ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 62 สูเราะฮฺ อัลญุมุอะฮฺ  (อ่าน 2594 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

 :salam:

คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺ อัลญุมุอะฮฺ (الجمعة) – วันศุกร์

เป็นสูเราะฮฺมะดะนียะฮฺ มี 11 อายะฮฺ

          บทนำ (R3.)
          ชื่อ: ซูเราะฮฺนี้ได้ชื่อมาจากอายะฮฺที่ 9 ซึ่งมีคำว่า “อัลญุมุอะฮฺ” (الجمعة) ปรากฏอยู่ ถึงแม้ในซูเราะฮฺนี้จะมีคำสั่งเกี่ยวกับการนมาซวันศุกร์ แต่คำว่า “ญุมุอะฮฺ” ก็มิใช่เรื่องราวของเนื้อหาสาระทั้งหมด แต่ชื่อนี้เป็นเพียงสัญลักษณ์เหมือนกับชื่อซูเราะฮฺอื่น ๆ เท่านั้น
ระยะเวลาของการประทานซูเราะฮฺ: อายะฮฺที่ 1-8 ซึ่งเป็นส่วนแรกของซูเราะฮฺนี้ได้ถูกประทานลงมาใน ฮ.ศ. 7 บางทีอาจจะถูกประทานลงมาในตอนพิชิตคอยบัร หรือหลังจากนั้นไม่นานนักก็ได้ บุคอรี,มุสลิม,ติรฺมิซี,นะซาอีและอิบนุญะรีรได้รายงานจากอบูฮุร็อยเราะฮฺว่า เขาและสาวกบางคนกำลังนั่งอยู่ในที่ประชุมของท่านรอซูลุลลอฮฺในขณะที่อายะฮฺเหล่านี้ได้ถูกประทานลงมา สำหรับอบูฮุร็อยเราะฮฺนั้น ประวัติศาสตร์ยืนยันว่าเขาได้รับอิสลามหลังจากการทำสัญญาฮุดัยบียะฮฺและก่อนการพิชิตคอยบัร และอิบนุฮิชามกล่าวว่าคอยบัรได้ถูกพิชิตในเดือนมุฮัรฺรอมส่วนอิบนุซะด์กล่าวว่าคอยบัรถูกพิชิตในเดือนญะมาดิลเอาวัล ฮ.ศ. 7 ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าอัลลอฮฺอาจจะประทานอายะฮฺนี้ลงมาเพื่อกล่าวแก่พวกยิว เมื่อฐานที่มั่นสุดท้ายของพวกนี้ตรงเป็นของมุสลิม หรืออาจจะประทานลงมาในตอนที่พวกยิวในฮฺยาซตอนเหนือได้ยอมจำนนต่อรัฐบาลอิสลามแล้ว
ส่วนที่สองของซูเราะฮฺ (อายะฮฺ 9-11) ได้ถูกประทานมาหลังจากการอพยพ เพราะทานรอซูลุลลอฮฺได้สั่งให้มีการละหมาดวันศุกร์ขึ้นในวันที่ห้าหลังจากที่ท่านมาถึงมะดีนะฮฺเหตุการณ์ที่ได้ถูกกล่าวไว้ในอายะฮฺสุดท้ายของส่วนนี้จะต้องเกิดขึ้นในตอนที่ผู้คนยังไม่ได้รับการอบรมเกี่ยวกับเรื่องมารยาทของการมาชุมนุมกันทางด้านศาสนา
   เนื้อหาสาระ : ดังที่เราได้อธิบายไว้ข้างต้น สองส่วนของซูเราะฮฺนี้ได้ถูกประทานมาในสองเวลาที่ต่างกัน นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเนื้อหาสาระและผู้ฟังซูเราะฮฺนี้จึงไม่เหมือนกัน ถึงแม้ว่ามันอาจจะมีความประสมกลมกลืนกันระหว่างทั้งสองส่วนในเรื่องที่ทำให้มันได้ถูกรวบรวมไว้ในซูเราะฮฺเดียวกัน แต่เราก็จะต้องทำความเข้าใจในเนื้อหาสาระของมันแยกจากกันก่อนที่เราจะพิจารณษถึงปัญหาที่มันถูกนำมารวมกัน
   ส่วนแรกของซูเราะฮฺนี้ได้ถูกประทานมาในตอนที่ความพยายามของพวกยิวที่จะต่อต้านสาส์นแห่งอิสลามในหกปีที่ผ่านมาประสบความล้มเหลว ครั้งแรกในมะดีนะฮฺซึ่งพวกยิวเผ่าสำคัญ ๆ สามเผ่าได้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะทำลายภารกิจของท่านรอซูลุลลอฮฺ แตผลที่ได้ก็คือพวกยิวเผ่าหนึ่งต้องถูกปราบอย่างราบคาบและอีกสองเผ่าต้องถูกเนรเทศ หลังจากนั้นพวกยิวก็วางแผนใช้เผ่าอาหรับทั้งหมดรวมกันบุกมายังมะดีนะฮฺ แต่ในสงครามสนามเพลาะ ทั้งพวกอาหรับและพวกยิวต้องถอยกลับไป หลังจากนั้นคอยบัรก็กลายเป็นฐานที่มั่นที่พวกยิวที่ถูกขับไล่มาจากมะดีนะฮฺไปอาศัยหลบภัย ในตอนนี้เองที่อายะฮฺเหล่านี้ได้ถูกประทานมา และพวกยิวเองก็ขอที่จะอาศัยอยู่ที่นั่นในฐานะผู้ที่อยู่ใต้อำนาจของมุสลิม โดยที่มุสลิมไม่ต้องทำอะไร หลังจากการพ่ายแพ้ครั้งสุดท้ายนี้แล้ว อำนาจของพวกยิวในอารเบียก็สิ้นสุดลง หลังจากนั้น วาดิลกุรอ, ฟะดัก, ตัยมา, ตะบู๊ก ก็ยอมจำนนต่อมุสลิมทีละแห่ง จนกระทั่งพวกยิวอาหรับทั้งหมดได้ตกอยู่ใต้อำนาจของอิสลามที่พวกเขาเคยต่อต้านมาก่อนหน้านี้ นี่เป็นโอกาสที่อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวแก่พวกเขาอีกครั้งหนึ่งในซูเราะฮฺนี้ และบางทีนี่อาจจะเป็นการพูดโดยตรงกับคนพวกนี้เป็นครั้งสุดท้ายในกุรฺอาน ในคำพูดดังกล่าวนี้ พวกยิวได้ถูกเตือนถึงสามสิ่ง นั่นคือ :
