175.จำนวนตัวเลขที่ถูกกล่าวไว้ในอัลกุรอ่าน?? โดย เชค ตอฮา อับดุรรออูฟ ซะอัด
ตอบ... ได้แก่
จำนวน 1
61. และจงรำลึกถึงขณะที่พวกเจ้ากล่าวว่า โอ้มูซา ! เราไม่สามารถจะอดทนต่ออาหารชนิดเดียว (*1*) อีกต่อไปได้ ดังนั้นจงวิงวอนต่อพระเจ้าของท่านให้แก่เราเถิด พระองค์จะทรงให้ออกมาแก่เราจากสิ่งที่แผ่นดินให้งอกเงยขึ้น อันได้แก่พืชผัก แตงกวา กระเทียม ถั่ว และหัวหอม มูซาได้กล่าวว่าพวกท่านจะขอเปลี่ยนเอาสิ่งที่มันเลวกว่า ดัวยสิ่งที่มันดีกว่ากระนั้นหรือ? พวกท่านจงลงไปอยู่ในเมืองเถิด (*2*) แล้วสิ่งที่พวกท่านขอก็จะเป็นของพวกท่าน และความอัปยศ และความขัดสนก็ถูกกระหน่ำลงบนพวกเขา (*3*) และพวกเขาได้นำเอาความกริ้วโกรธจากอัลลอฮ์กลับไป (*4*) นั่นก็เพราะว่าพวกเขาเคยปฏิเสธสัญญาณต่างๆ ของอัลลอฮ์ (*5*) และยังฆ่าบรรดานะบี (*6*) โดยปราศจากความเป็นธรรม นั่นก็เนื่องจากความดื้อดันของพวกเขา และพวกเขาจึงได้กลายเป็นผู้ละเมิดขอบเขต
(1) คือกินอัล-มันนะ และอัส-ซัลวา จำเจอยู่เพียงชนิดเดียว
(2) หมายถึง บัยตุลมักดิส
(3) อัลลอฮ์ทรงให้พวกเขาได้รับความอัปยศ และความยากจนประหนึ่งว่าความอัปยศและความขัดสนถูกหวดลงมายังพวกเขากระนั้น
(4) ประหนึ่งว่า ความกริ้วโกรธของอัลลอฮ์ที่มีต่อพวกเขานั้นเป็นวัตถุ และเขาก็กลับไปยังพระองค์ ก็นำความกริ้วโกรธนั้นกลับไปด้วย เพื่อให้มองเห็นว่าพวกเขาจะต้องได้รับโทษอย่างแน่นอน
(5) ฝ่าฝืนและดื้อดันต่ออัลลอฮ์ ทั้ง ๆ ที่ได้มีสัญญาณต่าง ๆ จากพระองค์ที่แสดงถึงเดชานุภาพของพระองค์ ประจักษ์แก่พวกเขาแล้ว ประหนึ่งพวกเขาปฏิเสธสัญญาณเหล่านั้น
(6) เช่น “ฆ่า นะบี ซะกะรียา และนะบี ยะฮ์ยา เป็นต้น
จำนวน 2
144. และจากอูฐสองตัว และจากวัวสองตัวจงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่า ตัวผู้สองตัวนั้น(*1*)กระนั้นหรือที่พระองค์ทรงห้ามหรือว่าตัวเมียทั้ง สอง(*2*)นั้นหรือที่มดลูกของตัวเมียทั้งสองนั้นได้คุ้มครองรักษาไว้(*3*) หรือว่าพวกท่านร่วมอยู่ ขณะที่อัลลอฮ์ได้ทรงรับสั่งแก่พวกท่านด้วยสิ่งนี้(*4*) ก็ใครเล่าคือผู้ที่อธรรมยิ่งกว่าผู้ที่ได้อุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัล ลอฮ์(*5*)เพื่อจะทำให้มนุษย์หลงผิด โดยไม่มีความรู้(*6*) แท้จริงอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงแนะนำกลุ่มชนที่อธรรม
(1) หมายถึงอูฐตัวผู้และวัวตัวผู้
(2) คืออูฐตัวเมียและวัวตัวเมีย
(3) หมายถึงลูกของอูฐและวัวที่ยังอยู่ในมดลุกแม่ของมันทั้งสอง
(4) เป็นคำถามในเชิงปฏิเสธและแฝงไว้ด้วยการตำหนิ กล่าวคือพระองค์ไม่เคยรับสั่งแก่พวกท่านในเรื่องนี้เลย พวกท่านยืนยันได้ไหมว่าพระองค์ทรงรับสั่งดังกล่าวโดยที่พวกท่านร่วมกันฟัง อยู่ ช่างกล้าอุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮ์เสียนี่กระไร?
