ผู้เขียน หัวข้อ: แฉ!วาฮาบีย์ สาลาฟีย์ อุปโลกภ์ ตอน ท่านอิบนุ ตัยมียะฮฺ  (อ่าน 6020 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ supportsunnah

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 102
  • Respect: +10
    • ดูรายละเอียด

 :salam:


บทความชาวสุนนะฮฺตอบโต้ท่าน อิบนุ ตัยมิยะฮฺ
The Sunni Articles Refuting Ibn Taymiyah


ภาษาอังกฤษโดย : http://darulfatwa.org.au/content/view/333/146/
แปลภาษาไทยโดย: โชคอนันต์  รักทรัพย์ นักศึกษามหาวิทยาลัยอิสลามยะลา



The Sunni Articles
by al-Hafiz Shaykh ‘Abdullah al-Harari as-Shaf‘i ar-Rifa’i,
may Allah preserve him.
บทความแนวทางอลิซซุนนะฮฺวัลญามาอะฮฺ
โดย ท่านชัยค์ อับดุลลอฮฺ อัลฮารอรีย์ อัชชาฟีอีย์ อัรรีฟาอีย์ (ขออัลลอฮฺเจ้าทรงคุ้มครองท่านด้วยเทอญ)

Preface  อรัมภบท

           Praise and thanks to Allah for the givings He granted without Him being obligated to do so, and we ask Allah to raise the status of the Prophet Muhammad and protect his Ummah from that which he fears for it.

การสรรเสริญและพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้า ผู้ทรงประทานสิ่งใดๆโดยปราศจากการบังคับ เราขอให้พระองค์ทรงยกฐานันดรของท่านศาสดามูฮัมมัดและทรงปกปักรักษ์ประชาชาติของท่านศาสดาจากสิ่งที่ท่านหวาดกลัว
 


We are putting this treatise in the hands of the reader to clarify the case of Ibn Taymiyyah to whoever does not know about it and to refute some of his numerous sayings in which he deviated from the belief and Ijma’ [The ‘Ijma’, one source of Islamic teachings, is defined as the unanimous agreement of the mujtahidun (top scholars) from among the followers of Prophet Muhammad, sall-Allahu ‘alayhi wa sallam, upon a religious matter during a certain period of time.] of the Muslims, their Salaf and Khalaf [The Salaf are the Muslims who lived within the first three-hundred years A.H. [After Hijrah, the immigration of Prophet Muhammad (sall-Allahu 'alayhi wa sallam) from Mecca to Medina].


 บทความวิชาการที่อยู่ในมือผู้อ่านเป็นบทความแถลงไข ต่อกรณีของท่าน อิบนุ ตัยมิยะฮฺ เพื่อนำเสนอแด่ผู้อ่านที่มิทราบเรื่องราวนี้และเพื่อเป็นการตอบโต้คำกล่าวบางส่วนของท่านอิบนุตัยมิยะฮฺที่ออกนอกลำนาวาแห่งอิจมาอฺ (อิจมาอฺ คือ แหล่งหนึ่งของที่มาของธรรมขันธ์อิสลามซึ่งเป็นมติเอกฉันท์ของมุจตาฮิด-อุลามาอฺหัวกระทิ- จากผู้ที่เจริญรอยตามท่านศาสดามุฮัมมัด ในเรื่องศาสนา ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งที่แน่นอน) จากสลัฟและคอลัฟ (ชาวสลัฟ คือ มุสลิมที่อยู่ในช่วง ๓๐๐ ปีแรก จากจาการอพยพของท่านศาสดาจากมหานครเมกกะฮฺสู่มหานครมดีนะฮฺ)


 This includes the Sahabah (Companions of the Prophet, i.e., persons who met with Prophet Muhammad (sall-Allahu 'alayhi wa sallam), believed in him, and died Muslim) and Tabi’un (Muslims who met with the Companions).  The Khalaf are the Muslims who lived afterwards.].  Additionally, this treatise is meant to be an extension to what has been said and composed of articles about Ibn Taymiyyah's case, applying Ayah 110 of Al ‘Imran, which means: You are the best nation that were sent out to people, because you bid the obedience and forbid the disobedience.


ชาวมุสลิมดังกล่าวนี้รวมไปถึงซอฮาบะฮฺ (มิตรสหายของท่านศาสดาที่พบเจอ ศรัทธาและสิ้นบุญในสภาพมุสลิม) และตาบีอูน (ผู้ที่พานพบมิตรสหายของท่านศาสดา) คอลัฟ คือ มุสลิมที่หลังจากยุคดังกล่าว  ยิ่งกว่านั้นบทความวิชาการฉบับนี้มีเป้าหมายเพื่อนำเสนอเผยแพร่บทความที่ท่านอิบนุ ตัยมิยะฮฺได้กล่าวและเรียบเรียงขึ้น  โองการที่ ๑๑๐ ของซูเราะฮฺ อัลอิมรอน ความว่า เจ้าคือประชาชาติที่เลอเลิศที่สุดที่ถูกประทานแก่กลุ่มชน เพราะเจ้าต้องเชื้อเชิญสู่การเชื่อฟังและหักห้ามจากการทุรยศ
 
            We ask Allah to grant us success and the best of intentions. Our goal is to obey Allah.