(1)   “พวกเจ้าไม่ยอมศรัทธาในรอซูลพวกนี้เพียงเพราะเขาเกิดในหมู่คนที่พวกเจ้าเรียกว่า “คนต่างชาติ” พวกเจ้าหลงผิดคิดว่ารอซูลจะต้องเป็นคนในประชาคมของพวกเจ้า พวกเจ้าเชื่อว่าใครก็ตามที่อ้างตัวว่าเป็นนบีนอกเหนือไปจากคนที่มาจากประชาคมของพวกเจ้าจะต้องเป็นคนโกหก เพราะตำแหน่งนี้ได้ถูกสงวนไว้สำหรับเผ่าพันธุ์ของพวกเจ้า และในหมู่คนต่างชาติจะไม่อาจมีรอซูลเกิดขึ้นได้ แต่ในบรรดาคนต่างชาตินี้ อัลลอฮฺได้ให้มีรอซูลคนหนึ่งเกิดขึ้นมาอ่านคัมภีร์ของพระองค์ต่อหน้าต่อตาพวกเจ้า มาขัดเกลาจิตใจและชี้ทางที่ถูกต้องให้แก่ผู้คน นี่คือความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่พระองค์จะประทานแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ พวกเจ้าไม่มีอำนาจผูกขาดในสิ่งนี้ เพื่อที่จะให้พระองค์ประทานหรือไม่ประทานแก่ใครก็ตามที่พวกเจ้าต้องการ”
(2)   “พวกเจ้าได้ถูกทำให้เป็นผู้ได้รับคัมภีร์เตารอต แต่พวกเจ้าไม่เข้าใจความรับผิดชอบของพวกเจ้าและไม่ปฏิบัติตามคัมภีร์นั้น พวกเจ้าเหมือนกับลาที่แบกคัมภีร์และไม่รู้ว่าตัวเองกำลังแบกอะไรอยู่ พวกเจ้าไม่เพียงแต่บอกปัดความรับผิดชอบในการเป็นผู้ถือคัมภีร์ของอัลลอฮฺเท่านั้น แต่พวกจั้งไม่ลังเลที่จะปฏิเสธสิ่งที่อัลลอฮฺประทานมา ด้วยพวกเจ้าหลงผิดคิดว่าพวกเจ้าเป็นผู้ที่อัลลอฮฺทรงโปรดปราน และอัลลอฮฺแต่งตั้งรอซูลขึ้นในหมู่พวกเจ้าเท่านั้น นอกจากนี้แล้ว พวกเจ้าคิดว่าไม่ว่าพวกเจ้าจะทำตามความต้องการของสาส์นที่อัลลอฮฺได้ประทานมาครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่ อัลลอฮฺก็จะไม่ให้ใครนอกไปจากพวกเจ้าเป็นผู้ถือสาส์นของพระองค์"
(3)   “ถ้าหากพวกเจ้าเป็นผู้ที่อัลลอฮฺทรงโปรดปรานจริงและพวกเจ้าแน่ใจว่าพวกเจ้าจะมีตำแหน่งแห่งเกียรติอยู่ที่พระองค์ พวกเจ้าก็ไม่น่าจะกลัวตายจนถึงขนาดที่พวกเจ้าชอบชีวิตแห่งความอัปยศมากกว่าความตาย มันเป็นเพราะความกลัวตายต่างหากที่ทำให้พวกเจ้าได้รับความอัปยศครั้งแล้วครั้งเล่าในระหว่างหลายปีที่ผ่านมา สภาพเช่นนี้ของพวกเจ้าเป็นข้อพิสูจน์ว่าพวกเจ้ารู้ดีถึงความผิดของพวกเจ้า และความสำนึกของพวกเจ้าเองก็รู้ว่าถ้าหากพวกเจ้าตายด้วยการหลงผิดนี้ พวกเจ้าจะต้องได้รับความอัปยศที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ต่อหน้าอัลลอฮฺในปรโลก”
    นี้เป็นเนื้อหาสาระของส่วนแรก สำหรับส่วนที่ถูกประทานมาหลังจากนั้นอีกหลายปีได้ถูกนำมารวมในซูเราะฮฺนี้ก็เพราะในส่วนนี้อัลลอฮฺได้ประทานความสำคัญของวันศุกร์ให้แก่มุสลิมแทนวันสะบาโตของพวกยิว และอัลลอฮฺทรงต้องการที่จะเตือนมุสลิมมิให้ปฏิบัติตัวในวันศุกร์เหมือนกับที่พวกยิวปฏิบัติตัวในวันศุกร์เหมือนกับที่พวกยิวปฏิบัติตัวในวันสะบาโต ส่วนที่สองนี้ได้ถูกประทานมาในช่วงเวลาที่กองคาราวานสินค้าได้มาถึงเมืองมะดีนะฮฺในเวลาที่มีการนมาซวันศุกร์พอดี และเมื่อได้ยินเสียงกองคาราวานดังมา ผู้คนก็รีบวิ่งออกจากมัสญิดของท่านนบีไปยังกองคาราวานทันที ทั้ง ๆ ที่นบีกำลังกล่าวคำเทศนาอยู่ มีเพียง 12 คนเท่านั้นที่ยังนั่งอยู่ในมัสญิดเพื่อฟังคำเทศนาของท่าน ดังนั้นจึงได้มีการสั่งว่าหลังจากที่ได้ยินเสียงเรียก (อะซาน) ให้ไปนมาซวันศุกร์แล้ว การค้าขายและการทำธุรกิจต่าง ๆ ถือว่าเป็นที่ต้องห้าม ผู้ศรัทธาจะต้องหยุดการงานของตัวเองไว้ชั่วคราวก่อนและรีบเร่งไปสู่การระลึกถึงอัลลอฮฺ อย่างไรก็ตามเมื่อการนมาซเสร็จสิ้นแล้ว พวกเขาก็มีสิทธิ์ที่จะแยกย้ายกันไปในหน้าแผ่นดินเพื่อประกอบอาชีพตามปกติได้ ส่วนนี้สามารถที่จะเป็นซูเราะฮฺเอกเทศได้หากมองจากคำบัญชาที่มีอยู่ในนั้นเกี่ยวกับเรื่องการนมาซวันศุกร์และอาจรวมเอาไว้ในซูเราะฮฺอื่นได้ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นมันได้ถูกรวมเอาไว้ในซูเราะฮฺที่พวกยิวได้ถูกเตือนถึงสาเหตุแห่งจุดจบอันเลวร้ายของพวกเขา เหตุผลในความเห็นของเราก็ดังที่เราอธิบายไปแล้วข้างต้น



