ผู้เขียน หัวข้อ: ตรรกศาสตร์ก็เรียนแล้ว ยังต้องตีความอีกหรือ? ตอน อัลลอฮฺอยู่เหนืออรัช  (อ่าน 12371 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Beechern

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1228
  • เพศ: ชาย
  • What is the Perfect method to save our Akhirah?
  • Respect: +28
    • ดูรายละเอียด
แต่มันก็ยังมีบางคนบางกลุ่มยังเข้าใจว่าอะฮฺลุลซุนนะฮฺวัลญามาอะฮฺอาชาอีเราะฮฺนั้น ใช้สติปัญญา
เหนือหลักฐาน แต่ความจริงแล้วหาใช่เป็นเช่นนั้นไม่

ไม่มีอะไรในกอไผ่หรอกครับ เค้าไม่เข้าใจเราเท่านั้นเองครับ แต่เราก็อย่าไปไม่เข้าใจเค้าด้วยก็น่าจะดีนะครับ  ;D

สมองมี 2 ซีก มีด้านหน้ามีด้านหลัง แต่ละซีกแต่ละส่วนก็มีการทำงานที่แตกต่างกันไป มีเส้นประสาทเชื่อมต่อซึ่งกันและกัน
สมองซีกซ้ายกับซีกขวามีเส้นประสาทเชื่อมต่อถึงกันอยู่ และในจำนวนเส้นประสาทดังกล่าวนั้น ผู้หญิงจะมีมากกว่าผู้ชาย
ทำให้ผู้หญิงมีคุณสมบัติทางสติปัญญาที่แตกต่างจากผู้ชาย

ในขณะเดียวกัน ความแตกต่างที่เกิดจากการฝึกฝนสมองในสภาวะแวดล้อมที่แตกต่างกัน
โดยเฉพาะเนื้อหาที่มีความลึกซึ้ง ไร้ข้อบกพร่องอย่างอัลกุรอ่าน
แต่เรากลับใช้มันสมองที่มีความบกพร่องดังกล่าว พยายามทำความเข้าใจในอัลกุรอ่าน ในระดับที่สติปัญญามนุษย์จะสามารถทำได้
จริงอยู่ที่อัลลอฮ์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงรู้ดีว่ามนุษย์นั้นจะเข้าใจอัลกุรอ่าน
แต่แน่นอนการมอบให้ของอัลลอฮ์ผู้ยิ่งใหญ่ในดุนยานี้ จะมาพร้อมกับบททดสอบเสมอ (วัลลอฮุอะอ์ลัม)

ดังนั้น ผลลัพธ์ก็ต้องออกมาบกพร่องบ้างนั่นแหละครับ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีการตีความแตกต่างกันไป  ;D

แต่ก็ต้องพยายามขัดเกลาปรับปรุงกันไปเรื่อยๆ ก็มันเป็นบททดสอบนี่เนอะ  ;D
เป็นสิ่งที่บ่าวอย่างเราจะทำได้แล้วล่ะ คือ ทำให้เต็มที่่ เท่านั้นเอง  ;D

วัลลอฮุอะอฺลัม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 29, 2010, 09:09 AM โดย beechern »
hidayah seeker . . .

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
เกี่ยวกับการ "ตีความ" นั้น ไม่ใช่ใครๆ ก็ตีความกันได้ตามแต่ตัวเองชอบนะครับ ถึงแม้เขาจะเป็นนักวิชาการก็ตาม เพราะการตีความอายาตมุตะชาบิฮาต โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ "ศิฟาตของอัลลอฮฺ" นั้น มักจะมีสายรายงานการตีความอันเป็นที่ยอมรับกันในหมู่นักปราชญ์อยู่แล้วครับ - วัลลอฮุอะอ์ลัม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ supportsunnah

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 102
  • Respect: +10
    • ดูรายละเอียด
:salam:

คุณ supportsunnah คร้าบ  คำว่า อัลอิสติวา นั้น  อัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์ ไม่ได้กล่าวอธิบายยืนยันไว้ในอัลกุรอานหรืออัลฮะดีษที่ซอเฮีียะห์ว่า มันคือ ความหมาย อุลุ้ว "สูงเหนือ" แม้สักบทเดียว ไม่มีกล่าวยืนยันว่า อัลอิสติวา มีความหมายว่า นั่งสถติประทับ แม้สักบทเดียว  และไม่มีระบุยืนยันว่า มีความหมาย อิสเตาลา อำนาจ ปกครอง สักบทเดียว  แต่อัลลอฮ์ทรงตรัสเฉยๆว่า  "อิสติวา"...



