ผู้เขียน หัวข้อ: กุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 3 สูเราะฮฺ อาละอิมรอน  (อ่าน 13691 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 45 - 49


คำอ่าน
45. อิซกอละติลมะลาอิกะตุ ยามัรฺยะมุ อิน..นัลลอฮะ ยุบัชชิรุกะ บิกะลิมาติม..มินฮุสมุฮุลมะสีหุ อีสับนุมัรฺยะมะ วะญีฮัน..ฟิดดุนยาวัลอาคิเราะติ วะมินัลมุก็อรฺเราะบีน
46. วะยุกัลลิมุน..นาสะฟิลมะฮฺดิวะกะฮฺเลา..วะมินัศศอลิหีน
47. กอลัตร็อบบิอัน..นายะกูนุลีวะละดู..วะลัมยัมสัสนีบะชัรฺ กอละกะซาลิกิลลาฮุ ยัคลุกุมายะชา..อ์ อิซาเกาะฎออัมร็อน..ฟะอิน..นะมายะกูลุละฮู กุน..ฟะยะกูน
48. วะยุอัลลิมุฮุมุลกิตาบะ วัลหิกมะตะ วัตเตารอตะ วันอิน..ญีล
49. วะเราะสูลันอิลาบะนี..อิสรอ..อีละ อัน..นีก็อดญิอ์ตุกุม บิอายะติม..มิรฺร็อบบิกุม อัน..นี..อัคลุกุละกุม..มินัฏฏีนิ กะฮัยอะติฏฏ็อยริ ฟะอัน..ฟะคุฟีฮิ ฟะยะกูนุฏ็อยรอม..บิอิซนิลลาฮฺ วะอุบริอุลอักมะฮะ วัลอับเราะเศาะ วะอัวะหฺยิลเมาตา บิอิซนิลลาฮฺ วะอุนับบิอุกุม..บิมาตะอ์กุลูนะวะมาตัดดะคิรูนะฟีบุยูติกุม อิน..นะฟีซาลิกะ ละอายะตัลละกุม อิน..กุน..ตุม..มุอ์มินีน

คำแปล R1.
45. (Remember) when the angels said: "O Maryam (Mary)! Verily, Allah gives you the glad tidings of a word ["Be!" - and He was! i.e. 'Iesa (Jesus) the son of Maryam (Mary)] from him, his name will be the Messiah 'Iesa (Jesus), the son of Maryam (Mary), held in honour in this world and in the hereafter, and will be one of those who are near to Allah."
46. "He will speak to the people in the cradle and in manhood, and he will be one of the righteous."
47. She said: "O my Lord! How shall I have a son when no man has touched me?" He said: "So (it will be) for Allah creates what He wills. When He has decreed something, He says to it only: "Be!" and it is.
48. And He (Allah) will teach him ['Iesa (Jesus)] the Book and Al-Hikmah (i.e. the Sunnah, the faultless speech of the Prophets, wisdom, etc.), (and) the Taurat (Torah) and the Injeel (Gospel).
49. And will make him ['Iesa (Jesus)] a Messenger to the Children of Israel (saying): "I have come to you with a sign from your Lord, that I design for you out of clay, as it were, the figure of a bird, and breathe into it, and it becomes a bird by Allah's Leave; and I heal him who was born blind, and the leper, and I bring the dead to life by Allah's Leave. And I inform you of what you eat, and what you storei your houses. Surely, therein is a sign for you, if you believe.


คำแปล R2.
45. เมื่อครั้งที่มลาอิกะฮฺได้กล่าวว่า “โอ้มัรยัม แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงแจ้งข่าวดีแก่เธอ ด้วยพระคำหนึ่งจากพระองค์  ชื่อของเขาคือ “อัลมะซีฮฺ อีซา บุตรมัรยัม” ผู้มีเกียรติทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และ (เขาเป็นผู้หนึ่ง) จากมวลผู้ใกล้ชิด (อัลเลาะฮฺ)”
46. และเขา (อีซา) พูดกับผู้คนได้ (ตั้งแต่อยู่)ในเปล และในวัยผู้ใหญ่ และ (เขาเป็นผู้หนึ่ง) จากบรรดาผู้ประพฤติดีทั้งหลาย
47. นาง (มัรยัม) ได้วิงวอน (ต่ออัลเลาะฮฺ) ว่า “โอ้องค์อภิบาลฉันจะมีลูกได้อย่างไร เมื่อยังไม่มีชายใดมาสัมผัสฉันเลย” พระองค์ทรงตรัสว่า “เช่นนั้นแหละ อัลเลาะฮฺทรงบันดาลสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ เมื่อพระองค์ทรงประสงค์กิจการใด พระองค์ก็เพียงแต่ตรัสกับสิ่งนั้นว่า “จงเป็นขึ้นเถิด” แล้วมันก็เป็นขึ้น
48. และพระองค์ทรงสอนเขาให้รู้ในการเขียน, ให้รู้ในวิทยญาณ, ให้รู้ในคัมภีร์เตารอฮฺและคัมภีร์อินญีล
49. และ (ทรงแต่งตั้งอีซา) เป็นศาสนทูตสู่เผ่าพงษ์ของอิสรออีล (และเขาได้ประกาศว่า) แท้จริงฉันได้นำสัญลักษณ์หนึ่งจากองค์อภิบาลของท่านทั้งหลายมายังท่านทั้งหลาย (สัญลักษณ์นั้นคือ) ฉันจะทำให้พวกท่าน (เห็น) จากก้อนดิน (นี้) ให้เป็นเช่นรูปนก แล้วฉันจะเป่าเข้าไปในมัน แล้วมันก็จะเป็นนก โดยอนุมัติของอัลเลาะฮฺ ฉันรักษาคนตาบอดได้ ฉันรักษาคนเป็นโรคผิวหนังต่าง ๆ ได้ และฉันชุบชีวิตคนตายได้ โดยอนุมัติของอัลเลาะฮฺ และฉันแจ้งพวกท่านได้ว่า อะไรที่พวกท่านรับประทาน และอะไรที่ท่านสะสมไว้ในบ้านของพวกท่าน แท้จริงในนั้นย่อมเป็นสัญลักษณ์สำหรับพวกท่าน หากพวกท่านเป็นผู้มีศรัทธา


คำแปล R3.
45.   และจงระลึกถึงเมื่อมลาอิกะฮฺกล่าวว่า “มัรฺยัมเอ๋ย แท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงแจ้งข่าวดีแก่เธอซึ่งวจนะหนึ่งจากพระองค์ ชื่อของเขาคือ มะซีฮฺ อีซา บุตรของมัรฺยัม ผู้ควรแก่การคารวะทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และเป็นผู้อยู่ในบรรดาผู้อยู่ใกล้ชิด
46.   และเขาจะพูดอก่คนในเปล และเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่และเขาเป็นผู้อยู่ในหมู่กัลป์ยานชน
47.   นางมัรฺยัมกล่าวว่า “พระผู้อภิบาลของฉัน ฉันจะมีลูกได้อย่างไร ในเมื่อผู้ชายยังไม่ได้แตะต้องตัวฉัน?” พระองค์ตรัสว่า “กระนั้นเถิด อัลลอฮฺจะสร้างสิ่งใดก็ได้ที่พระองค์ทรงประสงค์ เมื่อพระองค์ทรงกำหนดกิจการใด พระองค์เพียงตรัสว่า เป็น แล้วมันก็เป็น
48.   (มลาอิกะฮฺได้กล่าวต่ออีกว่า) “และพระองค์จะสอนเขาซึ่งคัมภีร์และวิทยปัญญา และเตารอต และอินญีล
49.   และทรงแต่งตั้งเขาเป็นรอซูลแห่งวงศ์วานอิสรออีล” และเมื่อเขาได้มาเป็นรอซูลแห่งวงศ์วานอิสรออีลแล้ว เขาได้กล่าวว่า “แท้จริงฉันได้มายังพวกท่านพร้อมกับสัญญาณหนึ่งจากพระผู้อภิบาลของพวกท่าน คือฉันปั้นดิรเป็นรูปนกต่อหน้าพวกท่าน แล้วฉันจะเป่าเข้าไปในมัน แล้วมันก็จะกลายเป็นนกโดยอนุมัติของอัลลอฮฺ และฉันแจ้งให้พวกท่านรู้ถึงสิ่งที่ท่านกินและสิ่งที่พวกท่านสะสมในบ้านของพวกท่าน แท้จริงในนั้นมีสัญญาณสำหรับสูเจ้าถ้าสูเจ้าเป็นผู้ศรัทธา


