ผู้เขียน หัวข้อ: กุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 3 สูเราะฮฺ อาละอิมรอน  (อ่าน 13709 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

 :salam:

คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺ อาละอิมรอน - (آل عمران) - วงศ์วานของอิมรอน

เป็นสูเราะฮฺมะดะนียะฮฺ มี 200 อายะฮฺ

บทนำ (R3.)
   ชื่อ : ซูเราะฮฺนี้ชื่อมาจากอายะฮฺที่ 33 คำว่า “อาลิอิมรอน” เป็นเพียงชื่อที่ถูกนำมาใช้แยกซูเราะฮฺนี้ให้แตกต่างไปจากซูเราะฮฺอื่นและมิได้หมายความว่าในซูเราะฮฺนี้จะพูดถึงครอบครัวของอิมรอน
ระยะเวลาของการประทานวะฮีย์ : ซูเราะฮฺนี้แบ่งเป็น 4 ช่วงด้วยกัน:-
ช่วงที่ 1 (อายะฮฺ 1-32) ถูกประทานลงมาหลังจากสงครามบัดรฺ
ช่วงที่ 2 (อายะฮฺ 33-63) ถูกประทานลงใสฝนฮิจญ์เราะฮฺศักราชที่ 9 ในตอนที่พวกตัวแทนของชาวคริสตเตียนแห่งนัจญรอนมาเยี่ยมเยียน
ช่วงที่ 3 (อายะฮฺ 64-120) ถูกประทานลงมาทันทีหลังจากช่วงที่ 1
ช่วงที่ 4 (อายะฮฺ 121-200) ถูกประทานลงมาหลังจากสงครามอุฮุด
เนื้อเรื่อง : ถึงแม้ว่าอายะฮฺทั้งหมดในซูเราะฮฺนี้ได้ถูกประทานลงมาในช่วงเวลาและโอกาสต่าง ๆ กัน แต่อายะฮฺทั้งหมดก็สัมพันธ์โยงใยกันในเรื่องเป้าหมาย วัตถุประสงค์และแกนของเรื่องจนทั้งหมดต่อเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน ซูเราะฮฺนี้ถูกกล่าวโดยเฉพาะกับคน 2 กลุ่ม คือ ชาวคัมภีร์ (ยิวและคริสเตียน) และบรรดาสาวกของท่านนบีมุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน)
เนื้อหาสาระของซุเราะฮฺนี้ได้พาดพิงไปถึงพวกยิวและคริสเตียนต่อเนื่องมาจากซูเราะฮฺ อัล-บะกอเราะฮฺ ซึ่งในซูเราะฮฺดังกล่าว คน 2 พวกนี้ได้ถูกกล่าวเตือนให้รู้ถึงความเชื่อที่ผิดพลาดและศีลธรรมอันตกต่ำของพวกเขาและได้ถูกแนะนำให้ยอมรับสัจธรรมแห่งกุรอานเป็นสิ่งเยียวยารักษา คน 2 พวกนี้ได้ถูกบอกว่า ท่านนบีมุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) ได้สอนวิถีแห่งชีวิตที่ถูกต้องอย่างเดียวกับที่บรรดานบีของพวกเขาเคยสอน และวิถีทางนี้เท่านั้นที่เป็นวิถีทางที่ถูกต้อง นั่นคือวิถีทางของอัลลอฮฺ ดังนั้น การเบี่ยงเบนออกไปจากวิถีทางดังกล่าวจึงเป็นการผิด แม้แต่บันทึกคัมภีร์ของพวกเขาเองก็กล่าวเช่นนั้น
คนกลุ่มที่ 2 คือมุสลิมผู้ถูกประกาศว่าเป็นประชาชาติที่ดีที่สุดในซูเราะฮฺ อัลบะกอเราะฮฺ และได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้ถือคบเพลิงแห่งสัจธรรมและรับผิดชอบในการปฏิรูปโลก ก็ได้รับคำสั่งเพิ่มเติมต่อเนื่องมาจากที่ได้รับมาในซูเราะฮฺก่อนหน้านี้ บรรดามุสลิมได้ถูกเตือนให้ศึกษาความตกต่ำทางด้านศีลธรรมและศาสนาของประชาชาติก่อน ๆ ไว้เป็นบทเรียนและมิให้เดินตามรอยเท้าของคนพวกนั้น  พร้อมกันนี้คำสั่งเกี่ยวกับงานปฏิรูปที่พวกเขาจะต้องทำก็ได้ถูกประทานลงมาด้วย  นอกจากนี้แล้ว บรรดามุสลิมยังถูกสอนถึงการปฏิบัติต่อชาวคัมภีร์และพวกมุนาฟิก (พวกตลบตะแลง) ที่คอยสร้างอุปสรรคต่าง  ๆ ขัดขวางแนวทางของอัลลอฮฺ  เหนืออื่นใด พวกเขาได้ถูกเตือนให้ป้องกันตัวเองจากความอ่อนแอที่เกิดขึ้นในสงครามอุฮุด
ภูมิหลัง : ภมิหลังของซูเราะฮฺนี้ก็คือ
(1)   บรรดาผู้ศรัทธาได้พบกับการทดสอบและความยากลำบากทุกชนิดเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาได้ถูกเตือนไว้เป็นการล่วงหน้าแล้วในซูเราะฮฺ อัล-บะกอเราะฮฺ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้รับชัยชนะในสงครามบัดรฺ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังไม่พ้นอันตราย เพราะชัยชนะของพวกเขาได้ทำให้พวกที่มีอำนาจในอารเบียเคียดแค้นชิงชังและต่อต้านอิสลามมากขึ้น ไม่นานสัญญาณแห่งการข่มขู่คุกคามได้ปรากฏขึ้นรอบด้านจนทำให้มุสลิมเกินความกังวลและหวาดกลัว ในเวลานั้น มันดูเหมือนกับว่า โลกอารเบียทั้งหมดรอบรัฐเล็ก ๆ แห่งมะดีนะฮฺกำลังจะกลืนกินรัฐแห่งนี้ให้หมดสิ้นไป เค้าแห่งสงครามได้สร้างความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจของมะดีนะฮฺมากขึ้นไปอีกหลังจากได้รับความกระทบกระเทือนมาก่อนหน้านี้แล้วเพราะการอพยพของชาวมุสลิมจากมักกะฮฺ
(2)   หลังจากนั้นก็มีปัญหาวุ่นวายของชาวยิว 2 เผ่าที่อาศัยอยู่ในชนบทรอบนอกของเมืองมะดีนะฮฺ กล่าวคือชาวยิว 2 เผ่านี้ได้ละทิ้งสัญญาพันธมิตรที่พวกเขาได้ทำไว้กับท่านนบีมุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) หลังจากที่ท่านอพยพออกมาจากมักกะฮฺ จนถึงขนาดที่ว่าในตอนที่เกิดสงครามบัดรฺ พวกชาวคัมภีร์เหล่านี้ได้ให้ความเห็นใจแก่พวกบูชารูปปั้น (พวกมุชริก) ถึงแม้พวกชาวคัมภีร์จะมีหลัความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว มีความเชื่อในนบีและชีวิตหลังความตายเหมือนกับมุสลิมก็ตาม หลังสงครามบัดรฺ พวกชาวยิวก็เริ่มยุยงพวกกุเรชและชาวอาหรับเผ่าอื่น ๆ ให้แก้แค้นมุสลิมอย่างเปิดเผย ดังนั้นชาวยิวเผ่าต่าง ๆ จึงได้ตัดความสัมพันธ์ฉันเพื่อนบ้านที่มีมายาวนานกับชาวเมืองมะดีนะฮฺ ในที่สุด เมื่อทนต่อการกระทำอันชั่วร้ายและการทำลายสัญญาของพวกยิวไม่ได้ ท่านนบีฯ ก็โจมตีเผ่าบะนูก็อยนุกอซึ่งเป็นเผ่าที่วางแผนร่วมกับพวกตลบตะแลงแห่งมะดีนะฮฺ และพวกอาหรับบูชารูปปั้น ปิดล้อมบรรดาผู้ศรัทธาในทุก ๆ ด้าน แผนการร้ายของคนพวกนี้ทำให้ท่านนบีฯ ตกอยู่ในภาวะอันตรายหลายครั้ง ดังนั้นบรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านจึงต้องใส่เสื้อเกราะนอนและคอยจัดยามป้องกันการลอบโจมตีอยู่ตลอดเวลา เมื่อใดก็ตามที่ท่านนบีฯ คลาดสายตาไปจากพวกเขาเพียงชั่วขณะ พวกเขาก็ออกค้นหาท่านทันที
(3)   การยุยงโดยพวกยิวนั้นเป็นการเติมเชื้อเพลิงเข้าไปในกองไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่ในหัวใจของพวกกุเรชอย่างได้ผล พวกกุเรชเริ่มเตรียมตัวที่จะแก้แค้นให้แก่ความพ่ายแพ้ของพวกตนในสงครามบัดรฺ หลังจากนั้น 1 ปี กองทัพที่ประกอบด้วยทหาร 3,000 คน ก็ได้ยาตราออกจากมักกะฮฺเพื่อรุกรานมะดีนะฮฺ และสงครามได้เกิดขึ้นที่เชิงเขาอุฮุด ท่านนบีฯ ได้ออกจากเมืองมะดีนะฮฺพร้อมกับกำลังคนประมาณ 1,000 คน มาประจันหน้ากองทัพผู้รุกราน ขณะที่ท่านนบีฯและกำลังคนของท่านมุ่งหน้ามายังสนามรบ พวกมุนาฟิกจำนวน 300 คนได้หนีทัพและเดินทางกลับสู่มะดีนะฮฺ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีพวกมุนาฟิกอีกจำนวนหนึ่งปะปนอยู่ในกองกำลังที่เหลืออยู่อีก 700 คน และคนพวกนี้มีส่วนสำคัญในการสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นในหมู่ผู้ศรัทธาระหว่างการทำสงคราม นี่เป็นการชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความจริงที่ว่าภายในประชาคมมุสลิมเองก็ยังมีพวกบ่อนทำลายจำนวนหนึ่งที่คอยสมรู้ร่วมคิดกับศัตรูภายนอกในการทำร้ายพี่น้องของพวกตนเอง
    ถึงแม้แผนการของพวกมุนาฟิกจะมีส่วนสำคัญต่อการพ่ายแพ้ของฝ่ายมุสลิมในสงครามอุฮุด แต่ความอ่อนแอของฝ่ายมุสลิมเองก็มีส่วนไม่น้อยต่อความพ่ายแพ้ครั้งนี้เช่นกัน แต่นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาที่มุสลิมได้แสดงความอ่อนแอทางศีลธรรมออกมาให้ปรากฏ เพราะในตอนนั้นมุสลิมเป็นประชาคมใหม่ที่เพิ่งจะถูกก่อตั้งขึ้นและยังไม่ได้ผ่านการฝึกอบรมทางศีลธรรมอย่างเข้มข้น ดังนั้นเมื่อถูกทดสอบความเข้มแข็งทางศีลธรรมและทางร่างกายอย่างหนักหน่วง ความอ่อนแอจึงปรากฏออกมาเป็นธรรมดา นั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมการทบทวนอย่างละเอียดถึงสงครามอุฮุดจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ถูกนำมาเตือนบรรดามุสลิมให้รู้ถึงความบกพร่องของตนเอง และเพื่อออกคำสั่งสำหรับการปรับปรุงตัวของพวกเขา ขอให้ท่านได้เข้าใจด้วยว่า การทบทวนสงครามนี้แตกต่างไปจากการทบทวนที่บรรดาแม่ทัพทำกันเป็นปกติ


เอกสารอ้างอิง
R1. The Noble Qur’an (Dr.Muhammad Taqi-ud-Din al-Hilali and Dr.Muhammad Muhsin Khan.)
R2. อัลกุรอานฉบับแปลภาษาไทย โดย มัรวาน สะมะอุน
R3. ตัฟฮีมุลกุรฺอาน(อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน)
R4. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรฺ อานแห่งนครมาดีนะฮ์
R5. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย (โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์-ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา)


------------------------------------------------

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อาละอิมรอน อายะฮฺที่ 1 - 4






คำอ่าน
1. อะลีฟ ลาม...มีม
2. อัลลอฮุ ลา..อิลาฮะ อิลลา ฮุวัลหัยยุลก็อยยูม
3. นัซซะละ อะลัยกัลกิตาบะบิลหักกิ มุศ็อดดิก็อลลิมาบัยนะยะดัยฮิ วะอัน..ซะลัตเตารอตะ วัลอิน..ญีล
4. มิน..ก็อบลูฮุดัลลิน..นาสิ วะอัน..ซะลัลฟุรฺกอน อิน..นัลละซีนะกะฟะรู บิอายาติลลาฮิ ละฮุมอะซาบุน..ชะดีด วัลลอฮุอะซีซุน..ซุน..ติกอม

คำแปล R1.
1. Alif-Lam-Mim. [These letters are one of the miracles of the Qur'an, and none but Allah (Alone) knows their meanings].
2. Allah! La ilaha illa Huwa (none has the right to be worshiped but He), the ever living, the one who sustains and protects all that exists.
3. It is He who has sent down the Book (the Qur'an) to you (Muhammad) with truth, confirming what came before it. And He sent down the Taurat (Torah) and the Injeel (Gospel).
4. Aforetime, as a guidance to mankind, and He sent down the criterion [of judgment between right and wrong (this Qur'an)]. Truly, those who disbelieve in the Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) of Allah, for them there is a severe torment; and Allah is All-Mighty, All-Able of Retribution.


คำแปล R2.
1. อะลิฟ, ลาม, มีม
2. อัลเลาะฮฺซึ่งไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากพระองค์ ทรงเป็นเสมอ อีกทั้งทรงดำรงอยู่ (โดยพระองค์เอง)
3. พระองค์ประทานคัมภีร์ (อัลกุรอาน) ให้ทยอยลงมายังเจ้าโดยสัจธรรม เป็นสิ่งยืนยันคัมภีร์ที่มีมาก่อน และพระองค์ได้ทรงประทาน (คัมภีร์) เตารอฮฺและอินญีล ให้ลงมาเมื่อกาลก่อน เป็นสิ่งชี้นำแห่งมวลมนุษยชาติ และพระองค์ได้ทรงประทานคัมภีร์จำแนก (ความจริงจากความเท็จ คือคัมภีร์อัลกุรอาน)
4. แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธในโองการต่าง ๆ ของอัลเลาะฮฺ พวกเขาต้องประสบการลงโทษอันร้ายแรงยิ่ง และอัลเลาะฮฺทรงอำนาจยิ่ง อีกทั้งทรงไว้ซึ่งการลงโทษ (แก่มวลผู้ทำผิด)


คำแปล R3.
1.   อะลีฟ ลาม มีม
2.   อัลลอฮฺ ไม่มีพระเจ้าอื่นใกนอกจากพระองค์ ผู้ทรงชีวิตอยู่เสมอ ผู้ทรงชีวิตอยู่นิจกาล
3.   พระองค์ได้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาแก่เจ้าด้วยสัจธรรมและยืนยันคัมภีร์ที่ทีมาก่อนหน้านั้น และก่อนหน้านี้พระองค์ก็ได้ทรงประทานเตารอตและอินญีลลงมาเพื่อเป็นทางนำสำหรับมนุษยชาติ
4.   และพระองค์ได้ทรงประทานสิ่งที่ใช้จำแนกแยกแยะ (ความถูกต้องและความผิด) ลงมา แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธอายะฮฺทั้งหลายของอัลลอฮฺนั้น สำหรับพวกเขาคือการลงโทษอันสาหัส และอัลลอฺเป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงลงโทษตอบแทน


คำแปล R4.
1. อะลิฟ ลาม มีม
2. อัลลอฮฺนั้นคือ ไม่มีผู้ที่เป็นที่เคารพสักการะใด ๆ นอกจากพระองค์เท่านั้น ผู้ทรงมีชีวิตอยู่เสมอ ผู้ทรงบริหารกิจการทั้งหลายเป็นเนืองนิจ (ในสิ่งที่พรองค์ทรงสร้างและทรงบังเกิด)
3. พระองค์ได้ทรงประทานคัมภีร์นั้นลงมาแก่เจ้าเป็นครั้งคราว พร้อมด้วยความจริง เพื่อยืนยันคัมภีร์ที่อยู่เบื้องหน้าคัมภีร์นั้น และได้ทรงประทานอัตเตารอต และอัล-อินญีล
4. (ให้มี) มาก่อน ในฐานะเป็นข้อแนะนำสำหรับมนุษย์ และได้ประทานอัล-ฟุรฺกอนมาด้วย แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อบรรดาโองการของอัลลอฮฺนั้น พวกเขาจะได้รับโทษอันรุนแรง และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงทำการลงโทษ


คำแปล R5.
๑. คำว่า อลิฟ ลาม มีม อัลเลาะห์เท่านั้นที่ทรงรู้ความหมายของคำนี้
๒. อัลเลาะห์นั้น ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอันควรแก่การสักการะโดยแท้จริงนอกจากพระองค์เท่านั้น เป็นองค์นิรันดร เป็นองค์ดำรงเอง และการดำรงแก่สรรพสิ่งทั้งหลายเสมอไป
๓. โอ้ มูฮำมัด พระองค์ได้ประทานพระคัมภีร์ อัล-กุรอานลงมายังเจ้าโดยที่ อัล-กุรอานนี้ ล้วนแล้วไปด้วยความจริง ในการแจ้งข่าวต่าง ๆ เป็นที่ยืนยันคัมภีร์ฉบับที่ถูกประทานมาก่อนอัล-กุรอานว่าเป็นความจริง กล่าวคือมีข้อความตรงกันหลายแง่ เป็นต้นว่าเรื่องเอกภาพของอัลเลาะห์ก็บอกว่าอัลเลาะห์นั้นเป็นองค์เดียว ในด้านการใช้ก็บอกให้ทำความยุติธรรมต่อมนุษย์ และบอกให้ทำความดีแก่พวกนั้น นอกจากนี้พระคัมภีร์อัล-กุรอานยังมีข้อบัญญัติใช้และห้ามหลายข้อที่ตรงกับคัมภีร์ฉบับก่อน ๆ และพระองค์ได้ประทานคัมภีร์เตารอตแก่พระศาสดามูซากับพระคัมภีร์อินยีลกับพระศาสดาอีซาไว้ก่อนการประทานอัล-กุรอาน โดยพระคัมภีร์ทั้งสองจะได้เป็นแนวนำสำหรับมวลมนุษย์ที่นับถือตามคัมภีร์ทั้งสองนี้ให้พ้นจากความหลงทาง และพระองค์ได้ประทานคัมภีร์ซึ่งเป็นบทจำแนกให้รู้ระหว่างสิ่งที่จริง เช่นใช้ให้สักการะเฉพาะอัลเลาะห์เท่านั้น และสิ่งที่เสีย เช่น ห้ามสักการะสิ่งอื่นใดนอกจากอัลเลาะห์ ไว้แล้ว
๔. แท้จริงบรรดาผู้ไม่ศรัทธาต่อโองการทั้งหลายของอัลเลาะห์ ในอัล-กุรอาน ตลอดทั้งพระคัมภีร์ต่าง ๆ ที่มีมาก่อนจากอัล-กุรอานนั้น พวกเขาก็ย่อมได้รับโทษกระทงหนัก และอัลเลาะห์นั้นทรงไว้ซึ่งอิทธิฤทธิ์เหนือกิจการทั้งสิ้นของพระองค์ จะไม่มีสิ่งใดสามารถห้ามพระองค์มิให้สำเร็จกิจไม่ว่าจะทางสัญญาบุญหรือสัญญาบาปได้เลย ทรงเป็นองค์ลงโทษอย่างหนักแก่บรรดาผู้ทรยศต่อพระองค์ และจะไม่มีผู้ใดสามารถลงโทษได้อย่างพระองค์เลย





ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อาละอิมรอน อายะฮฺที่ 5 – 6



คำอ่าน
5. อิน..นัลลอฮะ ลายัคฟา อะลัยฮิชัยอุน..ฟิลอัรฺฎิ วะลาฟิสสะมาอ์
6. ฮุวัลละซี ยุศ็อววิรุกุม ฟิลอัรหามิ กัยฟะยะชา...อุ์ ลา..อิลาฮะ อิลลาฮุวัลอะซีซุลหะกีม

คำแปล R1.
5. Truly, nothing is hidden from Allah, in the earth or in the heavens.
6. He it is who shapes you in the wombs as He pleases. La ilaha illa Huwa (none has the right to be worshiped but He), the All-Mighty, the All-Wise.