เอกสารอ้างอิง
R1. The Noble Qur’an (Dr.Muhammad Taqi-ud-Din al-Hilali and Dr.Muhammad Muhsin Khan.)
R2. อัลกุรอานฉบับแปลภาษาไทย โดย มัรวาน สะมะอุน
R3. ตัฟฮีมุลกุรฺอาน(อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน)
R4. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรฺอานแห่งนครมาดีนะฮ์
R5. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย (โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์-ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา)



----------------------------------------------

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
 :salam:

ลิงก์ เสียงอ่านสูเราะฮฺ อัลญุมุอะฮฺ ของ อับดุลบาศิด อับดุศเศาะมัด

http://67.213.215.136/~server3/basit_mjwd/062.mp3

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺอัลญุมุอะฮฺ อายะฮฺที่ 1-4



คำอ่าน
1. ยุสับบิหุลิลลาฮิมาฟิสสะมาวาติวะมาฟิลอัรฺฎิลมะลิกิลกุดดูสิลอะซีซิลหะกีม
2. ฮุวัลละซีบะอะสะฟิลอุม..มียีนะเราะสูลัม..มินฮุมยัตลูอะลัยฮิม อายาติฮี วะยุซักกีฮิม วะยุอัลลิมุฮุมุลกิตาบะวัลหิกมะฮฺ, วะอิน..กานูมิน..ก็อบลุละฟีเฎาะลาลิม..มุบีน
3. วะอาเคาะรีนะมินฮุมลัม..มายัลหะกูบิฮิม วะฮุวัลอะซีซุลหะกีม
4. ซาลิกะฟัฎลุลลอฮิยุอ์ตีฮิมัย..ยะชา..อ์ วัลลอฮฺซุลฟัฎลิลอะซีม