คำแปล R4.
45. จงรำลึกถึงขณะที่มะลาอิกะฮ์กล่าวว่า มัรยัมเอ๋ย ! แท้จริงอัลลอฮ์ทรงแจ้งข่าวดีแก่เธอซึ่งพจมานหนึ่งจากพระองค์ ชื่อของเขาคือ อัลมะซีห์ อีซาบุตรของมัรยัม โดยที่เขาจะเป็นผู้มีเกียรติในโลกนี้ และปรโลก และจะอยู่ในหมู่ผู้ใกล้ชิด
46. และเขาจะพูดแก่ผู้คนขณะอยู่ในเปลและในวัยกลางคนและจะอยู่ในหมู่คนดี
47. นางกล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะมีบุตรได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่มิได้มีบุรุษใดแตะต้องข้าพระองค์ พระองค์ตรัสว่า กระนั้นก็ตาม อัลลอฮ์จะทรงบังเกิดสิ่งที่พระองค์ประสงค์ เมื่อพระองค์ทรงชี้ขาดงานใดแล้ว? พระองค์ก็เพียงประกาศิตแก่สิ่งนั้นว่า จงเป็นขึ้นเถิด แล้วมันก็จะเป็นขึ้น
48. และพระองค์ก็จะทรงสอนเขา ซึ่งการเขียนและความรู้อันถูกต้อง และสอนอัตเตารอต และอัลอินญีล
49. และเป็นทูต (นะบีอีซา) ไปยังวงศ์วานอิสรออีล (โดยที่เขาจะกล่าวว่า) แท้จริงนั้นได้นำสัญญาณหนึ่งจากพระเจ้าของพวกท่านมายังพวกท่านแล้ว โดยที่ฉันจะจำลองขึ้นจากดินให้แก่พวกท่าน ดั่งรูปนก แล้วฉันจะเป่าเข้าไปในมัน แล้วมันก็จะกลายเป็นนก ด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์ และฉันจะรักษาคนตาบอดแต่กำเนิด และคนเป็นโรคเรื้อน และฉันจะให้ผู้ที่ตายแล้วมีชีวิตขึ้น ด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์ และฉันจะบอกพวกท่านถึงสิ่งที่พวกท่านจะบริโภคกันและสิ่งที่พวกท่านสะสมไว้ใน บ้านของพวกท่าน แท้จริงในนั้น มีสัญญาณหนึ่งสำหรับพวกท่าน หากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธา


คำแปล R5.
๔๕. โอ้ มูฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่ประชากรของเจ้าเถิดว่า ในเวลาที่มลาอิกะห์ผู้มีนามว่ายิบรออีลได้กล่าวว่า โอ้มัรยัม แท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงเสนอข่าวดีแก่เธอเกี่ยวกับเรื่องบุตรว่า ผู้มีนามกรว่า “สิริมงคล” คืออีซาบุตรมัรยัม จะมาในฐานะเป็นผู้มีสง่าราศีทั้งในภพนี้ด้วยการได้รับตำแหน่งเป็นนบี และในภพหน้าด้วยการให้เขาได้มีส่วนช่วยปวงประชากรและด้วยการได้รับตำแหน่งอันสูงส่ง ตลอดจนเป็นหนึ่งในบรรดาผู้มีเกียรติและตำแหน่งใกล้ชิดอัลเลาะห์
๔๖. และเขา (อีซา) จะเจรจากับมวลมนุษย์ได้แต่ในเปลว่าแน่แท้ฉันนี้เป็นข้าทาสของอัลเลาะห์และในวัยผู้ใหญ่ด้วยถ้อยคำของนบีต่าง ๆ ทั้งยังได้ชักชวนให้เข้าสู่ศาสนาของอัลเลาะห์ และเป็นผู้หนึ่งจากเหล่าศาสดาผู้ชอบธรรม อันได้แก่พระศาสดาอิบรอฮีม อิสฮาก ยะกู๊บ และมูซา เป็นต้น
๔๗. นางมัรยัมได้เอ่ยคำวิงวอนว่า โอ้องค์พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะมีลูกชายได้อย่างไร? ทั้ง ๆ ที่ข้าพระองค์ก็มิได้มีชายใดมาถูกต้องเลย ไมว่าจะโดยทางสมรสหรือการอย่างอื่น พระองค์จึงตรัสตอบว่าก็นั่นซิ เรื่องที่จะให้เกิดมีบุตรชายขึ้นจากเธอโดยไม่มีบิดาผู้ให้กำเนิดนั้น อัลเลาะห์ทรงให้บังเกิดได้ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ ก็ในเมื่อพระองค์ทรงหมายจะสร้างการใดแล้วสิ่งนั้นย่อมจะถูกพระองค์บันดาลให้มีขึ้นได้ฉับพลัน
๔๘. แล้วพระองค์อัลเลาะห์จะทรงสอนให้เขา (อีซา) รู้จักการเขียน รู้วิชาการ พร้อมกับรู้จักปฏิบัติตามหลักวิชานั้น ตลอดจนให้รู้ถึงพระคัมภีร์เตารอตและอินยีล
๔๙. แหละพระองคฺทรงแต่งตั้งอีซาให้เป็นศาสนทูตไปยังตระกูลอิสรออีลตั้งแต่ยังอยู่ในวัยเด็กซึ่งมีอายุเพียง ๓ ขวบ หรือวัยผู้ใหญ่ในคราวเมื่ออายุได้ ๓๐ ปี และเขาถูกส่งตัวขึ้นยังเบื้องฟ้าเมื่ออายุ ๓๓ ปี ในระยะที่ถูกแต่งให้เป็นทูตมาในบรรดาตระกูลอิสรออีลนั้นอีซาแสดงตนว่า ฉันคือศาสนทูตของอัลเลาะห์มาในท่ามกลางพวกเจ้า และว่าแท้จริงฉันได้นำเอาสัญญาณหนึ่งจากองค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเจ้ามายังพวกเจ้าแล้ว ซึ่งสัญญาณนี้แสดงให้เห็นถึงถ้อยคำอันสัจจะของฉัน คือฉันจะเอาดินมาปั้นขึ้นเหมือนรูปนกให้ไว้แก่พวกเจ้า แล้วจะเป่าประจุชีพให้มัน ครั้นแล้วมันก็จะเป็นนกได้ด้วยความประสงค์ของอัลเลาะห์ เสร็จแล้วอีซาจึงได้จัดการประกอบให้เป็นค้างคาวตามคำร้องขอของพวกนั้น ทั้งนี้เพราะว่าค้างคาวเป็นนกชนิดหนึ่งที่มีโครงสร้างละเอียดพิสดารกว่านกชนิดอื่น ๆ เป็นต้นว่าภายในปากก็มีทั้งเขี้ยวและฟัน มันสามารถบินได้อย่างไม่ต้องอาศัยขนปีก สายตาของมันก็มองไม่เห็นไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน แต่มันจะสามารถมองเห็นได้เฉพาะในตอนเช้ามืดและพลบค่ำ จึงจัดว่าเป็นหลักฐานที่สำคัญอย่างหนึ่ง แสดงว่าอัลเลาะห์นั้นทรงอานุภาพยิ่ง เมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว มันก็เริ่มออกบินต่อไปต่อหน้าพวกเหล่านั้น ซึ่งกำลังจับตามองอยู่ จนกระทั่งสุดสายตาของพวกเหล่านั้น แล้วจึงตกลงมาตาย ฉันจะให้คนตาบอดมาแต่กำเนิดกับคนด่างกลับหายได้ภายในวันเดียวกันถึงห้าหมื่นราย โดยไม่ต้องใช้หยูกยารักษา แต่จะใช้คำพรประกอบกับความศรัทธาต่ออัลเลาะห์เท่านั้น ในการนี้อีซาเสนอข้อสัญญาว่า ผู้หายจากโรคทุกคนจะต้องเชื่อตาม ฉันจะให้คนตาย เช่น ผู้เป็นสหายของฉันคนหนึ่งคืออาซัร อีกคนเป็นบุตรชายของอะยูซ ส่วนอีกคนเป็นบุตรสาวของอาชิร กลับเป็นขึ้นมาสืบพันธุ์ต่อไปได้ด้วยความประสงค์ของอัลเลาะห์ นอกจากนี้อีซาได้ให้ชายคนหนึ่งชื่อซามบุตรของนูห์เป็นขึ้นมาได้ครู่หนึ่งจึงตายกลับไปอีก โดยฉันใช้คำพรบทหนึ่งที่ว่า “โอ้องค์นิรันดร โอ้องค์ดำรงเอง” โวหารที่ว่า “ด้วยความประสงค์ของอัลเลาะห์” ซ้ำเป็นสองหน นี้เพื่อขจัดความเคลือบแคลงของมนุษย์ที่อาจจะเข้าใจว่าอีซาจะเป็นพระเจ้าเสียเอง และฉันจะบอกพวกเจ้าได้ว่า อะไรที่พวกเจ้าจะบริโภคกัน และอะไรที่พวกเจ้าจะเก็บงำไว้ภายในบ้าน ซึ่งสิ่งต่าง ๆ นั้นฉันก็มิได้แลเห็นมันเลย แล้วอีซาก็ได้บอกแก่ผู้หนึ่งได้ถูกต้องว่า ก่อนจากนี้ผู้นั้นกินอะไร และต่อไปผู้นั้นจะกินอะไร แท้จริงในการปั้นดินเป็นนกก็ดี การรักษาคนตาบอด คนด่าง ให้กลายกลับเป็นปกติก็ดี และการทายสิ่งที่ถูกบริโภค และที่ถูกเก็บไว้ภายในบ้านได้อย่างถูกต้องก็ดี นี้แหละเป็นสัญลักษณ์หนึ่งสำหรับพวกเจ้าว่าฉันพูดจามีสัจจะ หากว่าพวกเจ้าเป็นผู้มีศรัทธา