คำแปล R2.
5. แท้จริงอัลเลาะฮฺ ไม่มีสิ่งใดที่จะรอดเร้นไปจากพระองค์ได้ ทั้งในพื้นพิภพและในฟากฟ้าทั้งหลาย
6. พระองค์ทรงกำหนดรูปร่างแก่พวกเจ้าในมดลูกตามแต่พระองค์ทรงประสงค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ผู้ทรงอำนาจยิ่งอีกทั้งทรงปรีชาญาณยิ่ง


คำแปล R3.
5.   แท้จริงอัลลอฮฺนั้น ไม่มีสิ่งใดในแผ่นดินและในชั้นฟ้าจะซ่อนเร้นจากพระองค์ได้
6.   พระองค์คือผู้ทรงทำรูปร่างของสูเจ้าในมดลูกตามที่พระองค์ทรงประสงค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ


คำแปล R4.
5. แท้จริงอัลลอฮฺนั้น ไม่มีสิ่งใดในแผ่นดินจะซ่อนเร้นพระองค์ไปได้ และทั้งไม่มีฟากฟ้าด้วย
6. พระองค์คือผู้ทรงทำให้พวกเจ้ามีรูปร่างขึ้นในมดลูก ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ ไม่มีสิ่งที่ควรได้รับการเคารพสักการะใด ๆนอกจากพระองค์เท่านั้น ผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ


คำแปล R5.
๕. แท้จริงอัลเลาะห์นั้น แม้สักสิ่งเดียวทั้งในแผ่นดินและฟากฟ้า ก็ไม่สามารถซ่อนเร้นพระองค์ได้ เนื่องจากว่าพระองค์ทรงรู้ลึกซึ้งทั้งที่เป็นส่วนใหญ่ (กุลลีย์) และส่วนปลีกย่อย (อุซอีย์) ซึ่งอยูในหน้าแผ่นดินและฟากฟ้า คำว่ากุลลีย์ คือนามที่บ่งความหมายกว้าง เช่น มนุษย์ และคำว่ายุซอีย์ คือนามที่เฉพาะเจาะจง เช่น มูฮำมัด
๖. พระองค์เป็นผู้ทรงให้พวกเจ้ามีรูปสังขารอยู่ในมดลูกของมารดาตามแต่พระองค์จะทรงมุ่งหมาย ให้มีรูปลักษณะ อาการ เพศ ผิวพรรณและอื่น ๆ เป็นอย่างใดอย่างหนึ่งได้ เช่น เป็นชายหรือหญิง และมีผิวกายดำหรือขาว เป็นต้น ย่อมไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรแก่การสักการะนอกจากพระองค์เท่านั้น ทรงเป็นองค์อิทธิฤทธิ์ยิ่งในการปกครอง ทรงประณีตยิ่งในบรรดากิจการทั้งสิ้นของพระองค์


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อาละอิมรอน อายะฮฺที่ 7


คำอ่าน
7. ฮุวัลละซี..อัน..ซะละอะลัยกัลกิตาบะ มินฮุอายาตุม..มุหฺกะมาตุน ฮุน..นะอุม..มุลกิตาบิ วะอุเคาะรุมุตะชาบิฮาต, ฟะอัม..มัลละซีนะฟักุลูบิฮิม ซัยฆุน..ฟะยัตตะบิอูนะ มาตะชาบะฮะ มินฮุบติฆอ...อัลฟิตนะติ วับติฆอ..อะตะอ์วีลิฮฺ วะมายะอฺละมูตะอ์วีละฮู..อิลลัลลอฮฺ วัรฺรอสิคูนะ ฟิลอิลมิ ยะกูลูนะอามัน..นาบิฮี กุลลุม..มินอิน..ดิร็อบบินา วะมายัซซักกะรุอิลลา..อุลุลอัลบาบ

คำแปล R1.
7. It is He who has sent down to you (Muhammad) the Book (this Qur'an). In it are verses that are entirely clear, they are the foundations of the Book [and those are the verses of Al-Ahkam (commandments, etc.), Al-Fara'id (obligatory duties) and Al-Hudud (legal laws for the punishment of thieves, adulterers, etc.)]; and others not entirely clear. So as for those in whose hearts there is a deviation (from the truth) they follow that which is not entirely clear thereof, seeking Al-Fitnah (polytheism and trials, etc.), and seeking for its hidden meanings, but none knows its hidden meanings save Allah. And those who are firmly grounded in knowledge say: "We believe in it; the whole of it (clear and unclear verses) are from our Lord." and none receive admonition except men of understanding. (Tafsir At-Tabari).

คำแปล R2.
7. พระทรงประทานคัมภีร์ให้ลงมายังเจ้าซึ่งมีบางส่วนแห่งคัมภีร์นั้นเป็นโอกงหารที่ถูกถือเป็นกฎ (จะตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้) โองการเหล่านั้นเป็นแม่บทแห่งคัมภีร์ และโองการอื่น ๆ ที่เป็นโวหารคลุมเครือ (ซึ่งต้องมีการตีความจึงจะเข้าใจ) อนึ่งบรรดาผู้ที่มีความรวนเรในหัวใจของพวกเขานั้นพวกเขาก็จะถือตามข้อความที่คลุมเครือจากมัน เพื่อหวังสร้างวิกฤติกาล และหวังที่จะตีความมัน (ตามใจชอบของพวกเขาเอง) และไม่ (มีใคร) รู้การตีความมันได้หรอก นอกจากอัลเลาะฮฺเท่านั้น และบรรดาผู้ที่เชี่ยวชาญในความรู้ พวกเขาจะกล่าวว่า “เราขอศรัทธาต่อโองการนั้น ทุก ๆ โองการล้วนมาจากองค์อภิบาลของเราทั้งสิ้น” และจะไม่สำนึกนอกจากผู้มีวิจารณญาณเท่านั้น

คำแปล R3.
7.   พระองค์คือผู้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาแก่เจ้า ซึ่งในนั้นมีอายะฮฺมุฮฺกะมาต ที่เป็นหลักของคัมภีร์ และมุตะซาบิฮาต ที่มีความเป็นนัย ดังนั้นบรรดาผู้ในหัวใจพวกเขามีการปรวนแปร พวกเขาจะปฏิบัติตามที่เป็นนัยโดยหวังจะก่อการปั่นป่วนและพยายามจะให้คำอธิบายด้วยตัวเอง ในขณะที่ความจริงแล้วไม่มีผู้ใดรู้ความหมายที่แท้จริงของมันนอกจากอัลลอฮฺ ส่วนบรรดาผู้ทรงความรู้นั้น พวกเขาจะกล่าวว่า “เราศรัทธาในมัน เพราะทั้งหมดมาจากผู้อภิบาลของเรา” และไม่มีผู้ใดใคร่ครวญ เว้นแต่ปวงผู้มีสติ

คำแปล R4.
7. พระองค์คือผู้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาแก่เจ้า โดยที่ส่วนหนึ่งจากคัมภีร์นั้นมีบรรดาโองการที่มีข้อความรัดกุมชัดเจน ซึ่งโองการเหล่านั้น คือรากฐานของคัมภีร์ และมีโองการอื่น ๆ อีกที่มีข้อความเป็นนัย ส่วนบรรดาผู้ที่ในหัวใจของพวกเขามีการเอนเอียงออกจากความจริงนั้น เขาจะติดตามโองการที่มีข้อความเป็นนัยจากคัมภีร์ ทั้งนี้ เพื่อแสวงหาความวุ่นวาย และเพื่อแสวงหาการตีความในโองการนั้น และไม่มีใครรู้ในการตีความโองการนั้นได้นอกจากอัลลอฮฺ และบรรดาผู้ที่มั่นคงในความรู้เท่านั้น โดยที่พวกเขาจะกล่าวว่า พวกเราศรัทธาต่อโองการนั้น ทั้งหมดนั้นมาจากที่ที่พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งสิ้น และไม่มีใครที่จะรับคำตักเตือนนอกจากบรรดาผู้ที่มีสติปัญญาเท่านั้น

คำแปล R5.
๗. โอ้ มูฮำมัด พระองค์เป็นผู้ซึ่งประทานพระคัมภีร์อัล-กุรอานมายังเจ้า ซึ่งส่วนหนึ่งจากพระคัมภีร์อัล-กุรอานนั้นมีหลายโองการที่แจ้งชัดในความหมาย บรรดาโองการที่ว่านั้นแหละคือแม่บทจากอัล-กุรอานซึ่งถูกยึดถือเป็นแนวทาง ทั้งข้อใช้และข้อห้าม แต่อีกส่วนหนึ่งจากอัล-กุรอานนั้นมีหลายโองการที่ไม่เป็นที่เข้าใจความหมาย เช่น โองการอลิฟ ลาม มีม หรือที่เข้าใจความหมายได้โดยอาศัยหลักการพิจารณาด้วยวิชาบะยาน เช่น ข้อความ “หนวก บอด ใบ้” ในโองการที่ ๑๘ แห่งซูเราะห์ อัล-บะก็เราะห์นั้น หาเป็นอาการดังกล่าวไม่ เป็นเพียงอุปมาเท่านั้น หลักวิชาอุซูลุลฟิกห์ (หลักการอิสลาม) เช่น คำว่า “ทุกสิ่ง” ในโองการที่ ๒๐ แห่งซูเราะห์ อัล-บะก็เราะห์ ก็หมายถึงสิ่งอื่นนอกจากอัลเลาะห์และคุณลักษณะของพระองค์ และด้วยวิชาบะดีอ์ (วิชาวาทศิลป์) เช่น “อัลลห์ดูถูกพวกมุนาฟิก” ในโองการที่ ๑๕ แห่งซูเราะห์ อัล-บะก็เราะห์ ก็หมายความว่า อัลเลาะห์ทรงตอบแทนการดูถูก ดังนี้เป็นต้น อนึ่งบรรดาผู้มีใจเอนเอียงจากความจริงและความถูกต้อง พวกเขาก็จะเจริญตาม โองการที่เข้าใจความหมายไม่ได้ เพราะ ไม่ต้องการรับเอาความจริงและความถูกต้อง แต่หมายจะก่อกวนใจให้ผู้โง่เขลาเบาปัญญาตกอยู่ในความเคลือบแคลงสงสัย และหมายจะเอาเนื้อหาที่ผิดจากโองการนั้นด้วยการแปลโดยสมองของตนเอง ปราศจากหลักวิชา ดังตัวอย่างที่กล่าวมา มิให้ตรงความจริงและความถูกต้อง ทั้งนี้เพราะว่าจิตใจของพวกเขาเหห่างออกจากความจริงและความถูกต้องนั้น ย่อมไม่มีใครจะทราบเนื้อหาอันถูกต้องจากโองการที่เคลือบคลุมได้เว้นไว้แต่อัลเลาะห์และพวกที่สันทัดในความรู้ คือ พวกที่มีคุณสมบัติ ๔ อย่าง คือ ๑. ผู้มีความยำเกรงอัลเลาะห์ ๒. ผู้มีความถ่อมตนในระหว่างมวลมนุษย์ ๓. ผู้ไม่โลภโมโทสัน ในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ในวันอาคิเราะห์(ปรภพ) ๔. ผู้ที่พยายามต่อสู้กับตนเอง และกิเลสเท่านั้น ที่เอ่ยว่า พวกเราศรัทธาต่อโองการที่เคลือบคลุมนั้น  ๆ แล้ว ว่าแท้จริงโองการนั้นมาจากอัลเลาะห์ทุก ๆ โครงการ บรรดาโองการที่แจ้งชัดก็ดี บรรดาโองการที่เคลือบแคลงก็ดีและที่เราไม่รู้จักความนั้น เว้นแต่ต้องอาศัยการพิจารณาด้วยหลักวิชาก็ดี ทั้งสิ้นย่อมมีมาแต่ฝ่ายพระผู้อภิบาลของเรา และจะไม่มีใครได้รับคติเลย นอกจากบรรดาผู้ครองปัญญาเท่านั้น

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 29, 2011, 06:10 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อาละอิมรอน อายะฮฺที่ 8 – 9



คำอ่าน
8. ร็อบบะนา ลาตุซิฆกุลูบะนา บะอฺดะอิซฮะดัยตะนา วะฮับละนา มิลละดุน..กะเราะหฺมะตัน อิน..กะอัน..ตัลวะฮฺฮาบ
9. ร็อบบะนา อิน..นะกะ ญามิอุน..นาสิ ลิเยามิลลาร็อยบะฟีฮฺ อิน..นัลลอฮะ ลายุคลิฟุลมีอาด

คำแปล R1.
8. (They say): "Our Lord! Let not our hearts deviate (from the truth) after You have guided us, and grant us mercy from You. Truly, You are the Bestower."
9. Our Lord! Verily, it is You who will gather mankind together on the Day about which there is no doubt. Verily, Allah never breaks his promise".


คำแปล R2.
8. โอ้องค์อภิบาลของเรา โปรดอย่าทำให้เกิดความรวนเรแก่หัวใจของเรา ภายหลังที่พระองค์ได้ทรงชี้นำพวกเราแล้ว และโปรดประทานความเมตตาจากพระองค์แด่พวกเราด้วยเถิด แท้จริงพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานยิ่งนัก
9. โอ้องค์อภิบาลของเรา! แท้จริงพระองค์ทรงรวมมนุษย์ไว้ในวันหนึ่ง ซึ่งไม่มีข้อสงสัยในนั้นเลย (คือวันอาคิเราะฮฺ ซึ่งต้องอุบัติขึ้นอย่างแน่นอน) แท้จริงอัลเลาะฮฺไม่ทรงผิดสัญญา


คำแปล R3.
8.   (พวกเขาวิงวอนต่ออัลลอฮฺว่า) “พระผู้อภิบาลของเรา ขอทรงโปรดอย่าทำให้หัวใจของเราปรวนแปรหลังจากที่พระองค์ได้ทรงนำทางเรา และได้ทรงโปรดประทานความเมตตาจากพระองค์แก่เรา แท้จริง พระองค์คือผู้ทรงประทานอย่างกว้างขวาง
9.   พระผู้อภิบาลของเรา แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงรวบรวมมนุษย์ทั้งหลายในวันที่ไม่มีการคลางแคลง แท้จริงอัลลอฮฺไม่ทรงผิดสัญญา


คำแปล R4.
8. โอ้พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา ! โปรดอย่าให้หัวใจของพวกเราเอนเอียงออกจากความจริงเลย หลังจากที่พระองค์ได้ทรงแนะนำแก่พวกเราแล้ว และโปรดได้ประทานความเอ็นดูเมตตา จากที่ที่พระองค์ให้แก่พวกเราด้วยเถิด แท้จริงพระองค์นั้นคือผู้ทรงประทานให้อย่างมากมาย
9. โอ้พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา! แท้จริงพระองค์นั้น เป็นผู้ชุมนุมมนุษย์ทั้งหลายในวันหนึ่งซึ่งไม่มีการสงสัยใด ๆ ในวันนั้น แท้จริงอัลลอฮฺนั้นจะไม่ทรงผิดสัญญา


คำแปล R5.
๘. ในเมื่อบรรดาผู้มั่นคงอยู่ในความรู้ได้แลเห็นพวกถือตามเนื้อความโดยตรงจากฌองการที่เคลือบคลุม จึงกล่าวว่า โอ้พระองค์ผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอพระองค์อย่าให้จิตใจของบรรดาข้าพระองค์เอนเอียงจากความจริง เพราะต้องการจะได้เนื้อหาแห่งโองการผิดความจริง และความถูกต้อง เหมือนอย่างที่พระองค์ได้บันดาลใจของพวกเอนเอียงจากเนื้อหาจริงและความถูกต้อง หลังจากพระองค์ได้ทรงแนะนำแก่บรรดาข้าพระองค์ ให้มีชาญฉลาดในบรรดาโองการที่เคลือบคลุมมาแล้ว และขอได้โปรดประทานความปรานีจากฝ่ายพระองค์ให้จิตใจของเหล่าข้าพระองค์มั่นคงอยู่กับความจริงและความถูกต้องด้วยเถิด เพราะแท้จริงพระองค์คือองค์พระผู้ประทานเสนอ
๙. โอ้องค์พระผู้อภิบาลของบรรดาข้าพระองค์ แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงรวบรวมมวลมนุษย์ในวันหนึ่ง ซึ่งในวันนั้นไม่มีความสงสัยใด ๆ เลย นั่นคือวันกิยามะห์ พระองค์จะทรงตอบแทนแก่พวกนั้นเพราะการกระทำของเขา เหมือนพระองค์ได้สัญญาไว้เช่นนั้น เพราะแท้จริงอัลเลาะห์ไม่ทรงบิดพลิ้วซึ่งคำสัญญา โดยพระองค์จะทรงให้พวกเจ้าเกิดขึ้นจากสุสานในวันกิยามะห์ (ปรภพ)



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อาละอิมรอน อายะฮฺที่ 10 – 11



คำอ่าน
10. อิน..นัลละซีนะกะฟะรู ลัน..ตุฆนิยะอันฮุม อัมวาลุฮุม วะลา..เอาลาดุฮุม มินัลลอฮิชัยอา, วะอุลา...อิกะฮุม วะกูดุน..นาส
11. กะดะอ์บิอาลิฟิรฺเอานะ วัลละซีนะมิน..ก็อบลิฮิม กัซซะบูบิอายาตินา ฟะอะเคาะซะฮุมุลลอฮุบิซุนูบิฮิม วัลลอฮุ ชะดีดุลอิกอบ

คำแปล R1.
10. Verily, those who disbelieve, neither their properties nor their offspring will avail them whatsoever against Allah; and it is they who will be fuel of the Fire.
11. Like the behaviour of the people of Fir'aun (Pharaoh) and those before them; they belied our ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.), so Allah seized (destroyed) them for their sins. And Allah is severe in punishment.