(5) คืออุปโลกน์ว่าพระองค์ทรงห้ามมิให้บริโภคสัตว์ดังกล่าว
(6) คือโดยผู้ที่ทำการอุปโลกน์นั้นไม่มีความรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น
จำนวน 3
22. พวกเขาจะกล่าวกันว่า ชาวถ้ำนั้นมีสามคน ที่สี่ก็คือสุนัขของพวกเขา และอีกกลุ่มจะกล่าวว่า มีห้าคน ที่หกก็คือสุนัขของพวกเขา ทั้งนี้เป็นการเดาในสิ่งที่ไม่รู้ และอีกกลุ่มหนึ่งจะกล่าวว่ามีเจ็ดคน และที่แปดก็คือสุนัขของพวกเขา จงกล่าวเถิด“พระผู้เป็นเจ้าของฉันทรงรู้ดียิ่งถึงจำนวนของพวกเขา ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องของพวกเขาเว้นแต่ส่วนน้อย” ดังนั้น เจ้าอย่าโต้เถียงกันในเรื่องของพวกเขา นอกจากการโต้เถียงที่ประจักษ์แจ้ง และอย่าสอบถามผู้ใดในเรื่องของพวกเขาเลย (*1*)
(1) การโต้เถียงกันเกี่ยวกับจำนวนของชายหนุ่มชาวถ้ำนั้นไม่มีที่สิ้นสุด ความจริงแล้วย่อมมี่ผลเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นสามหรือห้าหรือเจ็ดหรือมากกว่านั้น เรื่องของพวกเขาจะถูกมอบไว้แต่อัลลอฮุ และความรู้เกี่ยวกับพวกเขาอยู่ที่อัลลอฮุเพราะบทเรียนในเรื่องของพวกเขาย่อม เกิดขึ้น จะด้วยจำนวนมากหรือน้อยก็ตาม ดังนั้นอัลกุรอานจึงได้ชี้นแนะแก่ท่านร่อซูลุลลอฮุ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ให้ละทิ้งการโต้เถียงกันในเรื่องนี้
จำนวน 4
260. และจงรำลึกถึงขณะที่ที่อิบรอฮีม กล่าวว่า โอ้พระผู้เป็นเจ้าจองข้าพระองค์ โปรดได้ทรงให้ข้าพระองค์เห็นด้วยเถิดว่า พระองค์จะทรงให้บรรดาผู้ที่ตายมีชีวิตขึ้นอย่างไร(*1*) ? พระองค์ตรัสว่า เจ้ามิได้เชื่อดอกหรือ ? อิบรอฮีมกล่าวว่า หามิได้ แต่ทว่าเพื่อหัวใจของข้าพระองค์จะได้สงบ พระองค์ตรัสว่าเจ้าจงเอานกมาสี่ตัว(*2*) แล้วจงเลี้ยงมันให้ค้นแก่เจ้า(*3*)และตัดมันออกเป็นท่อน ๆ(*4*) ภายหลังเจ้าจงวางไว้บนภูเขาทุกลูก(*5*) ซึ่งส่วนหนึ่งจากนกเหล่านั้น แล้วจงเรียกมัน มันจะมายังเจ้าโดยรีบเร่ง และพึงรุ้ไว้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงเดชานุภาพผู้ทรงปรีชาญาณ
(1) คือให้พระองค์ทรงแสดงถึงวิธีที่จะให้คนตายมีชีวิตใหม่ในวันกิยามะฮ์
(2) แน่นอนนกแต่ละตัวย่อมมีสีสรรค์ และรูปร่างไม่เหมือนกัน เช่นเดียวกับมนุษย์ที่มีผิวพรรณ และรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกัน
(3) เพื่อจะได้จำมันได้ว่าตัวไหนสีอะไร?