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺอาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 50 - 53


คำอ่าน
50. วะมุศ็อดดิก็อลลิมาบัยนะยะดัยยะ มินัตเตารอติ วะลิอุหิลละละกุม..บะอฺฎ็อลละซี หุรฺริมะอะลัยกุม วะญิอ์ตุกุม..บิอายะติม..มิรฺร็อบบิกุม ฟัตตะกุลลอฮะวะอะฏีอูน
51. อิน..นัลลอฮะร็อบบี วะร็อบบุกุม ฟะอฺบุดูฮุ ฮาซาศิรอฏุม..มุสตะกีม
52. ฟะลัม..มา..อะหัสสะอีสา มินฮุมุลกุฟเราะ กอละมันอันศอรี..อิลัลลอฮฺ กอลัลหะวารียูนะ นะหฺนุอันศอรุลลอฮฺ อามัน..นาบิลลาฮิ วัชฮัดบิอัน..นามุสลิมูน
53. ร็อบบะนา..อามัน..นาบิมา..อัน..ซัลตะ วัตตะบะอฺนัรฺเราะสูละ ฟักตุบนามะอัชชาฮิดีน

คำแปล R1.
50. And I have come confirming that which was before me of the Taurat (Torah), and to make lawful to you part of what was forbidden to you, and I have come to you with a proof from your Lord. So fear Allah and obey me.
51. Truly! Allah is my Lord and your Lord, so worship Him (Alone). This is the Straight Path.
52. Then when 'Iesa (Jesus) came to know of their disbelief, He said: "Who will be my helpers in Allah's Cause?" Al-Hawariun (the disciples) said: "We are the helpers of Allah; we believe in Allah, and bear witness that we are Muslims (i.e. we submit to Allah)."
53. Our Lord! We believe in what you have sent down, and we follow the Messenger ['Iesa (Jesus)]; so write us down among those who bear witness (to the truth i.e. La ilaha ill-Allah - none has the right to be worshipped but Allah).


คำแปล R2.
50. และ (ฉันถูกส่งมานี้เพื่อ) เป็นผู้รับรองในคัมภีร์ที่มีมาก่อนหน้าฉัน นั่นคือคัมภีร์เตารอฮฺ และเพื่อฉันจะได้บัญญัติอนุมัติแก่พวกท่านในบางสิ่งที่เคยถูกบัญญัติห้ามไว้แก่พวกท่าน และฉันได้นำสัญลักษณ์หนึ่งจากองค์อภิบาลของพวกท่านมายังพวกท่าน ดังนั้นท่านทั้งหลายจงยำเกรงอัลเลาะฮฺและจงภักดีฉันเถิด
51. แท้จริงอัลเลาะฮฺ ทรงเป็นผู้อภิบาลของฉัน และเป็นผู้ทรงอภิบาลของพวกท่าน ดังนั้นพวกท่านจงนมัสการพระองค์เถิด นี้เป็นแนวทางอันเที่ยงตรง
52. ครั้นเมื่ออีซาได้ประจักษ์ถึงการปฏิเสธจากพวกเขา เขาก็กล่าวว่า ใครจะเป็นผู้ช่วยของฉันสู่อัลเลาะฮฺ บรรดาสาวกทั้งหลาย (ซึ่งมีจำนวน 12 คน) ได้กล่าวว่า “เรา (ขอสมัคร) เป็นผู้ช่วยของอัลเลาะฮฺ เรามีศรัทธาในอัลเลาะฮฺ และท่านจงเป็นพยานด้วยเถิด ว่าเราเป็นผู้สวามิภักดิ์ (ในพระองค์)
53. โอ้องค์อภิบาลของเรา เราศรัทธาในคัมภีร์ที่พระองค์ทรงประทานให้ลงมา และเราปฏิบัติตามศาสนทูต (ท่านนี้) ดังนั้นขอได้โปรดบันทึกเรา (ให้อยู่) ร่วมกับบรรดาผู้เป็นสักขีพยาน (ในเอกภาพของอัลเลาะฮฺและความเป็นทูตของนบีอีซา)


คำแปล R3.
50.   และฉันได้มาเป็นผู้ยืนยันคำสอนจากเตารอตที่ยังคงมีอยู่ในสมัยของฉันและเพื่อฉันจะอนุมัติบางสิ่งที่เป็นที่ต้องห้ามแก่พวกท่าน และฉันได้มายังพวกท่านพร้อมด้วยสัญญาณหนึ่งจากพระผู้อภิบาลของพวกท่าน ดังนั้นจงสำรวมตนต่ออัลลอฮฺและจงเชื่อฟังปฏิบัติตามฉัน
51.   แท้จริงอัลลอฮฺทรงเป็นพระผู้อภิบาลของฉันและพระผู้อภิบาลของพวกท่าน ดังนั้น จงเคารพภักดีต่อพระองค์ นี่คือทางที่เที่ยงตรง
52.   เมื่ออีซาได้ตระหนักถึงการปฏิเสธของพวกวงส์วานอิสรออีล เขาได้กล่าวว่า “ผู้ใดจะเป็นผู้ช่วยเหลือฉันในหนทางของอัลลอฮฺ?” บรรดาสาวกกล่าวว่า “เราเป็นผู้ช่วยเหลือของอัลลอฮฺ เราศรัทธาในอัลลอฮฺ และท่านจงเป็นพยานด้วยว่าเราเป็นมุสลิม (ผู้ยอมจำนนต่ออัลลอฮฺ)
53.   พระผู้อภิบาลของเรา เราศรัทธาตามที่พระองค์ประทานลงมา และเราปฏิบัติตามรอซูลของพระองค์ ดังนั้นได้ทรงโปรดบันทึกเราเข้าร่วมไว้กับผู้เป็นพยาน”


คำแปล R4.
50. และฉันจะเป็นผู้มายืนยันสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของฉัน อันได้แก่ อัตเตารอต และเพื่อที่ฉันจะได้อนุมัติแก่พวกท่าน ซึ่งบางสิ่งที่ถูกห้ามแก่พวกท่านและฉันได้นำสัญญาณหนึ่งจากพระเจ้าของ ท่านมายังพวกท่านแล้ว ดังนั้นพึงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และจงเชื่อฟังฉัน
51. แท้จริงอัลลอฮฺนั้นคือ พระเจ้าของฉัน และพระเจ้าของพวกท่าน ดังนั้น จงอิบาดะฮ์ต่อพระองค์เถิด นี้แหละคือทางอันเที่ยงตรง
52. ครั้นเมื่ออีซารู้สึกว่ามีการปฏิเสธศรัทธาเกิดขึ้นในหมู่พวกเขา จึงได้กล่าวว่า ใครบ้างจะเป็นผู้ช่วยเหลือฉันไปสู่อัลลอฮฺ บรรดาสาวกผู้บริสุทธิ์ใจกล่าวว่า พวกเราคือผู้ช่วยเหลืออัลลอฮฺ พวกเราศรัทธาต่ออัลลอฮฺแล้ว และท่านจงเป็นพยานด้วยว่า แท้จริงพวกเรานั้น คือผู้น้อมตาม
53. ข้าแต่พระเจ้าของพวกข้าพระองค์พวก ข้าพระองค์ศรัทธาแล้วต่อสิ่งที่พระองค์ได้ประทานลงมา และพวกข้าพระองค์ก็ได้ปฏิบัติตามรอซูลแล้ว โปรดทรงบันทึกพวกข้าพระองค์ร่วมกับบรรดาผู้ที่กล่าวปฏิญาณยืนยันทั้งหลาย ด้วยเถิด