คำแปล R2.
10. แท้จริงบรรดาผู้เนรคุณนั้น บรรดาทรัพย์สินของพวกเขา และลูก ๆ ของพวกเขาจะไม่ป้องกันพวกเขาจาก (การลงโทษของ) อัลเลาะฮฺสักสิ่งเดียวก็ตาม และพวกเหล่านั้น พวกเขา (มีฐานะ) เป็นเพียงเชื้อเพลิงของนรก
11. ประดุจธรรมเนียมแห่งวงศ์วานของฟิรเอาน์ และบรรดาประชาชาติก่อนพวกเขา พวกเหล่านั้นล้วนว่าโองการต่าง ๆ ของเราเป็นเท็จ ดังนั้นอัลเลาะฮฺจึงเอาโทษพวกนั้นเพราะมวลบาปของพวกเขา (ที่ได้กระทำไว้) และอัลเลาะฮฺทรงลงโทษรุนแรงยิ่งนัก


คำแปล R3.
10.   แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธนั้น สมบัติของพวกเขาและลูก ๆ ของพวกเขาจะไม่อาจช่วยพวกเขาให้พ้นจากอัลลอฮฺได้เลย พวกเขาจะเป็นเชื้อเพลิงของไฟ
11.   จุดจบของพวกเขาจะเหมือนกับกรณีของพวกพ้องฟิรฺเอาน์ และบรรดาผู้ปฏิเสธก่อนหน้าพวกเขา และเขาได้กล่าวเท็จต่ออายะฮฺของเรา ดังนั้น ดังนั้น อัลลอฮฺได้ทรงลงโทษพวกเขาเนื่องด้วยความผิดของพวกเขา และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเข้มงวดในการลงโทษ


คำแปล R4.
10. แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น ทรัพย์สมบัติของพวกเขา และลูก ๆ ของพวกเขานั้น จะไม่อำนวยประโยชน์แก่พวกเขาให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺได้แต่อย่างใดเลย และชนเหล่านี้แหละคือเชื้อเพลิงแห่งไฟนรก
11. เช่นเดียวกับสภาพความเคยชินของวงศ์วานอิสรออีล และบรรดาผู้ก่อนหน้าพวกเขา ซึ่งพวกเขาได้ปฏิเสธบรรดาโองการของเรา แล้วอัลลอฮฺก็ได้ทรงลงโทษพวกเขา เพราะบาปกรรมของพวกเขาเอง และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงลงโทษอันรุนแรง


คำแปล R5.
๑๐. แท้จริงบรรดาผู้ไม่ศรัทธา (กาฟิร) นั้น ทรัพย์สมบัติของพวกเขาที่เคยอำนวยประโยชน์ให้ และที่เคยขจัดความขัดข้องให้ ก็ดี บรรดาลูกหลานของพวกเขา ที่เคยช่วยกิจการอันสำคัญ ๆ และที่ให้ความเอาใจใส่แก่พวกตน ก็ดี สองอย่างนี้ย่อมไม่เพียงพอที่จะปลีกพวกเขาให้พ้นจากการลงโทษจากอัลเลาะห์ได้เลยแม้แต่สักอย่างเดียว พวกเหล่านั้นแหละคือเชื้อเพลิงนรก
๑๑. อาการของพวกผู้ไม่ศรัทธา (กาฟิร) ดังที่กล่าวนั้น ช่างเหมือนกับอาการของพวกฟิรอูน และอาการของบรรดาผู้ที่ก่อนนั้นไปอีก คือที่ประชากรของพระศาสดาฮูดก็ดี และที่เป็นประชากรของศาสดาซอลิห์ก็ดี พวกทั้งสิ้นเหล่านั้นเคยหาว่าข้อใช้ข้อห้ามในโองการต่าง ๆ ของเรานั้นเท็จ อัลเลาะห์จึงได้ทรงยังความเสื่อมเสียให้ด้วยการล้างชาติ ในฐานะที่พวกนั้นมีบาป แท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงให้การลงโทษบุคคลพวกนั้นหนักยิ่งนัก


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อาละอิมรอน อายะฮฺที่ 12 – 13  



คำอ่าน
12. กุลลิลละซีนะกะฟะรู สะตุฆละบูนะวะตุหฺชะรูนะ อิลาญะฮัน..นะมะ วะบิอ์สัลมิฮาด
13. ก็อดกานะละกุมอายะตุน..ฟีฟิอะตัยนิลตะเกาะตา ฟิอะตุน..ตุกอติลุ ฟีสะบีลิลลาฮิ วะอุครอกาฟิเราะตุย..ยะร็อวนะฮุม..มิษลัยฮิม เราะอ์ยัลอัยน์ วัลลอฮุ ยุอัยยิดุ บินัศริฮีมัย..ยะชาอุ์ อิน..นะฟีซาลิกะ ละอิบเราะตัลลิอุลิลอับศอรฺ

คำแปล R1.
12. Say (O Muhammad ) to those who disbelieve: "You will be defeated and gathered together to Hell, and worst indeed is that place to rest."
13. There has already been a sign for you (O Jews) in the two armies that met (in combat i.e. the battle of Badr): one was fighting In the Cause of Allah, and as for the other (they) were disbelievers. They (the believers) saw them (the disbelievers) with their own eyes twice their number (although they were thrice their number). And Allah supports with his victory whom He pleases. Verily, in this is a lesson for those who understand. (See Verse 8:44). (Tafsir At-Tabari)


คำแปล R2.
12. เจ้าจงประกาศเถิดแก่บรรดาผู้เนรคุณทั้งหลายว่า “พวกเจ้าทั้งหลายจะถูกพิชิตและพวกเจ้าจะถูกไล่ต้อนสู่นรกยะฮันนัมและ (นรก) เป็นที่พักอันเลวยิ่ง”
13. ที่จริงได้มีสัญลักษณ์หนึ่งสำหรับพวกเจ้าในคนสองกลุ่มที่ปะทะกัน กลุ่มหนึ่งทำการต่อสู้ในทางของอัลเลาะฮฺ (โดยบริสุทธิ์ใจ) และอีกกลุ่มหนึ่งเป็นผู้เนรคุณ พวกนี้มองเห็นกลุ่มแรกมีจำนวนเป็นสองเท่าอย่างชัดเจนด้วยตาเปล่า และอัลเลาะฮฺทรงเสริมพลังแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ด้วยการช่วยเหลือของพระองค์ แท้จริงในนั้นย่อมเป็นข้อคิดสำหรับบรรดาผู้มรดวงตา (ใช้พินิจไตรตรอง) ทั้งมวล


คำแปล R3.
12.   (ดังนั้น มุฮัมมัด) จงกล่าวแก่บรรดาผู้ปฏิเสธว่า “พวกท่านจะถูกพิชิตในไม่ช้าและจะถูกรวบส่งไปยังนรก อันเป็นที่พักที่น่าสะพรึงกลัว
13.   แน่นอนได้มีแก่สูเจ้าแล้สซึ่งสัญญาณหนึ่งในคราวที่สองฝ่ายต่างเผชิญหน้ากัน (ในสงครามบัดรฺ) ฝ่ายหนึ่งต่อสู้ในทางของอัลลอฮฺ และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ปฏิเสธ พวกเขาเห็นด้วยตาตัวเองแล้วว่า พวกข้าศึกเป็นสองเท่าของพวกเขา แต่อัลลอฮฺทรงทำให้พวกเขาเข้มแข็งด้วยการช่วยเหลือของพระองค์แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ แท้จริงในนั้นมีบทเรียนอันยิ่งใหญ่สำหรับบรรดาผู้มีสายตาไตร่ตรอง


คำแปล R4.
12. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาว่า พวกท่านจะได้รับความปราชัย และ (ในวันปรโลก) พวกท่านจะถูกต้อนไปสู่ญะฮันนัม และเป็นที่นอนอันเลวร้ายยิ่ง
13. แน่นอนได้มีสัญญาณหนึ่งปรากฏแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งอยู่ในสองฝ่ายที่เผชิญหน้ากัน ฝ่ายหนึ่งต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์ และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา ซึ่งเห็นเขาเหล่านั้น ด้วยตาตนเองเป็นสองเท่าของพวกเขา และอัลลอฮ์นั้นจะทรงสนับสนุนผุ้ที่พระองค์ทรงประสงค์ด้วยการช่วยเหลือของ พระองค์ แท้จริงในสิ่งที่กล่าวมานั้นย่อมเป็นข้อเตือนสติแก่ผู้มีดวงตาทั้งหลาย


คำแปล R5.
๑๒. โอ้มูฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่บรรดายะฮูดีผู้ไม่มีความศรัทธาเถิดว่า พวกเจ้านั้นในอนาคตจะต้องได้รับความพ่ายแพ้ อยู่ ณ หน้าแผ่นดินด้วยการถูกฆ่าบ้าง เป็นเชลยบ้าง ถูกเรียกเก็บค่าต่างด้าวบ้าง แล้วในที่สุดผลก็ปรากฏเป็นเช่นนั้นจริง ๆ และ(พวกเจ้า)จะต้องถูกให้ไปรวมกันยังนรกยะฮันนำในวันปรภพและพวกเจ้าจะต้องเข้าอยู่นรกนั้น ก็นรกยะฮันนำนั้น มันเป็นที่พักอาศัยอันเลวร้ายนัก
๑๓. โอ้บรรดายะฮูดี อันที่จริงพวกเจ้าย่อมได้อุดมคติอย่างหนึ่ง ซึ่งอุดมคตินี้แสดงถึงถ้อยคำจริงของมูฮำมัดผู้ซึ่งเคยกล่าวว่า ต่อไปพวกเจ้าจะต้องได้รับความปราชัย ท่ามกลางชนสองพวกที่ปะทะกันในสงครามบัดร์ฝ่ายหนึ่งได้มูฮำมัดกับบรรดาสาวกจำนวน ๓๑๓ คน ได้ทำการสู้รบตามแนวทางของอัลเลาะห์แต่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนกาฟิร มีจำนวนทั้งสิ้นหนึ่งพันกว่าคน ทั้ง ๆ ที่ความจริงฝ่ายหลังมำกำลังพลมากว่า ฝ่ายหลังนี้แลเห็นโดยสายตาว่าอีกฝ่ายหนึ่ง (ฝ่ายแรก) มากเป็นสองเท่าของพวกตน ทั้ง ๆ ที่ความจริงฝ่ายหลังมีกำลังพลมากกว่าพวกแรก ส่วนอัลเลาะหฺนั้นจะทรงให้การสนับสนุนด้วยการสงเคราะห์ของพระองค์แก่บุคคลในฝ่ายแรกตามที่ทรงประสงค์ ด้วยประการเช่นที่ว่า “ฝ่ายหลังได้แลเห็นกำลังพลของฝ่ายแรกมากมาย” นี้แหละย่อมเป็นอุดมคติสำหรับพวกที่มีสายตาเห็นการไกล พวกยะฮูดีเอ๋ย พวกเจ้ามิได้พิจารณากันหรอกหรือ หากพวกเจ้าพิจารณาถี่ถ้วนแล้ว พวกเจ้าก็ต้องเชื่ออย่างแน่นอน




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 14-18






คำอ่าน
14. ซุยยินะลิน..นาสิ หุบบุชชะฮะวาติ มินัน..นิสา...อิ วัลบะนีนะ วัลเกาะนาฏีริลมุก็อนเฏาะเราะติ มินัซซะฮะบิ วัลฟิฎเฎาะติ วัลค็อยลิลมุเสาวะมะติ วันอันอามิวัลหัรษฺ, ซาลิกะมะตาอุลหะยาติดดุนยา วัลลอฮุอิน..ดะฮู หุสนุลมะอาบ
15. กุลอะอุนับบิอุกุม..บิค็อยริม..มินซาลิกุม ลิลละซีนัตตะก็อวฺ อิน..ดะร็อบบิฮิม ญัน..นาตุน..ตัจญรีมินตะหฺติฮัลอันฮารุ คอลิดีนะฟีฮา วะอัซวาญุม..มุเฏาะฮฺฮะเราะตู..วะริฎวานุม..มินัลลอฮฺ วัลลอฮุบะศีรุม..บิลอิบาด
16. อัลละซีนะยะกูลูนะร็อบบะนา..อิน..นะนา..อามัน..นา ฟัฆฟิรฺละนา ซุนูบะนา วะกินาอะซาบัน..นารฺ
17. อัศศอบิรีนะ วัศศอดิกีนะ วัลกอนิตีนะ วันมุน..ฟิกีนะ วัลมุสตัฆฟิรีนะ บิลอัสหารฺ
18. ชะฮิดัลลอฮุอัน..นะฮู ลาอิลาฮะ อิลลาฮุวะ วัลมะลา...อิกะตุ วะอุลุลอิลมิกอ...อิมัม..บิลกิซฏฺ ลา..อิลาฮะอิลลา ฮุวัลอะซีซุลหะกีม

คำแปล R1.
14. Beautified for men is the love of things they covet; women, children, much of gold and silver (wealth), branded beautiful horses, cattle and well-tilled land. This is the pleasure of the present world's life; but Allah has the excellent return (Paradise with flowing rivers, etc.) with Him.
15. Say: "Shall I inform you of things far better than those? for Al-Muttaqun (the pious - see V.2:2) there are Gardens (Paradise) with their Lord, underneath which rivers flow. Therein (is their) eternal (home) and Azwajun Mutahharatun (purified mates or wives) [i.e. they will have no menses, urine, or stool, etc.], and Allah will be pleased with them. And Allah is All-Seer of the (His) slaves".
16. Those who say: "Our Lord! We have indeed believed, so forgive us our sins and save us from the punishment of the Fire."
17. (They are) those who are patient ones, those who are true (in Faith, words, and deeds), and obedient with sincere devotion in Worship to Allah. Those who spend [give the Zakat and alms in the way of Allah] and those who pray and beg Allah's Pardon in the last hours of the night.
18. Allah bears witness that La ilaha illa Huwa (none has the right to be worshipped but He), and the angels, and those having knowledge (also give this witness); (He is always) maintaining his creation in justice. La Ilah illa Huwa (none has the right to be worshipped but He), the All-Mighty, the All-Wise.


คำแปล R2.
14. ได้ถูกถือเป็นสิ่งประดับ (เกียรติ) แก่มวลมนุษย์ ความลุ่มหลงในความใคร่ต่าง ๆ (ดังต่อไปนี้) นั้นคือบรรดาสตรี, บรรดาลูก ๆ และบรรดาทรัพย์สินสมบัติอันกองพะเนิน (อย่างมากมาย) ซึ่งมีทองคำ, เงิน, ม้าฝีเท้าจัด, ปศุสัตว์ และไร่นา (เป็นอาทิ) นั่นเป็นสิ่งอำนวยความสุข (ชั่วคราว) ในชีวิตทางโลกนี้ แต่ที่อัลเลาะฮฺนั้นมีเป้าหมายที่งดงาม (กว่าสิ่งเหล่านั้น นั่นคือสรวงสวรรค์)
15. เจ้าจงประกาศเถิด! “ฉันขอแถลงแก่ท่านทั้งหลายถึงสิ่งที่ประเสริฐแก่นั้นอีก นั้นคือสำหรับบรรดาผู้ยำเกรงนั้น ณ องค์อภิบาลของพวกเขามีสวรรค์ต่าง ๆ ซึ่งมีธารน้ำหลายสารไหลอยู่เบื้องใต้ของมัน พวกเขาอยู่ในนั้นโดยนิรันดร และพวกเขามีคู่ครองที่สะอาดบริสุทธิ์ และได้รับความพึงพระทัยจากอัลเลาะฮฺ และอัลเลาะฮฺทรงมองเห็นบรรดาข้าทาส (ของพระองค์เสมอ)”
16. บรรดา (ข้าทาสเหล่านั้น) ผู้กล่าวว่า “โอ้องค์อภิบาลของเรา อันพวกเราล้วนมีศรัทธาอย่างแท้จริง ดังนั้นขอได้โปรดอภัยแก่พวกเราซึ่งมวลบาปของพวกเรา และโปรดป้องกันพวกเรา จากการลงโทษของไฟนรกด้วยเถิด
17. บรรดา (ข้าทาสดังกล่าวเป็น) ผู้มีขันติธรรม, มีสัจธรรม, มีคารวธรรม, เป็นเหล่าผู้บริจาค และเป็นเหล่าผู้ขออภัยโทษในยามดึก
18. อัลเลาะฮฺทรงยืนยันว่า อันที่จริงพระองค์นั้นไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากพระองค์ และ (ได้ยืนยันเช่นนั้นโดย) มลาอิกะฮฺ และบรรดาผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลาย โดยยืนอยู่กับความเที่ยงธรรม แน่นอนที่สุด ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากพระองค์ผู้ทรงอำนาจยิ่ง อีกทั้งทรงปรีชายิ่ง


