ผู้เขียน หัวข้อ: ทำความเข้าใจกันใหม่กับดาราศาสตร์อิสลามและชี้แจงข้อผิดของมุสลิมที่เข้าวันที่ 4 ตค  (อ่าน 1414 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด

กระทู้นี้ จะ นำเสนอ ข้อเขียน สำหรับตอบเป็นคำชี้แจงที่มาจากการสร้างความเข้าใจผิดของผู้ที่อยากออกวันที่ 4 ต.ค.
และ สำหรับการแชร์ และ แบ่งปันข้อมูล ที่ไม่ถูกต้อง โดยมุ่งเน้นเพื่อสร้างความเข้าใจเป็นหลัก

ข้อมูลส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ ในแนวทางของ ดาราศาสตร์อิสลาม
โดยยกเว้นความแตกต่างด้านทัศนะ อันเนื่องมาจาก อยากให้เข้าใจพื้นฐานและขั้นต้นเสียก่อน

ดังนั้น การนำเสนอจะเป็นในรูปแบบของเชิงวิชาการ ตามหลักดาราศาสตร์
และเป็นการนำเสนอ ที่อแก้ต่าง หรือ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง จากการแชร์ข้อมูลที่ผิด

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
ตอนที่ 1 ความเข้าใจในต่อพี่น้องคือการพยายามรับฟัง
ห้ามอ่านแค่ในรูปแล้วกดไลค์/แชร์ !!!

เป็นเรื่องที่น่าเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก
กับการที่ได้รับรู้และเห็นว่าพี่น้องมุสลิมเราโดนทำร้ายกันทั่วโลก
แต่มุสลิมไทยยังเถียงกันคนละเรื่อง
ว่าตกลงจะออกอีด วันที่ 4 หรือ 5 ตุลาคม ปีนี้ดี

จริงๆ ผมอ่านกระทู้ของพี่น้องมาหลายกระทู้นะ
มันคุยกันคนละเรื่องจริงๆ ฝั่งนึงยกหลักฐาน อัลกรุอาน ฮะดิส
อีกฝั่งก็ยกหลักฐาน อัลกรุอาน ฮะดิส ยกมาบทเดียวกันเป๊ะๆ
แต่อธิบายคนละแบบตามความเข้าใจ หรือพูดคนละแบบ

จริงๆ ผมอยากให้เปิดใจ แล้วอ่านเรื่องที่ผมจะเขียนสั้นๆ นะว่า
"เวลาจะคุยตกลงอะไรกัน ช่วยทำความเข้าใจให้ตรงกันด้วย"

วันนี้ ฝ่ายแรก ออกมาบอกว่า วันอีดคือ 4 ตุลาคม
โดยยกหัวข้อที่ว่า เราต้องตามประเทศซาอุฯ เพราะ
"การดูฮิลาลในซุลหิจญะมีเพื่อกำหนดวันอะเราะฟะ"

แน่นอนว่า สมัยก่อน ฝ่ายที่สอง แย้งในประเด็นที่เราถกเถียงกัน ว่า
"วันที่ 10 ซุลหิจญะ คือวันอีดอัดฮา"

ซึ่งในวันนี้ฝ่ายแรกที่ออกอีด 4 ตุลาคม ยังคงเข้าใจว่า
ฝ่ายที่สอง คือพวกที่ออก 5 ตุลาคม ยังคงยึดถือเรื่องนี้อยู่ ( 10 = วันอีด )

แต่แท้จริงแล้ว มันไม่ใช่ประเด็นนี้ ตามที่ฝ่ายแรกเข้าใจ
สิ่งที่เราเรียนรู้กันต่อมานั้น หัวข้อที่เรายกให้ 5 ตุลาคมเป็นวันอีดอัดฮาในปีนี้
ก็เพราะว่า "เป็นการตามซาอุตามความเห็นของฝ่ายแรกนั่นแหละ"
( เรายึดถือทัศนะเดียวกับ ฝ่ายแรก )

โดยการตามของฝ่ายที่สอง คือการตามแบบตามจริงๆ
ใช่ตามแบบนำหน้า 4 ชั่วโมง ( เพราะประเทศไทยอยู่ฝั่งตะวันออก )
เพราะวันนี้เรารู้ว่าโลกกลม และ 1 วันมี 24 ชั่วโมง
การนับเวลาใดๆ นั้น ถ้าเราจะนับให้ครบ 1 วันจำต้องนับไป 24 ชั่วโมง
เมื่อซาอุฯ มีเวลาล่าช้าจากไทย 4 ชั่วโมง นั่นหมายถึง
การที่ไทยจะตามซาอุฯ ได้อย่างถูกต้อง จะต้องรอให้มีวันอะเราะฟะก่อน
แล้ววันถัดไปของไทย ( เวลามักริบที่จะถึง ) จึงจะเป็นวันอะเราะฟะในไทย
ซึ่งก็คือวันของไทยจะต้องเข้าช้ากว่าที่ซาอุฯ 20 ชั่วโมง

ทีนี้เราลองกลับมาที่หลักฐานฮะดิส จะพบว่า
"วันอะเราะฟะ คือวันที่บรรดาหุจญาจกำลังวุกูฟ ณ ทุ่งอะเราะฟาต"

ตัวอย่าง กรณีศึกษา ( หากเราตามทันที )
เมื่อเรานำหน้าซาอุฯ 4 ชั่วโมง แล้ววันนั้น ( ที่ 9 ซุลหิจญะ )
บังเอิญเหลือเกินว่า บรรดาหุจญาจไม่สามารถไปวุกูฟได้ ณ ทุ่งอะเราะฟาต
ด้วยกำหนดการของอัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่ ผู้ทรงประสงค์
การถือศีลอดของเราก็ต้องเป็นโมฆะ เพราะที่ซาอุฯยังมิได้มีการวุกูฟเกิดขึ้น

สิ่งนี้ยืนยันได้ชัดเจนว่า การตามทันทีของเรา ( โดยไม่ประวิงเวลา )
ทำให้เรากลายเป็นผู้กระทำก่อน หรือ เข้าวันอะเราะฟะก่อนประเทศซาอุฯ

ในกรณีที่ว่านี้ เราจะมากำหนดวันอะเราะฟะเช่นนี้ไม่ได้
เราจะอาศัยว่า บรรดาหุจญาจกำลังจะไปวุกูฟ ณ ทุ่งอะเราะฟาตมิได้
เพราะตอนที่เราถือศีลอด ตอนตี 5 ที่ซาอุฯ ยังคงเป็นเวลา ตี 1
การที่เราจะเข้าวันอะเราะฟะด้วยวิธีนี้
มันเป็นเรื่องของการคาดเดาว่า ที่ซาอุฯ บรรดาหุจญาจกำลังจะไปวุกูฟ

หากเราเข้าใจตามนี้แล้วว่า อะไรคือการตามอย่างถูกต้องเหมาะสม
ก็จะไม่ขัดกับอัลกรุอานหรือฮะดิสบทใดเลยทั้งสิ้น
และด้วยทัศนะดังที่กล่าวมา จึงหมายถึง
หากเราเห็นฮิลาลในวันที่ 29 ซุลเกาะดะ ( คืนที่จะเข้า 30 กับ 1)
เราก็ออกอีดในวันที่ 5 ต.ค. เช่นเดิม เพราะ...
"มันคือการตามซาอุฯ ( หากวันอะเราะฟะไม่คลาดเคลื่อน ) อย่างแท้จริง"

ประเด็นนี้ที่เรานำมาเสนอจริงๆ แล้วนั้น มันมิได้เป็นหัวข้อใหม่แต่อย่างใด
แต่เป็นหัวข้อที่อิสลามใช้มา 1,400 กว่าปีแล้ว
และเป็นหัวข้อที่ผู้รู้ในวิชานี้ ( อัลฟะลัก ) รู้กันมานานแล้วด้วย
เพียงแต่ว่า มันไม่ได้ถูกถ่ายทอด และพูดคุยกันจริงจังเหมือนเช่นทุกวันนี้

วัลลอฮฺอะลัม...