เออ แล้ว อ อาลี บอกมาได้ไงว่าสลัฟ(หรือสลัฟไม่ได้เอามาจากอัลกุรอานและหะดิษ)แปลว่า  อุลูว

คุณอัซซาลีก หรือ อ อาลี ถูกกันแน่

ออฟไลน์ As-Zaleek

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 804
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +33
    • ดูรายละเอียด
:salam:

คุณ supportsunnah คร้าบ  คำว่า อัลอิสติวา นั้น  อัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์ ไม่ได้กล่าวอธิบายยืนยันไว้ในอัลกุรอานหรืออัลฮะดีษที่ซอเฮียะห์ว่า มันคือ ความหมาย อุลุ้ว "สูงเหนือ" แม้สักบทเดียว ไม่มีกล่าวยืนยันว่า อัลอิสติวา มีความหมายว่า นั่งสถติประทับ แม้สักบทเดียว  และไม่มีระบุยืนยันว่า มีความหมาย อิสเตาลา อำนาจ ปกครอง สักบทเดียว  แต่อัลลอฮ์ทรงตรัสเฉยๆว่า  "อิสติวา"...



เออ แล้ว อ อาลี บอกมาได้ไงว่าสลัฟ(หรือสลัฟไม่ได้เอามาจากอัลกุรอานและหะดิษ)แปลว่า  อุลูว

คุณอัซซาลีก หรือ อ อาลี ถูกกันแน่

...ผมหมายถึง การเจาะจงความหมาย  อิสติวา  ว่า  อุลุ้ นั้น  ไม่มีตัวบทอัลกุรอานและฮะดีษมาเจาะจง  ส่วนสะลัฟส่วนใหญ่จึงพูดว่า อัลลอฮ์ทรง อิสตะวา ตามที่อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า  "อัรเราะห์มาน อะลัล อัรชิ อิสตะวา"  ดังนั้นเมื่ออัลเลาะฮ์ทรงตรัส  อิสตะวา  สะลัฟส่วนใหญ่ก็บอกว่า  อิสตะวา  แต่มีสะลัฟบางท่านได้เจาะจงความหมายว่า  สูงส่ง  อย่างเช่น ท่านอัตเตาะบะรีย์  แต่ท่านอัตเตาะบะรีย์ได้อธิบายในตัฟซีรของท่านว่า   ทรงสูงแบบอำนาจปกครอง  ซึ่งไปวิเคราะห์กันได้ที่ตัฟซีรอัตเตาะบะรีย์   ส่วนผมไม่สะดวกในเรื่องการค้นคว้าตำราเพราะตำราน้อย  แต่ในเว็บนี้ก็ได้นำเสนอกันไปเยอะแล้ว...

...ส่วนจะมาบอกว่า อิหม่ามชาฟิอีย์  ก็ให้ความหมาย อิสตะวา  ว่า  อุลุ้ว  ก็ต้องเอาหลักฐานซอฮิห์มายืนยันคำพูดของอิหม่ามชาฟิอีย์  ส่วนหลักฐานของวะฮาบีที่อ้างถึงอิหม่ามชาฟิอีย์ที่มีสายรายงานแบบอุปโลคก์ขึ้นมา  แล้วมาประกาศว่า ตนเองมีหลักอะกีดะฮ์อิหม่ามชาฟิอีย์นั้น  ถือว่าอธรรมต่ออิหม่ามชาฟิอีย์...