คำแปล R3.
14.   ความรักใคร่ในผู้หญิงและลูก ๆ การสะสมทองคำและเงินเป็นกอง ๆ ม้าพันธุ์ดี ปศุสัตว์และไร่นา ได้ถูกทำให้เป็นที่เย้ายวนสำหรับมนุษย์ แต่นั่นเป็นเพียงปัจจัยยังชีพแห่งโลกนี้ และอัลลอฮฺนั้น ที่พระองค์คือจุดหมายอันดี
15.   จงกล่าวเถิด “จะให้ฉันบอกพวกท่านถึงสิ่งที่ดีกว่าสิ่งเหล่านี้ไหม? สำหรับบรดาผู้สำรวมตนจากความชั่วนั้น ณ พระผู้อภิบาลของเขามีสวนหลากหลายซึ่งเบื้องล่างมีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน พวกเขาจะอยู่ที่นั่นพร้อมกับคู่ครองอันบริสุทธิ์ และจะได้รับความโปรดปรานจากอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงมองดูปวงบ่าวของพระองค์
16.   บรรดาคนเหล่านี้คือผู้ที่กล่าวว่า “พระผู้อภิบาลของเรา แท้จริงเรา เราศรัทธา ดังนั้นได้โปรดอภัยให้แก่ความผิดของเรา และทรงโปรดช่วยเราให้พ้นจากการลงโทษในไฟนรกด้วยเถิด
17.   (คนเหล่านั้นคือ) บรรดาผู้อดทน และบรรดาผู้สัตย์จริง บรรดาผู้ภักดีและบรรดาผู้บริจาค และบรรดาผู้ขอการอภัยโทษในช่วงต้น ๆ ของยามเช้า
18.   อัลลอฮฺทรงยืนยันว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ และมลาอิกะฮฺและปวงผู้มีความรู้ ต่างก็ยืนยันด้วยความจริงและยุติธรรมว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ


คำแปล R4.
14. ได้ถูกทำให้สวยงาม (ลุ่มหลง) แก่มนุษย์ซึ่งความรักในบรรดาสิ่งที่เป็นเสน่ห์อันได้แก่ผู้หญิงและลูกชาย,ทอง และเงินอันมากมาย และม้าดีและปศุสัตว์ และไร่นา นั่นเป็นสิ่งอำนวยประโยชน์ชั่วคราวในชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้เท่านั้น และอัลลอฮ์นั้น ณ พระองค์ คือที่กลับอันสวยงาม
15. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าจะให้ฉันบอกแก่พวกท่านถึงสิ่งที่ดียิ่งกว่านั้น ไหม? คือบรรดาผู้ที่ยำเกรงนั้น ณ พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา พวกเขาจะได้รับบรรดาสวนสวรรค์ ซึ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านอยู่เบื้องล่าง โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในสวนสวรรค์เหล่านั้นตลอดกาลและจะได้รับบรรดาคู่ ครองที่บริสุทธิ์ และความพึงใจจากอัลลอฮ์ด้วย และอัลลอฮ์นั้นทรงเห็นบรรดาบ่าวทั้งหลาย
16. คือบรรดาผู้ที่กล่าวว่า โอ้พระเจ้าแห่งพวกข้าพระองค์ แท้จริงพวกข้าพระองค์ศรัทธากันแล้ว โปรดทรงอภัยโทษให้แก่พวกข้าพระองค์ด้วยเถิด ซึ่งบรรดาความผิดของพวกข้าพระองค์และโปรดได้ทรงป้องกันพวกข้าพระองค์ให้พ้น จากการลงโทษแห่งไฟรกด้วย
17. บรรดาผู้ที่อดทน และบรรดาผู้ที่พูดจริง และบรรดาผู้ที่ภักดี และบรรดาผู้ที่บริจาคและบรรดาผู้ที่ขออภัยโทษในยามใกล้รุ่ง
18. อัลลอฮ์ทรงยืนยันว่า แท้จริงไม่มีผู้ที่ควรได้รับการเคารพสักการะใด ๆ นอกจากพระองค์เท่านั้น และมะลาอิกะฮ์ และผู้มีความรู้ในฐานะดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมนั้น ก็ยืนยันด้วยว่าไม่มีผู้ที่ควรได้รับการเคารพสักการะใด ๆ นอกจากพระองค์ผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณเท่านั้น


คำแปล R5.
๑๔. ความมักมากในสตรีก็ดี ในบรรดาบุตรหลานก็ดี ในทรัพย์สมบัติอันก่ายกอง อันได้แก่ ทอง เงิน ม้างาม ๆ ตลอดจนปศุสัตว์และพืชไร่ อันมีเมล็ดพันธุ์และพันธุ์ไม้ เป็นต้น ก็ดี ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นอุบานชักให้คนเราตกเป็นข้าของกิเลสได้ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้ถูกอัลเลาะห์ยังให้มวลมนุษย์เห็นเป็นดีงามสิ้น สำหรับผู้เป็นข้าของอัลเลาะห์เท่านั้น ที่จะแลเห็นสรวงสวรรค์และสิ่งต่าง ๆ ภายในนั้น เป็นสิ่งที่เพริศแพร้ว ต่างกับผู้เป็นข้าของกิเลสจะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ดังที่บรรยายมาแล้วเป็นสิ่งที่เพริศแพร้วโดยเฉพาะทุกอย่างที่กล่าวมา นี้คือสิ่งรื่นรมย์ในชีวิตปัจจุบัน ฉะนั้นเมื่อพิภพนี้ถึงการเสื่อมสูญลงแล้ว สิ่งต่าง ๆ ที่ว่านั้นก็ต้องเสื่อมสูญตามไปด้วย ส่วนอัลเลาะห์นั้นที่พระองค์มีสวรรค์อันเป็นสถานสวยงาม ซึ่งพระองค์ทรงตระเตรียมไว้สำหรับข้าของพระองค์ แต่มิใช่สำหรับบรรดาผู้ที่รักชอบสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าว ฉะนั้นความชอบนั้นควรเป็นความชอบในสวรรค์
๑๕. โอ้ มูฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่พรรคพวกของเจ้าให้มั่นใจในสิ่งที่อัลเลาะได้ทรงเตรียมไว้ และในสิ่งที่ยอดกว่าทุกสิ่งที่กล่าวไว้แล้วเถิดว่า ฉันจะบอกของที่เยี่ยมกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวไว้นั้นว่า สำหรับบรรดามุอ์มินผู้มีความสังวรจากการกุฟร์นั้นย่อมได้รับจากองค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเขาเป็นสรวงสวรรค์อันภายใต้นั้นมีลำน้ำไหลผ่าน โดยที่พวกเขาดำรงมั่นอยู่ในนั้นถาวรอย่างไม่มีวันจะถูกขับไล่ไสส่งออกและไม่ตาย และได้ซึ่งคู่ครองอันบริสุทธิ์ สะอาดปราศจากเลือดระดูและราคีประการอื่น ๆ ทั้งได้รับซึ่งความยินดีจากอัลเลาะห์อย่างมากด้วยฝ่ายอัลเลาะห์นั้นทรงเล็งเห็นตลอดในเหล่าบรรดาข้าพระองค์ พระองค์จะทรงตอบสนองแก่ข้าพระองค์ทุก ๆ คนให้ได้รับผลสมตามที่ได้ประกอบกันไว้
๑๖. ซึ่งบรรดาข้าแห่งพระองค์เหล่านั้นเป็นผู้ซึ่งกล่าวว่า โอ้องค์อภิบาลแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย แท้จริงข้าพระองค์ทั้งหลายได้ศรัทธาต่อพระองค์และต่อมูฮำมัดพระศาสดาของพระองค์กันแล้ว จึงขอพระองค์ได้โปรดอภัยโทษต่าง ๆ แก่บรรดาข้าพระองค์ และขอได้โปรดอารักขาบรรดาข้าพระองค์ให้รอดพ้นจากโทษทรมานในนรกด้วยเถิด
๑๗. บรรดาข้าพระองค์ที่มีความยำเกรงเรื่องซิรกุ์ (การตั้งภาคีเสมอด้วยพระองค์) ที่เอ่ยคำวิงวอนต่ออัลเลาะห์ว่า แท้จริงข้าพระองค์ทั้งหลายศรัทธาต่อพระองค์และต่อมูฮำมัดเหล่านั้นแหละเป็นพวกที่มีความอดทนในอันที่จะประพฤติตามที่ทรงใช้ให้กระทำดีและในอันที่จะงดเว้นซึ่งกรรมชั่ว เป็นพวกที่มั่นใจจริงในการศรัทธา เป็นพวกภักดีโดยประกอบแต่การที่ทรงใช้และออกห่างจาการที่ทรงห้าม เป็นพวกเสียสละทรัพย์เป็นทาน และเป็นพวกขออภัยจากอัลเลาะห์ให้ทรงเปลื้องโทษจากตนในยามอันใกล้อรุณรุ่งนั้นเป็นเวลาที่มวลมนุษย์อยู่ในวิสัยที่จะลืมอัลเลาะห์ได้ เพราะเป็นเวลานอนที่สุขที่สุด
๑๘. อัลเลาะห์ได้ทรงแจ้งแก่บรรดาข้าพระองค์ให้รู้จักพระองค์ด้วยหลักฐานทางอัลกุรอานและทางปัญญาไว้ว่า แท้จริงไม่มีพระเจ้าอื่นใดในพิภพนี้ที่ควรแก่การสักการะโดยเที่ยงแท้และถูกต้องนอกจากพระองค์เท่านั้น อีกทั้งมลาอิกะห์ต่างก็ยืนยันตามที่ทรงแจ้งไว้ และพระศาสดาตลอดจนมุอ์มินผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลายก็เป็นพยานทั้งวาจาและใจอีกด้วย โดยพระองค์ทรงเป็นผู้ธำรงด้วยความเป็นธรรมในด้านบริหารสรรพสิ่งอันถูกพระองค์สร้างสรรค์ ย่อมไม่มีพระเจ้าอื่นใดในภพนี้ที่ควรแก่การสักการะโดยเที่ยงแท้และถูกต้องนอกจากพระองค์เท่านั้น พระองค์ทรงอิทธิฤทธิ์เด็ดขาดยิ่งในการปกครอง ทรงประณีตแนบเนียนยิ่งในกิจการทั้งสิ้นของพระองค์




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺอาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 19-22





คำอ่าน
19. อิน..นัดดีนะอิน..ดัลลอฮิลอิสลาม วะมัคตะละฟัลละซีนะ อูตุลกิตาบะ อิลลามิม..บะอฺดิ มาญา...อะฮุมุลอิลมุ บัฆยัม..บัยนะฮุม วะมัยยักฟุรฺ บิอายาติลลาฮิ ฟะอิน..นัลลอฮะสะรีอุลหิสาบ
20. ฟะอินหา..จญูกะ ฟะกุลอัสลัมตุวัจญฮิยะลิลลาฮิ วะมะนิตตะบะอัน วะกุลลิลละซีนะ อูตุลกิตาบะ วัลอุม..มียีนะ อะอัสลัมตุม ฟะอินอัสละมู ฟะเกาะดิฮฺตะเดา วะอิน..ตะวัลเลา ฟะอิน..นะมา อะลัยกัลบะลาฆ วัลลอฮุบะศีรุม..บิลอิบาด
21. อิน..นัลละซีนะยักฟุรูนะ บิอายาติลลาฮิ วะยักตุลูนัน..นะบียีนะ บิฆ็อยริหักกิว..วะยักตุลูนัลละซีนะ ยะอ์มุรูนะบิลกิสฏิมินัน..นาสิ ฟะบัชชิรฺฮุม..บิอะซาบินอะลีม
22. อุลา...อิกัลละซีนะ หะบิก็อตอะอฺมาลุฮุม ฟิดดุนยาวัลอาคิเราะติ วะมาละฮุม..มิน..นาศิรีน

คำแปล R1.
19. Truly, the Religion with Allah is Islam. Those who were given the Scripture (Jews and Christians) did not differ except, out of mutual jealousy, after knowledge had come to them. And whoever disbelieves in the Ayat (proofs, evidences, verses, signs, revelations, etc.) of Allah, then surely, Allah is swift in calling to account.
20. So if they dispute with you (Muhammad) say: "I have submitted myself to Allah (in Islam), and (so have) those who follow me." And say to those who were given the Scripture (Jews and Christians) and to those who are illiterates (Arab pagans): "Do you (also) submit yourselves (to Allah in Islam)?" if they do, they are rightly guided; but if they turn away, your duty is only to convey the Message; and Allah is All-Seer of (His) slaves.
21. Verily! Those who disbelieve in the Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) of Allah and kill the Prophets without right, and kill those men who order just dealings, ... announce to them a painful torment.
22. They are those whose works will be lost in this world and in the hereafter, and they will have no helpers.


คำแปล R2.
19. แท้จริงศาสนา (อันเที่ยงแท้) ณ อัลเลาะฮฺ คือ อัลอิสลาม และบรรดาผู้ได้ถูกประทานคัมภีร์นั้น จะไม่พิพาทกัน (ในเรื่องของคัมภีร์) นอกจากภายหลังที่ความรู้แท้ได้มาปรากฏแก่พวกเขา ทั้งนี้เป็นเพราะความริษยาที่มีกันอยู่ระหว่างพวกเขา และผู้ใดก็ตามที่ปฏิเสธโองการต่าง ๆ ของอัลเลาะฮฺ แน่นอน อัลเลาะฮฺทรงสอบสวนอย่างรวดเร็ว
20. ดังนั้นหากพวกเขาได้โต้แย้งเจ้า เจ้าก็จงประกาศเถิด “ฉันขอมอบตัวต่ออัลเลาะฮฺ และผู้ที่ประพฤติตามฉัน (ก็เช่นเดียวกัน)” และเจ้าจงประกาศแก่บรรดาผู้ที่ถูกประทานคัมภีร์ และบรรดาผู้ไม่รู้หนังสือ (คือพวกอาหรับมุชริก) เถิดว่า “พวกท่านไม่มอบตัวกระนั้นหรือ” ดังนั้นหากพวกเขายอมมอบตัว แน่นอน พวกเขาก็ได้รับการชี้นำ แต่ถ้าพวกเขาหันหลังให้ ที่จริงแล้วเจ้าก็มีหน้าที่เพียงเผยแพร่เท่านั้น (หาต้องรับผิดชอบในพวกเขาไม่) และอัลเลาะฮฺทรงมองเห็นบรรดาข้าทาส (ของพระองค์เสมอ)
21. แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธโองการของอัลเลาะฮฺ และฆ่าบรรดานบีต่าง ๆ โดไม่ชอบธรรม และพวกเขาฆ่าบรรดาผู้ที่ใช้ (ให้มวลชน) มีความเที่ยงธรรมจากมนุษย์ ดังนั้นเจ้าจงแจ้งให้พวกเขาทราบเถิดถึงการลงโทษอันทรมานยิ่ง
22. พวกเหล่านั้น เป็นมวลผู้ผลงานของพวกเขาได้มลายสิ้นทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และสำหรับพวกเขาย่อมไม่มีผู้หนึ่งจากบรรดาผู้ช่วยเหลือ (ที่จะให้การช่วยเหลือแก่พวกเขา)


คำแปล R3.
19.   แท้จริง แนวทางแห่งชีวิตที่ถูกต้องในสายตาของอัลลอฮฺคืออิสลาม บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์มิได้ขัดแย้งกัน เว้นแต่ในตอนหลังจากที่พวกเขาได้รับความรู้แล้ว ทั้งนี้เพราะความอิจฉาริษยาในระหว่างพวกเขากันเอง และผู้ใดปฏิเสธอายะฮฺทั้งหลายของอัลลอฮฺจงรู้ไว้เถิดว่า อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงฉับพลันในการชำระ
20.   แต่ถ้าพวกเขาเถียงเจ้า จงบอกพวกเขาว่า “สำหรับฉันและผู้ปฏิบัติตามฉันนั้น เรานอบน้อมยอมจำนนต่ออัลลอฮฺ” และจงถามบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์และบรรดาผู้ไม่รู้หนังสือว่า “พวกท่านนอบน้อมยอมจำนนหรือเปล่า?” ถ้าหากพวกเขานอบน้อมยอมจำนนแล้ว พวกเขาก็ถูกนำทางอย่างถูกต้อง แต่ถ้าหากพวกเขาหันหลัง (เจ้าก็ไม่ต้องกังวล) หน้าที่ของเจ้าก็เพียงการเผยแผ่ และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเห็นปวงบ่าวอย่างใกล้ชิด
21.   สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธอายะฮฺทั้งหลายของอัลลอฮฺและฆ่านบีหลายคนอย่างไม่เป็นธรรม และมุ่งจะฆ่าบรรดาผู้ที่ลุกขึ้นมาท่ามกลางมนุษย์เพื่อย้ำความถูกต้องเที่ยงธรรมนั้น จงแจ้งข่าวการลงโทษอันเจ็บแสบให้พวกเขาได้รู้
22.   คนพวกนั้นคือผู้ที่การงานของพวกเขาไร้ผลทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และพวกเขาไม่มีผู้ช่วยเหลือ


คำแปล R4.
19. แท้จริงศาสนา ณ อัลลอฮ์นั้นคือ อัลอิสลาม และบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์มิได้ขัดแย้งกันนอกจากหลังจากที่ได้รับความรู้มายังพวกเขาเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากความอิจฉาริษยาระหว่างพวกเขาเอง และผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่อบรรดาโองการของอัลลอฮ์แล้วไซร้แน่นอนอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงรวดเร็วในการชำระ
20. แล้วหากพวกเขาโต้แย้งเจ้า ก็จงกล่าวเถิดว่าฉันได้มอบใบหน้า (ร่างกาย) ของฉัน แด่อัลลอฮ์แล้ว และผู้ที่ปฏิบัติตามฉัน(ก็มอบ) ด้วยและเจ้าจงกล่าวแก่บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ และบรรดาผู้ที่เขียนอ่านไม่เป็น ว่า พวกท่านมอบ (ใบหน้าแด่อัลลอฮ์) แล้วหรือ? ถ้าหากพวกเขาได้มอบแล้วแน่นอนพวกเขาก็ได้รับแล้ว ซึ่งแนวทางอันถูกต้อง และถ้าหากพวกเขาผินหลังให้ แท้จริงหน้าที่ของเจ้านั้นเพียงการประกาศให้ทราบเท่านั้น และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงเห็นปวงบ่าวทั้งหลาย
21. แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา ต่อโองการทั้งหลายของอัลลอฮ์ และฆ่าบรรดานะบีโดยปราศจากความเป็นธรรม และฆ่าบรรดาผู้ที่ใช้ให้มีความยุติธรรม จากหมู่ประชาชนนั้นเจ้า (มุฮัมมัด) จงแจ้งข่าวดี แก่พวกเขาเถิด ด้วยการลงโทษอันเจ็บแสบ
22. ชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่บรรดาการงานของพวกเขาไร้ผลทั้งในโลกนี้ และปรโลก และจะไม่มีบรรดาผู้ช่วยเหลือสำหรับพวกเขาเลย