ขอให้พระองค์ทรงประทานความสำเร็จและเจตนาที่ดีแก่เรา การเชื้อฟังพระองค์นั้นแหละคือเป้าหมายของเรา
 
Author's Introduction   อรัมปกาถาของผู้ประพันธ์
 
            The Muhaddith, Hafiz, Shaykh ‘Abdullah al-Harari [Muhaddith and Hafiz both refer to a knowledgeable person in the Science of Hadith, with the latter being more knowledgeable.  A Hafiz is also a person who memorizes the Holy Qur'an.  In this context, Shaykh is the title of a teacher of Islamic knowledge.] may Allah have mercy upon him, said:


นักหะดิษ นักฮาฟิซชัยค์ อับดุลลอฮฺ อัลฮารอรีย์ (มุฮัดดิษและฮาฟิซหมายถึงผู้ชำนาญการด้านศาสตร์หะดิษ คำว่าฮาฟิซ หมายถึงผู้ที่ท่องจำอัลกุรอาน คำว่า ชัยค์ หมายถึงผู้ทรงความรู้ในศาสตร์อิสลาม) ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน ท่านกล่าวว่า
 
Praise and thanks to Allah for the givings He granted without Him being obligated to do so.  May Allah raise the rank of the Messenger of Allah, Muhammad and protect his Ummah from that which he fears for it.  May the mercy of Allah be upon the Al and Sahb of the Prophet.  [The Al of Prophet Muhammad (sall-Allahu 'alayhi wa sallam), includes his wives, Muslim kin, and the pious Muslims of his Ummah.  The Sahb or Sahabah of Prophet Muhammad (sall-Allahu 'alayhi wa sallam) are the people who met with him, believed in him, and died Muslim.]


การสรรเสริญและสำนึกในพระมหากรณาธิคุณที่พระองค์ทรงอภิสิทธฺเด็จขาดต่อสิ่งที่พระองค์ทรงประทาน  ขอพระองค์ทรงยกฐานันดรท่านศาสดาและปกปักรักษ์ประชาชาติของท่านจากสิ่งที่ท่านหวาดกลัว  ขอพระองค์ทรงประทานพระเมตตาแก่ครอบครัว ญาติมิตรของท่าน (อะฮฺลี รวมถึง ศรีภริยา ญาติ และผู้ศรัทธาต่อท่าน ซอฮาบะฮฺ มิตรสหายของท่านศาสดาที่พบเจอ ศรัทธาและสิ้นบุญในสภาพมุสลิม)
 
Know that the reason for writing this treatise is that many people thought that attributing the hadd (limit) and the jismiyyah (bodily characteristics) to Allah, and prohibiting the tawassul (asking Allah for things by some good people or deeds) by the anbiya' (prophets) and awliya' (righteous Muslims) after their death, and the tabarruk (seeking the blessing of Allah) by visiting their graves are the beliefs and actions of the Salaf.


พึงทราบเถิดว้เป้าหมายบทความวิชาการฉบับนี้เพื่อเผยแพร่สู่ผู้ที่มีความคิดว่าอัลลอฮฺมีคุณลักษณะที่จำกัด ขอบเขต และลักษณะเป็นตัวเป็นตน และห้ามการตะวัซซุล (ขอบางสิ่งบางอย่างต่ออัลลอฮฺโดยผ่านคนดีหรือกิจที่ดี)การตะวัซซุลผ่านบรรดาศาสดาประกาศก และมุสลิมผู้ทรงธรรมหลังสิ้นบุญ และการห้ามการตะบัรรุก (แสวงหาพระเมตตาจากอัลลอฮฺเจ้า)โดยการเยี่ยมหลุมศพของชาวสลัฟ


ติดตามชมตอนต่อไป  natural:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 19, 2011, 06:06 AM โดย supportsunnah »

ออฟไลน์ Muftee

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1899
  • เพศ: ชาย
  • ตั้งใจเข้าไว้นะ มุฟตีย์น้อย
  • Respect: +190
    • ดูรายละเอียด

ภาษาอังกฤษไม่ต้องใส่มาก็ได้ครับ มันลายตานะ..
// อะฮฺลิสสุนนะฮฺ อัล-อะชาอิเราะฮฺ...สักวันนึง เราต้องเป็นอุละมาอฺที่ยิ่งใหญ่ อินชาอัลลอฮฺ //

ออฟไลน์ hiddenmin

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2453
  • เพศ: ชาย
  • 404 not found
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
    • Ikhlas Studio

ต้องแยกสีด้วยมั้ยบัง

ออฟไลน์ ฮุ้นปวยเอี๊ยง

  • رَبِّ زدْنِيْ عِلْماً
  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 994
  • เพศ: ชาย
  • وَارْزُقْنِيْ فَهْماً
  • Respect: +116
    • ดูรายละเอียด
:salam:


บทความชาวสุนนะฮฺตอบโต้ท่าน อิบนุ ตัยมิยะฮฺ
The Sunni Articles Refuting Ibn Taymiyah


ภาษาอังกฤษโดย : http://darulfatwa.org.au/content/view/333/146/
แปลภาษาไทยโดย: โชคอนันต์  รักทรัพย์ นักศึกษามหาวิทยาลัยอิสลามยะลา