คำแปล R5.
๕๐. และฉันนี้มายังพวกเจ้าโดยเป็นผู้ยืนยันความจริงในพระคัมภีร์เตารอตที่มีมายังพระนบีมูซาซึ่งอยู่ในยุคก่อนจากฉันถึงหนึ่งพันเก้าร้อยเจ็ดสิบห้าปีเพื่อว่าฉันจะให้โองการบางส่วนที่ถูกตราห้ามไว้เหนือพวกเจ้าซึ่งมีระบุห้ามอยู่ในคัมภีร์เตารอตเป็นที่อนุญาตแก่พวกเจ้าเช่นได้อนุญาตให้บริโภคปลาและนกชนิดที่ไม่มีอวัยวะเป็นอาวุธป้องกันตัวและฉันได้มายังพวกเจ้าพร้อมด้วยสัญญาณหนึ่งจากองค์พระผู้อภิบาลของพวกเจ้าซึ่งสัญญาณนี้แสดงถึงถ้อยคำอันมีสัจจะของฉันดังนั้นพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะห์และจงน้อมตามฉันเถิดด้วยการเชื่อในเรื่องเอกภาพของอัลเลาะห์และด้วยการปฏิบัติตามห้ามตามใช้ของพระองค์ที่ฉันได้ใช้พวกเจ้า
๕๑. แท้จริงอัลเลาะห์คือพระผู้อภิบาลของฉันและพระผู้อภิบาลของพวกเจ้า ฉะนั้นพวกเจ้าพึงเคารพสักการะพระองค์กันเถิดข้อที่ฉันได้ใช้ให้พวกเจ้ายึดในเอกภาพของอัลเลาะห์และให้ปฏิบัติตามห้ามตามใช้ของพระองค์นี่แหละเป็นหนทางอันเที่ยงตรงครั้นแล้วพวกนั้นกลับหาว่าอีซาพูดเท็จ แถมยังไม่ยอมเชื่อตามอีกด้วย
๕๒. ครั้นเมื่อีซาประจักษ์ชัดว่าพวกยะฮูดีเหล่านั้นขาดศรัทธาคงมั่นอยู่กับความไม่เชื่ออยู่ตลอดไปทั้งยังไม่ยอมสนใจกับสัญญาณต่างๆ ที่อีซานำมาแสดงยังพวกเขา ยิ่งกว่านั้นยังจะคิดฆ่าอีซาเสียอีกเขา(อีซา)จึงเอ่ยถามว่า ใครเล่าจะเป็นผู้สงเคราะห์ฉันให้ไปยังศาสนาของอัลเลาะห์เพื่อว่าฉันจะได้ส่งเสริมศาสนาของพระองค์เหล่าสาวกของอีซาจำนวนสิบสองคนก็พร้อมกันตอบว่าพวกเราซิเป็นผู้ส่งเสริมศาสนาของอัลเลาะห์พวกเราศรัทธาต่อพระองค์และโอ้อีซา ท่านจงเป็นสักขีพยานด้วยเถิดว่า พวกเรานั้นคือมุสลิม
๕๓. โอ้องค์พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ เหล่าข้าพระองค์ได้ศรัทธาต่อคัมภีร์อินยีลที่พระองค์ได้ทรงประทานมายังพระนบีอีซาและยังได้เจริญตามอีซาผู้เป็นศาสนทูตของพระองค์แล้ว ดังนั้นขอพระองค์ได้โปรดบันทึกให้บรรดาข้าพระองค์มีรายชื่อร่วมอยู่กับเหล่าที่เป็นสักขีพยานยืนยันในพระองค์ว่าทรงมีเอกภาพ และยืนยันให้พระนบีอีซาว่าเป็นผู้มีสัจวาจาด้วยเถิด


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 54 - 59


คำอ่าน
54. วะมะกะรู วะมะกะร็อลลอฮุ วัลลอฮุค็อยรุลมากิรีน
55. อิซกอลัลลอฮุยาอีสา..อิน..นีมุตะวัฟฟีกะ วะรอฟิอุกะ อิลัยยะ วะมุเฏาะฮฺฮิรุกะ มินัลละซีนะกะฟะรู วะญาอิลุลละซีนัตตะบะอูกะ เฟาก็อลละซีนะกะฟะรู..อิลาเยามิลกิยามะฮฺ ษุม..มะอิลัยยะมัรฺญิอุกุม ฟะอะหฺกุมุบัยนะกุม ฟีมากุน..ตุมฟีฮิตัคตะลิฟูน
56. ฟะอัม..มัลละซีนะกะฟะรู ฟะอุอัซซิบุฮุม อะซาบัน..ชะดีดัน..ฟิดดุนยาวัลอาคิเราะติ วะมาละฮุม..มิน..นาศิรีน
57. วะอัม..มัลละซีนะอามะนู วะอะมิลุศศอลิหาติ ฟะยุวัฟฟีฮุมอุญูเราะฮุม วัลลอฮุลายุหิบบุซซอลิมีน
58. ซาลิกะนัตลูฮุ อะลัยกะมินัลอายาติ วัซซิกริลหะกีม
59. อิน..นะมะษะละอีสาอิน..ดัลลอฮิ กะมะษะลิอาดัม เคาะละเกาะฮูมินตุรอบิน..ษุม..มะกอละละฮูกุน..ฟะยะกูน

คำแปล R1.
54. And they (disbelievers) plotted [to kill 'Iesa (Jesus)], and Allah planned too. And Allah is the best of the planners.
55. And (remember) when Allah said: "O 'Iesa (Jesus)! I will take you and raise you to myself and clear you [of the forged statement that 'Iesa (Jesus) is Allah's son] of those who disbelieve, and I will make those who follow you (Monotheists, who worship none but Allah) superior to those who disbelieve [in the Oneness of Allah, or disbelieve in some of his Messengers, e.g. Muhammad , 'Iesa (Jesus), Musa (Moses), etc., or in his Holy Books, e.g. the Taurat (Torah), the Injeel (Gospel), the Qur'an] till the Day of Resurrection. Then you will return to Me and I will judge between you in the matters in which you used to dispute."
56. "As to those who disbelieve, I will punish them with a severe torment in this world and in the hereafter, and they will have no helpers."
57. And as for those who believe (in the Oneness of Allah) and do righteous good deeds, Allฟh will pay them their rewardร full. And Allah does not like the Zalimun (polytheists and wrong-doers).
58. This is what we recite to you (O Muhammad) of the Verses and the Wise Reminder (i.e. the Qur'an).
59. Verily, the likeness of 'Iesa (Jesus) before Allah is the likeness of Adam. He created him from dust, then (He) said to him: "Be!" - And he was.