ผมเขียนข้อเขียนนี้ออกมา
เพื่ออธิบายว่า วันนี้เราไม่ได้ถกเถียงเรื่องวันอีดอัดฮาที่ไม่ตรงกัน
ด้วยกับเรื่องความเข้าใจผิดในเชิงศาสนาหรือประเด็นคิลาฟิยะแต่อย่างใด
แต่เราถกเถียงกันเนื่องจากความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน
เราถกเถียงกันโดยไม่ดูว่าอีกฝ่ายแย้งเหตุผลมาอย่างไร
เราไม่อ่านเหตุผลของอีกฝ่าย หรือ อ่านก็ไม่พยายามทำความเข้าใจ
จริงๆ ถ้าเราจะให้เกียรติพี่น้องของเราซักนิด ก็ควรที่จะเผื่อไว้บ้าง
อย่าต่อว่ากันเลย การทำความเข้าใจในทัศนะไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจ
เพราะต่างก็มีอัลกรุอานและฮะดิสเป็นที่ตั้ง ต่างทำเพื่ออัลลอฮฺเช่นกัน
และหากว่าเราเข้าใจแล้วจะเชื่อหรือไม่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง
แล้วแต่พระองค์จะทรงชี้นำและให้หนทางที่เหมาะสมแก่บ่าวของพระองค์

มุสลิมทุกคนผมเชื่อเหลือเกินว่าต้องการความโปรดปรานจากอัลลอฮฺทั้งนั้น
ไม่ว่าจะยากดีมีจน ไม่ว่าจะเป็นใครๆ ก็ไม่อยากตกนรก
ดังนั้นในวันนี้ทุกคนมีความคิดที่ดีทั้งนั้น ขาดแต่ทิฐิที่ไม่ยอมลดละให้กัน

สิ่งที่เรากำลังเป็นกันอยู่ในสังคมทุกวันนี้ มันไม่ใช่การถกเถียง
แต่มันคือการเถียงโดยที่ไม่ได้ถก และมันก็ยังใส่สระอูเข้าไปด้วย
จนกลายเป็นการ "ถูกเถียง" แทน
เมื่อการถกเพื่อแก้ประเด็นปัญหา กลายเป็น ถูกเถียงไป
ไฉนเลยจะพบกับทางออก และความรักต่อพี่น้องเล่า...

ขออัลลอฮฺทรงให้เราได้ห่างไกลจากสิ่งที่ไม่ดีเหล่านี้ด้วยเถิด
อามีน...

ปล. เรื่องที่จะบรรยายหลังอีดอัดฮาจัดแน่ เตรียมใจรอได้เลยครับ
อินชาอัลลอฮฺ...



อ่านจากในเฟส
http://goo.gl/tzXi99

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
ตอนที่ 2 วันอะเราะฟะมีเหมือนกันทั่วโลก
อ่านไม่จบห้ามกดไลค์ กดแชร์ และ ห้ามถาม !!!

ขออนุญาตอีกครั้งจริงๆ พี่น้อง ผมร้อนใจ
เพราะเวลาเราอธิบาย พี่น้องไม่อ่าน ไม่รับฟัง หรือก็ไม่เข้าใจ
หรือ อ่านๆ ผ่านๆ แล้วจับมาเป็นประเด็น ถูกเถียงแทนก็มิทราบได้

ผมขออาสาชี้แจงความถูกต้อง อนึ่งมิได้ต้องการสร้างฟิตนะแต่อย่างใด
แต่หากต้องการลดฟิตนะในสังคม โดยสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง
อินชาอัลลอฮฺ ! เรามาทำความเข้าใจร่วมกันครับ

จากรูปขออธิบาย เป็นประเด็นความเข้าใจ ดังนี้ ( อ้างอิงจากตัวเลขในรูป )

0. เป็นหลักฐานที่ถูกต้อง ไม่มีปัญหา

1. ในบรรดาทัศนะการเข้าวันอีดอัดฮาในอิสลาม มีทัศนะอยู่ 3 ทัศนะ คือ
1.1 เข้าโดยการดูฮิลาลเอง และเอาวันที่ 10 ซุลหิจญะ เป็นวันอีด
1.2 เข้าโดยการรอวันอะเราะฟะ ณ ทุ่งอะเราะฟาต และวันต่อไปเป็นวันอีด
1.3 เข้าตามเส้นแบ่งเขตมัฏละ แล้วเอาเป็นวันอีดตามที่อื่น

ดังนั้นการจะยอมรับหรือไม่ยอมรับทัศนะไม่ใช่เรื่องผิด ไม่ใช่เรื่องบิดอะ
การยอมรับความแตกต่างของทัศนะอุลามะเป็นมารยาทของผู้ไม่รู้อย่างเรา
เพราะอุลามะนั้นต่างทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ เพื่ออัลลอฮฺทั้งสิ้น

แต่ประเด็นสำคัญของมันอยู่ที่ว่า วันนี้หากเราอีดวันที่ 5 ตุลาคม 2557
เรานั้นก็มิได้ไม่ยอมรับเดือน ณ ทุ่งอะเราะฟาตเลย
ซึ่งในรูปผู้เขียนนั้น ได้อ้างถึงความเข้าใจของตนเอง
แต่น่าเสียดายกลับเป็นความเข้าใจผิดของเขา ซึ่งผมจะขอชี้แจงดังต่อไปนี้

2. คำว่าไม่น่าจะถูกต้อง หากมองผิวเผินเหมือนให้เกียรติ
แต่ทว่า การเขียนเช่นนี้จะลดทอนความน่าเชื่อถือลง
ซึ่งที่จริงน่าจะมาจากความไม่มั่นใจอีกส่วนนึง และหากผู้เขียนไม่มั่นใจนัก
ก็มิควรจะฟันธงลงไป 3 ข้อ ( สิ่งที่ฟันธงจากผู้เขียน คือ )
2.1 ไม่ควรจะอ้างว่า ทัศนะตนเองถูกต้องฝ่ายเดียว และผู้อื่นไม่ถูกต้อง
2.2 ไม่ควรจะอ้างว่า ผู้อื่นไม่ยอมรับเดือน ณ ทุ่งอะเราะฟาต
2.3 ไม่ควรจะเสนอแนะให้ผู้อื่นออกอีดอัดฮา ตามตนเอง

3. ผู้เขียนได้กล่าวว่า จากที่ได้อ่านบางข้อความ
ดังนั้นรับประกันได้ระดับนึงว่า ผู้เขียนมิได้ค้นหาความรู้ด้านฟะลักให้เพียงพอ
อีกทั้งน่าจะรับประกันได้ว่า ผู้เขียน มิได้เข้ามาคุยกับผม หรือผู้รู้ด้านนี้จริงๆ