(4) สับนกทั้งสี่ตัวนั้นรวมกันเป็นท่อน ๆ เพื่อให้เหมือนกับสภาพของมนุษย์ที่กระดูกและเนื้อหนังของพวกเขาปะปนกันหลุมศพ
(5) ภูเขาทุกลูกในละแวกที่ท่านนะบีอิบรอฮีมอาศัยอยู่
จำนวน 5
22. พวกเขาจะกล่าวกันว่า ชาวถ้ำนั้นมีสามคน ที่สี่ก็คือสุนัขของพวกเขา และอีกกลุ่มจะกล่าวว่า มีห้าคน ที่หกก็คือสุนัขของพวกเขา ทั้งนี้เป็นการเดาในสิ่งที่ไม่รู้ และอีกกลุ่มหนึ่งจะกล่าวว่ามีเจ็ดคน และที่แปดก็คือสุนัขของพวกเขา จงกล่าวเถิด“พระผู้เป็นเจ้าของฉันทรงรู้ดียิ่งถึงจำนวนของพวกเขา ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องของพวกเขาเว้นแต่ส่วนน้อย” ดังนั้น เจ้าอย่าโต้เถียงกันในเรื่องของพวกเขา นอกจากการโต้เถียงที่ประจักษ์แจ้ง และอย่าสอบถามผู้ใดในเรื่องของพวกเขาเลย (*1*)
(1) การโต้เถียงกันเกี่ยวกับจำนวนของชายหนุ่มชาวถ้ำนั้นไม่มีที่สิ้นสุด ความจริงแล้วย่อมมี่ผลเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นสามหรือห้าหรือเจ็ดหรือมากกว่านั้น เรื่องของพวกเขาจะถูกมอบไว้แต่อัลลอฮุ และความรู้เกี่ยวกับพวกเขาอยู่ที่อัลลอฮุเพราะบทเรียนในเรื่องของพวกเขาย่อม เกิดขึ้น จะด้วยจำนวนมากหรือน้อยก็ตาม ดังนั้นอัลกุรอานจึงได้ชี้นแนะแก่ท่านร่อซูลุลลอฮุ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ให้ละทิ้งการโต้เถียงกันในเรื่องนี้
จำนวน 6
7. เจ้าไม่เห็นดอกหรือว่า อัลลอฮฺทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย และสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน การซุบซิบกันในสามคนจะไม่เกิดขั้น เว้นแต่พระองค์จะทรงเป็นที่สี่ของพวกเขาและมันจะไม่เกิดขึ้นในห้าคน เว้นแต่พระองค์ทรงเป็นที่หกของพวกเขา และมันจะไม่เกิดขึ้นน้อยกว่านั้น และจะไม่เกิดขึ้นมากกว่านั้นเว้นแต่พระองค์จะทรงอยู่ร่วมกับพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในแห่งหนใด แล้วพระองค์ก็จะทรงแจ้งพวกเขาให้ทราบในวันกิยามะฮฺถึงสิ่งที่พวกเขาได้ ปฏิบัติไว้ (ในโลกดุนยา) แท้จริงอัลลอฮเป็นผู้ทรงรอบรู้ทุกสิ่ง (*1*)
(1) ความหมายของอายะฮฺนี้ก็คือ อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงอยู่ร่วมกับบ่าวของพระองค์ ทรงสอดส่องต่อสภาพและการงานของพวกเขา และสิ่งที่พวกเขากระซิบกระซาบกัน ไม่มีสิ่งใดในกิจการของปวงบ่าวที่จะซ่อนเร้นต่อพระองค์ ดังนั้นพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกเขาถึงสิ่งที่พวกเขาได้ปฏิบัติไปไม่ว่าจะเป็น ความดีหรือความชั่ว แล้วพระองค์ก็จะทรงตอบแทนพวกเขาในวันกิยามะฮฺ
จำนวน 7