คำแปล R5.
๑๙. แท้จริงศาสนาอันเป็นที่ยินดีแห่งอัลเลาะห์นั้นคือศาสนาอิสลาม ซึ่งมีพระศาสนาทูตหลายท่านถูกแต่งตั้งให้มาประกาศสั่งสอน เป็นศาสนาที่ตั้งมั่นอยู่บยรากฐานแห่งเอกภาพ (เตาฮีด) ของอัลเลาะห์ และบรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ทั้งฝ่ายยะฮูดีและนัซรอนีก็มิได้ขัดแย้งกันในศาสนาอิสลามเลย เว้นไว้แต่หลังจากได้มีความรู้เรื่องเอกภาพของอัลเลาะห์มายังพวกเขาแล้ว พวกทั้งสองนี้จึงเกิดขัดแย้งกันขึ้น คือ พวกหนึ่งบ้างว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่เที่ยงแท้ บ้างก็ว่าศาสนาอิสลามเป็นของชาวอาหรับเท่านั้น ส่วนอีกพวกหนึ่งบางกลุ่มปฏิเสธศาสนาอิสลามโดยเด็ดขาด และบางกลุ่มก็ขัดแย้งกันในเรื่องการนับถือพระเจ้าองค์เดียว เป็นต้นว่า พวกนัซรอนีนับถือพระเจ้าสามองค์ อันได้แก่อัลเลาะห์หนึ่ง มัรยัมหนึ่ง อีซาหนึ่ง ฝ่ายพวกยะฮูดีก็นับถือไปอีกอย่างหนึ่งคือมีความเชื่อมั่นว่า พระศาสดาอะซีซเป็นบุตรของอัลเลาะห์ ความนับถือที่ต่างกันดังที่ได้ชักอุทาหรณ์มาทั้งนี้เกิดแต่ความริษยาระหว่างกันและกันจากฝ่ายกาฟิร และถ้าผู้ใดปฏิเสธซึ่งบรรดาโองการที่บ่งชัดว่าศาสนาแห่งอัลเลาะห์นั้นคือศาสนาอิสลาม และยังไม่ปฏิเสธตามวัตถุประสงค์ของโองการนั้นแล้วไซร้ แน่นอนอัลเลาะห์ย่อมทรงสนองซึ่งกรรมดีและกรรมชั่วแห่งผู้เป็นข้าของพระองค์โดยฉับพลัน
๒๐. ฉะนั้นหากพวกกาฟิรเหล่านั้นถกเถียงกับเจ้าในเรื่องราวของศาสนาอิสลามตามนัยที่ว่าไว้แล้ว ก็ให้เจ้าบอกแก่พวกนั้นเถิดว่า “ฉันกับบรรดาชนมุอ์มินผู้เจริญตามฉันนั้นได้น้อมตามอัลเลาะห์แล้ว” และโอ้มูฮำมัดเจ้าจงกล่าวแก่บรรดาผู้ได้รับระคัมภีร์ทั้งที่เป็นพวกยะฮูดีและเป็นพวกนัซรอนี และแก่พวกอาหรับกาฟิรชาวมักกะห์ผู้ไร้คัมภีร์ว่า แท้จริงเมื่อหลักฐานชัดแจ้งมายัยให้พวกเจ้าจนแต้มและต้องถือศาสนาอิสลามได้มีมายังพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าทั้งสามฝ่ายจะน้อมตามอัลเลาะห์กันไหม? หรือว่าจะคงอยู่กับความไม่ศรัทธาของพวกเจ้า ถ้าแม้นพวกนั้นน้อมตามอัลเลาะห์แล้วแน่นอนพวกนั้นย่อมเป็นบุคคลที่ได้รับทางนำไปสู่หนทางอันเที่ยงตรง พ้นจากหนทางที่หลงใหล นั่นแหละนับว่าเป็นการก่อประโยชน์แก่ตัวเองด้วยการถอนตัวออกจากทางหลงนั้น แต่ถ้าพวกนั้นเหห่างออกจากศาสนาอิสลาม พวกนั้นก็ทำอันตรายอะไรแก่เจ้าไม่ได้ เพราะเจ้ามีหน้าที่เพียงการเผยแพร่เท่านั้น ฉะนั้นเจ้าจงอย่ารบพวกนั้นจนกว่าจะมีโองการสั่งให้รบมาถึงเสียก่อนจึงจะสู้รบกันได้ และอัลเลาะห์นั้นทรงเล็งเห็นตลอดในเหล่าบรรดาข้าของพระองค์ แล้วก็จะทรงตอบสนองพวกนั้นให้ได้รับผลตามที่ได้ปฏิบัติกันไว้
๒๑. แท้จริงบรรดายะฮูดีในสมัยมูฮำมัดเป็นผู้ปฏิเสธซึ่งโองการต่าง ๆ ของอัลเลาะห์ แถมยังฆ่ามูฮำมัดและพวกมุอ์มินและยังยินดีที่บรรพบุรุษของพวกตนได้ฆ่าบรรดานบีต่าง ๆ ก็ดี บรรดาที่บรรพบุรุษของพวกเขาฆ่าเหล่าพระศาสดาเป็นจำนวนถึง ๔๓ ท่านอย่างไร้ความเป็นธรรม และยังได้ฆ่าบรรดานักธรรมวินัยจำนวน ๑๗๐ คน ที่ใช้มนุษย์พวกนั้นให้ดำรงความเป็นธรรม กล่าวคือ คอยหักห้ามมิให้พวกนั้นฆ่าบรรดาศาสดาทั้งหลายก็ดี มูฮำมัดเอ๋ย เจ้าจงประกาศแก่พวก (ยะฮูดีสมัยมูฮำมัด) นั้นเถิดว่าต้องได้รับโทษทรมานอันเจ็บแสบ
๒๒. พวกเหล่านั้นแหละคือพวกที่กรรมดีต่าง ๆ ของพวกตน เช่นกรรมดีอันเนื่องมาแต่การผูกไมตรีวงษ์ญาติบ้าง การให้ทานบ้าง ได้สูญสลายลงทั้งในภพนี้และภพหน้า ทั้งนี้เนื่องมาจากพวกเหล่านั้นเป็นคนกาฟิร และสำหรับพวกเขานั้นจะมีผู้อนุเคราะห์มาคอยห้ามการลงโทษของอัลเลาะห์ก็หาไม่



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 23 - 25




คำอ่าน
23. อะลัมตะเราะอิลัลละซีนะอูตูนะศีบัม..มินัลกิตาบิ ยุดเอานะอิลากิตาบิลลาฮิ ลิยะหฺกุมะบัยนะฮุม ษุม..มะยะตะวัลลา ฟะรีกุม..มินฮุม วะฮุม..มัวะอฺริฎูน
24. ซาลิกะบิอัน..นะฮุม กอลูลัน..ตะมัสสะนัน..นารุ อิลลา..อัยยามัม..มะอฺดูดาต วะฆ็อรฺเราะฮุม ฟีดีนิฮิม..มากานูยัฟตะรูน
25. ฟะกัยฟะอิซายะมะอฺนาฮุม ลิเยามิลลาร็อยบะฟีฮิ วะวุฟฟิยัต กุลลุนัฟสิม..มากะสะบัต วะฮุมลายุซละมูน

คำแปล R1.
23. Have you not seen those who have been given a portion of the Scripture? They are being invited to the Book of Allah to settle their dispute, then a party of them turn away, and they are averse.
24. This is because they say: "The Fire shall not touch us but for a number of days." and that which they used to invent regarding their Religion has deceived them.
25. How (will it be) when we gather them together on the Day about which there is no doubt (i.e. the Day of Resurrection). And each person will be paid in full what he has earned? And they will not be dealt with unjustly.


คำแปล R2.
23. เจ้าไม่รู้หรือถึงบรรดา (พวกยะฮูดี) ผู้ที่ถูกประทานส่วนได้รับจากคัมภีร์ พวกเขาเรียกร้องสู่คัมภีร์ของอัลเลาะฮฺ เพื่อพิพากษาระหว่างพวกเขา แต่ครั้นแล้วก็มีคนกลุ่มหนึ่งจากพวกนั้นหันหลังให้ และพวกนั้นหันเห (ออกจากคัมภีร์อย่างไม่สนใจ)
24. นั้นเป็นเพราะพวกเขาได้กล่าวว่า “ไฟนรกไม่สัมผัสพวกเรา (ตลอดไป) นอกจากเพียงไม่กี่วันที่ถูกกำหนดไว้ (คือ 40 วัน)” และ (ถ้อยคำอันเป็น) สิ่งที่พวกเขาได้เสกสรรขึ้นนั้นได้ลวงพวกเขา (ให้เห็นผิดเป็นชอบ) ในศาสนาของพวกเขา
25. แล้วจะเป็นอย่างไรเล่า (สำหรับพวกยะฮูดีเหล่านั้น) เมื่อถึงวาระที่เราได้รวมพวกเขาในวัน (ชาติหน้า) ซึ่งไม่มีข้อสงสัยในมันเลย และแต่ละชีวิตย่อมได้รับผลแห่งสิ่งที่เขาได้พากเพียรไว้โดยครบถ้วน โดยพวกเขาไม่ถูกอธรรมเลย


คำแปล R3.
23.   เจ้ามิได้พิจารณษพฤติกรรมของบรรดาผู้ได้รับส่วนหนึ่งของคัมภีร์ดอกหรือ? เมื่อพวกเขาถูกเชิญชวนไปยังคัมภีร์ของอัลลฮฺ เพื่อการตัดสินระหว่างพวกเขา พวกเขาบางคนก็จะหันหลัง และหันเหออกจากการตัดสิน
24.   นั่นเป็นเพราะพวกเขากล่าวว่า “ไฟนรกจะไม่แผ้วพานพวกเรา แต่ถ้าจะแผ้วพานก็เพียงไม่กี่วัน” ความเชื่อที่พวกเขาคิดขึ้นเองเช่นนั้นได้ทำให้พวกเขาเกิดความเข้าใจผิด
25.   ดังนั้นพวกเขาจะเป็นอย่างไรเมื่อเราจะรวบรวมพวกเขาในวันที่จะต้องมีมาอย่างแน่นอน? ซึ่งในวันนั้นทุกชีวิตจะถูกตอบแทนครบตามที่มันได้กระทำไว้ และพวกเขาจะไม่ถูกอยุติธรรม


คำแปล R4.
23. เจ้า (มุฮัมมัด) มิได้มองดูบรรดาผู้ที่ได้รับส่วนหนึ่งจากคัมภีร์ ดอกหรือ? โดยที่พวกเขาถูกเชิญไปสู่คัมภีร์ของอัลลอฮ์ เพื่อคัมภีร์นั้นจะได้ตัดสินระหว่างพวกเขา (พวกผิดประเวณี) แล้วกลุ่มหนึ่งในหมู่พวกเขาก็ผินหลังให้และพวกเขาก็กำลังผินหลังให้อยู่
24. นั่นก็เพราะพวกเขากล่าวว่า ไฟนรกนั้นจะไม่แตะต้องพวกเราเลย นอกจากบรรดาวันที่ถูกนับไว้และสิ่งที่พวกเขากุขึ้นในศาสนาของพวกเขานั้น ได้หลอกลวงพวกเขาให้หลงเชื่อ
25. แล้วจะเป็นอย่างไรเล่า เมื่อเราได้ชุมนุมพวกเขาไว้สำหรับวันหนึ่ง ซึ่งในวันนั้นไม่มีการสงสัยใด ๆ และแต่ละชีวิตจะถูกตอบแทนอย่างครบถ้วนในสิ่งที่มีชีวิตนั้นได้แสวงหาไว้ โดยที่พวกเขาจะไม่ถูกอธรรม


คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ มีชายหญิงจากชนชาวยะฮูดีได้ทำประเวณีกันนอกอนุญาต (อัล-ซินา) พวกยะฮูดีจึงไปเรียนให้พระนบีมูฮำมัดทราบเพื่อให้ท่านตัดสินชายหญิงที่ทำประเวณีกับทำนองที่ว่านั้น ครั้นแล้วพระนบีจึงตัดสินชายหญิงที่ทำประเวณีให้ลงโทษชายและหญิงด้วยการเอาหินขว้าง แต่แทนที่จะเชื่อพวกนั้นกลับดื้อดึงไม่ยอมรับโทษตามที่ตัดสินนั้น จากนั้นพระคัมภีร์เตารอตได้ถูกนำมากาง ก็ปรากฏว่าในนั้นบ่งชัดให้ลงโทษขว้างชายหญิงที่ประกอบการประเวณีนอกอนุญาตเช่นเดียวกัน อันนี้เองทำให้พวกนั้นโกรธ จึงมีโองการลงมาว่า
๒๓. โอ้มูฮำมัด เจ้าย่อมจะล่วงรู้ไปถึงประวัติการณ์อันน่าประหลาดของบรรดายะฮูดีผู้มีส่วนได้รับคัมภีร์เตารอตถูกชักนำไปยังการยึดถือพระคัมภีร์เตารอตของอัลเลาะห์ เพื่อพระคัมภีร์เตารอตนั้นจะได้ตัดสินระหว่างชนพวกนั้น ครั้นแล้วกลุ่มหนึ่งจากพวกยะฮูดีเหล่านั้นต่างก็เดินเลี่ยงออกไปจากที่ประชุมอย่างไม่ใยดีกับการตัดสินให้ลงโทษขว้างชายหญิงผู้ล่วงประเวณีตามที่กล่าวนั้น
๒๔. การเดินเลี่ยงออกไปจากที่ประชุมก็ดี การที่หัวใจของเขานั้นเหห่างออกไปจากคำตัดสินก็ดี นี้แหละเป็นผลให้พวกนั้นกล่าวว่า ไฟนรกจะไม่ต้องพวกเราหรอก เว้นแต่ ๔๐ วันตามที่กำหนด ซึ่งจำนวนนี้เท่ากับเวลาที่บรรพบุรุษของพวกเขาทำบาปด้วยการบูชารูปโคทอง ต่อแต่นั้นไฟนรกก็จะอันตรธานไปจากพวกเขา และที่ว่าไฟนรกจะเผาผลาญอยู่เพียง ๔๐ วันตามถ้อยคำที่พวกเขาได้เคยโกหกไว้นั้น ย่อมลวงตัวเองในทางศาสนา
๒๕. แล้วสภาพของพวกยะฮูดีจะเป็นอย่างไรในเมื่อเรา (อัลเลาะห์) ได้รวบรวมพวกนั้น ณ วันหนึ่ง คือวันปรภพ ซึ่งในวันนั้นหามีความเคลือบแคลงใดไม่ แล้วทุก ๆ ชีวิตซึ่งไม่ว่าจะเป็นชาวยะฮูดี ชาวนัวรอนีหรือพวกอื่น ๆ ย่อมได้รับผลตอบแทนกรรมดีและกรรมชั่วตามส่วนที่ตนได้อุตส่าห์ทำไว้อย่างบริบูรณ์ โดยที่ปวงชนพวกเหล่านั้นจะไม่ถูกฉ้อโกงด้วยการให้ได้รับผลกรรมดีน้อยลงและการให้ได้รับผลกรรมชั่วเพิ่มมากขึ้นแต่ประการใดเลย



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 26 – 28




คำอ่าน
26. กุลิลลาฮุม..มะ มาลิกัลมุลกิ ตุอ์ติลมุลกะมัน..ตะชา...อุ วะตัน..ซิอุลมุลกะ มิม..มัน..ตะชา...อ์ วะตุอิซซุมัน..ตะชา...อุ วะตุซิลลุมัน..ตะชา...อ์ บิยะดิกัลค็อยรุ อิน..นะกะอะลากุลลิชัยอิน..เกาะดีรฺ
27. ตูลิญุลลัยละฟิน..นะฮาริ วะตูลิญุน..นะฮาเราะฟิลลัยลิ วะตุคริญุลหัยยะ มินัลมัยยิติ วะตุคริญุลมัยยิตะมินัลหัยยิ วะตัรฺซุกุมัน..ตะชา...อุ บิฆ็อยริหิสาบ
28. ลายัตตะคิซิลมุอ์มินูนัลกาฟิรีนะเอาลิยา...อะมิน..ดุนิลมุอ์มินีนะ วะมัย..ยัฟอัลซาลิกะ ฟะลัยสะมินัลลอฮิฟีชัยอิน อิลลา..อัน..ตัตตะกูมินฮุมตุกอฮฺ, วะยุหัรฺริรุกุมุลลอฮุนัฟสะฮฺ, วะอิลัลลอฮิลมะศีรฺ

คำแปล R1.

26. Say (O Muhammad): "O Allah! Possessor of the kingdom, You give the Kingdom to whom You will, and You take the Kingdom from whom You will, and You endue with honour whom You will, and You humiliate whom You will. In Your Hand is the good. Verily, You are able to do all things.
27. You make the night to enter into the day, and You make the day to enter into the night (i.e. increase and decrease in the hours of the night and the day during winter and summer), You bring the living out of the dead, and You bring the dead out of the living. And You give wealth and sustenance to whom You will, without limit (measure or account).
28. Let not the believers take the disbelievers as Auliya (supporters, helpers, etc.) instead of the believers, and whoever does that will never be helped by Allah in any way, except if you indeed fear a danger from them. And Allah warns you against himself (his punishment), and to Allah is the final return.


