
คุณ supportsunnah คร้าบ คำว่า อัลอิสติวา นั้น อัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์ ไม่ได้กล่าวอธิบายยืนยันไว้ในอัลกุรอานหรืออัลฮะดีษที่ซอเฮียะห์ว่า มันคือ ความหมาย อุลุ้ว "สูงเหนือ" แม้สักบทเดียว ไม่มีกล่าวยืนยันว่า อัลอิสติวา มีความหมายว่า นั่งสถติประทับ แม้สักบทเดียว และไม่มีระบุยืนยันว่า มีความหมาย อิสเตาลา อำนาจ ปกครอง สักบทเดียว แต่อัลลอฮ์ทรงตรัสเฉยๆว่า "อิสติวา"...
เออ แล้ว อ อาลี บอกมาได้ไงว่าสลัฟ(หรือสลัฟไม่ได้เอามาจากอัลกุรอานและหะดิษ)แปลว่า อุลูว
คุณอัซซาลีก หรือ อ อาลี ถูกกันแน่
...ผมหมายถึง การเจาะจงความหมาย อิสติวา ว่า อุลุ้ นั้น ไม่มีตัวบทอัลกุรอานและฮะดีษมาเจาะจง ส่วนสะลัฟส่วนใหญ่จึงพูดว่า อัลลอฮ์ทรง อิสตะวา ตามที่อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า "อัรเราะห์มาน อะลัล อัรชิ อิสตะวา" ดังนั้นเมื่ออัลเลาะฮ์ทรงตรัส อิสตะวา สะลัฟส่วนใหญ่ก็บอกว่า อิสตะวา แต่มีสะลัฟบางท่านได้เจาะจงความหมายว่า สูงส่ง อย่างเช่น ท่านอัตเตาะบะรีย์ แต่ท่านอัตเตาะบะรีย์ได้อธิบายในตัฟซีรของท่านว่า ทรงสูงแบบอำนาจปกครอง ซึ่งไปวิเคราะห์กันได้ที่ตัฟซีรอัตเตาะบะรีย์ ส่วนผมไม่สะดวกในเรื่องการค้นคว้าตำราเพราะตำราน้อย แต่ในเว็บนี้ก็ได้นำเสนอกันไปเยอะแล้ว...
...ส่วนจะมาบอกว่า อิหม่ามชาฟิอีย์ ก็ให้ความหมาย อิสตะวา ว่า อุลุ้ว ก็ต้องเอาหลักฐานซอฮิห์มายืนยันคำพูดของอิหม่ามชาฟิอีย์ ส่วนหลักฐานของวะฮาบีที่อ้างถึงอิหม่ามชาฟิอีย์ที่มีสายรายงานแบบอุปโลคก์ขึ้นมา แล้วมาประกาศว่า ตนเองมีหลักอะกีดะฮ์อิหม่ามชาฟิอีย์นั้น ถือว่าอธรรมต่ออิหม่ามชาฟิอีย์...
...เข้าเรื่องกันต่อ เมื่อไม่มีตัวบทอัลกุรอานและฮะดีษมายืนยันว่า อิสตะวา คือ อุลุ้ว สะลัฟบางท่านก็เลยทำการอิจญฺติฮาต ให้ความหมาย อิสตะวา ต่างกันออกไป เห็นไหมครับ สะลัฟยังมีการให้ความหมายที่ต่างกันออกไป บ้างบอกว่า อะลา علا บ้างบอกว่า ศ่ออุด้า صعد เป็นต้น ทำไมสะลัฟถึงให้ความหมายต่างกันออกไป นั่นก็เพราะมาจากการอิจญฺติฮาด ในการให้ความหมาย อิสตะวา ที่มีความเหมาะสมกับความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์ ส่วนจะมาเลือกความหมายว่า อะลา علا เพียงอย่างเดียว วิจารณ์การความหมายอื่นโดยไม่ศึกษาอันให้ถี่ถ้วนก่อนนั้น ถือว่ายังไม่เป็นหลักวิชาการอันน่าเชื่อถือ เช่น ไปวิจารณ์ ความหมาย "อิสเตาลา" โดยบอกว่า อิสเตาลา ตามหลักภาษานั้นมีคือการปกครองโดยต้องแย่งชิงให้ชนะก่อนถึงปกครองได้ พูดง่ายๆ คือ เวลาได้ยินคำว่า อิสเตาลา สมองและสติปัญญามันชอบดันไปคิดแต่แรกว่า "ต้องมีการแย่งชิง" มันก็นำไปใช้กับอัลลอฮ์ไม่ได้น่ะซิ แล้วทำไมไม่ไปศึกษาคำพูดของอิหม่ามฟัครุดดีร อัรรอซีย์บ้างล่ะ ที่ท่านบอกว่า อิสเตาลา คือ "ทรงอำนาจปกครองโดยปราศจากการแย่งชิง" แต่ผู้คัดค้าน อิสเตาลา ดันไปอ่านหนังสือฝ่ายที่คัดค้าน เขาก็คัดค้านกันอร่อยไปซิ พอให้ความหมาย อิสเตาลา ดันไปกล่าวหาเขาอีกว่า ปฏิเสธซีฟัตอุลุ้ว ทั้งที่อัลกุรอานได้บอกไว้ชัดเจนแล้วว่า وهو العلي العظيم "และพระองค์นั้นทรงสูงส่งยิ่ง อีกทั้งทรงยิ่งใหญ่" อายะฮ์กุรซีย์ ซุเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์ อายะฮ์บอกยืนยันชัดเจนว่า อัลลอฮ์ทรงพระนามผู้สูงส่ง ทุกพระนามบ่งบอกถึงซีฟัต คือ อุลุ้ว ถามหน่อยซิว่า มีใครบ้างที่ปฏิเสธอายะฮ์นี้ ไม่มีหรอก ทุกคนทุกแนวทางเชื่อกันหมดแหละว่า อัลลอฮ์ทรง อุลุ้ว "สูงส่ง"....
...การตีความหมายว่า อิสเตาลา ของพวกมัวะตะซิละฮ์ ที่อุลามาอฺทั้งหลายต่างโจมตีกันนั้น เพราะพวกมั๊วะตะซิละฮ์ปฏิเสธซีฟัต แต่ปราชญ์อัลอะชาอิเราะฮ์บางส่วนตีความว่า อิสเตาลา โดยไม่ปฏิเสธซีฟัต อิสตะวา ของอัลลอฮ์ ความต่างเห็นได้ชัด อย่างเอามาเหมารวม...
...แต่ที่ไปกล่าวหาคนอื่นว่า ปฏิเสธซีฟัต อุลุ้ว นั้น รู้หรือเปล่าว่า เขาปฏิเสธอุลุ้ว แบบใหน? หากทำการวิเคราะห์และศึกษาอย่างถี่ถ้วนมันเป็นเรื่องของการ ปฏิเสธการที่อัลลอฮ์สูงแบบรูปธรรม(อุลุ้ว)แบบมีสถานที่มีทิศ พวกที่บอกว่าอัลลอฮ์สูงแบบมีสถานที่ด้วย เขาก็นำหลักฐานที่ว่า...
1. ดุอาต้องยกมือสู่ฟากฟ้า แต่อุลามาอฺอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ เช่น อิหม่ามฆ่อซาลี อิหม่ามกุรตุบีย์ บอกว่า เพราะอัลกุรอ่านระบุว่า في السماء رزقكم "ในฟากฟ้านั้นมีริสกีของพวกเจ้า" จึงทำการยกมือขอดุอา ไม่ใช่ ในฟ้ามีอัลลอฮ์...
2. ไปอ้างว่ามันเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ของมนุษย์ ที่เชื่อแบบนั้น แต่พอไปถามคนอื่น ดันได้รับคำตอบว่า อัลลอฮ์มีอยู่ทั่วไป ใหนล่ะ?! ที่บอกว่ามันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ถ้าหากเป็นธรรมชาติของมนุษย์ก็ต้องได้รับคำตอบที่ตรงกัน หรือว่าพวกที่บอกว่าอัลลอฮ์มีอยู่ทั่วไป ผิดธรรมชาติของมนุษย์มะนา...