29. พระองค์ทรงบันดาลสรรพสิ่งในพื้นภิพบทั้งสิ้นเพิ่อ (เป็นประโยชน์แก่) พวกเจ้าทั้งมวล หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงมุ่งสู่ (การสร้าง) ฟากฟ้า แล้วพระองค์ก็ทรงดลบันดาลให้มันเป็นเจ็ดชั้นฟ้า และพระองค์ก็ทรงดลบันดาลให้มันเป็นเจ็ดชั้นฟ้า และพระองค์ทรงรอบรู้ในทุกๆสิ่ง (เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้บันดาลมันมาเอง)
จำนวน 8
143. และ(ได้ทรงให้มี) สัตว์แปดตัวเป็นคู่ ๆ (*1*) คือจากแกะสองตัว และจากแพะสองตัว จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่า ตัวผู้สองตัว(*2*)นั้นหรือที่พระองค์ทรงห้าม หรือว่าตัวเมียสองตัวนั้น(*3*) หรือว่าที่มดลูกของตัวเมียทั้งสองนั้นได้คุ้มครองรักษาไว้ (*4*) พวกท่านจงแจ้งให้ฉันทราบด้วยความรู้อันใดอันหนึ่ง หากพวกท่านพูดจริง
(1) คือสี่คู่ด้วยกันแต่ละคู่มีตัวผู้ตัวเมีย
(2) คือแกะตัวผู้และแพะตัวเมีย
(3) คือแกะตัวเมียและแพะตัวเมีย
(4) หมายถึง ลูกของแกะ และแพะที่ยังอยู่ในมดลูกแม่ของมันทั้งสอง
จำนวน 9
101. และโดยแน่นอน เราได้ให้แก่มูซาสัญญาณต่างๆ อันแจ่มชัด 9 ประการ(*1*) ดังนั้น เจ้าจงถามวงศ์วานของอิสรออีลเมื่อเขา (มูซา) มายังพวกเขาฟิรเอานได้พูดกับเขาว่า “โอ้ มูซาเอ๋ย แท้จริงฉันคิดว่าท่านถูกเวทมนต์อย่างแน่นอน”(*1*)
(1) สัญญาณ 9 ประการคือ ไม้เท้า มือ น้ำท่วม ตั๊กแตน เหา กบ เลือด การแยกออกของทะเล และความแห้งแล้ง
(2) อัลลอฮ ตะอาลา ทรงกล่าวในที่นี้ว่า ความมากมายของสิ่งมหัศจรรย์หรือปาฏิหาริย์มิได้ทำให้เกิดการอีมานในจิตใจของ ผู้ที่ดื้อรั้น ดังเช่นฟิรเอาน ซึ่งอัลลอฮ ตะอาลา ได้ทรงให้สัญญาณต่างๆ แก่มูซาถึง 9 ประการ แต่ฟิรเอานและพรรคพวกของเขาก็หาได้ศรัทธาต่อมูซาไม่
จำนวน 10
4. จงรำลึกขณะที่ยูซุฟกล่าวแก่พ่อของเขาว่า “โอ้พ่อจ๋า! แท้จริงฉันได้ฝันเห็นดวงดาวสิบเอ็ดดวง และดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ฉันฝันเห็นพวกมันสุญูดต่อฉัน”(*1*)
(1) อิบนุอับบาสกล่าวว่า “การฝันเห็นในเรื่องนี้เป็นวะฮี” นักตัฟซีรกล่าวว่า “ดวงดาวสิบเอ็ดดวงหมายถึงพี่น้องของเขาดวงอาทิตย์และดวงจันทร์หมายถึงพ่อแม่ ของเขา ขณะนั้นยูซุฟมีอายุได้ 12 ขวบ ระยะเวลาระหว่างการฝันของเขากับการพบปะพ่อแม่ของเขาและพี่น้องของเขาใน อียิปต์เป็นเวลา 40 ปี”
จำนวน 12
60. และจงรำลึกถึงขณะที่มูซาได้ขอน้ำให้แก่กลุ่มชนของพวกเขา แล้วเราได้กล่าวว่า เจ้าจงตีหินด้วยไม่เท้าของเจ้าแล้วตาน้ำสิบสองตา ก็พุ่งออกจากหินนั้น แน่นอนกลุ่มชนแต่ละกลุ่ม(*1*) ย่อมรู้แหล่งน้ำดื่มของตน พวกเจ้าจงกินและจงดื่มจากปัจจัยยังชีพของอัลลอฮ์ และจงอย่าก่อกวนในผืนแผ่นดิน ในฐานะผู้บ่อนทำลาย
(1) หมายถึงกลุ่มชน ซึ่งเป็นวงศ์วานอิสรออีลสิบสองกลุ่ม
จำนวน 19