...เข้าเรื่องกันต่อ  เมื่อไม่มีตัวบทอัลกุรอานและฮะดีษมายืนยันว่า  อิสตะวา  คือ อุลุ้ว   สะลัฟบางท่านก็เลยทำการอิจญฺติฮาต  ให้ความหมาย  อิสตะวา  ต่างกันออกไป   เห็นไหมครับ  สะลัฟยังมีการให้ความหมายที่ต่างกันออกไป  บ้างบอกว่า  อะลา علا บ้างบอกว่า  ศ่ออุด้า صعد  เป็นต้น   ทำไมสะลัฟถึงให้ความหมายต่างกันออกไป  นั่นก็เพราะมาจากการอิจญฺติฮาด  ในการให้ความหมาย อิสตะวา ที่มีความเหมาะสมกับความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์   ส่วนจะมาเลือกความหมายว่า อะลา علا เพียงอย่างเดียว  วิจารณ์การความหมายอื่นโดยไม่ศึกษาอันให้ถี่ถ้วนก่อนนั้น  ถือว่ายังไม่เป็นหลักวิชาการอันน่าเชื่อถือ   เช่น  ไปวิจารณ์  ความหมาย "อิสเตาลา"  โดยบอกว่า  อิสเตาลา ตามหลักภาษานั้นมีคือการปกครองโดยต้องแย่งชิงให้ชนะก่อนถึงปกครองได้   พูดง่ายๆ คือ  เวลาได้ยินคำว่า อิสเตาลา  สมองและสติปัญญามันชอบดันไปคิดแต่แรกว่า  "ต้องมีการแย่งชิง"  มันก็นำไปใช้กับอัลลอฮ์ไม่ได้น่ะซิ   แล้วทำไมไม่ไปศึกษาคำพูดของอิหม่ามฟัครุดดีร อัรรอซีย์บ้างล่ะ  ที่ท่านบอกว่า  อิสเตาลา  คือ "ทรงอำนาจปกครองโดยปราศจากการแย่งชิง"  แต่ผู้คัดค้าน  อิสเตาลา  ดันไปอ่านหนังสือฝ่ายที่คัดค้าน  เขาก็คัดค้านกันอร่อยไปซิ    พอให้ความหมาย อิสเตาลา  ดันไปกล่าวหาเขาอีกว่า  ปฏิเสธซีฟัตอุลุ้ว    ทั้งที่อัลกุรอานได้บอกไว้ชัดเจนแล้วว่า  وهو العلي العظيم  "และพระองค์นั้นทรงสูงส่งยิ่ง อีกทั้งทรงยิ่งใหญ่" อายะฮ์กุรซีย์ ซุเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์   อายะฮ์บอกยืนยันชัดเจนว่า อัลลอฮ์ทรงพระนามผู้สูงส่ง  ทุกพระนามบ่งบอกถึงซีฟัต  คือ อุลุ้ว   ถามหน่อยซิว่า มีใครบ้างที่ปฏิเสธอายะฮ์นี้   ไม่มีหรอก   ทุกคนทุกแนวทางเชื่อกันหมดแหละว่า อัลลอฮ์ทรง อุลุ้ว  "สูงส่ง"....  

...การตีความหมายว่า อิสเตาลา  ของพวกมัวะตะซิละฮ์ ที่อุลามาอฺทั้งหลายต่างโจมตีกันนั้น   เพราะพวกมั๊วะตะซิละฮ์ปฏิเสธซีฟัต  แต่ปราชญ์อัลอะชาอิเราะฮ์บางส่วนตีความว่า อิสเตาลา  โดยไม่ปฏิเสธซีฟัต อิสตะวา ของอัลลอฮ์  ความต่างเห็นได้ชัด  อย่างเอามาเหมารวม...      

...แต่ที่ไปกล่าวหาคนอื่นว่า  ปฏิเสธซีฟัต อุลุ้ว นั้น  รู้หรือเปล่าว่า  เขาปฏิเสธอุลุ้ว แบบใหน?  หากทำการวิเคราะห์และศึกษาอย่างถี่ถ้วนมันเป็นเรื่องของการ  ปฏิเสธการที่อัลลอฮ์สูงแบบรูปธรรม(อุลุ้ว)แบบมีสถานที่มีทิศ   พวกที่บอกว่าอัลลอฮ์สูงแบบมีสถานที่ด้วย  เขาก็นำหลักฐานที่ว่า...
  
1. ดุอาต้องยกมือสู่ฟากฟ้า  แต่อุลามาอฺอะฮ์ลิสซุนนะฮ์  เช่น อิหม่ามฆ่อซาลี  อิหม่ามกุรตุบีย์  บอกว่า   เพราะอัลกุรอ่านระบุว่า   في السماء رزقكم      "ในฟากฟ้านั้นมีริสกีของพวกเจ้า" จึงทำการยกมือขอดุอา ไม่ใช่  ในฟ้ามีอัลลอฮ์...

2. ไปอ้างว่ามันเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ของมนุษย์  ที่เชื่อแบบนั้น  แต่พอไปถามคนอื่น  ดันได้รับคำตอบว่า  อัลลอฮ์มีอยู่ทั่วไป  ใหนล่ะ?!  ที่บอกว่ามันเป็นธรรมชาติของมนุษย์  ถ้าหากเป็นธรรมชาติของมนุษย์ก็ต้องได้รับคำตอบที่ตรงกัน  หรือว่าพวกที่บอกว่าอัลลอฮ์มีอยู่ทั่วไป  ผิดธรรมชาติของมนุษย์มะนา...

3.ไปอ้างว่านบีขึ้นเมี๊ยะรอจญ์  ไปรับวะฮีเรื่องละหมาด  ถามหน่อยเถอะ  การรับวะฮีจากอัลลอฮ์นั้น  เป็นข้อบ่งชี้ที่บอกว่าอัลลอฮ์อยู่ในทิศนั้นใช่ไหม   แล้วนบีมูซาไปรับวะฮีจากอัลลอฮ์ที่ภูเขาตุรซินีน  บ่งชี้ว่าอัลลอฮ์อยู่ที่นั่นด้วยน่ะซิ   ตรงนี้บ่งบอกว่า  การไปรับวะฮีนั้น  ไม่ว่าจะที่ใหน  อัลลอฮ์ทรงประทานวะฮีได้ทั้งนั้นแหละ  ดังนั้นเมื่อเรารู้ว่า นบีขึ้นอิสรอเมี๊ยะรอจญ์เพื่อไปเห็นสัญลักษณ์ต่างๆ ของอัลลอฮ์  และมีเหตุการณ์รับวะฮีด้วย  เราก็เชื่อเท่านั้น  ไม่ไปวินิจฉัยเข้าข้างอะกีดะฮ์ตนเอง...