4. การกล่าวว่า วันวุกุฟได้จบสิ้น เป็นสิ่งที่เข้าใจผิด
ในเมื่อผู้เขียนในรูปอ้างว่า เรานำหน้าซาอุ 4 ชั่วโมง
และก็สามารถตามหลังได้ 20 ชั่วโมง ( ข้อ 5 )
แต่ผู้เขียนกลับไม่เข้าใจว่า 1 วันนั้นมี 24 ชั่วโมง และ โลกนั้นกลม

ก่อนอื่นเราลองมาทวนกันใหม่ว่า เกี่ยวกับเวลาเข้าวันใหม่
* เสริม * ในโลกมีเวลาเข้าวันใหม่ 4 รูปแบบ ได้แก่
1) เข้าเที่ยงวัน
2) เข้าเที่ยงคืน
3) เข้าเมื่อดวงอาทิตย์ตก ( อิสลาม )
4) เข้าเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น
* จบ *

จากการที่อิสลามได้เริ่มวันใหม่ในเวลามักริบนั้น
สำหรับรูปที่ผู้เขียนอธิบายถือว่าไม่ถูกต้อง ผู้อ่านลองอ่านทำความเข้าใจ
การถือศีลอดในวันที่ 4 ตุลาคม ( 9 ซุลหิจญะ ) [ เริ่มถือศีลอดตอนซุบฮฺ ตี 5 ]
ในขณะที่ซาอุฯเป็นวันที่ 4 ตุลาคม ( 10 ซุลหิจญะ ) เวลาตี 1

และผมคิดว่าผู้เขียนคงเข้าใจตามข้อความด้านบน ซึ่งยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์
ถามว่า อิสลามเริ่มวันเวลา มักริบ มิใช่หรือ ?
ดังนั้นการที่ประเทศไทยเข้าวันเพื่อถือศีลอดจริงๆ แล้ว
จะต้องเป็นวันที่ 3 ตุลาคมหรือวันที่ 9 ซุลหิจญะ เวลา 18.09 น. ต่างหาก
ซึ่งขณะนั้น ซาอุฯยังเป็นวันที่ 3 ตุลาคมหรือวันที่ 9 ซุลหิจญะ เวลา 14.09 น.

เมื่อมองออกมาเช่นนี้แล้ว จะถือว่าเป็นคนละวันกันได้อย่างไร ?
ดังนั้นการอธิบายที่ว่าเป็นคนละวันจึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
และควรจะเขียนแทนว่า "การวุกุฟได้จบสิ้นแล้ว" ต่างหาก !

หากกล่าวว่าก็เหมือนกัน เพราะไม่มีวุกูฟ นั้นก็ไม่ถูกต้องอีกนั่นแหละ
เพราะฮะดิสได้กล่าวว่า
"และวันอะเราะฟะคือวันที่พวกเจ้าต่างชุมนุมกัน ณ ทุ่งอะเราะฟาต"
การที่ท่านนบีกล่าวถึงวันอะเราะฟะ มิใช่การทำวุกุฟ แต่อย่างใด
นั่นหมายถึงการเน้นหนักเรื่องวันที่ถูกต้อง มากกว่าการปฏิบัติของมัน

หากเราจะกล่าวว่า ต้องเน้นการกระทำ
เราก็ต้องถือศีลอดในวันที่หุจญาจ อยู่ ณ ทุ่งอะเราะฟาต
เมื่อพวกเขานั้นจากไป การถือศีลอดของเราก็ยุติกระนั้นหรือ ?
มิใช่หรอก เพราะการถือศีลอดนั้นมีตลอดวันตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนตก
และวันนั้นทั้งวัน 24 ชั่วโมง จึงเป็นวันถือศีลอด
เฉกเช่นเรากล่าวว่า เดือนรอมฎอน เป็น เดือนแห่งการถือศีลอด
ก็มิได้หมายความว่า เราต้องถือศีลอด 24 ชั่วโมง
เป็นเวลาติดต่อกัน 29 วัน หรือ 30 วันแต่อย่างใด

ดังนั้น "วัน" จึงสำคัญมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อการวุกูฟมีขึ้นในช่วงเวลากลางวัน วันทั้งวันนั้น หลังจากนั้นจนมักริบ
ก็คือวันอะเราะฟะ ซึ่งก็เมื่อไทยเราเข้าวันอะเราะฟะเวลา 18.09 น.
ที่ซาอุฯ ก็เป็นเวลา 14.09 น. มิได้หมดวันแต่อย่างใด !

5. ความเข้าใจว่า ไทยตามหลังซาอุฯ อยู่ 20 ชั่วโมงนั้นถูกต้องแล้ว

6. กรณีที่ยกมาว่า มักริบไม่เท่ากันแต่ละจังหวัดดูแล้วไม่เห็นเดือน
และจังหวัดอื่นตามไม่ได้ แสดงว่า "ศึกษามาไม่พอ"

หลักฐานจากอัลกรุอานความว่า
"ดังนั้นผู้ใดในหมูพวกเจ้าเข้าอยู่ในเดือนนั้นแล้ว ก็จงถือศีลอดในเดือนนั้น"
( อัลบะกอเราะ อายะที่ 185 )

ทัศนะอุลามะนั้นมีหลากหลาย
บ้างก็ว่า หมู่พวกเจ้า หมายถึง พี่น้องมุสลิมทั่วโลก
บ้างก็ว่า หมู่พวกเจ้า หมายถึง พี่น้องมุสลิมที่ถูกปกครองผู้ปกครองเดียวกัน
และอื่นๆ อีก หลายทัศนะ

การอธิบายนี้เองได้สร้างทัศนะในการเข้าเดือนใหม่ 2 ทัศนะ ได้แก่
6.1 เข้าเดือนโดยการดูฮิลาลเอง
6.2 เข้าเดือนตามเส้นแบ่งเขตมัฏละ ( ละแวกใกล้เคียงที่รับได้ )

แท้ที่จริงแล้ว ทั้งสองทัศนะต่างยึดเอาทั้งอัลกรุอานและฮะดิสเช่นกัน
ดังนั้นการชี้ขาดในที่นี้จึงต้องไปที่ผู้ปกครองหรือผู้นำที่พวกเขาอาศัยอยู่

ตามหลักฐานอัลกรุอาน ความว่า
"ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด
และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย..." ( อันนิสา อายะที่ 59 )

โดยให้พวกเขายึดเอาคำตัดสินของผู้นำประเทศของพวกเขาหากเป็นมุสลิม
แต่หากเขาไม่เป็นมุสลิมก็ให้ยึดเอาตามองค์กรกลางอิสลามของประเทศ
ที่มีหน้าที่ในการแจ้งเรื่องเข้าเดือนใหม่ เพื่อรักษาความเป็นเอกภาพ

ในเมื่อต่างก็มีหลักฐานรองรับ สำหรับผมไม่ว่าจะทัศนะใดก็ตาม
หากเป็นการเลือกของผู้นำ เราผู้ตามก็ย่อมสมควรตามแน่นอน
เพื่อสร้างเอกภาพให้เกิดขึ้นในหมู่มวลมุสลิมได้เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้อื่น

... ... ... ... ...