The Sunni Articles
by al-Hafiz Shaykh ‘Abdullah al-Harari as-Shaf‘i ar-Rifa’i,
may Allah preserve him.
บทความแนวทางอลิซซุนนะฮฺวัลญามาอะฮฺ
โดย ท่านชัยค์ อับดุลลอฮฺ อัลฮารอรีย์ อัชชาฟีอีย์ อัรรอฟีย์ (ขออัลลอฮฺเจ้าทรงคุ้มครองท่านด้วยเทอญ)



อัรรอฟีย์ เป็นชื่ออะไรหรอครับ

ออฟไลน์ mest

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 66
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
اسمه ومولده
هو العالم الجليل قدوة المحققين  وعمدة المدققين  صدر العلماء العاملين  الامام المحدث  التقى الزاهد  والفاضل العابد  صاحب المواهب الجليلة  الشيخ ابو عبد الرحمن عبد الله بن محمد بن يوسف بن عبدالله بن الجامع الهررى الشيبي العبدرى  مفتى هرر .
ولد فى مدينة هرر  حوالى سنة 1327ه
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 18, 2011, 01:46 AM โดย mest »

ออฟไลน์ mest

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 66
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
نشأته
نشأ فى بيت متواضع محبا للعلم ولأهله فخفظ القرآن الكريم استظهارا وترتيلا واتقانا وهو ابن سبع سنين، وأقرأه والده كتاب المقدمة الحضرمية، وكتاب المختصر الصغير فى الفقه وهو كتاب مشهور فى بلاده، ثم عكف على الاغتراف من بحور العلم فحفظ عددا من المتون فى مختلف العلوم،ثم أولى علم الحديث اهتمامه فحفظ الكتب الستة وغيرها بأسانيدها حتى انه أجيز بالفتوى ورواية الحديث وهو دون الثامنة عشر                                                                                                                                                                                                                       

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
ฝากคุณ จขกท ให้ช่วยจัดเรียงเนื้อหาให้น่าอ่านกว่านี้หน่อยได้ไหม มันมึนแล้วก็ละลายอะครับ ข้อมูลน่าสนใจมากครับ - วัสสลามุอลัยกุม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ as-satuly

  • พลังแห่งการศรัทธา
  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 997
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +10
    • ดูรายละเอียด

จัดการได้เลยขอรับ! ;D

ออฟไลน์ anti-bid'ah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 839
  • ไม่รู้ อย่าเสือกชี้
  • Respect: +29
    • ดูรายละเอียด

Since the situation is as such, the necessity called for showing that the truth of the matter is different from what is thought.  In other words, the Salaf had the belief that Allah is clear of the hadd, i.e., that Allah never had a hadd.  Moreover, Allah does not have a hadd according to His knowledge or to the knowledge of the creation.  Performing the tawassul by the anbiya' and awliya' after their death and the tabarruk by visiting their graves hoping for the fulfillment of their du’a' (supplication, asking Allah) at their graves is the condition in which the Salaf were.

เพราะฉะนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องนำเสนอในสัจธรรมดังกล่าวซึ่งมีความแตต่างจากที่เคยคิดไว้ อาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า ชาวสลัฟมีความเชื่อว่าอัลลอฮฺปราศจากการจำกัดขอบเขต กล่าวคืออัลลอฮฺไร้ขอบเขต อัลลอฮฺทรงมีความรู้สุดที่เราจะหยั่งถึงหรือแม้เกี่ยวกับเรื่องสิ่งที่ถูกสร้าง การตะวัซซุลโดยบรรดาศาสดาและมุสลิมผู้ทรงธรรมหลังจากสิ้นบุญไปแล้วหรือการตะบัรรุกด้วยการเยี่ยมเยือนหลุมศพเพื่อหวังว่าดุอาอฺนั้นจะถูกตอบรับเป็นการประพฤติปฏิบัติที่ชอบธรรมตามชาวสลัฟ


  We wanted to show that Imam Ahmad Ibn Hanbal was different from what Ibn Taymiyyah innovated.  We saw that it is obligatory to expose this imposture by showing that the Ijma’ permits the tawassul by the anbiya' and awliya' after their death, that the going (of the Muslims) to the graves of those people with the purpose of tabarruk is not shirk (associating partners with Allah), and that touching the grave for tabarruk is permitted, has no shirk in it, and is not haram (prohibited, sinful).  This treatise is full of Islamic proofs.  The reader, by the will of Allah, will see them in detail.

เราใคร่จะนำเสนอข้อพิสูจน์จากท่าน อะฮฺหมัด อิบนุ ฮันบัล ซึ่ง(เป็นที่น่าแปลกใจที่ท่านมีทรรศนะ)แตกต่างไปจากสิ่งที่ท่านอิบนุ ตัยมิยะฮฺ อุตริขึ้นมา เราประจักษ์แจ้งว่าการการตีแผ่ถึงเรื่องราวอันหลอกลวงนี้ โดยการนำเสนอให้ประจักษ์ถึงอิญมาอฺอนุญาตให้ทำการตะวัซซุลผ่านบรรดาศาสดาประกาศกและมุสลิมผู้ทรงธรรมหลังจากที่พวกเขาสิ้นบุญแล้ว โดยที่บรรดามุสลิมเยี่ยมเยือนหลุงศพขอลพวกเขาเพื่อทำการตะวัซซุลและตะบัรรุกมิได้เป็นเรื่องชิริก(การตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ)แต่ประการใด และการสัมผัสหลุงศพขณะตะบัรรุกมิได้เป็นชิริกและฮาราม(การห้ามหรือบาป)เลย บทความวิชาการฉบับนำเสนอหลักฐานต่างๆ หากว่าอัลลอฮฺประสงค์แล้วไซร้ ผู้อ่านจักประจักษ์แจ้งในเรื่องนี้ (เริ่มมาแฉและตีแผ่กันทีละประเด็น-ผู้แปล)


