาติหน้า อย่างตัวคนเดียว " มัรยัม 93-95
นั่นคือ ศักยาภาพในความเป็นมนุษย์ เราจึงเป็นผู้ที่ไม่มีอะไร ดังนั้นเราอย่างโอหัง โอ้อวดว่าตัวเองนั้นใหญ่ เราเกิดมาในโลกดุยานี้ก็มมาแต่ตัว แต่เมื่อจากดุนยานี้ไป ก็ไปพร้อมกับอะมัลอิบาดะฮฺ ดังนั้น ผลที่ตามมาจากการยอมในศักยาภาพของเป็นมนุษย์ ก็คือมีการยอมจำนนท์และแสดงความเป็นบ่าวที่มีต่ออัลเลาะฮฺ (ซ.บ.)นั้น คือการทำอิบาดะฮฺ ตราบใดที่เรายังคงเป็นสิ่งที่ถูกครอบครองของอัลเลาะฮฺ (ซ.บ.) และภาระกิจของบ่าวบนผืนแผ่นดินนี้ ก็คือ การทำอิบาดะฮฺต่ออัลเลาะฮฺ (ซ.บ.) อัลเลาะฮฺทรงตรัสว่า
{يا أَيُّها النّاسُ اعْبُدُوا رَبَّكُمُ الَّذِي خَلَقَكُمْ وَالَّذِينَ مِنْ قَبْلِكُمْ لَعَلَّكُمْ تَتَّقُونَ}
ความว่า " โอ้บรรดามนุษย์ทั้งหลาย พวกเจ้าจงทำการอิบาดะฮฺต่อองค์อภิบาลของพวกเจ้า ผู้ทรงสร้างพวกเจ้า และบรรดาบุคคลที่อยู่ก่อนพวกเจ้าเถิด เพื่อพวกเจ้าจะได้มีความยำเกรง " อัลบะกอเราะฮฺ 21
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ จะเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยเหตุ สอง ประการ ด้วยกัน คือ
1. เขาต้องมีความเป็น العبودية คือมีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นทาสบ่าวของอัลเลาะฮฺ (ซ.บ.)
2. เขาต้องมีการทำอิบาดะฮฺ العبادة
ซึ่งการทำอิบาดะฮฺก็คือ การกระทำที่แสดงออกให้เห็นทางภายนอก สำหรับ อัลอุบูดียะฮฺนั้น คือความรู้สึกทางจิตใจว่าเราเป็นบ่าวของอัลเลาะฮฺ (ซ.บ.) มีความรู้สึกในการนอบน้อมยอมจำนนท์ต่อพระองค์ มีความรู้สึกว่าเรานั้นไม่มีอะไร มีความรู้สึกว่าเรานั้นอยู่ภายใต้อำนาจของพระองค์ ดังนั้น ความรู้สึกของความเป็นบ่าวที่มีต่อพระองค์นั้น จึงเป็นบ่อเกิดของความเกรงกลัว และทำให้มีความรักต่อพระองค์ นั่นคือคำว่า อัลอุบูดียะฮฺ หากว่าเราไม่มีความเป็น อัลอุบูดียะฮฺ ไม่มีความรู้สึกในความเป็นบ่าวแล้ว แน่นอนว่าเราย่อมไปไม่ถึงความพึงพอพระทัยและความเมตตาต่ออัลเลาะฮฺ (ซ.บ.)
ขออัลเลาะฮฺ ทรงเมตตาต่อท่าน อุมัร (ร.ฏ.) เนื่องจากท่านได้กล่าวในทุกวโรกาศกับตัวท่านเองเสมอว่า
(ويحك ياعمر كل الناس خير منك)
" โอ้อนิจจา อุมัรเอ๋ย มนุษย์ทุกคน ย่อมดีกว่าเจ้า "
ดังกล่าวนั้น ย่อมชี้ให้เห็นถึงความนอบน้อมถ่อมตน และเป็นผลสืบเนื่องมาจากความเป็นบ่าวของท่านอุมัรที่มีต่ออัลเลาะฮฺ (ซ.บ.)
:
และ อิมาม ชาฟิอีย์ ของเรา ท่านกล่าวว่า
لشر الناس إن لم تعفُ عني يظن الناس بي خيراً وإني
" บรรดามุนษย์คิดว่า ฉันนั้นดี แต่แท้จริงแล้ว ฉันเป็นมุษย์ที่ชั่ว หากพระองค์อัลเลาะฮฺไม่ทรงอภัยให้แก่ฉัน "
ดังนั้น การที่เรามีความรู้สึกเป็นบ่าวของอัลเลาะฮฺ จะทำให้เกิดผลตามมา นั่นก็คือ มีการทำอิบาะฮฺ ต่ออัลเลาะฮฺ (ซ.บ.)
หากเราได้พิจารณาถึง ตึกอาคารสูงตระหง่านหรือบ้านที่เราอาศัยอยู่นั้น เราจะพบว่า สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ ย่อมมีฐานเสาเข็มรองรับอยู่ เพื่อทำให้ตึกอาคารหรือบ้านเรือนนั้น มีความมั่นคง ไม่พังล้มครืนลงมา ฉันท์ใดฉันท์นั้น ความรู้สึกในความเป็นบ่าวต่ออัลเลาะฮฺ(ซ.บ.) ก็คือพื้นฐานสำคัญในการทำอิบาดะฮฺให้มีความมั่นคงและสม่ำเสมอ และมันก็คือสิ่งที่ผลักดันให้เขาทำอิบาดะฮฺต่ออัลเลาะฮฺ (ซ.บ.)อย่างไม่เบื่อหน่ายเมื่อเราหวนกลับมาพิจารณาในตัวของเรา ในขณะนี้ เรามีความรู้สึกว่าเป็นบ่าวของอัลเลาะฮฺ (ซ.บ.)แล้วหรือยัง ? หากเราบอกว่า ฉันรู้สึกว่าเป็นบ่าวเป็นทาสของอัลเลาะฮฺ แต่เราไม่ทำละหมาด หรือขาดละหมาด ก็แสดงว่าเราโกหกตัวเองและโกหกอัลเลาะฮฺ (ซ.บ.) หากเรายังขาดละหมาด หรือกระทำการฝ่าฝืนคำสั่งของอัลเลาะฮฺ (ซ.บ.) ก็เหมือนกับว่าเรายังไม่ยอมจำนนท์ในความเป็นบ่าวต่ออัลเลาะฮฺ (ซ.บ.) ทั้งที่แผ่นดินที่เราอยู่นี้ ก็ของพระองค์ ปัจจัยยังชีพที่เราบริโภคก็เป็นของพระองค์ ลมหายใจเข้าออกก็เป็นของพระองค์ แล้วเราจะไม่ยอมจำนนท์เป็นบ่าวและน้อมรับในการทำอิบาดะฮฺต่ออัลเลาะฮฺ (ซ.บ.)อีกหรือครับ ?
วัลลอฮุอะลัม
والسلام