3.ไปอ้างว่านบีขึ้นเมี๊ยะรอจญ์ ไปรับวะฮีเรื่องละหมาด ถามหน่อยเถอะ การรับวะฮีจากอัลลอฮ์นั้น เป็นข้อบ่งชี้ที่บอกว่าอัลลอฮ์อยู่ในทิศนั้นใช่ไหม แล้วนบีมูซาไปรับวะฮีจากอัลลอฮ์ที่ภูเขาตุรซินีน บ่งชี้ว่าอัลลอฮ์อยู่ที่นั่นด้วยน่ะซิ ตรงนี้บ่งบอกว่า การไปรับวะฮีนั้น ไม่ว่าจะที่ใหน อัลลอฮ์ทรงประทานวะฮีได้ทั้งนั้นแหละ ดังนั้นเมื่อเรารู้ว่า นบีขึ้นอิสรอเมี๊ยะรอจญ์เพื่อไปเห็นสัญลักษณ์ต่างๆ ของอัลลอฮ์ และมีเหตุการณ์รับวะฮีด้วย เราก็เชื่อเท่านั้น ไม่ไปวินิจฉัยเข้าข้างอะกีดะฮ์ตนเอง...
4. อ้างเรื่องละหมาดกุ้มศีษระ ไม่ให้มองบนฟ้า ทั้งที่การให้ก้มศีรษะมองไปที่สถานที่สุยูดนั้น เพื่อแสดงความนอบน้อมและให้ค่อชั๊วะเท่านั้นเอง จะไปใช้สติปัญญาวินิจฉัยกันขึ้นทำไมอีกว่าอัลลอฮ์มีลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้...
5. เวลานบีรอวะฮี จะเงยสู่ท้องฟ้า นั่นก็เพราะอัลกุรอานได้ทยอยลงมาที่เลาหิลมะห์ฟูซแล้ว ญิบรีลรออนุมัติจากอัลลอฮ์ให้ นำลงมาให้ท่านนบีนั่นเอง...
6. การปฏิเสธว่าไม่มีสิ่งใดอยู่เหนือบัลลังก์อีกแล้วนอกจากอัลลอฮ์ ถือว่าผิดและขัดกับซุนนะฮ์นบี เพราะในฮะดีษบุคอรีย์ได้ยืนยันแล้วว่า บันทึกอัลลอฮ์อยู่บนบัลลังก์...
7. ส่วนตรรกที่ว่า อยู่ที่ใต้ดิน ใต้เท้า กับอยู่สูงสุด อันใหนจะเหมาะสมกว่ากัน?...ทั้งที่พี่น้องมุสลิมทุกคนเขาเชื่อว่าอัลลอฮ์ทรงสูงส่ง เหตุใดต้องใช้ตรรกนี้ หรือว่าต้องการให้พี่น้องมุสลิมยอมรับการสูงของอัลลอฮ์อีกรูปแบบหนึ่งเชิงรูปธรรม เลยใช้ตรรกนี้ขึ้นมา ทั้งที่จริงๆ แล้ว อัลลอฮ์ทรงอุลุ้วด้วยพระองค์เอง ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกับมัคโลคแต่อย่างใด เช่น อยู่บนดินไม่เหมาะ มีสถานที่เหนืออะรัชเหมาะกว่า ทั้งที่ก่อนสร้างแผ่นดิน ก่อนสร้างอะรัช พระองค์ทรงสูงส่งด้วยพระองค์เองที่เหมาะสมกับความยิ่งใหญ่ของพระองค์เองอยู่แล้ว...
...นี้คือหลักการและเหตุผลของผู้พยายามบอกว่า อัลลอฮ์มีซีฟัต อุลุ้ว (แบบรูปธรรม) แต่ถ้าหากต้องการให้หลักฐานอัลลอฮ์ทรงสูงส่ง นั้น ไม่ต้องอ้างหลักฐานอะไรมาก แค่ยกอายะฮ์นี้ وهو العلي العظيم "และพระองค์นั้นทรงสูงส่งยิ่ง อีกทั้งทรงยิ่งใหญ่" ก็เพียงพอแล้ว เพราะมันชัดเจน ไม่ต้องไปยกเหตุผลอะไรมากมายที่ต้องวินิจฉัยหรือใช้ตรรกพื่อยืนยันซีฟัตอัลลอฮ์...
...หากจะเอาอะกีดะฮ์แบบง่ายๆ คือ
มอบหมายการเจาะจงความหมายอิสติวายังไปยังอัลลอฮ์ซ่ะ แค่นี้ก็จบ...ไม่ต้องมาอธิบายกันยืดยาวเชิงคิลาฟ มันอาจจะผิดๆ ถูกๆ ถ้าหากไม่แยกแยะประเด็น تحرير المسألة ให้ถูกต้องจริง ความสะเปะสะปะกันก็เกิดขึ้น พูดค้านคำพูดตัวเองก็เป็นได้...คร้าบ