4. อ้างเรื่องละหมาดกุ้มศีษระ ไม่ให้มองบนฟ้า   ทั้งที่การให้ก้มศีรษะมองไปที่สถานที่สุยูดนั้น  เพื่อแสดงความนอบน้อมและให้ค่อชั๊วะเท่านั้นเอง  จะไปใช้สติปัญญาวินิจฉัยกันขึ้นทำไมอีกว่าอัลลอฮ์มีลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้...

5. เวลานบีรอวะฮี จะเงยสู่ท้องฟ้า  นั่นก็เพราะอัลกุรอานได้ทยอยลงมาที่เลาหิลมะห์ฟูซแล้ว  ญิบรีลรออนุมัติจากอัลลอฮ์ให้ นำลงมาให้ท่านนบีนั่นเอง...

6. การปฏิเสธว่าไม่มีสิ่งใดอยู่เหนือบัลลังก์อีกแล้วนอกจากอัลลอฮ์  ถือว่าผิดและขัดกับซุนนะฮ์นบี  เพราะในฮะดีษบุคอรีย์ได้ยืนยันแล้วว่า  บันทึกอัลลอฮ์อยู่บนบัลลังก์...

7. ส่วนตรรกที่ว่า  อยู่ที่ใต้ดิน ใต้เท้า  กับอยู่สูงสุด  อันใหนจะเหมาะสมกว่ากัน?...ทั้งที่พี่น้องมุสลิมทุกคนเขาเชื่อว่าอัลลอฮ์ทรงสูงส่ง  เหตุใดต้องใช้ตรรกนี้  หรือว่าต้องการให้พี่น้องมุสลิมยอมรับการสูงของอัลลอฮ์อีกรูปแบบหนึ่งเชิงรูปธรรม  เลยใช้ตรรกนี้ขึ้นมา  ทั้งที่จริงๆ แล้ว อัลลอฮ์ทรงอุลุ้วด้วยพระองค์เอง  ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกับมัคโลคแต่อย่างใด  เช่น อยู่บนดินไม่เหมาะ  มีสถานที่เหนืออะรัชเหมาะกว่า  ทั้งที่ก่อนสร้างแผ่นดิน ก่อนสร้างอะรัช  พระองค์ทรงสูงส่งด้วยพระองค์เองที่เหมาะสมกับความยิ่งใหญ่ของพระองค์เองอยู่แล้ว...

...นี้คือหลักการและเหตุผลของผู้พยายามบอกว่า อัลลอฮ์มีซีฟัต อุลุ้ว (แบบรูปธรรม)  แต่ถ้าหากต้องการให้หลักฐานอัลลอฮ์ทรงสูงส่ง นั้น ไม่ต้องอ้างหลักฐานอะไรมาก  แค่ยกอายะฮ์นี้ وهو العلي العظيم  "และพระองค์นั้นทรงสูงส่งยิ่ง อีกทั้งทรงยิ่งใหญ่"  ก็เพียงพอแล้ว  เพราะมันชัดเจน  ไม่ต้องไปยกเหตุผลอะไรมากมายที่ต้องวินิจฉัยหรือใช้ตรรกพื่อยืนยันซีฟัตอัลลอฮ์...

...หากจะเอาอะกีดะฮ์แบบง่ายๆ คือ  มอบหมายการเจาะจงความหมายอิสติวายังไปยังอัลลอฮ์ซ่ะ  แค่นี้ก็จบ...ไม่ต้องมาอธิบายกันยืดยาวเชิงคิลาฟ  มันอาจจะผิดๆ ถูกๆ ถ้าหากไม่แยกแยะประเด็น تحرير المسألة ให้ถูกต้องจริง  ความสะเปะสะปะกันก็เกิดขึ้น  พูดค้านคำพูดตัวเองก็เป็นได้...คร้าบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 29, 2010, 10:15 PM โดย As-Zaleek »
الأيام تمضى       والعمر يزيد         ولكن الحب بالقلب أكيد

ออฟไลน์ supportsunnah

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 102
  • Respect: +10
    • ดูรายละเอียด
 :salam:

อาจารย์สอนอกีดะฮฺผม บอกว่าเราต้องยึดหลักการศรัทธาของสลัฟฟุซซอลิฮฺ(หมายถึงท่านรอซูลหรือซอฮาบะฮฺเท่านั้น)

อื่นจากซฮฮาบะฮฺหมดสิทธิ และเรากำลังรอท่าทีการอ้างคำกล่าวเรื่องอกีดะฮฺจากอาจารย์ว่า ท่านรอซูลหรือซอฮาบะฮฺว่าอย่างไรบ้างในประเด็นต่างๆ เช่นเรื่องอิสตาวา ยาดน วัจ เปนต้น

ออฟไลน์ taufik

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 252
  • Respect: +10
    • ดูรายละเอียด


...ส่วนจะมาบอกว่า อิหม่ามชาฟิอีย์  ก็ให้ความหมาย อิสตะวา  ว่า  อุลุ้ว  ก็ต้องเอาหลักฐานซอฮิห์มายืนยันคำพูดของอิหม่ามชาฟิอีย์  ส่วนหลักฐานของวะฮาบีที่อ้างถึงอิหม่ามชาฟิอีย์ที่มีสายรายงานแบบอุปโลคก์ขึ้นมา  แล้วมาประกาศว่า ตนเองมีหลักอะกีดะฮ์อิหม่ามชาฟิอีย์นั้น  ถือว่าอธรรมต่ออิหม่ามชาฟิอีย์...

[/quote]

อยากรู้ถึงการอ้างสายรายงานแบบอุปโลกค์นั้นที่ทางฝ่ายวะฮาบีอ้างถึงอิมามชาฟีอีย์
พอที่จะนำเสนอได้ไหม ท่าน อัซซาลีก
ญาซัลกัลลอฮฺ ครับ

ออฟไลน์ Muftee

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1899
  • เพศ: ชาย
  • ตั้งใจเข้าไว้นะ มุฟตีย์น้อย
  • Respect: +190
    • ดูรายละเอียด
อ้างถึง
1. ดุอาต้องยกมือสู่ฟากฟ้า  แต่อุลามาอฺอะฮ์ลิสซุนนะฮ์  เช่น อิหม่ามฆ่อซาลี  อิหม่ามกุรตุบีย์  บอกว่า   เพราะอัลกุรอ่านระบุว่า   في السماء رزقكم      "ในฟากฟ้านั้นมีริสกีของพวกเจ้า" จึงทำการยกมือขอดุอา ไม่ใช่  ในฟ้ามีอัลลอฮ์...


การยกมือขอดุอาอ์ ไปสู่ชั้นฟ้านั้น มิได้หมายความว่า อัลลอฮฺ ตะอาลา นั้นทรงอยู่บนชั้นฟ้าแต่อย่างใด...เพราะชั้นฟ้านั้น เป็นกิบละฮฺของผู้ที่ขอดุอา...เช่นเดียวกับกะอฺบะฮฺ ซึ่งเป็นกิบละฮฺของผู้ที่ละหมาด  ดังนั้น การที่เราหันหน้าตอนที่ละหมาด ไปทางกะอฺบะฮฺ หรือก้มกราบไปยังกะอฮบะฮฺ นั้น..ไมไ่ด้หมายความว่า อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงอยู่ในบัยตุ้ลลอฮฺ  เพียงแต่ว่ากะอฺบะฮฺหรือบัยตุ้ลลอฮฺนั้น คือ กิบละฮฺของผู้ที่ละหมาดเท่านั้น 

การดุอาอ์ก็เช่นเดียวกัน การที่ต้องยกมือขึ้นไปสู่ชั้นฟ้านั้น มิได้หมายถึง อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงอยู่ในชั้นฟ้า..แต่ยกมือขึ้นไปเพราะมันคือทิศของผู้ที่ขอดุอา....
// อะฮฺลิสสุนนะฮฺ อัล-อะชาอิเราะฮฺ...สักวันนึง เราต้องเป็นอุละมาอฺที่ยิ่งใหญ่ อินชาอัลลอฮฺ //

ออฟไลน์ Muftee

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1899
  • เพศ: ชาย
  • ตั้งใจเข้าไว้นะ มุฟตีย์น้อย
  • Respect: +190
    • ดูรายละเอียด
หากว่าแต่ละคนมีความคิดว่าอัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงอยู่บนชั้นฟ้า..ต่างคน ต่างก็ชี้ขึ้นไปบนชั้นฟ้า  ดังนั้น เราอย่าลืมว่า บนผืนผิวบนโลกนี้ มีผู้คนอยู่รอบโลก  ดังนั้น ถ้าหากแต่ละคนรอบโลก ต่างชี้ขึ้นไปบนชั้นฟ้าว่า อัีลลอฮฺ อยู่บนฟ้าโน่น  แล้วตกลงอัลลอฮฺ อยู่ที่ชั้นฟ้าของใครกันแน่  อยู่ที่ชั้นฟ้าของคนที่ชี้ไปทางทิศตะวันออก หรืออยู่ที่ชั้นฟ้าของคนที่ชี้ไปทางทิศตะวันตก หรืออยู่ที่ชั้นฟ้าของคนที่ชี้ไปทางทิศเหนือ หรืออยู่ที่ชั้นฟ้าของคนที่ชี้ไปทางทิศใต้...