สุดท้าย ผมต้องขอมะอัฟด้วยอย่างแรงๆ อีกครั้ง ว่า
ผมนั้นมิได้ต้องการสร้างฟิตนะในสังคม และมิได้ต้องการหักหน้าผู้ทำรูปนี้
เพียงแต่ต้องการลดฟิตนะที่มีในสังคมลงจากความเข้าใจผิด
โดยการให้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนและเป็นความจริงแก่พี่น้อง
ผมมิได้กล่าวว่าผู้เขียนในรูปนี้ไม่ดี จริงๆผมเชื่อเหลือเกินว่าผู้เขียนนี้เป็นคนดี
และมีความบริสุทธิ์ใจที่จะแนะนำตักเตือนพี่น้อง แต่ด้วยความรู้ที่ไม่ถ่องแท้
จึงทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการนำเสนอข้อมูลเท่านั้น

ผมจึงใคร่ขออาสาเป็นผู้ชี้แจงตามที่กล่าวไว้ข้างต้น
ญะซากัลลอฮฺคอยรอ...
ด้วยยอนุมัติของอัลลอฮฺ ขอให้พี่น้องนั้นได้ศึกษาและทำความเข้าใจเถิด
วัลลอฮฺอะลัม...



อ่านจากในเฟส
http://goo.gl/NmUwf8

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
ตอนที่ 3 วันต่อวัน
อ่านไม่จบห้ามกดไลค์ กดแชร์ และ ห้ามถาม !!!
แต่ถ้าอ่านจบแล้วไม่เข้าใจถามได้เต็มที่

ยังมีรูปใหม่มาให้ยลกันอีก...
ก็ต้องจัดกันต่อไป จนกว่าจะหยุดแล้วเลิกว่าผู้อื่น
ด้วยความรัก ผมมิได้ต้องการสร้างฟิตนะใดๆ
แต่แค่ต้องการยุติสิ่งที่พวกท่านกำลังสร้าง
เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เป็นเรื่องที่ไม่สมควรเผยแพร่
จึงมีการอธิบายเกิดขึ้น ... ขอเรียนให้ทราบโดยทั่วกัน

จากฮะดิส ความว่า
จากท่านอุรฺวะฮฺ บิน มุฎ็อรฺริส เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า
ท่านได้ทันพบท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
ณ มุซดะลิฟะฮฺขณะออกไปละหมาดฟัจญร์
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวแก่เขาว่า
“ผู้ใดร่วมละหมาดกับเราซึ่งละหมาดครั้งนี้ และได้ทำการวุกูฟพร้อมกับเรา
กระทั่งเราเคลื่อนตัวออก โดยที่เขาได้ทำการวุกูฟ ณ ทุ่งอะเราะฟะฮฺ
ก่อนหน้านั้นในเวลากลางคืนหรือกลางวัน
ก็เท่ากับว่าเขาได้ประกอบพิธีหัจญ์เรียบร้อยแล้ว
และได้เสร็จสิ้นภารกิจของเขา”
(บันทึกโดย อบูดาวุด : 1950 และอัตตัรมิซีย์ : 891)

แสดงว่า ช่วงเวลาของการวุกุฟจริงๆ คือ
เวลาละหมาดดุฮฺริ ถึง มักริบ (หมดอัสริ)
หรือเวลาประมาณ 13.00 น. ถึง 17.00 น. ในตาราง

ประเด็นวิจารณ์มีดังนี้
1. เราเอาตามการอ้างความสัมพันธ์ ว่า
...ช่วงถือศีลอดต้องคาบเกี่ยวกับช่วงการวุกูฟ
2. เราเอาตามการอ้างความสัมพันธ์ ว่า
...ช่วงถือศีลอดต้องคาบเกี่ยวกับวันอะรอฟะ
3. เราเอาตามการอ้างความสัมพันธ์ ว่า
...วันถือศีลอดต้องคาบเกี่ยวกับวันอะรอฟะ

ประเด็นที่ 1
ถ้าเราเอาตามการอ้างความสัมพันธ์
ช่วงถือศีลอดต้องคาบเกี่ยวกับช่วงการวุกูฟ
ตารางตามรูปนี้ก็ผิดเต็มๆ เพราะว่าการวุกูฟ มีช่วงเวลาคือ 13.00 น.-18.00 น.
เช่นนั้นแล้วมันก็ต้องเอาเส้นที่ทำก่อน บ่ายโมง ของซาอุฯ ออกไปด้วย
ซึ่งจะได้ใหม่ดังนี้คือ
หากเราเอาวันอะเราะฟะ วันที่ 3 ตุลาคมในไทยเทียบกับซาอุฯ จะได้ว่า
จะมีเวลา วุกูฟ ณ ทุ่งอะเราะฟาตคาบเกี่ยวกับการถือศีลอด คือ 1 ชั่วโมง !!!
( ตามกรอบที่เขียนให้ใหม่ )

ดังนั้นเรากลับมาย้อนดูฮะดิสสิว่า มีฮะดิสบทไหนไหม ที่อ้างเรื่องช่วงเวลา
มีแต่อ้างเรื่องของวัน เช่น วันอีด,วันถือศีลอด,วันที่ 29 และ วันที่ 30 เป็นต้น
การถือศีลอด นับเป็นวัน มิได้นับเฉพาะช่วงเวลา
เพราะมันจะทำให้เกิดเรื่องสับสนวุ่นวาย
อันจะอธิบายต่อไปนี้

1.1 เพราะหากเอาตามแค่ช่วงเวลาที่เกี่ยวกัน เวลาถือศีลอดจริงๆ ก็แค่ชั่วโมง
1.2 หากเอากันอย่างจริงๆ จังๆ เฉพาะในปลายปีสากลเท่านั้นที่กลางคืนนาน
เวลาคาบเกี่ยวจริง ที่อ้าง จะลดเหลือไม่ถึง 40 นาที !!
แล้วหากคำนึงถึงประเทศอื่นๆ ที่เวลาก่อนเราอีก 1 ชั่วโมง
อย่างฟิลิปปินส์,อินโดฯ มันก็หมดเวลาไปแล้วล่ะ
หรือกับแค่จังหวัดของไทยซีกตะวันออกก็เหลือแค่ 30 นาทีแล้ว

ยังไม่หมดนะ ถ้าเป็นประเทศที่ตรงข้ามกับซาอุฯ ล่ะ จะทำอย่างไร ???
1 วันรอบโลกคือ 24 ชั่วโมง ตรงข้ามกันของซีกโลกก็ต้องห่างกัน 12 ชั่วโมง
แล้วจะเอาเวลาไหนไปถือศีลอดให้ตรงช่วงเวลากับที่หุจญาจวุกูฟเล่า

ลองคิดดูสิ เมื่อเวลาซาอุฯ ตรงข้ามกับสหรัฐซีกตะวันตก ( อลาสก้า )
ถ้าหุจญาจวุกูฟเวลา 13.00 น. - 18.00 น.
แล้วเวลานี้จะบวชกันอย่างไร ในเมื่อสหรัฐคือ ตี 1 ถึง 6 โมงเช้า
ยิ่งไปกว่านั้น หากเป็นประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีเวลาก่อนซาอุฯ ถึง 6 ชั่วโมงล่ะ
ก็จะกลายเป็นว่า เวลานั้น ที่ญี่ปุ่น มีเวลา 19.00 น. - 24.00 น.
แล้วเช่นนี้เราจะเอาเวลาที่ไหนไปบวช !