 
I.The First Article  ประเด็นแรก
 
Ibn Taymiyyah's Deviations from the Muslims การหันเหของท่านอิบนุ ตัยมิยะฮฺ จากบรรดามุสลิม
 
Know that, although Ibn Taymiyyah had many writings and a fame, he is as the Muhaddith, Hafiz, Faqih, Wali-ud-Din al-’Iraqi, the son of the Shaykh of Huffaz, Zayn-ud-Din al-’Iraqi, in his book "al-'Ajwibat-ul-Mardiyyah" said about him: His knowledge is bigger than his mind.  He also said: He infringed the Ijma’ in many issues, which was said to be sixty issues, some of which are in the Usul and others in the Furu’ [Al-'Usul is ‘Ilm-ut-Tawhid, the Science of the belief in Allah and His Messenger.  Al-Furu’ deals with the Islamic matters other than those of belief (Usul), such as Salah, Siyam, and dealings.]  After the Ijma’ has settled upon those issues, he violated it.

พึงทราบเถิดว่า แม้ท่านอิบนุ ตัยมิยะฮฺมีผลงานเขียนมากมายและยังมีชื่อเสียงกิตติศัพท์ เพราะท่านเป็นทั้งนักหะดิษ นักฮาฟิซ นักการศาสนา พำนักในอิรัค ท่ายยังเป็นลูกชายของชัยค์ฮุฟฟัซ ซัยนุดดีน อัลอิรอกี ซึ่งท่านได้กล่าวเกี่ยวกับท่านอินุตัยมิยะฮิในหนังสือของท่านที่ชื่อ อัญวีบะฮฺ อัลมัรดียะฮฺ ว่า ท่านอิบนุตัยมิยะฮิเป็นบุคคลที่มีความรู้เหนือล้ำกว่าสติปัญญาซะอีก  และยังกล่าวอีกว่า ท่านอิบนุ ตัยมิยะฮฺละเมิดการอิญมาอฺหลายกระทงความ  ว่ากันว่ามีมากถึง ๖๐ กระทงความเลยทีเดียว บางกระทงก็เกี่ยวกับอุซุล งก็เกี่ยวกับฟุรุ (อุซุล หมายถึง อิลมุลเตาฮีดเป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับหลักการศรัทธาต้ออัลลอฮฺและศาสดาประกาศก  สวนอัลฟุรุ จะเป็นเรื่องทางศาสนาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นที่มิใช่หลักการศรัทธา-อุซุล- เช่น การละหมาด การถือศิลอด และการกระทำต่าง) ซึ่งประการต่างๆที่เคยเป็นอิญมาอฺได้ถูกท่านอิบนุ ตัยมิยะฮฺละเมิด


Some lay people and others followed him in this violation.  The scholars of his time hastened to refute him and charged him of bringing bid’ah [Bid’ah is innovation; something which is new some of which are Islamically acceptable and others are rejected.  Here it refers to the prohibited innovation.]  Among those was Imam, Hafiz, Taqi-ud-Din ‘Ali Ibn ‘Abd-il-Kafi as-Subki.  In "ad-Durrat-ul-Mudiyyah", he said what means: Ibn Taymiyyah innovated the foul things in the Usul of belief and infringed the foundations of al-'Islam, after he was covering himself with following the Book (the Qur'an) and Sunnah, showing outwardly that he is a caller to truth and a guide to the Jannah. 

ชาวบ้านธรรมดาสามัญชนและบุคคลทั่วไปบางคนได้ตามท่านอิบนุ ตัยมิยะฮิ ในสิ่งที่เขาละเมิด อุลามาอฺในสมัยนั้นต้องกุลีกุจอออกมาตอบโต่เขากันอย่างทันควันและตั้งข้อกล่าวหาแก่เขาว่านำสิ่งบิดอะฮฺ (สิ่งอุตริกรรม ซึ่งบางสิ่งนั้นอิสลามยอมรับแต่บางอย่างไม่เป็นที่ยอมรับตามหลักการอิสลาม ณ บทความแห่งคำว่าบิดอะฮฺ- เพียวๆ-หมายถึงอุตริกรรมที่ฮารามหรือต้องห้าม) ในหมู่อุลามาอฺ มีอุลามาอฺท่านหนึ่งนาม อิมามฮาฟิซ ตะกียีดดีน อลี อิบนุ อับดุลกาฟี อัซซุบกีย์ กล่าวในหนังสือ อัดดุรรอตุลมุดียะฮฺ ความว่า ท่านอิบนุ ตัยมิยะฮฺ อุตริสิ่งที่ผิดในด้านอุซุลของการศรัทธาและฝ่าฝืนหลักการอิสลาม หลังจากที่เขา(ท่านอิบนุตัยมิยะฮฺ)ได้ปิดกั้นตัวเองจากการตามพระมหาคัมภีร์ (อัลกุรอาน)และซุนนะฮฺ  เขาชี้ให้เห็นว่าตัวเขาเองได้เรียกร้องเชิญชวนผู้คนสู่อิสลามธรรมและดินแดนสุขาวดี