29. มันจะเผาไหม้ผิวหนังจนเกรียมดำ

30. เหนือมันมีมะลาอิกะฮฺสิบเก้าท่าน (*1*)
(1) คือยามเฝ้าประตูนรกที่ได้ถูกมอบหมายนั้นมี 19 ท่าน เป็นผู้ที่แข็งกร้าว
จำนวน 20
65. “โอ้ นะบี! จงปลุกใจผู้ศรัทธาทั้งหลาย ในการสู้รบเถิด หากปรากฏว่าในหมู่พวกเจ้ามียี่สิบคนที่อดทน ก็จะชนะสองร้อยคน และหากปรากฏว่าในหมู่พวกเจ้ามีร้อยคน ก็จะชนะพันคนในหมู่ผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา เพราะพวกเขาเป็นพวกที่ไม่เข้าใจ
จำนวน 30
142. “และเราได้สัญญาแก่มูซาสามสิบคืนแลเราได้ให้มันครบอีกสิบ(*1*) ดังนั้นกำหนดเวลาแห่งพระเจ้าของเราจึงครบสี่สิบคืน และมูซาได้กล่าวแก่ฮารูนพี่ชายของเขาว่า จงทำหน้าที่แทนฉันในหมู่ชนของฉัน(*2*) และจงปรับปรุงแก้ไข(*3*) และจงอย่าปฏิบัติตามทางของผู้ก่อความเสียหาย(*4*)”
(1) คือให้สามสิบคืนนั้นครบเป็นสี่สิบคืน โดยเพิ่มอีกสิบคืน
(2) หมายถึงวงศ์วานอิสรออีล
(3) คือหารมีการปฏิบัติที่ไม่ถูกไม่ควรเกิดขึ้นในหมู่พวกเขา
(4) คืออย่าให้เห็นดีเห็นชอบ หรือร่วมปฏิบัติในทางที่เสียหาย”
จำนวน 40http://www.alquran-thai.com/Images/Quran/2_51.gif51. และจงรำลึกถึงขณะที่เราได้สัญญาแก่มูซาไว้สี่สิบคืน(*1*) แล้วพวกเจ้าได้ยึดถือลูกวัวตัวนั้นหลักจากเขา(*2*) และพวกเจ้านั้นคือผู้อธรรม
(1) ให้ท่านนะบีมูซาไปรับบัญญัติ 10 ประการ ณ ภูเขาสินาย และจะต้องอยู่ที่นั่น 40 คืน
(2) ยึดถือลูกวัวที่มิซารีย์ได้จำลองขึ้นขากทอง เป็นที่เคารพสักการะ หลังจากนะบีมูซาเดินทางไปรับบัญญัติ 10 ประการ
จำนวน 50
14. และโดยแน่นอนเราได้ส่งนูห์ไปยังหมู่ชนของเขา และเขาได้อยู่ร่วมกับพวกเขาหนึ่งพันปีเว้นห้าสิบปี (950 ปี) (*1*)
(1) นะบีนูห์ ได้เรียกร้องเชิญชวนหมู่ชนของเราไปสู่การให้ความเอกภาพต่ออัลอฮ ตะอาลา เป็นเวลาถึง950ปี หมู่ชนพวกเขาเป็นพวกบูชาเจว็ดและรูปปั้นต่าง ๆ(*2*)ดังนั้นอุทกภัยได้คร่าพวกเขาขณะที่พวกเขาเป็นผู้อธรรม
(2) คือยืนกรานที่จะอยู่ในสภาพของผู้อธรรม
จำนวน 60
4. ส่วนผู้ที่ไม่สามารถหา (ทาส) ได้ก็ต้องถือศีลอดสองเดือนติดต่อกัน ก่อนที่เขาทั้งสองจะแตะต้องต่อกัน(ร่วมหลับนอน) สำหรับผู้ที่ไม่สามารถจะถือศิลอดได้ ก็ต้องให้อาหารแก่คนยากจนจำนวนหกสิบคนทั้งนี้เพื่อจะให้พวกเจ้าศรัทธาต่ออัล ลอฮ และร่อซูลของพระองค์ (*1*) นั่นคือขอบเขตของอัลลอฮ และสำหรับพวกปฏิเสธศรัทธานั้นจะได้รับการลงโทษอย่างเจ็บปวด (*2*)
(1) สำหรับผู้ที่ไม่สามารถจะหาทาสมาปลดปล่อยได้ ก็จะต้องถือศีลอดเป็นเวลาติดต่อกัน 60 วันหากเขาไม่สามารถกระทำได้ ก็จำเป็นต้องให้อาหารแก่คนยากจนขัดสน 60 คน ข้อบัญญัติดังกล่าวมานั้นเพื่อให้พวกเจ้าถือปฏิบัติ และเพื่อให้พวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮ และร่อซูลของพระองค์ เพราะการอีมานคือการเชื่อมั่นทั้งคำพูดและปฏิบัติ และการเชื่อฟังภักดีต่ออัลลอฮ และร่อซูลของพระองค์คือการอีมาน ส่วนการฝ่าฝืนต่ออัลลอฮ และร่อซูลก็คือการปฏิเสธศรัทธานั่นเอง