คำแปล R2.
26. เจ้าจงกล่าวเถิด “โอ้อัลเลาะฮฺ! ผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งอำนาจปกครอง พระองค์ทรงประทานอำนาจปกครองแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงถอดถอนอำนาจนั้นออกจากผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ พระองค์ยกเกียรติแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงยังความอัปยศแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ ความดีย่อมอยู่ในอำนาจของพระองค์ แท้จริงพระองค์ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง
27. พระองค์ทรงให้กลางคืนล้ำเข้าในกลางวัน และทรงให้กลางวันล้ำเข้าในกลางคืน ทรงทำให้สิ่งมีชีวิตออกมาจากสิ่งไร้ชีวิต และทรงให้สิ่งไร้ชีวิตออกมาจากสิ่งมีชีวิต และพระองค์ทรงประทานโชคผลแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์โดยไม่มีการคำนวณ
28. บรรดาผู้ศรัทธาจะต้องไม่ยึดเอาบรรดาผู้ปฏิเสธขึ้นเป็นมิตร นอกจากมวลผู้ศรัทธา (ด้วยกันเอง) และผู้ใดปฏิบัติเช่นนั้น เขาย่อมไม่มีจากอัลเลาะฮฺในกรณีเดียว (ที่จะเกี่ยวข้องกัน) ยกเว้นพวกเจ้ามีความหวาดกลัวในเรื่องที่น่ากลัวหนึ่ง ๆ จากด้านพวกนั้น (ก็ย่อมให้พวกเขาเป็นมิตรได้) และอัลเลาะฮฺทรงกำชับพวกเจ้าให้เกรงกลัวพระองค์เพียงอย่างเดียว และยังอัลเลาะฮฺเท่านั้นที่เป็นเป้าหมาย (ของพวกเจ้าทั้งมวล)


คำแปล R3.
26.   จงกล่าวเถิด “โอ้ อัลลอฮฺผู้ทรงอำนาจแห่งอาณาจักร พระองค์ทรงประทานอาณษจักรแก่ผู้ที่พระองค์?รงประสงค์และพระองค์ทรงริบอาณาจักรจากผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และพระองค์ทรงให้เกียรติแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และพระองค์ทรงให้ความอัปยศแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ สิ่งที่ดีทั้งหมดนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง
27.   พระองค์ทรงทำให้กลางคืนลอดเข้าไปในกลางวันและกลางวันลอดเข้าไปในกลางคืน และพระองค์ทรงทำให้ที่มีชีวิตออกจากที่ตาย และพระองค์ทรงทำให้ที่ตายออกมาจากที่มีชีวิต และพระองค์ทรงประทานเครื่องยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์โดยปราศจากการคำนวณ
28.   จงอย่าให้บรรดาผู้ศรัทธายึดเอาผู้ปฏิเสธเป็นมิตรและเห็นพวกเขาดีกว่าบรรดาผู้ศรัทธา หากผู้ใดกระทำเช่นนั้นก็จะไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับอัลลอฮฺ เว้นแต่สูเจ้าจะปกป้องตัวเองให้พ้นจากพวกเขา อย่างไรก็ตามอัลลอฮฺได้เตือนสำทับสูเจ้าให้เกรงกลัวพระองค์ เพราะยังพระองค์ที่สูเจ้าจะคืนกลับไป


คำแปล R4.

26. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าข้าแต่อัลลอฮ์ผู้ทรงอภิสิทธิ์แห่งอำนาจทั้งปวง ! พระองค์นั้นจะทรงประทานอำนาจแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และจะทรงถอดถอนอำนาจจากผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และจะทรงให้เกียรติแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และจะทรงยังความต่ำต้อยแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ ความดีทั้งหลายนั้นอยู่ที่พระหัตถ์ ของพระองค์ แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
27. พระองค์ทรงให้กลางคืนเข้าไปในกลางวัน และทรงให้กลางวันเข้าไปในกลางคืน และทรงให้สิ่งที่มีชีวิต ออกจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต และทรงให้สิ่งที่ไม่มีชีวิตออกจากสิ่งที่มีชีวิต และทรงให้ปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พะองค์ทรงประสงค์โดยปราศจากการคำนวณ
28. ผู้ศรัทธาทั้งหลายนั้น จงอย่าได้ยึดเอาบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นมิตรอื่นจากบรรดามุมิน และผู้ใดกระทำเช่นนั้น เขาย่อมไม่อยู่ในสิ่งใดที่มาจากอัลลอฮ์ นอกจากพวกเจ้าจะป้องกัน (ให้พ้นอันตราย) จากพวกเขาจริง ๆ เท่านั้น และอัลลอฮ์ทรงเตือนพวกเจ้าให้ยำเกรงพระองค์ และยังอัลลอฮ์นั้นคือการกลับไป (ของพวกเจ้า)


คำแปล R5.
๒๖. โอ้มูฮำมัด เจ้าจงกล่าวเถิดว่า “ข้าแต่พระองค์อัลเลาะห์ องค์ทรงสิทธิ์ทางการปกครอง พระองค์นั้นจะทรงมอบอำนาจการปกครองแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และจะทรงถอดถอนอำนาจปกครองจากผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ก็ได้ พระองค์จะทรงให้อิทธิพลแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และจะทรงให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์กลับตกต่ำก็ได้ อันความดีและความชั่วมีได้ด้วยอำนาจของพระองค์เท่านั้น เพราะแท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ในอัลเลาะห์ทรงมีพลังในอันที่จะบริหารงานตามความในโองการที่ ๒๗ ซึ่งเป็นงานอันใหญ่ยิ่ง ทั้งทำให้ปัญญาและความเข้าใจงุนงงในผลงานเหล่านี้ได้ อำนาจของพระอง์ในอันที่ถอดถอนอำนาจปกครองจากชนมิใช่อาวอาหรับ (ชนอะยัม) แล้วลดอำนาจปกครองของพวกนี้ให้ตกต่ำลง แล้วในอันที่จะมอบอำนาจปกครองนั้นแก่ชาวอาหรับ แล้วยกฐานะปกครองของพวกนี้ให้สูงเด่นขึ้น เหล่านี้ล่วนเป็นงานง่ายสำหรับอัลเลาะห์ยิ่งกว่างานในด้านอื่น ๆ ที่เป็นของง่าย
๒๗. พระองค์ทรงให้กลางคืนผ่านหายเข้าไปในกลางวัน ทรงให้กลางวันผ่านหายเข้าไปในกลางคืน ซึ่งภาคทั้งสองนี้ภาคใดภาคหนึ่งมีช่วงเวลาเพิ่มขึ้นหรือลดลง ภาคที่ตรงข้ามก็จะมีช่วงเวลาลดลงหรือเพิ่มขึ้น และพระองค์ทรงผลิตสิ่งที่เป็นออกจากสิ่งที่ตาย เช่นมนุษย์ออกจากอสุจิ และนกต่าง ๆ ออกจากไข่เป็นต้น และทรงผลิตสิ่งที่ตายออกจากสิ่งที่เป็น เช่นให้น้ำอสุจิและไข่ออกจากมนุษย์และนกต่าง ๆ เป็นต้น และพระองค์ทรงอำนวยปัจจัยต่าง ๆ แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์อย่างกว้างขวาง
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ บรรดาชนมุอ์มินมีใจรักชอบพวกยะฮูดีอย่างไม่เปิดเผย
๒๘. พวกมุอ์มินอย่าเอาพวกกาฟิรมาเป็นที่รักของพวกตน อาจจะในฐานะญาติบ้าง ในฐานะสหายบ้าง และในฐานะขอความช่วยเหลือให้ร่วมรบและให้มาร่วมงานศาสนากันได้ แต่จงรักพวกมุอ์มินโดยเฉพาะ ถ้าผู้ใดกระทำเช่นนั้น กล่าวคือไปรักใคร่พวกกาฟิรเข้า ผู้นั้นก็ย่อมไม่มีอันใดจากศาสนาของอัลเลาะห์เลย นอกเสียจากพวกเจ้าจะเกรงอิทธิพลของพวกนั้น ก็ยอมให้พวกเจ้ารักใคร่กับพวกนั้นในทางวาจาเท่านั้น ข้ออนุโลมเช่นนี้ ใช้ในเมื่ออิสลามยังไม่เรืองอำนาจ และมีผลใช้เฉพาะบรรดาชนมุอ์มินที่อาศัยอยู่ในประเทศใด ๆ ที่พวกตนยังหย่อนอำนาจ หรือผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศซึ่งทั้งฝ่ายรัฐและฝ่ายราษฎร์ให้ความเกื้อกูลแก่กันและกัน และอัลเลาะห์จะทรงเตือนพวกเจ้าให้เกรงการลงโทษของพระองค์ หากว่าพวกเจ้ายังรักใคร่อยู่กับบรรดาชนกาฟิร แล้วบั้นปลายของพวกเจ้านั้นจะคืนไปสู่การสอบสวนของอัลเลาะห์ซึ่งพระองค์จะทรงสนองผลกรรมแก่พวกเจ้าด้วย




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 29 – 32


คำอ่าน
29. กุลอิน..ตุคฟูมาฟีศุดูริกุม เอาตุบดูฮุ ยะอฺลัมฮุลลอฮุ วะยะอฺละมุ มาฟิสสะมาวาติ วะมาฟิลอัรฎิ วัลลอฮุอะลากุลลิชัยอิน..เกาะดีรฺ
30. เยามะตะญิดุ กุลลุนัฟสิม..มาอะมิลัต มินค็อยริม..มัวะห์เฎาะร็อว..วะมาอะมิลัตมิน..สูอิน..ตะวัดดุเลาอัน..นะ บัยนะฮาวะบัยนะฮู..อะมะดัม..บะอีดา, วะยุหัรฺริมุกุมุลลอฮุนัฟสะฮฺ วัลลอฮุเราะอูฟุม..บิลอิบาด
31. กุลอิน..กุน..ตุมตุหิบบูนัลลอฮะ ฟัตตะบิอูนี ยัวะหฺบิบกุมุลลอฮุ วะยัฆฟิรฺละกุม ซุนูบะกุม วัลลอฮุเฆาะฟูรุรฺเราะหีม
32. กุลอะฏีอุลลอฮะ วัรฺเราะสูละ ฟะอิน..ตะวัลเลา ฟะอิน..นัลลอฮะ ลายุหิบบุลกาฟิรีน

คำแปล R1.
29. Say (O Muhammad): "Whether you hide what is in your breasts or reveal it, Allah knows it, and He knows what is in the heavens and what is in the earth. And Allah is Able to do all things."
30. On the Day when every person will be confronted with all the good he has done, and all the evil he has done, he will wish that there were a great distance between him and his evil. And Allah warns you against himself (His punishment) and Allah is full of Kindness to the (His) slaves.
31. Say (O Muhammad to mankind): "If you (really) love Allah then follow me (i.e. Accept Islamic Monotheism, follow the Qur'an and the Sunnah), Allah will love you and forgivey of your sins. And Allah is Oft-Forgiving, Most Merciful."
32. Say (O Muhammad): "Obey Allah and the Messenger (Muhammad)." but if they turn away, then Allah does not like the disbelievers

คำแปล R2.
29. เจ้าจงประกาศเถิด “มาดแม้นพวกเจ้าจะปิดบังสิ่งที่อยู่ในใจของพวกเจ้า หรือเจ้าจะเปิดเผยมันออกมาก็ตาม อัลเลาะฮฺย่อมรอบรู้ในสิ่งนั้น (เป็นอันดี)”
30. ในวัน (อาคิเราะฮฺ) ซึ่งแต่ละชีวิตจะพบว่า อันความดีที่เขาได้ประพฤตินั้นถูกนำมาให้ปรากฏอยู่ต่อหน้า (อย่างชัดเจนมองเห็นได้ในบัญชีความประพฤติของทุกคน) และความชั่วที่เขาได้ประพฤตินั้น เขามีความชอบใจนัก หากจะมีระหว่างมันกับตัวเขาระยะเวลาอันไกลสุด และอัลเลาะฮฺทรงกำชับพวกเจ้าทั้งหลายให้ยำเกรงพระองค์เพียงพระองค์เดียว และอัลเลาะฮฺทรงปรานีต่อมวลข้าทาส (ทั้งสิ้นของพระองค์)
31. เจ้าจงประกาศเถิด มาดแม้นพวกท่านมีความรักในอัลเลาะฮฺ พวกท่านก็จง (ประพฤติ) ตามฉัน แน่นอน ฮัลเลาะฮฺจะรักพวกท่าน และทรงให้อภัยแก่พวกท่าน บรรดาความผิดของพวกท่าน และอัลเลาะฮฺทรงให้อภัย อีกทั้งทรงเมตตายิ่ง
32. เจ้าจงประกาศเถิด ท่านทั้งหลายจงภักดีต่ออัลเลาะฮฺและศาสนทูต แต่ถ้าพวกเขาหันหลังให้ แท้จริงอัลเลาะฮฺไม่ทรงรักบรรดาผู้เนรคุณ


คำแปล R3.
29.   (โอ้ นบี) จงกล่าวเตือนผู้คนให้รู้เถิดว่า อัลลอฮฺทรงรอบรู้ในสิ่งที่สูเจ้าปิดบังไว้ในอกหรือที่สูเจ้าเปิดเผย และพระองค์ทรงรอบรู้ทุกสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและที่อยู่ในแผ่นดิน และอัลลอฮฺทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง
30.   วันซึ่งทุกชีวิตจะได้พบสิ่งที่เขาได้ทำไว้ไม่ว่าจะเป็นความดีหรือความชั่วก็ตามกำลังรอเขาอยู่ ในวันนั้นเขาอยากที่จะให้มีช่วงเวลาอันยาวไกลระหว่างตัวเขากับวันนั้น อัลลอฮฺทรงเตือนสำทับสูเจ้าให้เกรงกลัวพระองค์ เพราะพระองค์เป็นผู้ทรงปรานีปวงบ่าวของพระองค์
31.   (นบีเอ๋ย) จงบอกประชาชนเถิดว่า “ถ้าพวกท่านรักอัลลอฮฺก็จงปฏิบัติตามฉันแล้วอัลลอฮฺจะทรงรักพวกท่านและจะทรงให้อภัยความผิดของพวกท่าน เพราะพระองค์เป็นผู้ทรงอภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ”
32.   จงกล่าวกับพวกเขาด้วยว่า “จงเชื่อฟังอัลลอฮฺและรอซูล” แต่ถ้าหากพวกเขายังหันหลังให้ (จงเตือนพวกเขาว่า) อัลลอฮฺมิทรงรักผู้ปฏิเสธ


คำแปล R4.
29. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่าหากพวกท่านปกปิดสิ่งที่อยู่ในอกของพวกท่าน หรือเปิดเผยมันก็ตาม อัลลอฮ์ก็ย่อมรู้สิ่งนั้นดีและทรงรู้สิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้า และสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน และอัลลอฮ์นั้นทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
30. วันที่แต่ละชีวิตพบความดีที่ตนได้ประกอบไว้ถูกนำมาอยู่ต่อหน้า และความชั่วที่ตนได้ประกอบไว้ด้วย แต่ละชีวิตนั้นชอบ หากว่าระหว่างตนกับความชั่วนั้นจะมีระยะทางที่ห่างไกล และอัลลอฮฺทรงเตือนพวกเจ้าให้ยำเกรงพระองค์ และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงกรุณาปราณีต่อปวงบ่าวทั้งหลาย
31. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่า หากพวกท่านรักอัลลอฮฺ ก็จงปฏิบัติตามฉัน อัลลอฮฺก็จะทรงรักพวกท่าน และจะทรงอภัยให้แก่พวกท่านซึ่งโทษทั้งหลายของพวกท่าน และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ
32. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่า พวกท่านจงเชื่อฟังอัลลอฮฺและรอซูลเถิดแต่ถ้าพวกเขาผินหลังให้ แท้จริงอัลลอฮฺนั้นไม่ทรงชอบผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย


คำแปล R5.
๒๙. โอ้มูฮำมัด จงกล่าวเตือนบรรดาชนมุอ์มินเถิด ถ้าว่าพวกเจ้าซ่อนความรักพวกกาฟิรไว้ในใจของพวกเจ้าหรือจะเปิดเผยมัน อัลเลาะห์ก็ทรงรู้ซึ่งความรักนั้น และพระองค์ยังทรงรู้ซึ่งความรักนั้น และพระองค์ยังทรงรู้สิ่งในบรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ด ตลอดจนสิ่งในผืนแผ่นดิน และอัลเลาะห์นั้นทรงมีอานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งการลงโทษของอัลเลาะห์ต่อบรรดาผู้รักพวกกาฟิรนั้นก็จัดว่าเป็นส่วนหนึ่งจากสิ่งที่อัลเลาะห์ทรงมีอานุภาพ
๓๐. โอ้มูฮำมัด เจ้าจงกล่าวเตือนประชากรของเจ้าซิว่า ในวันปรภพนั้นเป็นวันที่ทุกชีวิตจะได้พบความดีที่ตนปฏิบัติไว้มาปรากฏใกล้ และความชั่วที่ตนปฏิบัติไว้ คนก็อยากจะให้ตนเองกับการชั่วนั้นไกลสุดไกล จนกระทั่งความชั่วนั้นไม่มีทางจะมาถึงตนได้ และอัลเลาะห์จะทรงเตือนพวกเจ้าให้เกรงการลงโทษของพระองค์ หากว่าพวกเจ้ายังรักใคร่อยู่กับพวกกาฟิร ฝ่ายอัลเลาะห์นั้นทรงเอ็นดูยิ่งแก่บรรดาข้าพระองค์ ด้วยการปูนบำเหน็จบุญกุศลอันมากมายเป็นของตอบแทนความดีที่ถูกทำไว้แม้เพียงเล็กน้อย
มูลเหตุแห่งการลงโทษโองการต่อไปนี้ มีคราวหนึ่ง พวกกาฟิรชาวมักกะห์เอ่ยว่าพวกเราจะไม่เคารพบูชาเทวรูปหรือรูปเคารพใด ๆ เว้นแต่กระทำไปเพราะพวกเรานี้รักใคร่ในอัลเลาะห์ เพื่อว่าบรรดาเทวรูปเหล่านั้นเป็นตัวกลางนำพวกเราไปเข้าชิด อัลเลาะห์จึงมีโองการลงมาว่า
๓๑. โอ้มูฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่กาฟิรชาวมักกะห์นั้นเถิดว่า แม้ว่าพวกเจ้ารักที่จะปฏิบัติตามใช้และตามห้ามของอัลเลาะห์แล้วไซร้ ก็จงเจริญตามคำใช้และห้ามของฉันซิ อัลเลาะห์จึงจะโปรดประทานบุญกุศลแก่พวกเจ้าและจะทรงอภัยโทษต่างๆ แก่พวกเจ้าโดยพระองค์จะไม่ทรงแฉความบาปของพวกเจ้าในวันกิยามะห์ ด้วยอัลเลาะห์นั้นคือองค์ทรงยิ่งในการอภัยโทษในอดีตของผู้ที่เจริญรอยตามฉันทั้งทรงโปรดปรานยิ่งแก่ผู้นั้น
๓๒. โอ้มูฮำมัด เจ้าจงกล่าวเตือนกาฟิรชาวมักกะห์อีกเถิดว่า พวกเจ้าจงน้อมตามอัลเลาะห์และพระศาสนทูตของพระองค์ในการสักการะเฉพาะพระองค์ตามที่ทรงบัญชาใช้พวกเจ้าเท่านั้น แต่ถ้าพวกกาฟิรชาวมักกะห์เหล่านั้นให้หลัง ไม่ยอมกระทำตามใช้และตามห้ามของพระองค์ แน่นอนพระองค์จะทรงลงโทษพวกกาฟิรนั้น