Consequently, he deviated from following the Book and Sunnah to innovation, and deviated from the Jama’ah of the Muslims [The Jama’ah is the Muslim group following the Sunnah of Prophet Muhammad, sall-Allahu ‘alayhi wa sallam, and his Sahabah.  The full name is Ahl-us-Sunnah wal-Jama’ah.  It constitutes the majority of the Muslims.] by infringing the Ijma’.  He said what leads to the jismiyyah and composition in the Holy Self of Allah and that it is not impossible that Allah needs a part.  
ดังนั้นเขาออกนอกลำนาวาในการตามอัลกุรอานและซุนนะฮฺสู่การอุตริกรรมและผินตัวเองออกจากกลุ่มญามาอะฮฺ(คือกลุ่มของมุสลิมที่ยึดมั่นตามแบบฉบับของท่านศาสดามูฮัมมัดและซอฮาบะฮฺของท่าน ชื่อเต็มของคำว่าอัลญามาอะฮิ คือ อลิซซุนนะฮฺ วัลญามาอะฮฺ ซึ่งมุสลิมส่วนใหญ่สังกัดแนวทางนี้)โดยการละเมิดอิญมาอฺ เขาอธิบายวามเป็นญิซมียะฮฺแด่อาตมัน(ซาต)ของอัลลอฮฺและเป็นไปได้ที่อัลลอฮฺจำต้องประสงค์กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 19, 2011, 06:01 AM โดย anti-bid'ah »
رَبَّنَا فَاغْفِرْ لَنَا ذُنُوبَنَا وَكَفِّرْ عَنَّا سَيِّئَاتِنَا وَتَوَفَّنَا مَعَ الْأَبْرَارِ

ออฟไลน์ ۞QolbunSaleem۞

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 168
  • เพศ: ชาย
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
              ท่านเมาลานา ซัยยิด อบุล ฮะซัน อลี อัน นัดวียฺ ได้เขียนถึงอิบนุ ตัยมียะฮฺ ในแง่มุมต่างๆไว้ในหนังสือเล่มใหญ่ของท่านชื่อว่า “อัล ฮาฟิซ อะหฺมัด อิบนุ ตัยมียะฮฺ” โดยท่านได้กล่าวถึงหลักการในการฟื้นฟูอิสลามของอิหม่ามอิบนุ ตัยมียะฮฺ ไว้ว่ามี 4 ประการ สรุปได้ดังต่อไปนี้   
             1.การฟื้นฟูแก่นแท้ของคำสอนอิสลาม ได้แก่ การฟื้นฟูเตาฮีด และขจัดแนวคิดชิรกฺ               
             2.การวิพากษ์แนวคิดที่ครอบงำโลกมุสลิม ได้แก่ การวิพากษ์ตรรกวิทยาและปรัชญาของกรีก พร้อมๆกับนำเสนอวิธีการของอัลกุรอานและอัซซุนนะฮฺเข้าแทนที่ทุกสนามของอิสลาม               
             3.การใช้วิธีการทางวิชาการชี้แจงกลุ่มที่ออกนอกกรอบคำสอนอิสลาม เป็นการตอบโต้กลุ่มบิดเบือนต่างๆ และคัดค้านแนวคิดและอิทธิพลของมัน               
             4.การฟื้นฟูศาสตร์ต่างๆของอิสลาม และการนำแนวคิดอิสลามกลับมาใหม่

           
          ท่านซัยยิด อบุล อะอฺลา อัล เมาดูดียฺ ได้กล่าวไว้ ในหนังสือ  A Short History of the Revivalist Movement in Islam ถึงความสามารถในการเป็นนักฟื้นฟูที่โดดเด่นของอิหม่ามอิบนุ ตัยมียะฮฺ ไว้ด้วยผลงาน 4 ประการ  ซึ่งมีทั้งสนามทางความคิดและสนามการต่อสู้ พอที่จะสรุปได้ดังต่อไปนี้             
          1.ความสามารถในการวิพากษ์ตรรกวิทยาและปรัชญาของกรีกที่ครอบงำวิชาการด้านอะกีดะฮฺอิสลาม แม้ว่าอีหม่ามฆอซาลียฺจะทำไว้ก่อนหน้านี้ แต่อิหม่ามอิบนุ ตัยมียะฮฺ ทำได้จริงจังและหนักแน่นกว่า และส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง               
          2.การนำเสนออะกีดะฮฺอิสลามและกฎเกณฑ์อิสลาม พร้อมข้อโต้แย้งที่หนักแน่นและสมเหตุสมผล โดยสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของอิสลาม ด้วยการนำเสนอจากอัลกุรอานและอัซซุนนะฮฺที่บริสุทธิ์โดยตรง               
          3.ความสามารถในการ อิจญติฮาด(การวินิจฉัยตัวบทเข้ากับความเป็นจริง) พร้อมๆกับการเข้าถึงสำนักนิติศาสตร์ที่หลากหลาย และยังแสดงให้เห็นถึงวิธีใช้อิจญติฮาดอย่างแม่นยำ             
          4.การลงไปสู่สนามแห่งการปฏิบัติ ด้วยการคัดค้านชิรกฺและประเพณีที่หลงผิดต่างๆ ความกล้าหาญของท่านในเรื่องนี้ทำให้ท่านต้องถูกจำคุกหลายครั้ง นอกจากนี้ ท่านยังได้ประกาศญิฮาดกับพวกตาร์ตาร์ที่รุกรานโลกมุสลิม โดยท่านได้เป็นผู้นำคนหนึ่งในการต่อสู้อย่างกล้าหาญ             