(2) นั่นคือข้อปฏิบัติ และขอบเขตของอัลลอฮ พวกเจ้าอย่าได้ล่วงเกินเป็นอันขาด
จำนวน 70
155. “และมูซาได้เลือก(*1*)จากพวกพ้องของเขาซึ่งชายเจ็ดสิบคน สำหรับกำหนดเวลาของ(*2*)เราครั้นเมื่อความไหวอันรุนแรง(*3*)ได้คร่าพวกเขา เขา(*4*)กล่าวว่า โอ้พระเจ้าแห่งข้าพระองค์ หากพระองค์ทรงประสงค์แล้ว(*5*) พระองค์ก็ทรงทำลายพวกเขาไปก่อนแล้ว(*6*) และข้าพระองค์ด้วย พระองค์จะทรงทำลายพวกข้าพระองค์ เนื่องด้วยสิ่งที่บรรดาผู้โฉดเขลาในหมู่ผู้ข้าพระองค์ได้กระทำขึ้น(*7*) กระนั้นหรือ? มัน(*8*)มิใช่อื่นใดดอก นอกจากการทดสอบของพระองค์เท่านั้นพระองค์จะทรงให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ หลงผิด(*9*) ไปเนื่องด้วยการทดสอบนั้นและจะทรงแนะนำผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์(*10*) พระองค์นั้นคือผู้ทรงคุ้มครองพวกข้าพระองค์ ดังนั้นโปรดได้ทรงอภัยให้แก่พวกข้าพระองค์ และเอ็นดูเมตตาพวกข้าพระองค์ด้วยเถิด และพระองค์นั้นคือผู้ทรงเยี่ยมกว่าในหมู่ผู้ให้อภัยทั้งหลาย(*11*)”
(1) คือเลือกผู้ที่มิได้ร่วมกระทำการเคารพสักการะลูกวัว
(2) คือกำหนดเวลาที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้ไว้แก่นะบีมูซา กล่าวคือท่านนะบีมูซาได้ขออนุญาตต่ออัลลอฮ์ที่จะนำพวกพ้องของท่านจำนวนหนึ่ง เข้าเฝ้าพระองค์เพื่อขออภัยต่อพระองค์เนื่องจากได้มีบุคคลในหมู่พวกเขากระทำ ผิดโดยเคารพสักการะลูกวัวด้วยความโฉดเขลา แล้วพระองค์ก็ทรงอนุญาตและกำหนดเวลาให้
(3) คือความไหวอันอันรุนแรงของภูเขาซินายที่พวกเขาไปชุมนุมกันเพื่อเข้าเผ้าอัลลอฮ์นั้นได้ทำให้พกวเขาเสียชีวิต
(4) คือท่านนะบีมูซา
(5) คือทรงประสงค์จะทำลายพวกเขา
(6) คือก่อนจากที่จะมาเข้าเฝ้าพระองค์
(7) หมายถึงกระทำการเคารพสักการะลูกวัว อนึ่งคำถามนี้หากเช่นเป็นคำถามเพื่ออยากทราบก็หาไม่ หากแต่เป็นคำถามในเชิงของความกรุณา กล่าวคือประหนึ่งท่านนะบีมูซากล่าวว่า โปรดอย่าได้ทรงลงโทษพวกข้าพระองค์ เนื่องด้วยความผิดที่พวกโง่ ๆ ในหมู่ข้าพระองค์ได้ประกอบขึ้นเลย แล้วพระองค์ก็ทรงให้ทึกคนฟื้นคืนชีพ
(

หมายถึงการให้ภูเขาไหวอย่างแรงและทำให้ผู้ที่มาเฝ้าพระองค์เสียชีวิต
(9) คือผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ให้หลงผิดนั้นได้แก่บุคคลที่ไม่ใช้สติปัญญา ในสิ่งที่พระองค์ทดสอบพวกเขา ทำให้พวกเขาขาดความอดทน และดื้อรั้นไม่ยอมรับคำแนะนำชี้แจง บุคคลประเภทนี้พระองค์จะทรงปล่อยให้หลงผิดไปตามความปรารถนาของพวกเขา