คำแปล R2.
54. และพวกเขา (พวกยิว) ได้วางแผน (ที่จะทำลายนบีอีซา) แต่อัลเลาะฮฺก็วางแผน (เพื่อช่วยเหลือนบีอีซา) และอัลเลาะฮฺทรงเป็นผู้วางแผนที่ดีกว่า
55. เมื่อครั้งที่อัลเลาะฮฺได้ตรัสว่า “โอ้อีซา! แท้จริงข้าเป็นผู้เก็บตัวเจ้าไว้อย่างสมบูรณ์ (ทั้งร่างกายและวิญญาณ) และข้าเป็นผู้ยกเจ้าขึ้นมายังข้า (ให้สถิตอยู่ในฟ้าชั้นที่สอง) และข้าเป็นผู้ทำให้เจ้าสะอาด (พ้นภัยแห่งการฆ่า) จากบรรดาผู้เนรคุณทั้งหลาย และเป็นผู้บันดาลให้บรรดาผู้เจริญรอยตามเจ้า (มีเกียรติ) เหนือกว่าบรรดาผู้เนรคุณตราบถึงวันชาติหน้า หลังจากนั้น ที่กลับคืนของพวกเจ้าก็คือมายังข้า และข้าจะตัดสินระหว่างพวกเจ้า ในกรณีที่พวกเจ้าเคยพิพาทกัน
56. แท้จริงบรรดาผู้เนรคุณทั้งหลาย แน่นอนข้าจะลงโทษพวกเขาอย่างรุนแรงทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และสำหรับพวกเขา ไม่มี (ผู้หนึ่ง) จากบรรดาที่จะให้การช่วยเหลือ (แก่พวกเขาเลย)
57. และส่วนบรรดาผู้มีศรัทธา และปฏิบัติความดี พระองค์จะทรงตอบแทนรางวัลแก่พวกเขาอย่างครบถ้วน และอัลเลาะฮฺไม่รักบรรดาผู้อธรรมทั้งหลาย
58. (เรื่องที่เกี่ยวกับอีซา) นั้น เราได้แถลงแก่เจ้า (ส่วนหนึ่ง) จากบรรดา (สัญลักษณ์) ที่ชัดแจ้งและคำเตือนที่ยิ่งด้วยวิทยญาณ (คืออัลกุรอาน)
59. แท้จริงข้อเปรียบเทียบของอีซา ณ อัลเลาะฮฺนั้น ก็เปรียบได้ดังอาดัม พระองค์ทรงสร้างเขามาจากดิน หลังจากนั้นพระองค์ก็ตรัสแก่เขาว่า “จงเป็นขึ้น” แล้วเขาก็เป็นขึ้น


คำแปล R3.
54.   และพวกวงศ์วานอิสรออีลได้วางแผน (ที่จะฆ่าอีซา) และอัลลอฮฺก็ทรงวางแผนของพระองค์ด้วยเช่นกัน และอัลลอฮฺทรงเป็นเลิศแห่งผู้วางแผน
55.   (เพื่อให้เป็นไปตามแผน) อัลลอฮฺได้กล่าวว่า “โอ้อีซาฉันจะเรียกเจ้ากลับและยกเจ้ายังฉัน และทำให้เจ้าบริสุทธิ์ (จากพวกที่ไม่น่าคบและสิ่งแวดล้อมอันสกปรก) จากบรรดาผู้ปฏิเสธเจ้า และจะทำให้บรรดาผู้ปฏิบัติตามเจ้าอยู่เหนือบรรดาผู้ปฏิเสธจนถึงวันฟื้นขึ้น แล้วในที่สุด สูเจ้าทั้งหมดจะกลับมาหาฉัน แล้วฉันจะตัดสินระหว่างสูเจ้าในสิ่งที่สูเจ้าขัดแย้งกันในเรื่องนั้น
56.   ดังนั้นสำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธฉันจะลงโทษพวกเขาด้วยการลงโทษอันแสนสาหัสทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และพวกเขาจะไม่มีผู้คอยช่วยเหลือ
57.   สำหรับผู้ศรัทธาและทำการดีนั้น พวกเขาจะได้รับรางวัลตอบแทนโดยครบถ้วน และอัลลอฮฺไม่ทรงรักผู้อธรรม
58.   เรื่องราวที่เราได้สาธยายแก่เจ้านั้น เต็มไปด้วยสัญญาณและวิทยปัญญา
59.   ในสายตาของอัลลอฮฺนั้น กรณีของอีซานั้นเหมือนกับกรณีของอาดัม ซึ่งพระองค์ทรงสร้างเขามาจากดิน และพระองค์ก็ตรัสว่า “จงเป็น” แล้วเขาก็เป็น


คำแปล R4.
54. และพวกเขาได้วางแผนและอัลลอฮฺก็ทรงวางแผนด้วย และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงวางแผนที่ดีเยี่ยม
55. จงรำลึกถึงขณะที่อัลลอฮฺตรัสว่า โอัอีซา ! ข้าจะเป็นผู้รับเจ้าไปพร้อมด้วยชีวิตและร่างกายของเจ้า และจะเป็นผู้ยกเจ้าขึ้นไปยังข้าและจะเป็นผู้ทำให้เจ้าบริสุทธิ์ พ้นจากบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา และจะเป็นผู้ให้บรรดาที่ปฏิบัติตามเจ้าเหนือผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย จนกระทั่งถึงวันกิยามะฮ์ แล้วยังข้านั้นคือการกลับไปของพวกเจ้า แล้วข้าจะตัดสินระหว่างพวกเจ้า ในสิ่งที่พวกเจ้าขัดแย้งกัน
56. ส่วนบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธานั้น ข้าจะลงโทษพวกเขาอย่างรุนแรงทั้งในโลกนี้และปรโลก และจะไม่มีบรรดาผู้ช่วยเหลือใดสำหรับพวกเขา
57. และส่วนบรรดาผู้ศรัทธา และประกอบสิ่งที่ดีทั้งหลายนั้น พระองค์จะทรงตอบแทนแก่พวกเขาโดยครบถ้วน ซึ่งรางวัลของพวกเขาและอัลลอฮฺนั้นไม่ทรงชอบบรรดาผู้อธรรม
58. ดังกล่าวนั้นแหละ เราอ่านมันให้เจ้าฟัง อันได้แก่โองการต่าง ๆ และคำเตือนรำลึกที่รัดกุมชัดเจน
59. แท้จริงอุปมาของอีซานั้น ดั่งอุปมัยของอาดัม พระองค์ทรงบังเกิดเขาจากดิน และได้ทรงประกาศิตแก่เขาว่าจงเป็นขึ้นเถิด แล้วเขาก็เป็นขึ้น