(ส่วนหนึ่งจากบทความ ในเว็ปฟิตยะห์.คอม)         
*********************************

คนแบบนี้หรอ...ที่คุณจะมาตอบโต้ มาแฉ...
คุณท่องกุรอานได้กี่ยุสแล้ว คุณท่องหะดีษได้กี่บทแล้ว คุณเคยปราศรัยชี้ถูกชี้ผิดให้สังคมมุสลิมไหม

หรือนี่เป็นส่วนหนึ่งของสัญญานกิยามัตครับ เพราะว่าเดี๋ยวนี้คนตักเตือนจะโดนด่า คนซอและห์จะโดนใส่ไคล้ สาระพัดสาระเพ

ออฟไลน์ ۞QolbunSaleem۞

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 168
  • เพศ: ชาย
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
จากบทความเดียวกัน....มาดูบรรดาลูกศิษย์ของท่านอิบนุตัยมิยะห์

จุดเด่นของท่านคือการที่มีศิษย์ที่มีความสามารถมากมายร่วมงานด้วย คนที่สำคัญคนแรกคือ ท่านอิบนุ กอยยิม อัล เญาซียะฮฺ(ตายปี 1350) นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ นักปฏิรูปแนวทางซูฟีให้อยู่ในแนวทางสลัฟ ซึ่งถือว่าเป็นศิษย์ที่สะท้อนแนวคิดของอาจารย์ได้มากที่สุด               
 
ศิษย์ที่โดดเด่นคนอื่นๆ เช่น ท่าน อิบนุ อับดุล ฮาดียฺ(ตาย1343) เสียชีวิตเมื่ออายุได้เพียง 40 ปี มีความรอบรู้มาก และได้ทิ้งงานเขียนที่มีค่าไว้ชุดหนึ่ง, ท่านอิบนุ กะษีร(ตาย 1373)เป็นศิษย์ที่มีชื่อเสียงอีกท่านหนึ่ง เป็นนักประวัติศาสตร์(งานที่โด่งดังด้านนี้คือ อัล บิดายะฮฺ วัล นิฮายะฮฺ)และเป็นนักตัฟซีร(ตัฟซีร อิบนุ กะษีร อันโด่งดัง) ท่านผู้นี้สังกัดมัซฮับชาฟิอียฺ(โดยไม่อคติกับมัซฮับอื่นเช่นครูของท่าน), ท่านฮาฟิซ อัซ ซะฮาบียฺ(ตาย 1348) โดดเด่นทางด้านฮะดีษ โดยได้แต่งหนังสือไว้หลายเล่มในสาขานี้, ท่านมุฮัมมัด บิน มุฟลิหฺ(ตาย 1362) นักเขียนหนังสือหลายเล่ม, ท่านอบู ฮัฟซฺ อัล บัซซาร(ตาย 1349) เป็นผู้เขียนประวัติอิบนุตัยมียะฮฺ, ท่านอิบนุ อัล วัรดี(ตาย 1348) เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวรรณกรรมและไวยากรณ์อาหรับ, ท่านกอฎียฺ อิบนุ ฟัฎลุลลอฮฺ(ตาย 1349)นักเขียนผู้โด่งดัง เป็นต้น 

*************************************
โห้...ดูบรรดาชื่อลูกศิษย์แล้ว
ก็น่าละเหี่ยใจเหลือเกิน

ที่มีคนริอยากจะวิจารณ์ตอบโต้ท่านอิบนุตัยมิยะห์ นักฟื้นฟูอิสลาม และมีลูกศิษย์นักฟื้นฟูอิสลามมากมาย และเป็นผู้ที่มีอิทธิพลกับนักฟื้นฟูอิสลามรุ่นหลังๆ

 

ออฟไลน์ As-Zaleek

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 804
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +33
    • ดูรายละเอียด
 :salam:

ไม่ทราบว่าที่คุณ ۞QolbunSaleem۞ แสดงความไม่พอใจ  เพราะ anti-bid'ah วิจารณ์อุลามาอ์...หรือว่าไม่พอใจเพราะวิจารณ์ อิบนุตัยมียะฮ์...ผมเองยังไม่เห็นว่า คุณ anti-bid'ah จะพูดเสียๆ หายๆ กับท่านอิบนุตัยมียะฮ์เลย  ทำเป็นร้อนตัวไปได้...