1.3 ดังนั้นประเด็นที่อ้างว่า ให้ดูว่ามีช่วงเวลาตรงกันไหม
จึงเป็นประเด็นที่ไม่มีใครเขาเอากันเลย
มันคือทัศนะเฉพาะประเทศไทยเท่านั้นหรือเปล่า
หากเป็นประเทศอินโดฯ มาเลเซีย ญี่ปุ่น ทัศนะนี้ใช้ไม่ได้เลย
เพราะเวลามันไม่ตรงกับช่วงเวลาที่วุกูฟ และเป็นทัศนะที่ผมไม่เคยรู้จัก

ประเด็นที่ 2
ถ้าเราเอาตามการอ้างความสัมพันธ์ว่า
ช่วงถือศีลอดต้องคาบเกี่ยวกับวันอะรอฟะ
การดูช่วงเวลาสลับกับการดูวัน มีหลักฐานจากที่ใดให้ใช้ได้เช่นนี้
ไม่มีที่ใดเขาดูเรื่องเวลาคาบเกี่ยวเป็นรายชั่วโมงแล้วนำมาคาบเกี่ยวกับรายวัน
แต่เขาใช้วันในการเทียบกันกับวันซึ่งเหมือนกัน จากฮะดิสความว่า
"และวันอะเราะฟะคือวันที่พวกเจ้าต่างชุมนุมกัน ณ ทุ่งอะเราะฟาต"
ก็ต้องถามกลับไปว่า ตกลงจะเอาทุ่ง ตกลงจะเอาการวุกูฟ
หรือ ตกลงจะเอาวันกันแน่ จะเอาอะไรก็เอาซักอย่างสิ

2.1 ถ้าเราต้องการนับวันอะเราะฟะเต็มวัน
ในวันที่มีการวุกูฟ วันนี้ก็จะมี 24 ชั่วโมง
2.2 และถ้าเราจะนับว่าการถือศีลอดในหนึ่งวันมี 12-13 ชั่วโมง ( ครึ่งวัน )
ก็จะได้ทัศนะใหม่ว่า
ให้นับการถือศีลอด 1 วัน เท่ากับ ช่วงเวลาตั้งแต่ ซุบฮฺ - มักริบ ( ครึ่งวัน )
มาเกี่ยวกับการวุกูฟ ณ ทุ่งอะเราะฟาต 1 วัน เท่ากับ
ช่วงเวลาตั้งแต่มักริบถึงมักริบของวันใหม่ ( 24 ชั่วโมง )

ทัศนะเช่นนี้ มีที่ใดในโลกเขาทำกันหรือ ?
ว่าอนุญาตให้นับวันอะเราะฟะ เมื่อเหนียตจะไปวุกูฟ ณ ทุ่งอะเราะฟาตได้
แต่ไม่นับวันถือศีลอด แม้จะเหนียตว่าฉันจะถือศีลอดวันนี้ ( ซุบฮฺ - มักริบ )
แล้วนับวันถือศีลอดเพียงช่วงเวลา 12-13 ชั่วโมง

จึงอยากจะถามว่าทัศนะนี้ใช้กับวันที่เราถือศีลอดในรอมฎอนด้วยหรือไม่ ?
เพราะการถือศีลอดฟัรดูต่างจากสุนัต
หากเราเหนียตว่าจะถือศีลอดวันนี้ ก็ต้องเหนียตในตอนกลางคืน
แต่เรากลับนับช่วงถือศีลอดในช่วงซุบฮฺ-มักริบเท่านั้น
แสดงว่า...
แม้เราจะเหนียตว่าจะถือศีลอดในช่วงกลางคืนก็ยังไม่เป็นวันที่เราถือศีลอด
แต่ทำไมวันที่เขาจะมีการวุกูฟ ณ ทุ่งอะเราะฟาต แต่ยังไม่เกิด
กลับนับว่าเป็นวันอะเราะฟะได้ เป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้วจริงหรือ ?

ประเด็นที่ 3
ถ้าเราเอาตามการอ้างความสัมพันธ์ว่า
วันถือศีลอดต้องคาบเกี่ยวกับวันอะรอฟะ
การตามแบบด้านขวา ที่ตามแบบสำนักจุฬา มันก็ไม่เห็นจะมีปัญหาตรงไหน
ยังไง วันก็คาบเกี่ยวกันอยู่แล้ว 4 ชั่วโมง
หรือจะตามแบบประกาศซาอุฯ ( ที่อ้างว่าตามซาอุฯ แต่จริงๆ แล้ว นำหน้า )
มันก็ไม่เห็นจะมีปัญหาตรงไหนเช่นกัน เพราะมันคาบเกี่ยวกันถึง 20 ชั่วโมง

แต่เพราะเวลาไม่มีส่วนที่จะบอกว่าให้ใช้เวลาคาบเกี่ยวที่มากหรือน้อยกว่า
เอามาเป็นทัศนะในการนับวัน ดังนั้นเวลาที่มากกว่าน้อยกว่าจึงไม่นำมาคิด

และเพราะประเด็นที่เรากล่าวคือ เวลาของเราจะนำหน้าซาอุฯ 4 ชั่วโมง
หากเราพิจารณาจริงๆ การนำ 4 ชั่วโมง นี่มิใช่เรื่องตามแต่อย่างใด
เพราะเวลาที่นำหน้าก็คือนำหน้า หาใช่ได้ตามไม่
ในเมื่อการชุมนุมยังไม่เกิดขึ้นจริง
ไฉนเลยจึงกล้าพูดว่าวันที่เราถือศีลอดเป็นวันอะเราะฟะตามซาอุฯ

แท้จริงแล้ว ถ้าเราจะพูดว่า วันอะเราะฟะ คือวันที่กำลังจะมีการวุกูฟ
( ดุฮฺริ - อัสริ ) มันก็ควรจะพูดได้เหมือนกันว่า วันที่เราถือศีลอด
ก็คือวันที่เรากำลังจะมีช่วงเวลาการถือศีลอด ( ซุบฮฺ - มักริบ )

ตัวอย่างที่เข้าใจง่ายก็คือ
หากวันนี้เรารถชน เราก็จะบอกกับเพื่อนว่า วันนี้ฉันรถชน
คำว่า วันนี้ฉันรถชน มิได้หมายถึง เราขับรถชนตลอด 24 ชั่วโมงแต่อย่างใด
เฉกเช่นวันอะเราะฟะ มีการวุกูฟ ณ ทุ่งอะเราะฟาต แค่ครึ่งวัน
และก็เฉกเช่นวันถือศีลอด ก็มีการถือศีลอดในเวลากลางวัน
ก็ถือว่า เป็นวันอะเราะฟะ และ วันถือศีลอด ด้วยกันทั้งนั้น

... ... ... ... ... ... ... ...

สรุปแล้วนั้น การที่เราได้นับวันอะเราะฟะ ให้สัมพันธ์กับ วันที่เราถือศีลอด
วัน เทียบกับ วัน เช่นนี้ ก็ถือว่าจบสิ้น ไร้ความวุ่นวาย ไร้ข้อกังขา และยุติธรรม
มิใช่ทำได้แค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่มันสามารถใช้กันได้ทุกประเทศ
ไม่ว่าจะต่างกันกี่ชั่วโมงก็ตาม และมันก็ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่อ้างว่า
ช่วงเวลาถือศีลอดต้องตรงกับวันอะเราะฟะเลย

ด้วยความเคารพรัก และ ห่วงใย
วัลลอฮฺอะลัม...