อย่าลืมว่าถ้า ถ้าอัลลลอฮฺ ตะอาลา อยู่ที่ชั้นฟ้าของคนที่ชี้ไปทางทิศตะวันออก นั่นเท่ากับว่าพระองค์ทรงอยู่ทางด้านใต้ของคนที่อยู่ทางทิศตะวันตก  และถ้าหากอัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงอยู่ที่ชั้นฟ้าของคนที่ชี้ไปทางทิศเหนือ นั่นเท่ากับว่าพระองค์ทรงอยู่ทางด้านใต้ของคนที่อยู่ทางทิศใต้.....ตรรกะง่ายๆ สำหรับคนผู้ที่ใคร่ครวญ  

ดังนั้น อัลลอฮฺ ตะอาลา นั้นทรงปราศจากทิศใดทิศหนึ่ง และไม่มีใครรู้ว่าอัลลอฮฺ ตะอาลา อยู่ที่ใด...loveit:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 29, 2010, 11:11 PM โดย Muftee »
// อะฮฺลิสสุนนะฮฺ อัล-อะชาอิเราะฮฺ...สักวันนึง เราต้องเป็นอุละมาอฺที่ยิ่งใหญ่ อินชาอัลลอฮฺ //

ออฟไลน์ บาชีร

  • ปีสามสักที
  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2164
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +59
    • ดูรายละเอียด
เพราะพระองไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่และกาลเวลา
นักเรียนปีสาม กฎหมายอิสลาม อัซฮัร ไคโร

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
3.ไปอ้างว่านบีขึ้นเมี๊ยะรอจญ์  ไปรับวะฮีเรื่องละหมาด  ถามหน่อยเถอะ  การรับวะฮีจากอัลลอฮ์นั้น  เป็นข้อบ่งชี้ที่บอกว่าอัลลอฮ์อยู่ในทิศนั้นใช่ไหม   แล้วนบีมูซาไปรับวะฮีจากอัลลอฮ์ที่ภูเขาตุรซินีน  บ่งชี้ว่าอัลลอฮ์อยู่ที่นั่นด้วยน่ะซิ   ตรงนี้บ่งบอกว่า  การไปรับวะฮีนั้น  ไม่ว่าจะที่ใหน  อัลลอฮ์ทรงประทานวะฮีได้ทั้งนั้นแหละ  ดังนั้นเมื่อเรารู้ว่า นบีขึ้นอิสรอเมี๊ยะรอจญ์เพื่อไปเห็นสัญลักษณ์ต่างๆ ของอัลลอฮ์  และมีเหตุการณ์รับวะฮีด้วย  เราก็เชื่อเท่านั้น  ไม่ไปวินิจฉัยเข้าข้างอะกีดะฮ์ตนเอง...

ผมอยากจะพูดสั้นๆ เพราะเวลาไม่เวลาไม่ค่อยสะดวกในช่วงนี้   กล่าวคือ

เราเชื่อว่า อัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงมีซีฟัต อัลอุลุ้ว اَلْعُلُوُّ  "อัลเลาะฮ์ทรงสูงส่ง"  ซึ่งมีหลักฐานจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์มากมายที่ระบุชัดเจนและมุตะวาติรว่า อัลเลาะฮ์ทรง اَلْعَلِيُّ  หรือ اَلْمُتَعَالِي  "อัลเลาะฮ์ทรงสูงส่ง"  ส่วนการยืนยันว่าอัลเลาะฮ์สูงแบบมีสถานที่หรือสูงแบบไกลโพ้นอยู่สูงที่สุดนั้น  ก็จะใช้หลักฐานที่มุตะชาบิฮาต  สามารถอธิบายได้หลายแง่มุม

สรุปหลักอะกีดะฮ์  ซีฟัตอัลอุลุ้ว اَلْعُلُوُّ  "อัลเลาะฮ์ทรงสูงส่ง" นั้น  คือ  อัลเลาะฮ์ทรงสูงส่งเกินกว่าที่สติปัญญาของเราจะไปสัมผัสรับรู้ฮะกีกัตได้  ไม่มีคำว่ารูปแบบวิธีการอย่างไร  สูงส่งโดยไม่เกี่ยวข้องกับมัคโลค  กาลเวลา และสถานที่    โดยมีความรู้สึกเสมอว่าอัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงสูงส่งให้หัวใจของเรา  โดยให้ความสำคัญและรู้สึกเกรงขามพระองค์อย่างเสมอ ดังนั้นหากเราเชื่ออย่างนี้ถือว่าปลอดภัยที่สุด