ส่วนคำพูดของคุณที่ว่า การทำแบบนี้เป็นอะลามัตกิยามะฮ์...คุณลองไปดูอาจารย์ที่คุณคลั้งใคล้บ้างซิ  ว่าเขาคืออะลามัตกิยามัตที่แท้จริง...ไปกล่าวหาอุลามาอฺที่ว่าเยี่ยวบนมัสยิด!...โดยไม่รู้ที่มาที่ไปอย่างถูกต้องเลย...

ชีอะฮ์บอกว่าความรู้จากท่านนบีนั้น ถ่ายทอดมาทางอะฮ์ลิลบัยต์เท่านั้น...แต่คุณ ۞QolbunSaleem۞ ทำคล้ายเหมือนว่า.. อัลกุรอานและซุนนะฮ์ผ่านมาทางอิบนุตัยมียะฮ์และอิบนุกอยยิมเท่านั้น  ที่รู้ถึงหลักการสะลัฟของแท้  ถูกทั้งสองปฏิรูปหมด...เพราะวะฮาบีคลั้งไคล้ อิบนุตัยมียะฮ์และอิบนุกอยยิมมากๆ...

...และลูกศิษย์ของท่านอิบนุตัยมียะฮ์ทั้งหลายนั้น อยากทราบหน่อยว่า มีศิษย์สักกี่คนที่ตามอะกีดะฮ์ตามแบบฉบับของอิบนุตัยมียะฮ์...

...และแนวทางของอิบนุตัยมียะฮ์ตั้งแต่ ปี ฮ.ศ. 700 ลงมา  ที่นักฟื้นฟูยุคหลังที่คุณอ้างว่านำมาเป็นแบบฉบับในการเผยแพร่  ไม่เคยทำให้อิสลามยิ่งใหญ่สักยุคเดียว...มีแต่ทำให้ประชาคมมุสลิมแตกแยกกัน...

ดังนั้นวะฮาบีชอบสร้างกระแสว่าตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์แบบสวยหรู  แต่แฝงอะกีดะฮ์บิดอะฮ์ไว้อย่างน่ากลัว...นอกจากผู้ที่อัลลอฮ์ทรงเมตตาเท่านั้นแหละถึงจะหลุดพ้นอะกีดะฮ์บิดอะฮ์ของวะฮาบีได้...
الأيام تمضى       والعمر يزيد         ولكن الحب بالقلب أكيد

ออฟไลน์ anti-bid'ah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 839
  • ไม่รู้ อย่าเสือกชี้
  • Respect: +29
    • ดูรายละเอียด
 :salam:


He said that the Self of Allah contains hawadith (events, creations), that the Qur'an is muhdath (created) and Allah spoke it after it was not, that Allah speaks and stops speaking, and that wills happen in Him according to the creations.  He transgressed to say that the world did not have a beginning.


ท่านอิบนุ ตัยมิยะฮิยังกล่าวว่าอาตมันของอัลลอฮฺนั้นของใหม่(เหตุการณ์หรือสิ่งถูกสร้าง) เช่น อัลกุรอานเป็นมัคโลคและพระองค์ทรงตรัสหลังจากที่มันไม่มีมาก่อน พระองค์ทรงตรัสและทรงหยุดการตรัส ความประสงค์ของพระองค์จะเกิดขึ้นหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับมัคโลค เขายังฝ่าฝืนที่จะกล่าวว่าโลกนี้ไม่มีจุดเริ่มต้น


 He adhered to his saying that there is no beginning for the creations, thereby saying of the existence of hawadith [Al-Hawadith, the plural of al-hadith, is a creation, i.e., something the existence of which started at some point in time and it may be annihilated any time later.  Al-Jannah (Paradise) and Jahannam (Hellfire), two creations of Allah, will never be annihilated because Allah has willed that for them.] without a beginning.  


เขายึดมั่นในทรรศนะของเขาว่ามัคโลคไร้จุดเริ่มต้น เพราะการมีของสิ่งใหม่ๆ--อัลวาฮาดิษ เป็นคำพหูพจน์ของ อัลฮาดิษซึ่งหมายถึงสิ่งถูกสร้าง กล่าวคือบงสิ่งบางอย่างมีขึ้น ณ บางเวลา และอาจถูกทำลายในเวลาต่อมา) อัลญันนะฮฺ(แดนสุขาวดี)และญะฮันนัม(นรกอเวจี)เป็นมัคโลกของอัลออฮฺที่จะไม่ถูกทำลายเพราะอัลลอฮฺต้องการมัน--ไร้จุดเริ่มต้น


Hence, he confirmed that the eternal attribute (of Allah) is created and the created hadith is eternal.  No one has ever said both sayings in any religion.  He was not among the seventy-three groups into which the Muslim Ummah was divided.  In spite of all of this being horrible kufr (blasphemy), it is little compared to what he innovated in the Furu’.