การดูฮิลาล การเข้าวันที่ 1 การที่เดือนมี 29 หรือ 30 วันนั้น
มิใช่เป็นเรื่องของความบังเอิญ มิใช่เป็นแค่เรื่องของการทำอิบาดะโดยตรง
แต่มันคือเรื่องของการแสดงถึงพลังอำนาจ
การแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ ความเมตตา
และความยุติธรรมของพระองค์อย่างหาที่สุดมิได้

ขอให้พี่น้องศึกษา,เปิดใจกว้าง และทำความเข้าใจดูเถิด
หากท่านเข้าใจแล้ว จะไม่เชื่อหรือไม่ยึดถือตาม ก็มิได้เป็นปัญหาอันใด

สุดท้าย ถึงแม้ว่าทัศนะจะมีหลากหลายให้ยึดถือ
แต่การตามผู้นำของเราเพื่อสร้างเอกภาพในหมู่มุสลิมก็ย่อมเป็นที่สมควรยิ่ง

ขอให้พระองค์ทรงประทานความโปรดปรานและความเมตตามายังเรา
อามีน...



อ่านจากในเฟส
http://goo.gl/K0UBAb

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
ตอนที่ 4 นี้คือแผนที่โลกใหม่
อ่านไม่จบห้ามกดไลค์ กดแชร์ และ ห้ามถาม !!!

ที่เห็นอยู่นี้คือเส้นแบ่งเขตวันตามหลักอิสลามในเดือนซุลหิจญะปีนี้
ขีดเส้นแบ่งเขตวันตามผู้ที่เข้าเดือนก่อน เพราะว่า...
วันนี้เรายกให้ซาอุฯ เป็นผู้นำเข้าเดือน และ กำหนดวันอะเราะฟะ

ดูจากแผนที่แล้วน่าที่จะเข้าใจว่า
ประเทศไทยนั้นห่างจากซาอุฯ 20 ชั่วโมงจริงๆ

วันในอิสลามนั้นกลางคืนจะมาก่อนกลางวัน ซึ่งคือเวลา มักริบ
แล้วเมื่อโลกหมุนเข้าเวลาซุบฮฺ ก็จะสว่างมาเรื่อยๆ ถัดไปทางซ้ายมือ

เพราะโลกมันกลม ถ้าเราให้ซาอุฯ เข้าก่อน
วันแรกของเดือนซุลหิจญะจะนับที่ซาอุฯ เป็นประเทศแรก
แผนที่โลกจะต้องเป็นแบบนี้
( ซาอุฯ จะเป็นประเทศแรกของซีกโลกตะวันออก )

ในรูปแบบนี้วันจะเป็นวันเดียวกันหมด
และเวลากลางคืนที่ซาอุฯ จะมาก่อนทุกประเทศในโลก
เนื่องจากในอิสลามกลางคืนมาก่อนกลางวัน มันก็จะไล่กันไปเลย
แต่เพราะชาติตะวันตก มันไปทำเส้นแบ่งเขตวันเมื่อ 110 ปีก่อน
เราก็เลยหลงคิดว่ามันตามกันไม่ได้ ด้วยความเคารพ
จริงๆ เขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะหลอกอะไรเราหรอกนะ
เพียงแต่เรามันไม่เข้าใจ แล้วไม่ยอมศึกษา อ้างว่ายุ่งยาก วุ่นวาย
ที่เขาแบ่งแบบนั้นเพราะส่วนตรงนั้นคนอาศัยน้อยมันจะได้ไม่สับสน
เดี๋ยวเดินข้ามแยกถนนกลายเป็นคนละวัน งงกันพอดี

แต่ในอิสลามมีวิธียอดกว่ามนุษย์คิดไว้เยอะ
คือการกำหนดเส้นแบ่งเขตวัน ปรับเปลี่ยนได้ ตามการเห็นฮิลาล
ซึ่งหมายถึง การเข้าวันที่ 1 ของเดือนใหม่นั่นเอง

บางคนบอกทำไมไม่นับวันออกซ้ายขวาไปล่ะ ให้ซาอุฯ อยู่ตรงกลาง
ผมอธิบายว่าแบบนี้นะ โลกมันกลม แล้วมันก็หมุนทิศทางเดียวตลอด
โลกไม่เคยหมุนกลับข้างไปมา มันหมุนรอบตัวเองเหมือนเดิมทุกวัน

หากเราเดินทางด้วยเครื่องบิน ความเร็ว 1,000 ก.ม./ช.ม.
เราจะบินไปทางซ้าย(ซีกตะวันตก) ได้ระยะไกลกว่าไปทางขวา(ซีกตะวันออก)
ในเวลาที่เท่ากัน เนื่องมาจากโลกหมุนไปทางขวามือเรื่อยๆ (วิ่งสวนทาง)

แต่ในวันนี้เราไม่ได้ใช้เครื่องบิน เราใช้เทคโนโลยีที่เร็วกว่านั้น
เราสามารถคุยและรับรู้ข่าวสารจากต่างถิ่นด้วยความเร็วประมาณ 1 วินาที
การใช้เทคโนโลยีดังกล่าวทำให้โลกหยุดหมุน ดวงจันทร์หยุดโคจรรอบโลก
มันทำให้โลกที่กลม กลายเป็นโลกแบน แล้วก็มาเปิดกางแผนที่โลก
บอกว่า มันเป็นวันเดียวกัน ( โดยให้ซาอุฯ อยู่ตรงกลางแผนที่ )
แล้วมีประเทศญี่ปุ่น เกาหลี ฟิลิปปินส์ อยู่ทางขวา ( ซีกตะวันออก )
มีประเทศสเปน อังกฤษ สหรัฐ อยู่ทางซ้าย ( ซีกตะวันตก )
สุดท้ายสรุปเองว่า ไปทางขวาก็ได้ ซ้ายก็ได้

แต่ถ้าเอาตามรูปแผนที่โลกใหม่ ที่มีซาอุฯ เข้าวันก่อน
ทั่วโลกก็ไม่ต้องงงอะไร แค่รอวันของตนเองมา ก็ได้เข้าวันเหมือนกันแล้ว

สรุป...
จริงๆ ผมไม่ได้จะมาเอาอะไรให้ใครเปลี่ยนใจ
เพราะทัศนะมันยึดตามกันได้หมด ถ้าจะเอาก็มีอุลามะรองรับอยู่แล้ว
แต่ว่าวันนี้ผู้นำเราให้ออกอีดวันที่ 5 ตุลาคม มันก็จบครับ

หลายคนมักพูดว่า ทำไมต้องคำนึงเรื่องวันอะไรด้วย
คำนึงถึงกฎดาราศาสตร์ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์กันวุ่นวาย
วันนี้คงต้องถามตนเองให้มากๆ ว่า ในเรื่องสำคัญเช่นนี้ทำไมเราไม่ศึกษา
และทั้งๆ ที่ตนเองไม่มีความรู้ แล้วทำไมผู้มีความรู้ตักเตือนกลับไม่รับฟัง

แต่ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ
ผมถามกลับว่า แล้วถ้าไม่อยากศึกษาไม่อยากวุ่นวายจริงๆ
ทำไมไม่ตามผู้นำ หรือผู้ที่เขารู้กว่าเราเล่า...
วัลลอฮฺอะลัม...



อ่านจากในเฟส
http://goo.gl/jwKadg

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
ตอนที่ 5
ความผสมผสานของดาราศาสตร์สากลกับดาราศาสตร์อิสลามที่ไม่ลงตัว
อ่านไม่จบห้ามกดไลค์ กดแชร์ และ ห้ามถาม !!!