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 33 - 37







คำอ่าน
33. อิน..นัลลอฮัศเฏาะฟา..อาดะมะ วะนูเหา..วะอาละฮิบรอฮีมะ วะอาละอิมรอนะ อะลัลอาละมีน
34. ซุรรียะตัม..บะอฺฎุฮา มิมบะอฺฎิว..วัลลอฮุสะมีอุนอะลีม
35. อิซกอละติมเราะอะตุ อิมรอนะ ร็อบบิอินนี นะซัรฺตุละกะมาฟีบัฏนี มุหัรฺเราร็อน..ฟะตะก็อบบัลมิน..นี อิน..นะกะอัน..ตัสสะมีอุลอะลีม
36. ฟะลัม..มาวะเฎาะอัตฮา กอลัตร็อบบิอิน..นี วะเฎาะอฺตุฮา..อุน..ษา วัลลอฮุอะอฺละมุบิมาวะเฎาะอัต วะลัยสัซซักกะรุกัลอุน..ษา วะอิน..นีสัม..มัยตุฮามัรฺยะมะ วะอิน..นี..อุอีดุฮาบิกะ วะซุรฺรียะตะฮามินัชชัยฏอนิรฺเราะญีม
37. ฟะตะก็อบบะละฮา ร็อบบุฮา บิเกาะบูลินหะสะนิว..วะอัม..บะตะฮา นะบาตันหะสะเนา..วะกัฟฟะละฮาซะกะรียา กุลละมาดะเคาะละอะลัยฮาซะกะรียัลเมียะหฺรอบะ วะญะดะอิน..ดะฮาริศก็อน..กอละ ยามัรฺยะมุ อัน..นาละกิฮาซา กอลัตฮุวะมินอิน..ดิลลาฮฺ อิน..นัลลอฮะยัรฺซุกุมัย..ยะชา..อุ บิฆ็อยริหิสาบ

คำแปล R1.
33. Allah chose Adam, Nuh (Noah), the family of Ibrahim (Abraham) and the family of 'Imran above the 'Alamin (mankind and jinns) (of their times).
34. Offspring, one of the other, and Allฟh is the All-Hearer, All-Knower.
35. (Remember) when the wife of 'Imran said: "O my Lord! I have vowed to You what (the child that) is in my womb to be dedicated for Your services (Free from All worldly work; to serve Your place of worship), so accept this, from me. Verily, You are the All-Hearer, the All-Knowing."
36. Then when she delivered her [child Maryam (Mary)], she said: "O my Lord! I have delivered a female child," - and Allah knew better what she delivered, - "And the male is not like the female, and I have named her Maryam (Mary), and I seek refuge with You (Allah) for her and for her offspring from Shaitan (Satan), the outcast."
37. So her Lord (Allah) accepted her with goodly acceptance. He made her grow in a good manner and put her under the care of Zakariya (Zachariya). Every time he entered Al-Mihrab to (visit) her, he found her supplied with sustenance. He said: "O Maryam (Mary)! From where have you got this?" she said, "This is from Allah." Verily, Allah provides sustenance to whom He wills, without limit."


คำแปล R2.
33. แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงคัดเลือกอาดัม, นูห์, วงศ์วานแห่งอิบรอฮีม, และวงศ์วานแห่งอิมรอน (ให้มีเกียรติ ) เหนือชาวโลกทั้งมวล
34. เป็นเผ่าพันธุ์ที่สืบเชื้อสายซึ่งกันและกัน และอัลเลาธฮฺทรงได้ยินยิ่ง อีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง
35. เมื่อครั้งที่ผู้หญิง (ภริยา) ของอิมรอน (ชื่อฮันนะฮฺ) ได้กล่าวว่า “โอ้ผู้อภิบาลของฉัน! แท้จริงฉันขอบนต่อพระองค์ว่า สิ่งที่มีอยู่ในครรภ์ของฉันนี้ ขอถวายเป็นอิสระ (เพื่อจำศีลในบัยติลมุก้อดดิส) ดังนั้นขอพระองค์ได้ทรงโปรดสนองตอบจากฉันเถิด แท้จริงพระองค์ทรงได้ยินยิ่ง อีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง
36. ต่อมาเมื่อนางได้คลอดเธอ (มัรยัม) แล้วนางก็กล่าวว่า “โอ้องค์อภิบาล แท้จริงฉันได้คลอดเธอเป็นเพศหญิง และอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ยิ่งในสิ่งที่นางคลอด และเพศชายย่อมไม่เป็นเช่นเพศหญิง และแท้จริงฉันตั้งชื่อเธอว่า มัรยัม และตัวฉันขอให้พระองค์ทรงอารักขาเธอ และเผ่าพันธุ์ของเธอให้พ้นจากมารร้ายที่ถูกอัปฌปหิด้วย”
37. ดังนั้นองค์อภิบาลของนางก็ได้ตอบรับ (คำขอของ) นาง ด้วยการตอบรับอันดีงาม และพระองค์?รงให้นาง (มัรยัม) เจริญวัยขึ้นอย่างงดงาม (เป็นกุลสตรีพร้อมทุกอย่าง) และพระองค์ทรงให้ซะกะรียาเป็นผู้อุปการะนาง ทุกครั้งที่ซะกะรียาได้เข้าไปหานางที่ห้องนมัสการ เขาได้พบปัจจัยยังชีพอยู่ที่นาง (อย่างพร้อมเพรียง) เขาจึงถามว่า “มัรยัมเอ๋ย! สิ่งนี้เธอมีมันได้อย่างไร” นางก็ตอบว่า “มันมาจากอัลเลาะฮฺ แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ประสงค์ โดยไม่มีการนับคำนวณ


คำแปล R3.

33.   แท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงเลือกอาดัม และนูฮฺ และผู้สืบตระกูลของอิบรอฮีมและผู้สืบตระกูลของอิมรอน เหนือประชาชาติทั้งหลาย
34.   พวกเขาเป็นเผ่าพงษ์จากกันและกัน และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้
35.   (พระองค์ทรงได้ยิน) เมื่อหญิงของอิมรอนกล่าวว่า “พระผู้อภิบาลของฉัน ฉันได้บนไว้ต่อพระองค์ถึงสิ่งที่อยู่ในครรภ์ของฉันให้เป็นสิ่งอุทิศถวายสำหรับพระองค์ ดังนั้น ได้ทรงโปรดรับจากฉัน แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้
36.   หลังจากนั้นเมื่อนางได้คลอดลูกออกมา นางได้กล่าวว่า “พระผู้อภิบาลของฉัน ฉันได้คลอดเด็กผู้หญิงออกมา” และอัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่งในสิ่งที่นางคลอด และเพศชายนั้นไม่เหมือนเพศหญิง ดังนั้นฉันได้ตั้งชื่อเธอว่ามัรฺยัม และฉันขอพระองค์ได้ทรงคุ้มครองเธอและลูกของเธอให้พ้นจากมารร้ายที่ถูกสาปแช่ง”
37.   ดังนั้น พระผู้อภิบาลของนางจึงได้รับเธอด้วยดี และทรงให้เธอเจริญวัยอย่างสมบูรณ์และได้มอบหมายเธอให้อยู่ในการอุปการะของซะกะรียา เมื่อใดก็ตามที่ซะกะรียาเข้าไปหาเธอในที่หวงห้าม เขาก็ได้พบอาหารอยู่ที่เธอ เขาจะถามว่า “มัรฺยัมเอ๋ย เจ้าได้สิ่งนี้มาจากที่ไหน?” นางตอบว่า “มันมาจากอัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺทรงประทานเครื่องยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์โดยปราศจากการคำนวณ”


คำแปล R4.
33. แท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงคัดเลือก อาดัมและนูห์ และวงศ์วานของอิบรอฮีม และวงศ์วานของอิมรอนให้เหนือกว่าประชาชาติทั้งหลาย
34. เป็นเผ่าพันธุ์ ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากกันและกัน และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้
35. จงรำลึกถึงขณะที่ภรรยาของอิมรอน กล่าวว่า โอ้พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์! แท้จริงข้าพระองค์ได้บนไว้ว่าให้สิ่ง(บุตร)ที่อยู่ในครรภ์ของข้า พระองค์ ถูกเจาะจงอยู่ในฐานะผู้เคารพอิบาดะฮ์ต่อพระองค์และรับใช้พระองค์เท่านั้น ดังนั้นขอพระองค์ได้โปรดรับจากข้าพระองค์ด้วยเถิด แท้จริงพระองค์ท่านเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้
36. ครั้นเมื่อนางได้คลอดบุตร นางก็กล่าวว่า โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์! แท้จริงข้าพระองค์ได้คลอดบุตรเป็นหญิง และอัลลอฮฺนั้นทรงรู้ดียิ่งกว่าถึงบุตรที่นางได้คลอดมา และใช่ว่าเพศชายนั้นจะเหมือนกับเพศหญิงก็หาไม่ และข้าพระองค์ได้ตั้งชื่อเขาว่า “มัรยัม” แล้วข้าพระองค์ขอต่อพระองค์ให้ทรงคุ้มครองนาง และลูกของนางให้พ้นจากชัยฏอนที่ถูกขับไล่
37. แล้วพระเจ้าของนางก็ทรงรับมัรยัมไว้อย่างดี และทรงให้นางเจริญวัยอย่างดีด้วยและได้ทรงให้ซะกะรียาอุปการะนาง คราใดที่ซะกะรียาเข้าไปหานางที่อัลมิหฺรอบเขาก็พบปัจจัยยังชีพ อยู่ที่นาง เขากล่าวว่า มัรยัมเอ๋ย! เธอได้สิ่งนี้มาอย่างไร?นางกล่าวว่า มันมาจากที่อัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺนั้นจะทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์โดยปราศจากการคิดคำนวณ


คำแปล R5.
๓๓. แท้จริงอัลเลาะห์ได้ทรงเลือกเฟ้นอาดัม นูห์ อิบรอฮีมและอิมรอนผู้บิดาของมัรยัมหรือของมูซาให้มีเกียรติเหนือประชาชาติทั้งหลาย ทั้งนี้เพราะพระองค์จะทรงให้ใคร ๆ เป็นนบีก็ต้องเลือกเฟ้นเอาจากบุคคลจากสายสกุลของบรรดานบีที่ออกชื่อมานั้น
๓๔. โดยนับแต่อาดัมมาจนถึงอิมรอนเป็นเชื้อสายกันซึ่งบางจำพวกสืบสายมาแต่อีกพวกหนึ่ง และอัลเลาะห์นั้นทรงได้ยินยิ่งในถ้อยคำแห่งผู้เป็นภรรยาของอิมรอน ทรงรู้ยิ่งในจินตนาการของภรรยาอิมรอน
๓๕. โอ้มูอำมัด เจ้าจงกล่าวแก่บรรดาประชากรของเจ้าให้ระลึกถึงในขณะที่นางฮันนะห์ผู้เป็นภรรยาของอิมรอนซึ่งเธออยู่ในวัยชราภาพ แต่อยากจะได้บุตรชายสักคนหนึ่งเนื่องจากเธอแลเห็นนกลูกอ่อนมันกำลังป้อนเหยื่อแก่ลูกของมัน แล้วนางก็รู้สึกตัวเองว่าตนตั้งครรภ์หลังจากที่นางได้กล่าวคำวิงวอนต่ออัลเลาะห์ตามนัยแห่งถ้อยคำว่า โอ้พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์นี้ได้บนไว้ต่อพระองค์ว่า จะให้บุตรผู้อยู่ในครรภ์ของข้าพระองค์เป็นผู้มีอิสรภาพ ไม่มีความกังวลในกิจการต่าง ๆ ทางโลก เพื่อคอยรับปฏิบัติงานในพระวิหารอันบริสุทธิ์ของพระองค์ คือไบตุลมุก๊อดดิส ดังนั้นขอพระองค์ได้โปรดรับซึ่งถ้อยคำบนบานจากข้าพระองค์ไว้ด้วยเถิด เพราะแท้จริงพระองค์นั้นทรงได้ยินยิ่ง ในถ้อยคำวิงวอน ทรงรู้ยิ่งในจินตนาการต่าง ๆ จากนั้นอิมรอนผู้สามีก็ได้ตายลงขณะนางฮันนะห์ผู้ภรรยากำลังตั้งครรภ์อยู่
๓๖. ในเมื่อนางได้คลอดเธอออกมาเป็นหญิงซึ่งนางเคยหวังว่าตนนั้นจะได้บุตรเป็นชาย ทั้งนี้เพราะผู้ที่จะคอยดูแลรับใช้กิจการของไบตุลมุก๊อดดิสนั้นจะต้องเป็นชาย แล้วนางก็กล่าวแสดงความเสียใจพร้อมกับโยนความผิดให้พ้นตัวว่า โอ้พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์ได้คลอดบุตรแล้วเป็นหญิง แต่อัลเลาะห์ทรงรู้ยิ่งในอันที่นางได้คลอดนั้น และมิใช่ว่าชายที่ข้าพระองค์หมายปองนั้นจะเหมือนหญิงที่ข้าพระองค์ถูกประทานก็หาไม่ ทั้งนี้เนื่องจากผู้ชายนั้นควรแก่การรับใช้งานของพระวิหารอันบริสุทธิ์คือไบตุลมุก๊อดดิส แต่หญิงหาเหมาะและควรแก่การเช่นนั้นไม่ เนื่องด้วยเหตุหลายประการ เช่น เธอเป็นเพศที่อ่อนแอเป็นผู้ต้องใช้เครื่องนุ่งห่มปิดกายเป็นปริมณฑลโดยตลอด และเป็นผู้ที่มีเลือดระดูเป็นประจำเดือน เป็นต้น และแท้จริงข้าพระองค์ได้ขนานชื่อเธอว่ามัรยัม ข้าพระองค์ขอต่อพระองค์ให้ปกป้องเธอและเชื้อสายของเธอให้พ้นจากความล่อลวงของไซตอนที่ถูกขับไสออกจากพระเมตตาของพระองค์
๓๗. อัลเลาะห์ได้ทรงรับเธอ (นางมัรยัม) จากนางฮันนะห์ผู้เป็นภรรยา พร้อมด้วยเกียรติที่นางได้รับเท่าชาย เพื่อให้เธอได้เป็นผู้รับใช้อยู่ในพระวิหารอันมีเกียรติ คือ ไบตุลมุก๊อดดิส และได้ทรงให้เธอเจริญวัยขึ้นเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมด้วยมารยาทอันดีงามและทรงให้เธอได้รู้จักพระองค์อย่างลึกซึ้งบริบูรณ์ ฝ่ายนางฮันนะห์ได้นำมัรยัมผู้เป็นบุตรสาวไปให้พบพวกนักปราชญ์ชาวยะฮูดีผู้มีหน้าที่รับใช้งานในไบตุลมุก็อดดิส นางบอกว่าพวกท่านจงเอาตัวมัรยัมผู้ถูกบนบานนี้ไว้เถิด นักปราชญ์เหล่านั้นจึงเข้าชิงจะเอามัรยัมไว้ ทั้งนั้เพาระเหตุมัรยัมเป็นบุตรสาวของอิมรอน ผู้เป็นหัวหน้าของพวกตน ในการเข้าชิงตัวมัรยัมนี้ ซะกะรียาอ้างว่า “ฉันมีสิทธิ์ที่จะได้มัรยัมมากกว่าพวกท่าน เพราะว่าอิชาอ์น้องของฮันนะห์เป็นภรรยาของฉัน” เมื่อพวกนักปราชญ์ถูกอ้างด้วยไม้นี้เข้าจึงพร้อมกันค้านขึ้นว่า “เอาอย่างนั้นไม่ได้ ขอให้พวกเราจับฉลากกันจะดีกว่า” ในที่สุดตกลงกันได้โดยนักปราชญ์เหล่านั้นมีจำนวน ๒๙ คนได้พากันไปยังไม่น้ำอัรดัน ทุกคนเอาปากกาของตนโยนลงไปในแม่น้ำนั้น และร่วมกันสัญญาว่า ถ้าปากกาของใครลอยผู้นั้นมีสิทธิ์ได้รับมัรยัม แต่ผลปรากฏว่า ปากกาของซะกะรียาลอยน้ำ ฉะนั้นซะกะรียาจึงมีสิทธิ์ได้ตัวมัรยัม ต่อแต่นั้นซะกะรียาจึงได้สร้างห้องห้องหนึ่งขึ้นในมัสยิดไปตุลมุก๊อดดิส มีบันไดสำหรับขึ้นสู่ห้องนั้นได้เฉพาะซะกะรียาผู้เดียวเพื่อนำอาหารและเครื่องดื่มตลอดจนน้ำมันชโลมกายไปส่งให้ แต่ที่แปลกก็คือว่า ซะกะรียาได้ไปเห็นผลไม้ฤดูหนาวเข้า ดังที่อัลเลาะห์ได้ตรัสเล่าว่า และซะกะรียาได้อุ้มเธอ (นางมัรยัม) มา คราใดที่เขา (ซะกะรียา) ได้เข้าไปหาเธอถึงห้อง เขาก็พบเครื่องบริโภคเป็นผลไม้ผิดฤดูกาลมีอยู่ที่เธอ เขาจึงเอ่ยว่า โอ้มัรยัมเธอได้สิ่งนี้มาแต่ไหน เธอผู้อยู่ในวัยเด็กตอบว่า ได้มาจากอัลเลาะห์ เพราะแท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงอำนวยปัจจัยแก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์อย่างกว้างขวาง



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺอาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 38 - 41



คำอ่าน
38. ฮุนาลิกะดะอาซะกะรียาร็อบบะฮฺ, กอละร็อบบิฮับลีมิลละดุน..กะ ซุรฺรียะตัน..ฏ็อยยิบะฮฺ, อิน..นะกะสะมีอุดดุอา..อ์
39. ฟะนาดัตฮุลมะลา...อิกะตุ วะฮุวะกอ..อิมุย..ยุศ็อลลีฟิลเมียะหฺรอบิ อัน..นัลลอฮะ ยุบัชชิรุกะบิยะหฺยา มุศ็อดดิก็อม..บิกะลิมะติม..มินัลลอฮิ วะสัยยิเดา..วะหะศูร็อว..วะนะบียัม..มินัศศอลิหีน
40. กอละร็อบบิอัน..นายะกูนุลีฆุลามู..วะก็อดบะละเฆาะนิยัลกิบะรุ วัมเราะอะตีอากิรฺ กอละกะซาลิกัลลอฮุยัฟอะลุมายะชา..อ์
41. กอละร็อบบิจญอัลลี..อายะฮฺ กอละอายะตุกะ อัลลาตุกัลลิมัน..นาสะ ษะลาษะตะอัยยามิน อิลลาร็อมซา วัซกุรฺร็อบบะกะกะษีร็อว..วะสับเบียะหฺบิลอะชียิวัลอิบการฺ

คำแปล R1.
38. At that time Zakariya (Zachariya) invoked his Lord, saying: "O my Lord! Grant me from you, a good offspring. You are indeed the All-Hearer of invocation."
39. Then the angels called him, while He was standing in prayer in Al-Mihrab (a praying place or a private room), (saying): "Allah gives you glad tidings of Yahya (John), confirming (believing in) the word from Allah [i.e. the creation of 'Iesa (Jesus), the word from Allah ("Be!" - and he was!)], noble, keeping away from sexual relations with women, a Prophet, from among the righteous."
40. He said: "O my Lord! How can I have a son when I am very old, and my wife is barren?" Allah said: "Thus Allah does what He wills."
41. He said: "O My Lord! Make a sign for me." Allah said: "Your sign is that you shall not speak to mankind for three days except with signals. And remember your Lord much (by praising Him again and again), and glorify (Him) in the afternoon and In the morning."