คำแปล R5.
๕๔. ส่วน]/b]บรรดาชนกาฟิรในเครือสกุลแห่งอิสรออีลเล่าพวกนั้นได้ออกอุบายกันเรื่องจะฆ่าพระนบีอีซา เพราะพวกเหล่านั้นได้พาตัวอีซาไปมอบไว้แก่ฆาตกรในที่ลับแต่อัลเลาะห์ก็ทรงย้อนอุบายของพวกนั้นเข้าให้โดยส่งผู้หนึ่งที่มีส่วนคล้ายคลึงอีซาที่สุดไปให้พวกที่หมายจะฆ่าอีซา ครั้นแล้วพวกนั้นก็ฆ่าชายที่ถูกปลอมร่าง ส่วนอีซานั้นได้เหินสู่เบื้องฟ้าฝ่ายอัลเลาะห์ทรงรอบรู้ในแผนการต่าง ๆ ได้เยี่ยมกว่าผู้มรกโลบายทั้งหลาย
๕๕. โอ้มูอำมัด เจ้าจงกล่าวแก่มวลชนประชากรของเจ้าเถิดว่าในเวลาที่อัลเลาะห์ได้ตรัสกับอีซาว่า โอ้อีซา แท้จริงข้านี้บันดาลให้เมฆเป็นผู้ประคองเจ้าจากโลกนี้ทั้งเป็น ๆ เป็นผู้ส่งเจ้าขึ้นไปยังสถานที่อันมีเกียรติของข้าอันเป็นสถานที่พักอาศัยของเหล่ามลาอิกะห์คือฟ้าชั้นสอง เป็นผู้ยังให้เจ้าปลอดภัยจากบรรดาผู้เป็นกาฟิรและเป็นผู้บันดาลให้บรรดาชนทั้งฝ่ายมุอ์มินและนัซรอนีที่เจริญรอยตามเจ้ามีเกียรติเหนือบรรดาผู้เป็นกาฟิรยะฮูดีทั้งในด้านการโต้คารมและการใช้ดาบตราบจนวันกิยามะห์ ครั้นแล้วบั้นสุดท้ายของพวกเจ้าย่อมกลับไปยังการสอบสวนของข้า แล้วข้าจะตัดสินความเรื่องทางศาสนาอันพวกเจ้าเคยได้ขัดแย้งระหว่างกันและกันคือว่าข้าจะให้ผู้เจริญตามคำบัญชาใช้และห้ามของข้าได้เข้าสู่สวรรค์ และให้ผู้ที่ทรยศเข้าสู่นรก
๕๖. อนึ่งบรรดาผู้เป็นกาฟิรทุกเหล่า ข้าก็จะลงโทษพวกเหล่านั้นให้จงหนักในภพนี้ ข้าจะให้ผู้นั้นถูกฆ่าและตกเป็นเชลย และให้ถูกเรียกเก็บค่าพิทักษ์สันติภาพเป็นรายปี และในถพหน้าข้าจะให้พวกนั้นเข้าสู่ขุมนรก โดยที่พวกเหล่านั้นจะมีผู้อนุเคราะห์มาคอยหักห้ามการลงโทษนี้ก็หาไม่
๕๗. ส่วนบรรดาผู้เป็นมุอ์มินและผู้ประพฤติชอบต่าง ๆ พระองค์ย่อมจะทรงให้ผลบุญสนองตอบแก่พวกเขาครบครัน และอัลเลาะห์จะทรงลงโทษบรรดาผู้คดโกงทั้งหลาย
   ต่อไปนี้จักได้ชักเรื่องราวของอีซาผู้สู่ฟ้าตามรายงานจาก อัล-หะดีธ เพื่ออุปถัมภ์เนื้อหาให้มีนัยอธิบายสนิทขึ้น โดยบรรยายว่า อัลเลาะห์ได้ทรงดลพระอำนาจให้เกิดมีเมฆปริมณฑลหนึ่งมาโอบอุ้ทร่างอีซาขึ้นสู่ฟ้าชั้นที่สอง ฝ่ายมัรยัมผู้มารดาได้เกาะยึดเมฆไว้พลางโหยไห้รำพันอีซาจึงเอ่ยขึ้นกับมารดาตนว่า แม่จ๋า ภพหน้าเท่านั้นที่จะให้เราผู้เป็นแม่ลูกกันมีวาสนารวมกันได้อีก ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในคืนอัล-ก็อดร์ (คืนกฤษฎีกา) ณ ไบตุลมุก๊อดดิส ตอนนั้นอีซามีอายุ ๓๓ ปี ฝ่ายผู้เป็นมารดายังมีชีวิตได้อีก ๖ ปี หลังจากที่อีซาสู่ฟ้า รายงานจากอัลหะดีธหนึ่งมีบรรยายว่า เมื่อจวนจะถึงวันอวสานพิภพ อีซาจะมาสู่พื้นแผ่นดิน จะมาเป็นผู้ถือบัญญัติธรรมของพระศาสดามูฮำมัดเป็นบทตัดสิน และมาในฐานะผู้ฆ่ามารตนหนึ่งชื่อดัจยาล ฆ่าสุกร และอื่น ๆ และจะยกเลิกเก็บฆ่าพิทักษ์สันติภาพเป็นรายปีจากชาวยะฮูดีและนัซรอนี และอีกอัลหะดีธหนึ่งบรรยายความว่า อีซาจะมาพำนัก ณ แผ่นดินนี้อยู่เป็นเวลาถึงเจ็ดปีจึงตาย และจะมีมวลมุสลิมมาอำนวยการละหมาดให้ และจัดการฝังศพของท่านลงตรงห้องของพระศาสดามูฮำมัด ซึ่งอยู่ ณ ดินแดนแห่งนครมดีนะห์ และระหว่างกลางสุสานของสองพระศาสดานี้ ยังมีสุสานอีกสองแห่ง คือสุสานของอบูบักร์และของอุมัรแทรกอยู่
๕๘. โอ้มูฮำมัด เรื่องราวของอีซานี่แหละที่เราจะบอกประวัติของอีซาผู้นี้ไว้แก่เจ้าโดยทางสัญญาณบางอย่างของอัลเลาะห์ที่แสดงสัจวาจาของอีซาและโดยทางอัลกุรอันเป็นบทระลึกที่ประณีตอย่างปราศจากข้อบกพร่องใด ๆ ในนั้น
๕๙. ว่า แท้จริง อาการอันน่าอัศจรรย์ของอีซาผู้ใกล้ชิดอัลเลาะห์โดยเกียรติและตำแหน่งนั้นก็เหมือนกับอาการของอาดัมซึ่งถูกพระองค์อัลเลาะห์ทรงสร้างขึ้นโดยไม่มีพ่อ คือว่าพระองค์ทรงสร้างเรือนร่างของเขาจากดินเสร็จแล้วก็ตรัสแก่ร่างที่ไร้ลมปราณของเขาว่า เจ้าจงเป็นมนุษย์ ในทันใดอาดัมผู้มีเรือนร่างเป็นดินนั้นจึงเป็นมนุษย์ขึ้นโดยอำนาจแห่งการสร้างสรรค์ของพระองค์ ฝ่ายอีซาก็ทำนองเดียวกัน พระองค์ตรัสประกาศิตว่า เจ้าจงเป็นมนุษย์โดยมิต้องมีพ่อ อีซาก็เป็นมนุษย์ขึ้นได้ด้วยอำนาจแห่งการสร้างสรรค์ของพระองค์เช่นเดียวกัน




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 60 - 63


คำอ่าน
60. อัลหักกุ มิรฺร็อบบิกะ ฟะลาตะกุม..มินัลมุมตะรีน
61. ฟะมันหา..จญะกะฟีฮิมิม..บะอฺดิ มาญา...อะกะมินัลอิลมิ ฟะกุลตะอาเลา นัดอุอับนา..อะนา วะอับนา..อะกุม วะนิสา..อะนา วะนิสา..อะกุม วะอัน..ฟุสะนา วะอัน..ฟุสะกุม ษุม..มะนับตะฮิล ฟะนัจญอัลละอฺนะตัลลอฮิ อะลัลกาซิบีน
62. อิน..นะฮาซาละฮุวัลเกาะเศาะศุลหักกฺ วะมามินอิลาฮิน อิลลัลลอฮฺ วะอิน..นัลลอฮะละฮุวัลอะซีซุลหะกีม
63. ฟะอิน..ตะวัลเลา ฟะอิน..นัลลอฮะอะลีมุม..บิลมุฟสิดีน

คำแปล R1.
60. (This is) the truth from your Lord, so be not of those who doubt.
61. Then whoever disputes with you concerning him ['Iesa (Jesus)] after (all this) knowledge that has come to you, [i.e. 'Iesa (Jesus)] being a slave of Allah, and having no share in divinity) say: (O Muhammad ) "Come, let us call our sons and your sons, our women and your women, ourselves and yourselves - Then we pray and invoke (sincerely) the Curse of Allah upon those who lie."
62. Verily! This is the true narrative [about the story of 'Iesa (Jesus)], and, La ilaha ill-Allah (none has the right to be worshiped but Allah, the one and the only true God, who has neither a wife nor a son). And indeed, Allah is the All-Mighty, the All-Wise.
63. And if they turn away (and do not accept these true proofs and evidences), then surely, Allah is All-Aware of those who do mischief.


คำแปล R2.
60. อันสัจธรรมนั้น มาจากองค์อภิบาลของเจ้า ดังนั้นเจ้าจงอย่าเป็นหนึ่งจากบรรดาผู้สงสัย
61. ครั้นแล้วผู้ใดก้ตามที่โต้แย้งเจ้าใน (เรื่องราวของเขา) ภายหลังจากความรู้แท้ที่ได้มาสู่เจ้าแล้ว เจ้าก็จงกล่าว (แก่ผู้นั้น) เถิดว่า “ท่านทั้งหลายจงมาซิ เราจะเรียกลูก ๆ ของเราและลูก ๆ ของพวกท่าน บรรดาสตรีของเราและบรรดาสตรีของพวกท่าน และตัวของพวกท่าน (มารวมกัน) หลังจากนั้น เราก็วอนขอ (ต่ออัลเลาะฮฺ) อย่างจริงจังแล้วเราก็ขอให้การสาปแช่งของอัลเลาะฮฺ (ในคำขอนั้น) ได้ประสบแก่บรรดาผู้กล่าวเท็จทั้งมวล”
62. แท้จริง (ประวัติของนบีอีซา) นี้ เป็นเรื่องราวที่มีความจริงแท้ และหามีพระเจ้าอื่นใดไม่ นอกจากอัลเลาะฮฺ และแท้จริง อัลเลาะฮฺทรงอำนาจยิ่ง อีกทั้งทรงปรีชายิ่ง
63. ครั้นแล้วหากพวกเขาหันหลังให้ (ไม่ยอทศรัทธา) แท้จริงอัลเลาะฮฺย่อมทรงรอบรู้ถึงบรรดาผู้บ่อนทำลายทั้งมวล