คำแปล R1.
1. Whatsoever is in the heavens and whatsoever is on the earth glorifies Allah, the king (of everything), the Holy, the All-Mighty, the All-Wise.
2. He it is who sent among the unlettered ones a Messenger (Muhammad) from among themselves, reciting to them his verses, purifying them (from the filth of disbelief and polytheism), and teaching them the Book (this Qur'an, Islamic laws and Islamic jurisprudence) and Al-Hikmah (As-Sunnah: legal ways, orders, acts of worship, etc. of Prophet Muhammad). And verily, they had been before in manifest error;
3. And He has sent him (Prophet Muhammad) also to others among them (Muslims) who have not yet joined them (but they will come). And He (Allah) is the All-Mighty, the All-Wise.
4. That is the Grace of Allโh, which He bestows on whom He wills. And Allah is the Owner of mighty Grace.


คำแปล R2.
1. สรรพสิ่งในฟากฟ้าและสรรพสิ่งในพื้นดินต่างก็แซ่ซร้องสดุดีพระบริสุทธิคุณแด่อัลเลาะฮฺ, ผู้ทรงอำนาจปกครอง, ผู้ทรงบพิตร, ผู้ทรงอำนาจ, ผู้ทรงปรีชาญาณเป็นที่สุด
2. พระองค์ทรงแต่งตั้งในกลุ่มชนที่ไม่รู้หนังสือ ซึ่งศาสนทูตหนึ่งจากเชื้อชาติของพวกเขาเอง (คือนบีมุฮำมัดในชนชาติอาหรับ) เขาแถลงโองการต่าง ๆ ของพระองค์แก่พวกนั้น, เขาทำการปลดเปลื้องพวกนั้น (ให้หมดสิ้นจากหลักยึดมั่นอันโมฆะ) และเขาทำการสอนพวกนั้นซึ่งคัมภีร์และวิทยญาณ และแท้จริงพวกเหล่านั้น เมื่อยุคก่อน ๆ ได้ตกอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง
3. และ (แต่งตั้งนบีมุฮำมัดมายัง) กลุ่มอื่น ๆ นอกจากพวกเหล่านั้น ซึ่งพวกนั้นยังไม่เคยติดต่อกับพวกเขามาก่อนเลย (อีกด้วย) และพระองค์ทรงอำนาจยิ่ง ทรงปรีชาญาณยิ่ง
4. (การแต่งตั้งนบีมุฮำมัดเป็นศาสนทูต) นั้น เป็นความโปรดปรานของอัลเลาะฮฺที่ทรงประทานแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลเลาะฮฺทรงไว้ซึ่งความโปรดปรานอันใหญ่หลวงยิ่งนัก


คำแปล R3.
1. สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินต่างสดุดีอัลลอฮฺผู้ทรงมีอำนาจสูงสุด ผู้ทรงบริสุทธิ์และผู้ทรงปรีชาญาณ
2. พระองค์คือผู้ทรงแต่งตั้งรอซูลคนหนึ่งขึ้นมาในหมู่ผู้ไม่รู้หนังสือในหมู่พวกเขา เพื่อมาอ่านอายะฮฺทั้งหลายของพระองค์ให้แก่พวกเขาและสอนคัมภีร์และวิทยปัญญาแก่พวกเขา ในขณะที่ก่อนหน้านี้พวกเขาเป็นผู้หลงอยู่ในความผิดอันชัดแจ้ง
3. และ (การมาของรอซูล) ก็เพื่อคนอื่น ๆ ที่ยังไม่ได้มาร่วมกับเขาและพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจผู้ทรงปรีชาญาณ
4. นั่นคือความโปรดปรานของอัลลอฮฺ พระองค์ประทานมันแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮฺทรงเป็นเจ้าของความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่


คำแปล R4.
1. สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย และสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินต่างแซ่ซ้องสดุดีแด่อัลลอฮฺ ผู้ทรงอภิสิทธิ์ ผู้ทรงบริสุทธิ์ ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ
2. พระองค์ทรงเป็นผู้แต่งตั้งร่อซูลขึ้นคนหนึ่งในหมู่ผู้ไม่รู้จักหนังสือจาก พวกเขาเองเพื่อสาธยายอายาตต่าง ๆ ของพระองค์แก่พวกเขา และทรงทำให้พวกเขาผุดผ่อง และทรงสอนคัมภีร์และความสุขุมคัมภีร์ภาพแก่พวกเขา และแม้ว่าแต่ก่อนนี้พวกเขาอยู่ในการหลงผิดอย่างชัดแจ้งก็ตาม
3. และกลุ่มชนอื่น ๆ ในกลุ่มพวกเขาที่จะติดตามมาภายหลังจากพวกเขา และพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ
4. นั่นคือความโปรดปรานของอัลลอฮฺทรงประทานความโปรดปรานนั้นแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง


คำแปล R5.
๑. สรรพสิ่งในฟากฟ้าและสรรพสิ่งในแผ่นดินต่างแซ่สร้องพระบพิตรธิคุณแด่อัลเลาะห์พระผู้ทรงปกครอง พระผู้ทรงพิสุทธิ พระผู้ทรงอำนาจ พระผู้ทรงปรีชา
๒. พระองค์ทรงแต่งตั้งศาสนทูตผู้หนึ่งในพวกที่ไม่รู้หนังสือ คือพวกอาหรับซึ่งศาสนทูตผู้นั้น มาจากเชื้อชาติของพวกเขาเอง เขามาแถลงบรรดาโองการของพระองค์แก่พวกเขา เขาทำการปลดเปลื้องมลทินแก่พวกเขา และเขาทำการสอนพวกนั้นให้รู้คัมภีร์และวิทยทานอันลึกซึ้ง และมาดแม้นพวกเขาจะเคยอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้งมาก่อนนั้นก็ตาม
๓. และแต่งตั้งนบีมุฮำมัดมายังกลุ่มคนอื่น ๆ นอกเหนือจากพวกเขาอีก ซึ่งพวกเขาไม่ได้ติดต่อกับกลุ่มเหล่านั้นมาก่อนเลย และพระองค์ทรงอำนาจที่สุด ทรงปรีชาญาณยิ่ง
๔. นั่นเป็นความโปรดปรานแห่งอัลเลาะห์ที่ทรงประทานมันแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลเลาะห์ทรงไว้ซึ่งความโปรดปรานอันใหญ่ยิ่ง


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 17, 2012, 11:17 PM โดย webmaster »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺอัลญุมุอะฮฺ อายะฮฺที่ 5 - 8

คำอ่าน
5. มะษะลุลละซีนะหุม..มิลุตเตารอตะ ษุม..มะลัมยะหฺมิลูฮา กะมะษะลิลหิมาริยะหฺมิลุอัสฟารอ, บิอ์สะมะษะลุลก็อวมิลละซีนะกัซซิบูบิอายาติลลาฮฺ วัลลอฮุลายะฮฺดิลก็อวมัซซอลิมีน
6. กุลยา..อัยยุฮัลละซีนะฮาดู..อิน..ซะอัมตุม อัน..นะกุม เอาลิยา...อุลิลลาฮิมิน..ดูนิน..นาสิ ฟะตะมัน..นะวุลเมาตะกิน..กุนตุมศอดิกีน
7. วะลายะตะมัน..เนานะฮูอะบะดัม..บิมาก็อดดะมัตอัยดีฮิม วัลลอฮุอะลีมุม..บิซซอลิมีน
8. กุลอิน..นัลเมาตัลละซีนะ ตะฟิรฺรูนะมินฮุ ฟะอิน..นะฮุมุลากีกุม ษุม..มะตุร็อดดูนะอิลาอาลิมุลฆ็อยบิวัชชะฮาดะฮฺ ฟะยุนับบิอุกุม..บิมากุน..ตุมตะอฺมะลูน

คำแปล R1.
5. The likeness of those who were entrusted with the (obligation of the) Taurat (Torah) (i.e. to obey its commandments and to practise its laws), but who subsequently failed in those (obligations), is as the likeness of a donkey who carries huge burdens of books (but understands nothing from them). How bad is the example (or the likeness) of people who deny the Ayat (proofs, evidences, verses, signs, revelations, etc.) of Allah. And Allah guides not the people who are Zalimun (polytheists, wrong-doers, disbelievers, etc.).
6. Say (O Muhammad): "O you Jews! If you pretend that you are friends of Allah, to the exclusion of (all) other mankind, then long for death if you are truthful."
7. But they will never long for it (death), because of what (deeds) their hands have sent before them! And Allah knows well the Zalimun (polytheists, wrong-doers, disbelievers, etc.).
8. Say (to them): "Verily, the death from which you flee will surely meet you, then you will be sent back to (Allah), the All-Knower of the unseen and the seen, and He will tell you what you used to do."


คำแปล R2.
5. ข้อเปรียบเทียบจำพวก (ยะฮูดี) ที่ถูกบัญญัติให้ปฏิบัติตามคัมภีร์เตารอฮฺ แล้วภายหลังพวกเขาก็ไม่ได้รับมาปฏิบัติ (โดยครบถ้วน) นั้น ประดุจเดียวกับลาที่บรรทุกตำราต่าง ๆ  (มากมาย แต่หาได้รู้ความหมายของตำราเหล่านั้นไม่) เป็นข้อเปรียบเทียบเลวร้านที่สุดสำหรับกลุ่มชนที่ว่าโองการต่าง ๆ ของอัลเลาะฮฺเป็นความเท็จ และอัลเลาะฮฺไม่ทรงชี้นำทางแก่กลุ่มชนที่ทุจริตอย่างแน่นอน
6. จงประกาศเถิด “โอ้ปวงชนชาวยะฮูดีทั้งหลาย หากพวกท่านคิดว่าพวกท่านนั้นเป็นผู้ใกล้ชิดของอัลเลาะฮฺ โดยมนุษย์กลุ่มอื่นมิได้เป็น พวกท่านก็จงใฝ่ฝันในความตายเถิด (เพื่อจะได้พบกับอัลเลาะฮฺโดยเร็ว) หากพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง
7. แต่พวกเขามิได้นึกอยากจะตายเลยจนตลอดไป ทั้งนี้เพราะ (พวกเขาตระหนักถึง) สิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้แต่เก่าก่อน (ว่าเลวร้ายที่สุด) และอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ในมวลผู้อธรรมทั้งหลาย
8. จงประกาศเถิด “แท้จริงความตายที่พวกท่านคอยหลบหนีนั้น จะต้องประสบกับพวกท่านอย่างแน่นอน ภายหลังพวกท่านจะถูกส่งตัวกลับคืนไปยัง (อัลเลาะฮฺ) ผู้ทรงรอบรู้สิ่งเร้นลับและสิ่งเปิดเผย แล้วพระองค์ก็จะแจ้งให้ท่านทราบถึงสิ่งที่พวกท่านได้เคยประพฤติไว้ (ว่ามีโทษหนักสักปานใด)