คำแปล R2.
38. ณ ที่นั้น ซะกะรียาได้วอนขอต่อองค์อภิบาลของเขาโดยกล่าวว่า “โอ้องค์อภิบาล! โปรดประทานแก่ข้าพเจ้าจากพระองค์ซึ่งเผ่าพันธุ์ที่ดี แท้จริงพระองค์ทรงเป็นผู้ได้ยินคำวอนขออย่างยิ่ง
39. ต่อจากนั้นมลาอิกะฮฺก็เรียกเขา ในขณะที่เขากำลังยืนทำละหมาดในห้องนมัสการว่า แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงแจ้งข่าวดีแก่ท่านด้วย (ว่าท่านจะได้บุตรคนหนึ่งชื่อ) ยะหฺยา ซึ่งเป็นผู้ยืนยันใน (ฐานะของนบีอีซาผู้เป็น) พระคำแห่งอัลเลาะฮฺ เป็นหัวหน้า, เป็นผู้สงวนตัว (ให้บริสุทธิ์เสมอ), และเป็นศาสดาหนึ่งจากบรรดาผู้ประพฤติดีทั้งหลาย
40. เขากล่าวว่า โอ้องค์อภิบาล ข้าพเจ้าจะมีเด็กได้อย่างไร ในเมื่อความชราภาพได้มาถึงข้าพเจ้าแล้ว และหญิง (ภริยา) ของข้าพเจ้าก็เป็นหมัน พระองค์ทรงตรัสว่า ก็เช่นนั้นแหละ อัลเลาะฮฺทรงบันดาลแก่สิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์
41. เขากล่าว (ต่อไปอีก) ว่า “โอ้องค์อภิบาลโปรดบันดาลเครื่องหมายหนึ่งแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด (ที่จะรู้ว่าภริยาตั้งครรภ์)” พระองค์ทรงตรัสว่า “เครื่องหมายของเจ้านั้นคือเจ้าจะไม่พูดคุยกับผู้คนถึงสามวัน นอกจากใช้สัญญาณอย่างเดียว และเจ้าจงรำลึกถึงองค์อภิบาลของเจ้าให้มาก และจงถวายสดุดีพระบพิตรธิคุณ (แด่พระองค์) ทั้งในยามเย็นและยามเช้า”


คำแปล R3.
1.   ณ ที่นั้น ซะกะรียา ได้วิงวอนต่อพระผู้อภิบาลของเขาว่า “พระผู้อภิบาลของฉัน ได้ทรงโปรดประทานลูกที่ดีจากพระองค์ให้แก่ฉัน แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยินการขอพร”
2.   ในขณะที่เขายืนสวดภาวนาอยู่ในสถานที่หวงห้ามนั้น มลาอิกะฮฺได้เรียกเขาและกล่าวว่า “อัลลอฮฺได้ทรงให้ข่าวดีแก่ท่านถึงเรื่องการมีบุตรชื่อยะหฺยาผู้ซึ่งจะมายืนยันพระวัจนะหนึ่งจากอัลลอฮฺ และจะเป็นหัวหน้าและผู้บริสุทธิ์และนบีจากหมู่กัลยาณชน”
3.   ซะกะรียากล่าวว่า “พระผู้อภิบาลของฉัน ฉันจะมีลูกได้อย่างไรใรเมื่อฉันเข้าสู่วัยชราภาพมากแล้ว และภรรยาของฉันก็เป็นหมัน?” พระองค์ตอบว่า “กระนั้นก็เถิด อัลลอฮฺทรงกระทำสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์”
4.   เขากล่าวว่า “พระผู้ทรงอภิบาลของฉัน ได้ทรงโปรดให้สัญญาณแก่ฉัน” พระองค์ตรัสว่า “สัญญาณของเจ้านั้นคือเจ้าจะ (ไม่สามารถ) พูดกับผู้คนสามวันเว้นแต่โดยการบอกใบ้ และจงระลึกถึงพระผู้อภิบาลของเจ้าให้มาก และจงสดุดีพระองค์ทั้งยามค่ำและรุ่งอรุณ”


คำแปล R4.
38. ที่โน่น แหละ ซะกะรียาได้วิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าของเขาโดยกล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ โปรดได้ทรงประทานแก่ข้าพระองค์ซึ่งบุตรที่ดีคนหนึ่งจากที่พระองค์ แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยินคำวิงวอน
39. และมะลาอิกะฮ์ได้เรียกเขา ขณะที่เขากำลังยืนละหมาดอยู่ในอัลมิห์รอบว่า แท้จริงอัลลอฮ์ทรงแจ้งข่าวดีแก่ท่านด้วยยะห์ยา โดยที่จะเป็นผู้ยืนยันพจมานหนึ่งจากอัลลอฮ์ และจะเป็นผู้นำและผู้รักษาไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ และเป็นนะบีคนหนึ่งจากหมู่ชนที่เป็นคนดี
40. เขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะมีบุตรได้อย่างไร โดยที่ความชราภาพได้มาถึงข้าพระองค์แล้วและภรรยาของข้าพระองค์ก็เป็นหมัน ด้วย พระองค์ตรัสว่ากระนั้นก็ตามอัลลอฮฺจะทรงกระทำตามที่พระองค์ทรงประสงค์
41. เขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์! โปรดได้ทรงให้มีสัญญาณหนึ่งแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด พระองค์ตรัสว่าสัญญาณของเจ้านั้นคือ เจ้าจะไม่สามารถพูดแก่ผู้คนเป็นเวลาสามวันนอกจากด้วยการแสดงท่าทางเท่านั้นและจงรำลึกถึงพระเจ้าของเจ้ามาก ๆ และจงกล่าวสดุดีในความบริสุทธิ์ของพระองค์ ทั้งในเวลาเย็นและเวลาเช้า


คำแปล R5.
๓๘. ในขณะที่ซะกะรียาได้แลเห็นการประทานผลไม้ผิดฤดูกาลแก่นางมัรยัม และรู้ได้ว่าแท้จริงพระองค์ผู้มีพลังความสามารถในอันที่จะประทานสิ่งใดที่ผิดฤดูกาลของมันได้ ก็ต้องเป็นผู้มีพลังความสามารถในอันที่จะประทานบุตรให้แก่ผู้อยู่ในวัยชราได้เช่นดียวกันและเห็นว่าครอบครัวของตนก็ตายไปหมด อันนี้เองในค่ำคืนหนึ่งที่ได้เข้าสู่ห้องเพื่อทำละหมาด ซะกะรียาจึงได้ขอวิงวอนต่อพระผู้อภิบาลของตน เขากล่าวว่า โอ้องค์พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ ขอได้โปรดประทานจากพระองค์ให้แก่ข้าพระองค์ได้ บุตรผู้สืบสันดานที่ชอบสักคนหนึ่งเถิดเพราะแท้จริงพระองค์นั้นทรงรับซึ่งคำขอเสมอ
๓๙. แล้วมลาอิกะห์ผู้หนนึ่ง ชื่อว่ายิบรออีล ได้ร้องเรียกเขา (ซะกะรียา) ขณะที่เขากำลังยืนละหมาดอยู่ ณ มัสยิดว่า แท้จริงอัลเลาะห์ทรงเสนอข่าวดีแก่ท่านเกี่ยวกับการคลอด ยะห์ยา ผู้มาในฐานะเป็นผู้ยืนยันว่าพระนบีอีซาถูกอัลเลาะห์ให้กำเนิดมาโดยไม่มีบิดา ในฐานะผู้นำ ในทั้งในวิชาการในด้านเคารพสักการะต่ออัลเลาะห์ และในด้านรักษาธรรม เป็นผู้สงวนตัวให้พ้นจากสตรีเพศ และเป็นพระศาสดาหนึ่งที่สืบเทือกเถามาจากพระศาสดาผู้ชอบธรรมทั้งหลาย
๔๐. เขา(ซะกะรียา)ได้กล่าวคำวิงวอนว่า โอ้องค์พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะมีลูกชายได้อย่างไร? ทั้ง ๆ ที่ข้าพระองค์ก็แก่เฒ่าจนอายุถึง ๑๒๐ ปีแล้ว ฝ่ายภรรยาของข้าพระองค์ก็เป็นหมัน มีอายุถึง ๙๘ ปี พระองค์จึงตรัสว่า ก็นั่นซี งานในด้านให้เกิดมีบุตรชายขึ้นจากเจ้าทั้งสองผู้อยู่ในวัยชรานั้น อัลเลาะห์จะทรงให้บังเกิดได้ตามที่พระองค์ทรงประสงค์
๔๑. ครั้นเมื่อซะกะรียากระหายอยากจะได้บุตรชายเป็นตัวเป็นตนเร็วขึ้น เขาจึงกล่าวคำวิงวอนต่ออัลเลาะห์อีกว่า โอ้องค์อภิบาลแห่งข้าพระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดให้มีสัญญาณแก่ข้าพระองค์สักอย่างหนึ่งที่แสดงอาการมีครรภ์ของภรรยาข้าพระองค์ พระองค์ตรัสตอบว่า สัญญาณสำหรับเจ้าที่แสดงอย่างนั้น คือเจ้าต้องไม่พูดกับมวลมนุษย์ถึงสามวันสามคืน นอกจากโดยการให้หมายด้วยสายตาบ้าง ด้วยพยักคิ้วหรือขีดเขียนบ้างเป็นต้น และจงนึกถึงพระนามแห่งองค์อภิบาลของเจ้าให้มาก ๆ ทั้งในเวลาที่เก็บตัวและในเวลาที่ถูกห้ามพูดจาทั้งนี้เพื่อรำลึกถึงบุญคุณของพระองค์ แล้วจงทำละหมาดทั้งในยามเช้าและยามเย็น



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺอาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 42 - 44


คำอ่าน
42. วะอิซกอละติลมะลา...อิกะตุ ยามัรฺยะมุ อิน..นัลลอฮัศเฏาะฟากิ วะเฏาะฮฺฮะเราะกิ วัศเฏาะฟากิ อะลานิสา...อิลอาละมีน
43. ยามัรฺยะมุกนุตี ลิร็อบบิกิ วัสญุดี วัรฺกะอี มะอัรฺรอกิอีน
44. ซาลิกะมินอัม..บา...อิลฆ็อยบิ นูหีฮิอิลัยกะ วะมากุน..ตะละดัยฮิม อิซยุลกูนะ อักลามะฮุม อัยยุฮุม ยักฟุลุมัรฺยัม, วะมากุนตะละดัยฮิม อิซยัคตะศิมูน

คำแปล R1.
42. And (remember) when the angels said: "O Maryam (Mary)! Verily, Allah has chosen you, purified you (from polytheism and disbelief), and chosen you above the women of the 'Alamin (mankind and jinns) (of her lifetime)."
43. O Mary! "Submit yourself with obedience to your Lord (Allah, by worshiping none but Him Alone) and prostrate yourself, and Irka'i (bow down etc.) along with Ar-Raki'un (those who bow down etc.)."
44. This is a part of the news of the Ghaib (unseen, i.e. the news of the past nations of which you have no knowledge) which we inspire you with (O Muhammad ). You were not with them, when they cast lots with their pens as to which of them should be charged with the care of Maryam (Mary); nor were you with them when they disputed.


คำแปล R2.
42. และเมื่อมลาอิกะฮฺได้กล่าวว่า “โอ้มัรยัม! แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงคัดเลือกเธอ ทรงชำระมลทินแก่เธอ และทรงเลือกสรรตัวเธอ (ให้มีเกียรติ) เหนือสตรีแห่งโลกทั้งหลาย
43. โอ้มันยัม เธอจงคารวะต่อองค์อภิบาลของเธอ เธอจงกราบนมัสการ และจงก้ม (ละหมาด) พร้อมกับมวลผู้ก้ม (ละหมาด) ทั้งหลาย”
44.  (เรื่องราวของซะกะรียาตามที่กล่าวมา) นั้นเป็นบางข่าวที่เร้นลับ ซึ่งเราดลใจเจ้า (มุฮำมัด) ให้รู้ทั้งที่ตัวเจ้าหาอยู่ต่อหน้าพวกเขาไม่ เมื่อพวกเขาทิ้งปากกาของพวกเขา (ลงไปในแม่น้ำอัรดัน เพื่อเสี่ยงทายกันว่า) คนใดของพวกเขาที่จะได้อุปการะมัรยัม ทั้ง ๆ ที่ตัวของเจ้านั้นมิได้อยู่ต่อหน้าพวกเขาในขณะที่พวกเขาโต้เถียงกัน


คำแปล R3.
42.   และก็ถึงเวลาเมื่อมลาอิกะฮฺกล่าวว่า “มัรฺยัมเอ๋ย แท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงเลือกเธอ และทรงทำให้เธอบริสุทธิ์ และได้ทรงเลือกเธอเหนือบรรดาหญิงของโลก
43.   มัรฺยัมเอ๋ย จงภักดีต่อพระผู้อภิบาลของเธอและจงกราบและจงโค้งร่วมกับผู้ที่โค้งในการแสดงความเคารพภักดี
44.   (โอ้ มุฮัมมัด) นั่นเป็น “สิ่งเร้นลับ” ที่เราได้เปิดเผยแก่เจ้า เจ้ามิได้อยู่ที่นั่น เมื่อพวกนักบวชแห่งวิหารทำการเสี่ยงทายโดยการโยนติ้วเพื่อตัดสินว่าผู้ใดในหมู่พวกเขาควรจะอุปการะมัรฺยัม และเจ้าก็ไม่ได้อยู่ในหมู่พวกเขาเมื่อพวกเขาโต้เถียงกันเกี่ยวกับมัน


คำแปล R4.
42. และจงรำลึกขณะที่มะลาอิกะฮ์กล่าวว่ามัรยัมเอ๋ย! แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงเลือกเธอและทรงทำให้เธอบริสุทธิ์ และได้ทรงเลือกเธอให้เหนือบรรดาหญิงแห่งประชาชาติทั้งหลาย
43. มัรยัมเอ๋ย! จงภักดีต่อพระเจ้าของเจ้าเถิด และจงสุยูดและรุกูอ์ ร่วมกับรรดาผู้รุกูอ์ทั้งหลาย
44. นั่นคือส่วนหนึ่งจากบรรดาข่าวของสิ่งเร้นลับ ซึ่งเราชี้แจงให้เจ้าทราบ และเจ้ามิได้อยู่ ณ ที่พวกเขาขณะที่พวกเขาโยเครื่องเสี่ยงทายของพวกเขา(เพื่อทราบว่า) ใครในหมู่พวกเขาจะได้อุปการะมัรยัม และเจ้ามิได้อยู่ ณ ที่พวกเขา ขณะพวกเขาโต้เถียงกัน


คำแปล R5.
๔๒. และโอ้มูฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่บรรดาประชากรของเจ้าเถิดว่า ในเวลาที่มลาอิกะห์ผู้หนึ่งชื่อยิบรออีลได้เอ่ยขึ้นว่า โอ้มัรยัม อัลเลาะห์ทรงเลือกเฟ้นเธอแล้วด้วยทรงรับเธอมาจากมารดาของเธอ ซึ่งการอย่างนี้แต่ก่อนแต่ไรพระองค์ไม่เคยทรงรับใครมาเลย พระองค์ทรงให้ตัวเธอจำเริญเติบโตขึ้นภายในความปกครองของซะกะรียา ทรงให้ผลไม้จากสรวงสวรรค์เธอ พระองค์ได้ทรงให้เธอผ่องแผ้วจากราคีแห่งความสัมผัสกันระหว่างองคชาต (ทวารเบา) ของชายใดกับของเธอ ปราศจากเลือดทั้งที่เป็นระดูประจำเดือนและในคราวคลอดบุตร และได้ทรงเลือกเฟ้นเธอให้ดีเลิศเหนือบรรดาสตรีประชากรในยุคเดียวกับเธอ ด้วยทรงให้เธอได้อีซาโดยมิต้องมีบิดาผู้ให้กำเนิด
๔๓. โอ้มัรยัม เธอจงภักดีต่อพระผู้อภิบาลของเธอ และจงทำละหมาดร่วมบรรดาผู้ปฏิบัติละหมาดทั้งหลายเถิด
๔๔. เรื่องของซะกะรียากับมัรยัมตามที่กล่าวมานี้แหละเป็นส่วนหนึ่งจากการบอกข่าวเร้นลับซึ่งตัวเจ้าไม่รู้ อันเราได้ดลโองการลับนั้นมายังเจ้า และเจ้าเองก็มิได้ปรากฏตัวอยู่ร่วมกับพวกนักปราชญ์เหล่านั้น ในขณะที่พวกนั้นโยนปากกาลงไปยังแม่น้ำอัรดัน เป็นการจับฉลากเพื่อให้รู้ได้ว่าใครจะเป็นผู้ได้รับเลี้ยงดูมัรยัม และเจ้าเองก็มิได้ปรากฏตัวอยู่ร่วมกับพวกนักปราชญ์เหล่านั้นในขณะที่พวกนั้นโต้เถียงกันเรื่องการเลี้ยงดูมัรยัม โอ้มูฮำมัด เจ้าจงรู้ตามเรื่องที่กล่าวไว้นี้เถิดเพื่อจะได้เอาเรื่องนี้ไปบอกให้ประชากรของเจ้ารู้กันทั่วไป การที่เจ้ารู้เรื่องที่ว่านั้นก็รู้มาแต่การดลโองการจากอัลเลาะห์เท่านั้น




 

GoogleTagged