คำแปล R3.
60.   ความจริงนี้มาจากพระผู้อภิบาลของเจ้า ดังนั้นจงอย่าเป็นผู้อยู่ในความสงสัย
61.   หลังจากที่เจ้า (มุฮัมมัด) รู้ความจริงนี้แล้ว ถ้าผู้ใดยังโต้แย้งเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก ก็จงกล่าวเถิดว่า “มานี่สิ ขอให้เรามารวมกันแล้วเรียกลูก ๆ ของเราและลูก ๆ ของพวกท่าน พวกผู้หญิงของเราและพวกผู้หญิงของพวกท่าน แล้วพวกเราทั้งหมดร่วมกันวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺ ให้พระองค์งดเว้นความเมตตาแก่บรรดาผู้กล่าวเท็จ”
62.   เรื่องที่กล่าวมานี้เป็นความจริง และไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ แน่นอนอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ
63.   แต่ถ้าพวกเขาหันหลังกลับ (จากการยอมรับคำท้า) มันก็เป็นข้อพิสูจฯอันชัดแจ้งถึงความประสงค์ร้ายของพวกเขา และอัลลอฮฺทรงรู้ดีถึงพวกที่ชอบสร้างความเสียหาย


คำแปล R4.
60. ความจริง นั้นมาจากพระเจ้าของเจ้า (มุฮัมมัด) ดังนั้นเจ้าจงอย่าเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้สงสัยเป็นอันขาด
61. ดังนั้นผู้ใดที่โต้เถียงเจ้าในเรื่องของเขา (อีซา) หลังจากที่ได้มีความรู้มายังเจ้าแล้ว ก็จงกล่าวเถิดว่า ท่านทั้งหลายจงมาเถิด เราก็จะเรียกลูก ๆ ของเรา และลูกของพวกท่านและเรียกบรรดาผู้หญิงของเรา และบรรดาผู้หญิงของพวกท่านและตัวของพวกเรา และตัวของพวกท่านและเราก็จะวิงวอนกัน (ต่ออัลลอฮฺ) ด้วยความนอบน้อม โดยที่เราจะขอให้ละฮ์นัต ของอัลลอฮฺพึงประสบ แก่บรรดาผู้ที่พูดโกหก
62. แท้จริงเรื่องนี้ เป็นเรื่องจริง และไม่มีผู้ที่ควรได้รับการเคารพสักการะใด ๆ นอกจากอัลลอฮฺเท่านั้น และแท้จริงอัลลอฮ์ คือผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ
63. แล้วหากพวกเขาผินหลังให้ แน่นอนอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรู้ดี ต่อผู้บ่อนทำลายทั้งหลาย


คำแปล R5.
๖๐. กระบวนการของอีซานั้นคือว่า อีซาเป็นข้าของอัลเลาะห์ เป็นศาสนทูตของพระองค์ แต่มิใช่บุตรของพระองค์อย่างที่พวกนัซรอนีอ้างเท็จว่าเป็นบุตรของพระองค์ นี้แหละย่อมเป็นความจริงมาจากองค์พระผู้อภิบาลของเจ้า ฉะนั้นเจ้าจงอย่าเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้สงสัยเรื่องราวที่ประหลาดของผู้นี้เลย
๖๑. ถ้าพวกนัซรอนีคนใดได้โต้เถียงเจ้าเรื่องประวัติศาสตร์ของผู้นี้ภายหลังจากความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้มายังเจ้าแล้ว โอ้มูอำมัดเจ้าจงบอกกับผู้นั้นเถิดว่า ก็เชิญซิ เราจะได้เรียกบรรดาบุตรหลานของพวกเรา บุตรหลานของพวกเจ้า บรรดาสตรีของพวกเรา บรรดาสตรีของพวกเจ้า ตัวพวกเราและตัวพวกเจ้ามารวมกัน เสร็จแล้วพวกเราจงนอบน้อมต่ออัลเลาะห์เมื่อพวกเราจะขอวิงวอน และจงขอคำสาปแช่งจากอัลเลาะห์ให้ได้แก่พวกพูดเท็จทั้งหลาย โดยพวกเราจะกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าขอพระองค์ได้โปรดขับไล่บุคคลที่พูดเท็จในเรื่องราวของอีซาให้ออกห่างจากพระเมตตาของพระองค์ด้วยเถิด ครั้นแล้วมูฮำมัดได้เรียกพวกนัซรอนีแห่งเมืองนัจรอนให้ดำเนินการเช่นนั้น ในขณะที่พวกเหล่านั้นได้โต้ถียงกับมูฮำมัดในเรื่องของอีซา พวกเหล่านั้นก็บอกว่า ขอให้พวกเราพิจารณากันดูก่อนว่าที่พวกเราจะมาถกเถียงกับท่านนั้น ผลสุดท้ายพวกเราจะเป็นอย่างไร เมื่อพิจารณากันเรียบร้อย พวกเราจะมาหาท่าน ส่วนหนึ่งจากเหล่านั้นมีคนหนึ่งชื่อ อับดุลมะซีห์ผู้เป็นปราชญ์ได้กล่าวแก่พวกของตนดังนี้ ฉันปฏิญาณว่า แท้จริงพวกเจ้ารู้การเป็นนบีของมูฮำมัดแล้ว และว่าแท้จริงถ้าพวกเจ้าร่วมกันแช่งแข่งกับพระนบีแล้ว พวกเจ้าจะต้องสัยหาย แต่ถ้าพวกเจ้าไม่ยอมเชื่อฟังคำแนะนำของฉัน นอกจากจะยืนกรานอยู่อย่างเดิมแล้ว พวกเจ้าจงประนีประนอมกับพระนบี และจงกลับไปยังบ้านเมืองของพวกเจ้า เมื่อถึงวันนัดพวกเหล่านั้นจึงพร้อมกันมายังสถานที่นัดหมาย ส่วนพระนบีพร้อมด้วยหะซัน หุไซน์ ฟาติมะห์ และอะลี ได้ออกไปจากบ้านยังมัสยิดตามนัด พระนบีจึงสั่งแก่คนทั้งสี่ว่า เมื่อฉันขอวิงวอนให้ลงคำสาปแช่งพวกนั้นแล้ว พวกท่านทั้งสี่จงรับคำว่า “อามีน” ฝ่ายพวกนัซรอนีกลับดื้อดึงไม่เข้าร่วมแช่งแข่งพระนบี แต่ขอเข้าประนีประนอมกับพระนบีว่า จะยอมเสียเงินประจำปีให้
๖๒. แน่แท้ประวัติของอีซานี้คือเรื่องราวที่แท้จริงอย่างไม่มีที่สงสัยใด ๆ เลยหามีพระเจ้าอื่นใดที่ควรแก่การสักการบูชาในภพนี้ไม่ เว้นไว้แต่อัลเลาะห์เท่านั้น และแท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงอิทธิฤทธิ์ยิ่งในด้านการปกครองของพระองค์ ทรงประณีตยิ่งในบรรดางานของพระองค์
๖๓. แต่ถ้าพวกนั้นเหห่างจากความศรัทธาอัลเลาะห์ก็ทรงรู้ยิ่งถึงบรรดาผู้ก่อความหายนะ ณ หน้าแผ่นดิน พระองค์จะทรงลงโทษตอบแทนแก่พวกเขาในวันอาคิเราะห์


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 64 – 68


คำอ่าน
64. กุลยา..อะฮฺลัลกิตาบิ ตะอาเลาอิลากะลิมะติน..สะวา..อิม..บัยนะนา วะบัยนะกุม อัลลานะอฺบุดะอิลลัลลอฮะ วะลานุชริกะบิฮีชัยเอา..วะลายัตตะคิซะ บะอฺฎุนาบะอฺฎ็อน อัรฺบาบัม..มิน..ดูนิลลาฮฺ ฟะอิน..ตะวัลเลา ฟะกูลุชฮะดู บิอัน..นามุสลิมูน
65. ยาอะฮฺลัลกิตาบิ ลิมะตุหา..จญูนะฟี..อิบรอฮีมะ วะมา..อุน..ซิละติตเตารอตุ วัลอินญีลุ อิลลามิม..บะอฺดิฮฺ อะฟะลาตะอฺกิลูน
66. ฮา..อัน..ตุม ฮา...อุลา...อิ หาญัจญตุม ฟีมาละกุม..บิฮีอิลมุน..ฟะลิมะตุหา..จญูนะฟีมาลัยสะละกุม..บิฮีอิลมฺ วัลลอฮุยะอฺละมุ วะอัน..ตุมลาตะอฺละมูน
67. มากานะอิบรอฮีมุ ยะฮูดีเยา..วะลานัศรอนีเยา..วะลากิน..กานะหะนีฟัม..มุสลิมา วะมากานะมินัลมุชริกีน
68. อิน..นะเอาลัน..นาสิ บิอิบรอฮีมะลัลละซีนัตตะบะอูฮุ วะฮาซัน..นะบียุ วัลละซีนะอามะนู วัลลอฮุวะลียุลมุอ์มินีน