คำแปล R3.
5. ตัวอย่างของบรรดาผู้ที่ได้รับเตารอตแล้วหลังจากนั้นไม่ได้แบกมันไว้ก็เหมือนกับลาที่แบกหนังสือ แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือตัวอย่างของบรรดาผู้ถือว่าอายะฮฺทั้งหลายของอัลลอฮฺเป็นเท็จ และอัลลอฮฺไม่ทรงนำทางแก่ผู้ทำความผิดเช่นนั้น
6. จงบอกพวกเขาว่า “โอ้ผู้ที่กลายเป็นยิวไปแล้วทั้งหลาย ถ้าหากพวกท่านอ้างว่าพวกท่านเท่านั้นที่เป็นที่รักของอัลลอฮฺ นอกเหนือไปจากคนอื่น ๆ แล้ว พวกท่านก็ควรแสวงหาความตายกันเถิด ถ้าหากพวกท่านพูดจริง
7. แต่ว่าพวกเขาไม่ปรารถนามันเพราะความผิดที่พวกเขาได้ทำไว้ และอัลลอฮฺทรงรู้ดีถึงพวกทำความผิดเหล่านี้
8. จงบอกพวกเขาว่า “ความตายที่พวกท่านวิ่งหนีมันนั้นจะตามทันพวกท่านสักวันหนึ่ง หลังจากนั้นพวกท่านก็จะถูกนำตัวไปยังพระองค์ผู้ทรงรอบรู้ถึงสิ่งเร้นลับและสิ่งเปิดเผย และพระองค์จะบอกพวกท่านถึงสิ่งที่พวกท่านได้ทำไว้


คำแปล R4.
5. อุปมาบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์เตารอฮฺแล้วพวกเขามิได้ปฎิบัติตามที่พวกเขา ได้รับมอบประหนึ่งเช่นกับลาที่แบกหนังสือจำนวนหนึ่ง (บนหลังของมัน) อุปมาหมู่ชนที่ปฏิเสธต่อสัญญาณต่าง ๆ ของอัลลอฮฺมันช่างชั่วช้าจริง ๆและอัลลอฮฺจะไม่ชี้แนะทางแก่หมู่ชนผู้อธรรม
6. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด โอ้บรรดายิวเอ๋ย หากพวกท่านอ้างว่าพวกท่านเป็นมิตรของอัลลอฮฺอื่นจากมนุษย์ทั้งหลายแล้วไซร์ ดังนั้นพวกท่านก็จงมุ่งหวังความตายกันเถิด หากพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง
7. แต่ว่าพวกเขาจะไม่มุ่งหวังมันเป็นอันขาด เนื่องด้วยสิ่งที่มือของพวกเขาได้ประกอบ (กรรมชั่ว) ไว้ก่อน และอัลลอฮฺทรงรอบรู้พวกอธรรมทั้งหลาย
8. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด แท้จริงความตายที่พวกท่านหนีจากมันไปนั้น มันจะมาพบกับพวกท่าน แล้วพวกท่านจะถูกนำกลับไปยังพระผู้ทรงรอบรู้สิ่งเร้นลับและสิ่งเปิดเผย แล้วพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านตามที่พวกท่านได้ประกอบกรรมไว้


