การสนทนาของผู้ยิ่งใหญ่
(วันหนึ่ง) ในบรรยากาศอันอบอุ่น ลูกศิษย์ผู้ชาญฉลาด อีหม่ามอะหมัด อิบนุ ฮัมบัล กับผู้ซึ่งเป็นสหายของท่านและเป็นครูของท่าน อัลอีหม่ามชาฟีอีย์
ท่านอีหม่ามชาฟีอีย์ลั่นวาจาด้วยความนิ่มนวลไปว่า : โอ้อะหมัด..ท่านกล่าวว่า
“ผู้ที่ทิ้งละหมาดนั้นเป็นกาเฟร” กระนั้นหรือ ??
ท่านอีหม่ามอะห์หมัดตอบว่า : “ครับท่านอีหม่าม ฉันมีความเห็นเช่นนั้น”
ท่านอีหม่ามชาฟีอีย์กล่าวต่อไปว่า : “ถ้าหากว่าผู้ที่ทิ้งละหมาดนั้นเป็นกาเฟรและได้ออกจากศาสนาไปแล้ว แล้วจะทำอย่างไรเพื่อให้เขากลับมาเข้าอิสลาม”
ท่านอีหม่ามอะห์หมัดตอบว่า : “ก็ด้วยการกล่าว ลาอิลาฮาอิลลัลอฮ์ มุฮัมมาดุรรอซูลุ้ลลอฮ์”
ท่านอีหม่ามชาฟีอีย์กล่าวต่อไปว่า : ถ้าหากมีชายคนหนึ่ง (ที่ทิ้งละหมาด) แต่เขาได้กล่าว "ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ มุหัมมะดุร เราะซูลุลลอฮฺ" อยู่ตลอดเวลาละ โดยที่เข้าไม่เคยทิ้งมันเลย (ท่านจะว่าอย่างไร ??)
(กรณีตกศาสนาในละหมาด)ท่านอีหม่ามอะห์หมัดตอบว่า :
เขาก็เข้าอิสลาม ครั้งที่สองด้วยกับการละหมาด ท่านอีหม่ามชาฟีอีย์กล่าวต่อว่า : “
ละหมาดของคนกาเฟรนั้นเป็นโมฆะนะ (ใช้ไม่ได้ตั้งแต่แรก) และจะไม่ตัดสินว่าเขานั้นเป็นอิสลามด้วยการละหมาด”
และแล้วท่านอีหม่ามอะห์หมัดก็ได้นิ่งเงียบกับคำตอบของอีหม่ามชาฟีอีย์
(ดู طبقات الشافعية โดย อีหม่ามอัซซุบกีย์ 2/61)ท่านอีหม่ามชาฟีอีย์สอนให้รู้ว่า แท้จริงการที่คนใดคนหนึ่งทิ้งละหมาดนั้นไม่ใช่เขาจะตกเป็นกาเฟรที่ออกจากศาสนาอิสลาม (กาเฟร หะกีกีย์) แต่ ณ. ตรงนี้นั้นหมายถึง กาเฟรเนี๊ยะมัต (คือผู้ปฏิเสธกับสิ่งที่อัลลอฮ์ประทานมา เช่น ละหมาด บวช ฉันไม่ทำ) ซึ่งไม่ได้เป็นการออกจากศาสนาอิสลาม
ดู มิอะห์ กิซเซาะห์ วากิซเซาะห์ มินฮายาต อัชชาฟีอีย์ โดย มุฮัมหมัดซิดดิก อัลมินชาวีย์ หน้า 24* ถ้าหากว่าชายคนนั้นคนที่กล่าว ลาอิาลาฮาอิ้ลลัลลอฮ์ มุฮัมมาดุรรอซูลุ้ลลอฮ์ อยู่ประจำ ต้องตกมุรตัด (ตกศาสนา) ดังนั้น ในขณะละหมาดนั้น แม้ว่าเขาการกล่าวสองกาลีมะห์ชาฮาดะห์ในขณะที่นั่งตัชฮุด ก็ถือว่าเขาไม่ได้กล่าว เพราะ การละหมาดของเขานั้นเป็นโมฆะ และทุกอย่างในละหมาดใช้ไม่ได้