ฉะนั้นเขาฟันธงแถมด้วยคอนเฟิร์มถึงคุณลักษณะอันจีรังของอัลลอฮฺเป็นสิ่งใหม่ที่ถูกสร้างอย่างนิรันดร์กาล  ไม่เคยมีผู้ใด(กล้าหาญชาญชัย-ผู้แปล)ในการเอ่ยวจีทั้ง ๒ นี้ในศาสนาใดๆมาก่อนเลย เขามิใช่บุคคลที่จะสังกัดอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจาก ๗๓ กลุ่มของประชาชาติมุสลิม แม้ว่าทั้งหมดให้การปฏิเสธที่น่าสะพรึงกลัว(ดูหมิ่นดูแคลนหลักการศาสนา)แต่มันก็ไม่น่าสะพรึงกลัวเท่ากับสิ่งที่ท่านอิบนุ ตัยมิยะฮฺได้อุตริขึ้นมาในหลักการศาสนา
 

Hafiz Abu Sa’id al-’Ala'i, the Shaykh of Hafiz al-’Iraqi, mentioned many of these issues.  This was reported by Muhaddith, Hafiz, and historian Shams-ud-Din Ibn Tulun in "Thakha'ir-ul-Qasr".  Among what was reported about Ibn Taymiyyah, is his saying that Allah is the site of creations, that the world is eternal by kind and it always has been created with Allah, and some of which his saying of the jismiyyah, direction, and movement (of Allah).  Ibn Taymiyyah wrote a juz' (section) that Allah's knowledge does not pertain to what does not end, like the enjoyment of the people of Jannah, and that Allah does not know everything about the finite, that our prophet Muhammad, ‘alayh-is-salam, has no jah (status) and whoever performs tawassul by him is wrong.


ท่านฮาฟิซ อบู สาอิด อัลอาลาอี -เป็นอาจารย์ของท่านฮาฟิซ อัลอีรอกี- กล่าวเกี่ยวกับเรื่องไว้หลายประเด็น ซึ่งได้รับการบันทึกโดยท่านชัมซุดดีน อิบนุ ตุลุนซึ่งเป็นนักหะดิษ นักฮาฟิซ และนักประวัติศาสตร์ ท่านกล่าวไว้ใน ตาคออิรุลกอซร์ ในนั้นมีบางตอนที่ท่านบันทึกเกี่ยวกับท่านอิบนุตัยมียะฮฺว่าท่านอิบนุ ตัยมิยะฮฺ มีทรรศนะว่าอัลลอฮฺทรงพำนักใกล้ๆกับมัคโลค โลกนี้มีอยู่อย่างถาวรและอัลลอฮฺจะสร้างสรรพสิ่งต่างๆอยู่ร่ำไป และเขายังกล่าวว่าอัลลอฮฺพาดพิงไปยังทิศทางและการเคลื่อนไหว  ท่านอิบนุ ตัยมิยะฮฺได้เขียนพาดพิงถึงความรู้ของอัลลอฮฺอยู่หมวดหนึ่งว่า อัลลอฮฺทรงไม่รู้แจ้งแทงตลอดถถึงสิ่งที่จะอยู่อย่างถาวร เช่นความสุขของชาวสวรรค์ อัลลอฮฺรู้อย่างงูๆปลาๆ และท่านศาสดามูฮัมมัดไม่ได้มียศฐาบรรดาศักดิ์อันใดเลยและผู้ใดทำการตะวัซซุลต่อท่านรอซูลนั้นถือเป็นสิ่งฮาราม



 He wrote many papers about that.  He said exaggeratedly that starting a trip to visit our prophet is a sin which invalidates shortening the Salah in it.  Before Ibn Taymiyyah, no Muslim had said what he said.  He said that the torture of the people of Hell stops and does not last forever.
เขามีงานเขียนมากมายที่กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขากล่าวจนเลยเถิดว่าการเริ่มต้นการเดินทางไปยังสุสานของท่านรอซูลนั้นเป็นบาปที่ส่งผลให้การละหมาดย่อของผู้เดินทางใช้ไม่ได้ ไม่มีผู้ใดที่อยู่ในยุคก่อนท่านอิบนุ ตัยมิยะฮฺกล้าที่จะวจีเฉกเช่นวจีของท่านอิบนุ ตัยมิยะฮฺ เขายังกล่าวอีกว่าการลงโทษในนรกอเวจีมิใช่การลงโทษอย่างถาวรอยู่ร่ำไปแต่มันมีการยุติ


ติดตามชมตอนต่อไป
رَبَّنَا فَاغْفِرْ لَنَا ذُنُوبَنَا وَكَفِّرْ عَنَّا سَيِّئَاتِنَا وَتَوَفَّنَا مَعَ الْأَبْرَارِ

ออฟไลน์ hiddenmin

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2453
  • เพศ: ชาย
  • 404 not found
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
    • Ikhlas Studio
--อัลวาฮาดิษ

อัลฮาวาดิษ ????

ออฟไลน์ ฮุ้นปวยเอี๊ยง

  • رَبِّ زدْنِيْ عِلْماً
  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 994
  • เพศ: ชาย
  • وَارْزُقْنِيْ فَهْماً
  • Respect: +116
    • ดูรายละเอียด
วจี อัรรอฟี หรือ อัรริฟาอีย์ เกี่ยวข้องกับ ธรมมขันธ์ หรือ ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ วิมุตติญาณทัสสนขันธ์ หรือไม่อย่างไร และ คำตรัส อัลวาฮาดิษ เที่ยงหรือไม่ ซึ่ง ผู้ที่พานพบมิตรสหาย ของข้าพเจ้า ได้ อรัมปกาถา นานาจิตตัง

 

GoogleTagged