ผมอยากจะหยิบยกคำอธิบายของท่าน อิม่ามอักบัร ชัยคุลอัลอัซฮัร อับดุลฮะลีม มะห์มูด ร่อหิมะฮุลลอฮ์  ความว่า

[وَمَا مِنَّا إِلاَّ لَهُ مَقَامٌ مَعْلُوْمٌ]

   تَقَدَّمْ أَنْتَ يَا مُحَمَّدُ فَهَذَا مَقَامُكَ وَهُنَا زُجَّ بِسَيِّدِنَا مُحَمَّدٍ فِي الأَنْوَارِ فَوَصَلَ إِلَي حَيْثُ لاَ أَيْنَ وَلاَ بَيْنَ وَلاَ زَمَانَ وَلاَ مَكَانَ فَقَدْ انْتَفَي حِيْنَ ذَلِكَ الْمَكَانَ، وَهُنَا لاَ مَجَالَ لِلقَوْلِ وَلاَ لِلْعَقْلِ

"และไม่มีผู้ใดจากพวกเรานอกจากเขามีตำแหน่งที่ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว” อัศศอฟฟาต 164

โอ้มุฮัมมัด เจ้าจงเข้ามา  นี้คือตำแหน่งของเจ้า  ณ ที่ตรงนี้ (คือซิดร่อตุลมุตตะฮา  ต้นพุทราแห่งการสิ้นสุดในการที่มัคโลคทั้งหลายจะรับรู้ได้)  ท่านนะบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงถูกเคลื่อนย้ายเข้าไปในบรรดารัศมี  แล้วไปถึง ณ ที่ไม่คำว่าที่ใหน, ไม่มีคำว่าระหว่าง, ไม่มีคำว่าเวลา, ไม่มีคำว่าสถานที่.(มาเกี่ยวข้อง) ขณะดังกล่าวนั้นได้ปฏิเสธสถานที่  และณ ที่นี้ไม่มีขอบข่ายใดๆ ที่จะพูดและใช้สติปัญญาคิดได้” หนังสือ อัลมัดร่อซะฮ์ อัชชาซุลลียะฮ์ หน้า 49 ของท่าน อิม่ามอักบัร ชัยคุลอัลอัซฮัร อับดุลฮะลีม มะห์มูด  

นั่นแค่ตำแหน่งของท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

วัลลอฮุอะลัม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 30, 2010, 09:11 AM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
ผมรู้สึกว่า จะเป็นกลุ่มวะฮาบีย์เสียเองที่มักจะพูดถึงเรื่องอายะฮ์มุตะชาบิฮาต (โองการที่เป็นนัย) อยู่บ่อยครั้งในตำรับตำราทางอกีดะฮ์ของพวกเขาโดยเฉพาะเรื่อง "อัสมาอ์วะศิฟาต" (บรรดาพระนามและคุณลักษณของอัลลอฮฺ) ซึ่งหากจะว่ากันตรงๆ มันก็อาจเข้าข่ายในอายะฮ์ที่ ๗ สูเราะฮ์อาลิอิมรอน ว่า ในอัลกุรฺอานนั้นมีทั้งอายาตมุห์กะมาต (ข้อความรัดกุมชัดเจน) และอายาตมุตะชาบิฮาต (ข้อความเป็นนัย) ซึ่งข้อความต่อมาในอายะฮ์ดังกล่าวนี้ก็กล่าวว่า "... ส่วนบรรดาผู้ที่ในหัวใจของพวกเขามีการเอนเอียงออกจากความจริงนั้น เขาจะติดตามโงองการที่มีข้อความเป็นนัย (อายาตมุตะชาบิฮาต) จากคัมภีร์ ทั้งนี้ เพื่อแสวงหาความวุ่ยวาย และเพื่อแสวงหาการตีความในโองการนั้น และไม่มีใครรู้ในการตีความโองการนั้นได้ นอกจากอัลลอฮฺและบรรดาผู้ที่มั่นคงในความรู้เท่านั้น ..." (สูเราะฮ์อาลิอิมรอน (๓) อายะที่ ๗)