ด้วยความเคารพอย่างสูง
มีผู้คนแชร์รูปว่า จันทรุปราคาเกิด ในวันที่ 9 ตุลาคมนั้น
คือวันที่ 15 ซุลหิจญะ ( จัทรุปราคา คือ ค่ำ 15 ดวงจันทร์เต็มดวง

*** เกร็ด *** Full Moon คือ เดือนเพ็ญ หรือ จันทร์เต็มดวง )
ดังนั้น 4 ตุลาคม จึงเป็นวันที่ 10 ซุลหิจญะ ( นับกลับไป 5 วัน )

เราขอตอบว่า ถ้าเป็นไปตามดาราศาสตร์สากล ก็คือ "ใช่"
แต่ถ้าตามดาราศาสตร์อิสลาม ก็คือ "ไม่ใช่

เพราะดาราศาสตร์อิสลาม มิได้เข้าเดือนแบบนี้
นิวมูน หรือ จันทร์ดับ มิได้นับเป็นวันที่ 1 ของเดือน

*** เกร็ด *** New Moon ( นิวมูน ) หรือ จันทร์ดับ หรือ เดือนมืด
มีสาเหตุมาจาก ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ โลก ตรงเป็นเส้นตรงเดียวกัน
ทำให้แสงดวงอาทิตย์ถูกโลกบดบังดวงจันทร์จึงไม่สะท้อนแสง

การไม่สะท้อนแสงเช่นนี้จึงเรียกจันทร์ดับ
ในทางอิสลาม จันทร์ดับ ไม่ใช่จันทร์เสี้ยว
หรือไม่ใช่ ฮิลาล ( จันทร์เสี้ยวข้างขึ้น )

เมื่อไม่ใช่ฮิลาล เราจึงไม่นับวันนี้เป็นวันที่ 1 ของเดือนใหม่
แล้ววันที่ 1 ของเราตรงกับ จันทร์ดับได้ไหม ก็อาจจะได้
หากว่าจันทร์ดับเกิดก่อนมักริบ และอายุเสี้ยวของดวงจันทร์
มีอายุที่มากพอที่จะเกิดเสี้ยวหนึ่งสำหรับที่ตามองเห็นได้

อีกประการ การเกิดฮิลาล จะต้องหลังเวลามักริบ
อีกทั้ง ในอิสลาม กลางคืน มาก่อน กลางวัน
ดังนั้นเวลาเราดูฮิลาล จริงๆ จะดูนำหน้า 1 วัน
หมายถึง ถ้าเราบอกว่า 1 ซุลหิจญะ ตรงกับ 25 ตุลาคม
แสดงว่าเราดูในวันที่ 24 ตุลาคม เวลาหลังมักริบ

ทีนี้ผมยกข้อมูลในจังหวัดกรุงเทพ
คือ วันที่ 24 กันยายน เวลาดวงอาทิตย์ตก ( มักริบ )
เป็นเวลา 18.13 น. ดวงจันทร์ตก 18.13 น. เป็นเวลาเดียวกัน
จังหวัดเชียงใหม่
วันที่ 24 กันยายน เวลาดวงอาทิตย์ตก ( มักริบ )
เป็นเวลา 18.19 น. ดวงจันทร์ตก 18.18 น. ดวงจันทร์ตกก่อน

การที่ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์
เราจึงไม่สามารถมองเห็นดวงจันทร์ได้
ดังนั้นวันที่ 1 ซุลหิจญะ จึงจะตรงกับวันที่ 25-26 กันยายน
หรือ 25 กันยายน ตั้งแต่เวลา มักริบ ( 18.12 น. )
จนถึง 26 กันยายน เวลามักริบ ( 18.12 น. )
ที่กรุงเทพมหานคร

จึงเรียนมาเพื่อทราบ
วัลลอฮฺอะลัม...

ปล. จากรูป อธิบายดังนี้
ด้านบนสุด จาก สมาคมดาราศาสตร์ไทย
ตรงกลาง จาก กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ
ล่างสุด จาก โปรแกรม Al-falak
ขวา จาก เว็ปไซต์ อิสลามมิกซ์ฟินเดอร์



อ่านได้จากในเฟส
http://goo.gl/R0mLhx

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
อ่านหมด อ่านจบ แล้วค่ะ...

แต่ยังเข้าใจไม่กระจ่างนัก คงต้องอ่านหลายๆรอบ...
เพราะไม่เคยเรียนเรื่องดาราศาสตร์อิสลามมาก่อน
เรียนแต่ดาราศาสตร์ทั่วไปตามแบบโลกตะวันตกเขามา...
และก็ไม่ได้รู้ลึกเสียด้วย...

จึงอยากให้เจ้าของกระทู้สรุปแบบสั้นๆเกี่ยวกับเหตุผล
ที่เราคนไทยถึงได้เถียงกันใน หัวข้อวันออกอีดฮัฏฮาปีนี้ได้มั้ยคะ...
จะได้กระจ่างชัดลงไปว่า ทำไมผู้นำของเราในเมืองไทย
ถึงได้มีมติให้เราคนไทยออกอีดในวันที่ 5 ที่ผ่านมา
ไม่ใช่วันที่ 4 อย่างที่หลายๆคนอยากจะออกกัน...

เพราะเชื่อว่า ยังมีมนุษย์อีกมากมายที่ไม่ชอบการอ่านอะไรเยอะๆยาวๆ
หรือเรียกสั้นๆว่า ขี้เกียจอ่าน มันก็เลยอาจกลายเป็นประเด็นให้ต้องเถียงกัน
เช้ายันดึกอยู่ร่ำไป สุดท้ายก็ไม่เข้าใจกันอยู่ดี...

เพราะการจะทำความเข้าใจอะไรได้ก่อนนั้น
เราต้องฟังให้เข้าใจหรืออ่านให้เข้าใจเป็นอันดับแรก

เมื่อเราทำการวิเคราะห์เสร็จ มีคำถามก็ถามไป สงสัยอะไรก็ถามไป
เมื่อมีบางอย่างที่เรารู้สึกได้ถึงความขัดแย้งกับสิ่งที่เรารู้หรือเข้าใจมาก่อนหน้านั้น
เราก็เปิดประเด็กถกกันต่อ...เอาให้จบกระบวนการ...
ไม่หนีไม่ชักดาบมาห้ำหั่นกันเองให้เลือดสาด...
แล้วลงเอยด้วยคำว่า ขอบคุณ ขอโทษ แล้วพบกันใหม่...


หากเราทุกคนยึดมั่นอยู่บนหลักการดังกล่าวข้างต้นนั้น
เชื่อว่า การเถียงกันอย่างไร้ประโยชน์คงลดน้อยลง...
ความเข้าใจก็จะมีมากขึ้น...

รอบนี้เคาะแป้นพิมพ์เพื่อบอกเจ้าของกระทู้ว่า...
ดีใจที่ท่านมาให้ความรู้ และขอบคุณมากๆค่ะ

ขออัลลอฮฺทรงตอบแทนการงานของท่าน


หากอ่านแล้วหลายๆรอบ จนพอจะเข้าใจได้
อาจมีคำถาม และอาจจะกลับมาเคาะแป้นถามในนี้อีกรอบค่ะ...