(10) หมายถึงผู้ที่ใช้สติปัญญาและสำนึกผิด กลับเนื้อกลับตัว
(11) คือในหมู่ผู้อภัยทั้งหลายแล้วพระองค์ทรงเยี่ยมที่สุดและลิศที่สุดในการให้อภัย
จำนวน 80
4. และบรรดาผู้กล่าวโทษบรรดาหญิงบริสุทธิ์(*1*) แล้วพวกเขามิได้นำพยานสี่คนมา(*2*) พวกเจ้าจงโบยพวกเขาแปดสิบที และพวกเจ้าอย่ารับการเป็นพยานของพวกเขาเป็นอันขาด(*3*) ชนเหล่านั้นพวกเขาเป็นผู้ฝ่าฝืน(*4*)
(1) กล่าวหาว่าเธอมีชู้หรือทำซินา
(2) คือมิได้นำพยานที่ยุติธรรมมาสี่คน เพื่อเป็นพยานต่อข้อกล่าวหาของพวกเขาดังกล่าว
(3) เพราะพวกเขากล่าวเท็จ ใส่ร้ายหญิงบริสุทธิ์ และเข้าไปยุ่งเกี่ยวทำลายเกียรติยศของผู้อื่น นอกจากนั้นพวกเจ้าอย่าได้รับการเป็นพยานของพวกเขาเป็นอันขาด ในเมื่อยังคงประพฤติปฏิบัติเช่นนั้น
(4) อิบนุกะษีรกล่าวว่า อัลลอฮ์ทรงบัญญัติโทษแก่ผู้กล่าวโทษ หากเขามิได้นำหลักฐานมายืนยันในสิ่งที่เขาได้กล่าวหา มี 3 ประการด้วยกันคือ หนึ่ง: โบยแปดสิบที สอง: ไม่รับการเป็นพยานของเขา สาม: เป็นผู้ฝ่าฝืนปราศจากความยุติธรรม ณ ที่อัลลอฮ์และมหาชน
จำนวน 90
23. “แท้จริงนี่คือพี่ชายของฉัน เขามีแกะตัวเมีย 99 ตัว และฉันมีแกะตัวเมียตัวเดียวแล้วเขายังพูดว่า เอามันมาให้ฉันซิ และเขาได้ข่มขู่ฉันในคำพูด” (*1*)
(1) คือเขาได้โต้เถียงและคาดคั้นจนกระทั่งเอาแกะตัวเดียวของฉันไป
จำนวน 9923. “แท้จริงนี่คือพี่ชายของฉัน เขามีแกะตัวเมีย 99 ตัว และฉันมีแกะตัวเมียตัวเดียวแล้วเขายังพูดว่า เอามันมาให้ฉันซิ และเขาได้ข่มขู่ฉันในคำพูด” (*1*)
(1) คือเขาได้โต้เถียงและคาดคั้นจนกระทั่งเอาแกะตัวเดียวของฉันไป
จำนวน 100
2. หญิงมีชู้และชายมีชู้ พวกเจ้าจงโบยแต่ละคนในสองคนนั้นคนละหนึ่งร้อยที (*1*) และอย่าให้ความสงสารยับยั้งการกระทำของพวกเจ้าต่อคนทั้งสองนั้น ในบัญญัติของอัลลอฮฺเป็นอันขาด (*2*) หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก และจงให้กลุ่มหนึ่งของบรรดาผู้ศรัทธาเป็นพยานในการลงโทษเขาทั้งสอง (*3*)
(1) สิ่งที่เราบัญญัติแก่พวกเจ้าคือ ให้โบยพวกทำชู้ (ทำซินา) ที่ยังมิได้แต่งงาน (หรือชายโสด หญิงโสด) คนละหนึ่งร้อยที เป็นการลงโทษแก่เขาทั้งสองที่กระทำอาชญากรรมที่น่ารังเกียจ
(2) คืออย่าให้ความสงสารและความเมตตาระงับการกระทำของพวกเจ้าในบัญญัติของ อัลลอฮฺ คือโบยแต่เพียงเบา ๆ หรือลดจำนวนโบย พวกเจ้าจงโบยให้เจ็บจริงๆ