       แต่เมื่อเรามาดูในตำรับตำราของทางอัลอะชาอิเราะฮ์ โดยเฉพาะตำราที่อธิบายศิฟาต ๒๐ นั้น ยิ่งเป็นตำราภาษามลายูโบราณด้วยแล้ว แทบจะไม่เน้น หรือกล่าวถึงอายาตมุตะชาบิฮาตมากเลย อาจมีการกล่าวถึงบ้างเมื่อถึงศิฟัตที่ ๔ คือศิฟัต "มุฅอละฟะตุฮู ตอาลา ลิลหะวาดิษ" หมายถึง อัลลอฮฺ ตอาลา ทรงแตกต่างกับหะวาดิษ แปลว่า สิ่งใหม่ หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นจากความไม่มีมาก่อน ซึ่งการกล่าวถึงนี้ ก็เพื่อเป็นการยืนยันความบริสุทธิ์ของอัลลอฮฺ ตอาลา จากการเสมือนกับสิ่งถูกสร้าง (มัฅลู้ก) ทั้งหลายด้วยกับการตีความอายะฮ์นั้นเพื่อให้เหมาะสมกับความยิ่งใหญ่และความบริสุทธิ์ของพระองค์ และเพื่อให้เหมาะสมกับสถานภาพที่แท้จริงของพระองค์ที่พระองค์ทรงกล่าวถึงพระองค์เองในกิตาบุลลอฮฺแลอัสสุนนะฮฺที่เชื่อถือได้ - วัลลอฮุอะอ์ลัม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 13, 2011, 04:50 PM โดย Al Fatoni »
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

DekTani

  • บุคคลทั่วไป
 :salam:

มันเป็นการเพียงพอแล้ว ไม่ใช่หรือ เกี่ยวกับอายะห ที่มุตะชาบีฮาต หากท่านนบีและซาฮาบะหฺเอง ไม่ได้ให้ความหมายในส่วนนั้น  สำหรับเราแล้วก็มอบหมายความหมาย ดังกล่าว แก่อัลลอฮ ซุบฮานะฮุวะตะอาลา

DekTani

  • บุคคลทั่วไป
อ้างถึง
ข้อความโดย: As-Zaleek
..หากจะเอาอะกีดะฮ์แบบง่ายๆ คือ  มอบหมายการเจาะจงความหมายอิสติวายังไปยังอัลลอฮ์ซ่ะ  แค่นี้ก็จบ...ไม่ต้องมาอธิบายกันยืดยาวเชิงคิลาฟ  มันอาจจะผิดๆ ถูกๆ ถ้าหากไม่แยกแยะประเด็น تحرير المسألة ให้ถูกต้องจริง  ความสะเปะสะปะกันก็เกิดขึ้น  พูดค้านคำพูดตัวเองก็เป็นได้...คร้าบ
นั้นน่ะซิว่ามั้ย

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
ตราบใดที่เรายังคงสับสนในเรื่องการสติปัญญาของอะฮ์ลุสสุนนะฮ์วัลจมาอะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์กับพวกบิดอะฮ์มุอ์ตะซิละฮ์แล้ว แล้วมองว่ามันเป็นแบบเดียวกันแล้ว เชื่อได้ว่า เราจะคุยกันไม่รู้เรื่องแน่นอน และการหาข้อสรุปก็อย่าหวังว่าจะเกิดขึ้น มากสุดที่เกิดขึ้นได้ก็คือ "การเงียบ" แต่การเงียบไม่ใช่การแก้ปัญหาความไม่ลงรอยให้สงบลงได้เสมอ - วัลลอฮุอะอ์ลัม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ BaE HoK

  • บ้านของผู้ชายอยู่ในมัสยิด มัสยิดของผู้หญิงนั้นคือบ้าน
  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 272
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
ตราบใดที่เรายังคงสับสนในเรื่องการสติปัญญาของอะฮ์ลุสสุนนะฮ์วัลจมาอะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์กับพวกบิดอะฮ์มุอ์ตะซิละฮ์แล้ว แล้วมองว่ามันเป็นแบบเดียวกันแล้ว เชื่อได้ว่า เราจะคุยกันไม่รู้เรื่องแน่นอน และการหาข้อสรุปก็อย่าหวังว่าจะเกิดขึ้น มากสุดที่เกิดขึ้นได้ก็คือ "การเงียบ" แต่การเงียบไม่ใช่การแก้ปัญหาความไม่ลงรอยให้สงบลงได้เสมอ - วัลลอฮุอะอ์ลัม

  natural:แต่ "การเงียบ" ก็ทำให้เกิดบรรยากาศที่ดีเกิดขึ้น

ไม่จำเป็นและไม่สำคัญที่จะต้องไปอธิบาย(ตามมาด้วยการเถียงกัน)

กับคนที่มีความเชื่อความศรัทธาเห็นต่างไปจากเรานี่คับ
happy2:
มนุษย์มีเสรีภาพได้ โดยไม่ต้องยิ่งใหญ่

แต่ มนุษย์ไม่อาจยิ่งใหญ่ได้..

...โดยไม่มีเสรีภาพ

 

GoogleTagged