คำแปล R5.
๕. อุปมาจำพวกที่ถูกให้รับตัมภีร์เตารอตมาเป็นแม่บทในการประพฤติปฏิบัติ แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่ยอมรับคัมภีร์นั้นมาปฏิบัติแต่ประการใด ๆ ก็เปรียบได้ดั่งลาที่แบกตำราต่าง ๆ อันมากมายไว้บนหลัง แต่ก็ไม่ให้ประโยชน์แก่พวกมันแต่ประการใด ๆ เป็นข้อเปรียบเทียบอันเลวร้ายยิ่งของกลุ่มชนที่ได้กล่าวว่าบรรดาโองการของอัลเลาะห์เป็นสิ่งมุสา และอัลเลาะห์ย่อมไม่ทรงชี้นำกลุ่มชนที่ฉ้อฉล
๖. จงประกาศเถิด โอ้มุฮำมัดว่า โอ้บรรดาจำพวกยะฮูดี หากแม้นพวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าเป็นผู้ใกล้ชิดกับอัลเลาะห์โดยไม่เกี่ยวกับมนุษย์อื่น ดังนั้นพวกเจ้าก็จงคิดหวังความตายเถิด เพื่อจะได้กลับไปหาอัลเลาะห์โดยเร็วไว หากพวกเจ้าเป็นผู้สัตย์จริง
๗. และพวกเขาไม่คิดหวังที่จะตายตลอดไป เพราะการกระทำที่พวกเขาได้ประกอบไว้ด้วยตนเองเป็นชนักติดหลังที่เขาหวั่นกลัวตลอดเวลาว่าจะถูกนำตัวไปสอบสวน และอัลเลาะห์ทรงรอบรู้ยิ่งนักเกี่ยวกับพวกที่ทุจริตทั้งมวล
๘. เจ้าจงประกาศเถิด โอ้มุฮำมัด แท้จริงความตายที่พวกเจ้าพยายามหนีจากมันนั้น ที่จริงแล้วมันจะต้องตามมาพบกับพวกเจ้าอย่างแน่นอน หลังจากนั้นพวกเจ้าก็จะถูกส่งตัวคืนกลับสู่องค์พระผู้ทรงรอบรู้ความเร้นลับและสิ่งเปิดเผย แล้วพระองค์ก็จะทรงชี้แจงแก่พวกเจ้าให้รู้ถึงสิ่งที่พวกเจ้าได้เคยประพฤติไว้แต่อดีต แล้วตัดสินตอบแทนไปตามลักษณะของพฤติกรรมนั้น ๆ อย่างยุติธรรมยิ่ง



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺอัลญุมุอะฮฺ อายะฮฺที่ 9-11

คำอ่าน
9. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู..อิซานูดิยะลิศเศาะลาติมี..เยามิลญุมุอะติฟัสเอาอิลาซิกริลลาฮิ วะซะรุลบัยอฺ ซาลิกุมค็อยรุลละกุม อิน..กุน..ตุม ตะอฺละมูน
10. ฟะอิซากุฎิยะติศเศาะลาตุฟัน..ตะชิรูฟิลอัร์ฎิวับตะฆูมิน..ฟัฎลิลลาฮิ วัซกุรุลลอฮะกะษีร็อล ละอัลละกุม ตุฟลิหูน
11. วะอิซาเราะเอาติญาเราะตันเอาละฮฺวะนิน..ฟัฎฎู..อิลัยฮาวะตะเราะกูกะกอ..อิมา, กุลมาอิน..ดัลลอฮิ ค็อยรุม..มินัลละฮฺวิ วะมินัตติญาเราะฮฺ วัลลอฮุค็อยรุรฺรอซิกีน

คำแปล R1.
9. O you who believe (Muslims)! When the call is proclaimed for the Salat (prayer) on Friday (Jumu'ah prayer), come to the remembrance of Allah [Jumu'ah religious talk (Khutbah) and Salat (prayer)] and leave off business (and every other thing), that is better for you if you did but know!
10. Then when the (Jumu'ah) Salat (prayer) is finished, you may disperse through the land, and seek the Bounty of Allah (by working, etc.), and remember Allah much, that you may be successful.
11. And when they see some merchandise or some amusement [beating of Tambur (drum) etc.] they disperse headlong to it, and leave you (Muhammad) standing [while delivering Jumu'ah's religious talk (Khutbah)]. Say "That which Allah has is better than any amusement or merchandise! And Allah is the best of providers."


คำแปล R2.
9. โอ้มวลชนผู้ศรัทธาทั้งหลาย เมื่อมีการประกาศให้ทำละหมาดในวันศุกร์ พวกเจ้าก็จงรีบเร่งมายังการระลึกถึงอัลเลาะฮฺ (ด้วยการทำละหมาดโดยพร้อมเพรียงกัน) และพวกเจ้าจงละการขายไว้ (ในช่วงเวลานั้น) นั้นเป็นความประเสริฐสุดสำหรับพวกเจ้า หากพวกเจ้ารู้
10. ครั้นเมื่อเสร็จสิ้นการละหมาดแล้ว พวกเจ้าก็จงแยกย้ายกันออกไปในพื้นแผ่นดิน และจงแสวงหาความโปรดปรานของอัลเลาะฮฺ (ด้วยการประกอบสัมมาชีพต่าง ๆ ตามความถนัดของแต่ละคน) และพวกเจ้าจงระลึกถึงอัลเลาะฮฺให้มาก เพื่อพวกเจ้าจะได้ประสบชัยชนะ
11. และเมื่อพวกเขาได้มองเห็น (กองคาราวานที่ทำ) การค้าขายหรือสิ่งเพลิดเพลิน พวกเขาก็แยกตัวออก (จากเจ้ามุ่งหน้า) ไปยังมัน โดยปล่อยเจ้าให้ยืนอยู่ (เพียงลำพังบนมิมบัร กับคนที่เหลืออยู่ไม่กี่คน ขณะทำการกล่าวเทศนาประจำวันศุกร์) จงประกาศเถิด สิ่งที่มีอยู่ที่อัลเลาะฮฺนั้นย่อมดีกว่าสิ่งเพลิดเพลินและดีกว่าการค้าขายนั้น และอัลเลาะฮฺทรงประเสริฐที่สุดแห่งบรรดาผู้ให้โชคผล