(3) การเป็นพยานในการลงโทษนั้นนับได้ว่าเป็นการประจาน เพื่อให้เป็นแบบฉบับและเป็นที่เข็ดหลาบ สาเหตุของการประทานโองการนี้คือ มีรายงานว่า สตรีผู้หนึ่งชื่อ “อุมมุมะฮ์ซูล" ซึ่งเป็นโสเภณี เธอจะร่วมประเวณีกับผู้ชายโดยตั้งเงื่อนไขว่า เธอจะเป็นผู้จ่ายเงินให้เขา ชายมุสลิมคนหนึ่งประสงค์จะแต่งงานกับเธอ เขาจึงได้ไปแจ้งต่อท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อัลลอฮฺจึงได้ประทานโองการนี้ลงมาว่า
จำนวน 200
66. “บัดนี้อัลลอฮฺได้ทรงผ่อนผันแก่พวกเจ้าแล้ว และทรงรู้ว่า แท้จริงในหมู่พวกเจ้านั้นมีความอ่อนแอ (*1*) ดังนั้นหากในหมู่พวกเจ้ามีร้อยคนที่อดทนก็จะชนะสองร้อยคน และหากในหมู่พวกเจ้ามีพันคนก็จะชนะสองพันคน ด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺนั้นทรงอยู่ร่วมกับผู้อดทนทั้งหลาย”
(1) คืออ่อนแอที่จะต่อสู้ศัตรูในจำนวนยี่สิบคนต่อสองร้อยคนได้
จำนวน 300
25. และพวกเขาพำนักอยู่ในถ้ำของพวกเขาสามร้อยปี และเพิ่มอีกเก้าปี(*1*)
(1) อยู่ในสภาพนอนหลับ และนี่เป็นการชี้แจงในสิ่งที่ได้กล่าวไว้โดยย่อในพระดำรัสของพระองค์ที่ว่า “เป็นจำนวหนลายปี” ในอายะฮ์ที่ 11 ของซูเราะฮ์นี้
จำนวน 1000
96. และแน่นอนเหลือเกินเจ้า(*1*) จะพบว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ที่ห่วงใยยิ่งต่อชีวิตความเป็นอยู่ และยิ่งกว่าบรรดาผู้ที่ให้มีภาคีขึ้น(แก่อัลลอฮ์) เสียอีก คนหนึ่งคนใดในพวกเขานั้นชอบ หากว่าเขาจะถูกให้มีอายุถึงพันปี และมันจะไม่ทำให้เขาห่างไกลจากการลงโทษไปได้ ในการที่เขาจะถูกให้มีอายุยืนนาน และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงเห็นในสิ่งที่เขาเหล่านั้นกระทำกันอยู่
(1) คือท่านนะบีจะพบว่ายิวนั้น ห่วงใยต่อชียวิตเป็นอย่างยิ่ง
จำนวน 3000
124. จงรำลึกถึงขณะที่เจ้า (มุฮัมมัด)กล่าวแก่บรรดามุมินว่า ไม่เพียงกอแก่พวกเจ้าเลยหรือ การที่พระเจ้าของพวกท่านจะหนุนกำลังแก่พวกท่าน ด้วยมะลาอิกะฮ์จำนวนสามพันโดยถูกส่งลงมา
จำนวน 5000
125. เพียงพอแน่นอน หากพวกเจ้าอดทนและยำเกรง(*1*) และพวกเขาจะ(*2*) มายังพวกเจ้าทันทีทันใดขณะนี้(*3*)แล้วพระเจ้าของพวกเจ้าก็จะหนุนกำลังแก่ พวกเจ้าอีก ด้วยจำนวนมะลาอิกะฮ์ห้าพัน โดยมีเครื่องหมาย(*4*)
(1) คือยำเกรงอัลลอฮ์ โดยปฏิบัติตามหน้าที่ที่ท่านนะบีได้กำหนดไว้
(2) คือพวกมุชริกีน
(3) คำว่า “มินเฟาริฮิม” นั้นใน “อัล-มุนญิด” ให้ความหมายว่า “ฮาลัน” ซึ่งแปลว่า “ทันทีทันใด”
(4) คือมะลาอิกะฮ์ทุกท่านมีเครื่องหมายทุกท่าน
จำนวน 50000
4. มะลาอิกะฮฺและอัรรูหฺ (ญิบริล) จะขึ้นไปหาพระองค์ในวันหนึ่งซึ่งกำหนดของมันเท่ากับห้าหมื่นปี (ของโลกดุนยานี้)
จำนวน 100000
147. และเราได้ส่งเขาไปยัง (หมู่บ้านของเขา) มีจำนวนหนึ่งแสนคนหรือเกินกว่านั้น
ดู معلومات للمؤمنين عن كتاب رب العالمين سؤالا 175 وجوابا عن القرآن الكريم โดย เชค ตอฮา อับดุรรออูฟ ซะอัด หน้าที่ 52-53