ปล.ทุกวันนี้ เรามุสลิมโดนทำร้ายมิใช่น้อย และข้าน้อยก็เริ่มเห็นเงาดำ
ของภัยคุกคามลูกหลานมุสลิมเราย่างกรายเข้ามาจนจะหมดสภาพอยู่แล้ว
หากเรายังคงตั้งหน้าตั้งตาเถียงกันไม่เลิก...แล้วเราจะเอาเวลาที่ไหน
ไปดูแลใส่ใจลูกหลานของเราที่ตอนนี้เอาแต่จ้องอยู่แต่จอโทรศัพท์
ราวกับขาดมันไม่ได้ ไปไหนมาไหนก็ต้องมีมัน นึกถึงมันอยู่ตลอดเวลา
เอาแต่ก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความบนโทรศัพท์
ไม่เว้นแม้กระทั่งตอนที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่กับสามีตัวเอง
เอาแต่โพสต์รูปโชว์ เอาแต่อวดกายอวดโฉม อวดแฟน
อวดความมั่งมี ทิ้งการศึกษาศาสนา ทิ้งการศึกษาเรื่องวิชาทำมาหากิน...
หันไปเอาดีเอาเด่นเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง...
เสพยาเสพติดราวกับเป็นขนมหวาน เมาก็อาละวาด
ไม่ได้ดั่งใจก็ไปชกต่อยกันจนเข้าไปนอนนับลูกกรงอยู่ในคุก

พอเถียงไม่ชนะก็พาลเกเรเสียดื้อๆ...หาความเป็นอารยชนแทบไม่ได้...
วันๆมุ่งแต่เรื่องของวัตถุ...หมกมุ่นอยู่กับวงจรของดอกเบี้ย
หากินบนความทุกข์ยากและคราบน้ำตาของคนอื่น...

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นภัยคุกคามที่จะพรากจิตวิญญาณของลูกหลานมุสลิมเรา
แม้เราจะไม่อาจยับยั้งคำทำนายถึงวันสิ้นโลกได้
แต่เราก็ยังสามารถตักเตือนลูกหลานของเราได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด
อะไรคือภัยคุกคามสำหรับพวกเขา...และอะไรที่เขาต้องระวังเป็นพิเศษ


สำหรับข้าน้อยนะ เรื่องวันอีดจะวันไหน ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย
เพราะยังไงก็คงจะตามผู้นำอยู่ดี ตอนอยู่ญี่ปุ่นก็ออกอีดตามที่ผู้นำศาสนา
ในญ่ีปุ่นประกาศ เมื่อกลับมาอยู่เมืองไทยก็ทำตามผู้นำศาสนาในเมืองไทยประกาศ
หากผู้นำผิดพลาด แน่นอน ผู้นำเรารับไปเต็มๆ...

ก็เพราะถ้าไม่ตามผู้นำ เราจะละหมาดพร้อมกันได้อย่างไร...
ถ้าเราไม่ตามอีหม่ามของเรา...แล้วเราจะละหมาดตามใคร...
ในเมื่อละหมาดอีดเป็นละหมาดรวม...

หรือเราจะไปรวมตัวกันที่มัสยิดแล้วเถียงกันว่าจะเอายังไง
จะละหมาดตามใคร...จะละหมาดวันไหน เวลาไหนกันดี...

ก็แล้วเรามีอีหม่ามหรือผู้นำไว้ทำไม ถ้าไม่มีไว้ให้ตาม...
ถ้าอีหม่ามหรือผู้นำของเราไม่มีอำนาจในการตัดสินใจอะไรสักอย่าง
เราก็หาคนอื่นมาเป็นแทน...
แต่ถ้าเขายังคงมีอำนาจในตัดสินใจอยู่ อะไรที่เขาตัดสินใจมา เราก็ทำตามไป...

รอให้อีหม่ามของเราไม่มีความรู้เรื่องศาสนาก่อนเถอะค่ะ
ถึงวันนั้น เราค่อยรอวันกิยามัตไปด้วยกัน...

แต่วันนี้ยังค่ะ อีหม่ามหรือผู้นำของเรายังรู้
และเป็นผู้รู้มากกว่าเราอยู่...

บางครั้งเราก็ต้องหัดยอมรับว่า เราไม่รู้
ดีกว่าบอกว่ารู้และเถียงออกไปทั้งๆที่ไม่รู้


เรื่องบางเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต เราก็ทำให้ใหญ่โตได้
แต่เรื่องบางอย่างที่เป็นภัยคุกคามขนานแท้ ทำไมเรายังนิ่งเฉยกันอยู่ได้

ถ้าการทำให้เด็กคนนึงรู้จักรักอัลลอฮฺ รักนบี เชื่ออัลลอฮฺ เชื่อนบี
ทำตามอัลลอฮฺ ทำตามนบี มันเป็นเรื่องเล็ก
แล้วในโลกนี้ จะมีอะไรใหญ่อีก...

ในเมื่อเรื่องใหญ่ที่เรามองข้ามกลายเป็นเรื่องเล็กไปแล้วแบบนี้...


ส่วนตัวนะ...
ทุกวันนี้ กำลังหมดค่ากลายเป็นเพียงแพะตัวนึง กลายเป็นคนแปลกหน้า
ที่คนในสังคมไม่อยากรับเข้ากลุ่ม เพราะเรามันผิดเพี้ยนไปจากพวกเขา

จากการที่เคยมีคนยอมรับกลับไม่ยอมรับ...
เพียงแค่เราขอยืนหยัดอยู่บนหนทางของอัลลอฮฺ
เราขอเพียงแค่นั้น...แต่พวกเขาไม่ตอบรับซ้ำยังต่อต้านการกระทำของเรา
ไม่อยากคบหา ไม่อยากใส่ใจ...ความสามารถที่เคยมีเขาก็ไม่คิดจะมองมา
ท่านว่ามุสลิมคนนึงจะเจ็บปวดแค่ไหน
กับการต่อต้านที่พวกเขาที่ปฏิเสธศรัทธามีมาอย่างต่อเนื่อง

เกือบหกปีที่ญี่ปุ่นเจอมาอย่างไร ทุกวันนี้ในกรุงเทพฯ
ในสังคมของการทำงานก็ยังเจออยู่อย่างไม่หยุดยั้ง...

หากไม่คิดว่านี่คือ การต่อสู้บนหนทางของอัลลอฮฺแล้ว
ก็คงสิ้นหวังไปเสียตั้งนาน...

ดังนั้น...อยากให้พี่น้องเราเลิกทะเลาะกันแล้วหันมาต่อสู้
กับสิ่งที่มองไม่เห็นตัว แต่มีอานุภาพรุนแรงอย่างสมุนชัยตอนกันเถิด
ไม่ต้องรอดูดัดญาญอะไรหรอก ตอนนี้มันมาอยู่ต่อหน้าเราแล้ว
ดัดญาญที่ไม่มีสัญลักษณ์น่ะมันน่ากลัวกว่าดัดญาณที่มีสัญลักษณ์มากนะคะ


ถ้าวันนี้ เวลานี้
มีสิ่งที่ทำให้ท่านไม่สามารถดำรงละหมาดเพื่ออัลลอฮฺได้
จงพิจารณาเถิดว่าอะไรคือภัยคุกคาม...
เมื่อรู้แล้วจงสู้กับมันอย่างเข้มแข็งและอดทน...

จงเตรียมกายและใจให้พร้อมที่จะเจอกับความยากลำบาก
และการต่อต้านในทุกรูปแบบที่จะมีมาอย่างไม่หยุดยั้ง...

แล้วค่อยไปรอเอาความสุขนิรันดร์ในโลกหน้า...อินชาอัลลอฮฺ

เพราะความสุขในโลกนี้ไม่ได้มีค่ามากพอสำหรับมุอฺมินหรอกค่ะ



วัสลามค่ะ

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)