คำแปล R3.
9. โอ้บรรดาผู้ศรัทธา เมื่อสูเจ้าได้ถูกเรียกไปสู่การนมาซวันศุกร์ จงรีบเร่งไปสู่การระลึกถึงอัลลอฮฺ และจงละทิ้งการค้าขายเสีย นั่นเป็นการดีกว่าสำหรับสูเจ้า ถ้าหากสูเจ้ารู้
10. หลังจากนั้นเมื่อการนมาซเสร็จสิ้นแล้ว สูเจ้าก็จงแยกย้ายกันไปในแผ่นดินและแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮฺ และจงระลึกถึงอัลลอฮฺให้มาก ๆ เพื่อที่ว่าสูเจ้าจะได้รับความสำเร็จ
11. และเมื่อพวกเขาเห็นการค้าและการละเล่น พวกเขาก็กรูกันไปหามันและทิ้งให้เจ้ายืนอยู่ จงบอกพวกเขาว่า “สิ่งที่อยู่กับอัลลอฮฺนั้นดีกว่าการละเล่นและการค้า และอัลลอฮฺคือผู้ประทานปัจจัยยังชีพที่ดีที่สุด


คำแปล R4.
9. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย เมื่อได้มีเสียงร้องเรียก (อะซาน) เพื่อทำละหมาดในวันศุกร์ก็จงรีบเร่งไปสู่การรำลึกถึงอัลลอฮฺ และจงละทิ้งการค้าขายเสีย นั่นเป็นการดีสำหรับพวกเจ้าหากพวกเจ้ารู้
10. ต่อเมื่อการละหมาดได้สิ้นสุดลงแล้ว ก็จงแยกย้ายกันไปตามแผ่นดิน และจงแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮฺและจงรำลึกถึงอัลลอฮฺให้มาก ๆ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับชัยชนะ
11. และเมื่อพวกเขาได้เห็นการค้าและการละเล่นพวกเขาก็กรูกันไปที่นั้น และปล่อยเจ้าให้ยืนอยู่คนเดียว จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดสิ่งที่มีอยู่ ณ อัลลอฮฺนั้นดีกว่าการละเล่น และการค้าและอัลลอฮฺนั้นทรงเป็นเลิศ ยิ่งในหมู่ผู้ประทานปัจจัยยังชีพ


คำแปล R5.
๙. โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลายเมื่อถูกเชิญชวนเพื่อการละหมาดในวันศุกร์ดังนั้นพวกเจ้าจงรีบเร่งไปสู่การละหมาดวันศุกร์ (ยุมอะห์) เพื่อการรำลึกถึงบิลอัลเลาะห์ และพวกเจ้าจงเว้นการขายไว้เถิด[/b]เป็นการชั่วคราว เมื่อเสร็จพิธีละหมาดแล้วค่อยกลับไปทำการค้าขายดั่งเดิม นั่นเป็นสิ่งดีงามสำหรับพวกเจ้าหากพวกเจ้ารู้
๑๐. ครั้นเมื่อการละหมาดเสร็จสิ้นแล้ว พวกเจ้าก็จงแยกย้ายกันไปในแผ่นดินเถิด และพวกเจ้าจงแสวงหาความโปรดปรานของอัลเลาะห์ด้วยประการต่าง ๆ ตามความถนัดของแต่ละคน และพวกเจ้าจงรำลึกถึงอัลเลาะห์ให้มากเถิด เพื่อพวกเจ้าจักประสบชัยชนะในที่สุด
๑๑. และเมื่อพวกเขาได้มองเห็นสินค้า ถูกนำมาเสนอขาย หรือความเพลิดเพลิน พวกเขาก็ออกไปสู่สิ่งดังกล่าวจนหมดสิ้น และพวกเขาได้ปล่อยเจ้ามุฮำมัดให้ยืนอยู่เพียงคนเดียวในพิธีละหมาดยุมอะห์ครั้งนั้น เจ้าจงประกาศเถิดว่า สิ่งที่อยู่ ณ อัลเลาะห์นั้นย่อมประเสริฐกว่าสิ่งเพลิดเพลินและกว่าสินค้า และอัลเลาะห์ทรงประเสริฐยิ่งแห่งมวลผู้ให้โชคผลทั้งหลาย



ดำรัสของอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่เป็นจริงเสมอ (صدق الله العظيم)
จบสูเราะฮฺที่ 62 อัลญุมุอะฮฺ

 

GoogleTagged