คำแปล R1.
64. Say (O Muhammad ): "O people of the Scripture (Jews and Christians): come to a word that is just between us and you, that we worship none but Allah, and that we associate no partners with him, and that none of us shall take others as lords besides Allah. Then, if they turn away, say: "Bear witness that we are Muslims."
65. O people of the Scripture (Jews and Christians)! Why do you dispute about Ibrahim (Abraham), while the Taurat (Torah) and the Injeel (Gospel) were not revealed till after him? Have you then no sense?
66. Verily, you are those who have disputed about that of which you have knowledge. Why do you then dispute concerning that which you have no knowledge? It is Allah who knows, and you know not.
67. Ibrahim (Abraham) was neither a Jew nor a Christian, but he was a true Muslim Hanifa (Islamic Monotheism - to worship none but Allah alone) and he was not of Al-Mushrikun (See V.2:105).
68. Verily, among mankinds who have the best claim to Ibrahim (Abraham) are those who followed him, and this Prophet (Muhammad) and those who have believed (Muslims). And Allah is the Wali (protector and Helper) of the believers.


คำแปล R2.
64. เจ้าจงประกาศเถิด! โอ้ชาวคัมภีร์ทั้งหลาย พวกท่านจงมาสู่ถ้อยคำแห่งความเสมอภาค ระหว่างเราและระหว่างพวกท่านเถิด (นั่นคือ) “เราจะไม่ทำการนมัสการ (สิ่งใดทั้งสิ้น) นอกจากอัลเลาะฮฺ และเราจะไม่ตั้งสิ่งใดขึ้นมาเป็นภาคีกับพระองค์ทั้งสิ้น และเราจะไม่แต่งตั้งบางคนของพวกเราขึ้นมาเป็นผู้อภิบาล (ที่ทำการเคารพภักดี) แก่อีกบางคน นอกจากอัลเลาะฮฺ” แต่ถ้าพวกเขาหันหลังให้ เจ้าทั้งหลายก็จงกล่าว (แก่พวกนั้น) เถิดว่า “ท่านทั้งหลายจงเป็นสักขีพยานว่าแท้จริงเราล้วนเป็นผู้สวามิภักดิ์ (ในอัลเลาะฮฺเพียงพระองค์เดียว)”
65. โอ้ชาวคัมภีร์ทั้งหลาย! เพราะเหตุใดเล่าพวกเจ้าจึงได้ถียงกันใน (เรื่องศาสนาของนบี) อิบรอฮีม ทั้ง ๆ ที่คัมภีร์เตารอฮฺและอินญีลมิได้ถูกประทานมา นอกจากภายหลังจากเขา (เป็นเวลาถึงหนึ่งพันปี) พวกเจ้าไม่ใช้ปัญญาตริตรองดอกหรือ
66. พึงระลึกเถิด พวกเจ้าทั้งหลาย (ก็เหมือน) พวกเหล่านี้ (คือโง่เขลาเหมือน ๆ กัน) พวกเจ้าถกเถียงกัน (ได้ก็เฉพาะ) ในเรื่องที่พวกเจ้ารู้กันอยู่แล้ว ไฉนพวกเจ้า (ยังมา) ถกเถียงกันในเรื่องที่พวกเจ้าไม่รู้ และอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ (ทุกสิ่งทุกอย่าง) แต่พวกเจ้าไม่รู้ (อะไรเลย)
67. อันอิบรอฮีมนั้นเขาหาใช่ยะฮูดีไม่ และเขาก็ไม่ใช่นัศรอนี แต่ทว่าเขาเป็นผู้ทรงภูมิธรรม อีกทั้งเป็นผู้สวามิภักดิ์ (ต่ออัลเลาะฮฺ) และเขามิใช่เป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้ตั้งภาคี
68. แท้จริงมนุษย์ที่มีความสนิทยิ่งกับอิบรอฮีมได้แก่บรรดาที่เจริญรอยตามเขา ได้แก่ศาสดา (มุฮำมัด) ผู้นี้ และได้แก่บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย และอัลเลาะฮฺทรงเป็นผู้คุ้มครองเหล่าศรัทธาชนทั้งมวล


คำแปล R3.
64.   จงกล่าวเถิด “ชาวคัมภีร์เอ๋ยจงมายังถ้อยคำร่วมกันระหว่างพวกเรากับพวกท่าน ว่าเราจะไม่เคารพภักดีผู้ใดเว้นแต่อัลลอฮฺ และเราจะไม่ตั้งภาคีใด ๆ ต่อพระองค์ และจะไม่มีใครในหมู่พวกเรายึดเอาบางคนเป็นผู้บริบาลอื่นจากอัลลอฮฺ” แต่ถ้าพวกเขาปฏิเสธ ดังนั้นจงกล่าวกับพวกเขาว่า “จงเป็นพยานด้วยว่าเราเป็นมุสลิม”
65.   ชาวคัมภีร์เอ๋ย ไฉนสูเจ้าจึงโต้แย้งกับเราเกี่ยวกับอิบรอฮีม (ว่าเขาเป็นยิวหรือเป็นคริสเตียน) ในเมื่อเตารอตและอินญีลถูกประทานมาหลังจากเขาเป็นเวลานาน แล้วทำไมสูเจ้าจึงไม่ใช้ปัญญาคิดถึงเรื่องนี้?
66.   สูเจ้ามีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิ่งที่สูเจ้ามีความรู้อยู่แล้ว แต่ไฉนสูเจ้าจึงยังมาโต้แย้งเกี่ยวกับสิ่งที่สูเจ้าไม่มีความรู้เลย? และอัลลอฮฺทรงรอบรู้ แต่สูเจ้าไม่รู้
67.   อิบรอฮีมมิได้เป็นยิวและมิได้เป็นคริสเตียน แต่ว่าเขาเป็นผู้ที่มั่นคงในความสรัทธา เป็นมุสลิม และเขามิได้อยู่ในหมู่พวกตั้งภาคี
68.   แท้จริง บรรดาผู้ปฏิบัติตามอิบรอฮีมเท่านั้นที่มีสิทธิ์จะอ้งสิทธิ์ในความสัมพันธ์กับพระองค์ และนบีผู้นี้และบรรดาผู้ศรัทธาต่างหากที่มีสิทธิ์ในความสัมพันธ์นี้ และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงคุ้มครองผู้ศรัทธาทั้งหลาย


คำแปล R4.
64. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า โอ้บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์! จงมายังถ้อยคำหนึ่งซึ่งเท่าเทียมกัน ระหว่างเราและพวกท่าน คือว่าเราจะไม่เคารพสักการะนอกจากพระองค์เท่านั้น และเราจะไม่ให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นภาคีกับพระองค์ และพวกเราบางคนก็จะไม่ยึดถืออีกบางคนเป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮฺ แล้วหากพวกเขาผินหลังให้ ก็จงกล่าวเถิดว่า พวกท่านจงเป็นพยานด้วยว่า แท้จริงพวกเราเป็นผู้น้อมตาม
65. โอ้บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์! เพราะเหตุใดเล่าพวกเจ้าจึงโต้เถียงกันในตัวของอิบรอฮีม และอัตเตารอต และอัลอินญีลนั้นมิได้ถูกประทานลงมา นอกจากหลังจากเขา แล้วพวกเจ้าไม่ใช้ปัญญาดอกหรือ
66. พวกเจ้านี้แหละได้โต้เถียงกันในสิ่งที่พวกเจ้ามีความรู้ในสิ่งนั้นแล้ว แล้วก็เหตุไฉนเล่าพวกเจ้าจึงโต้เถียงกันในสิ่งที่พวกเจ้าไม่มีความรู้ และอัลลอฮ์นั้นทรงรู้ แต่พวกเจ้าไม่รู้
67. อิบรอฮีมไม่เคยเป็นยิวและไม่เคยเป็นคริสต์ แต่ทว่าเขาเป็นผู้หันออกจากความเท็จสู่ความจริง เป็นผู้น้อมตาม และเขาก็ไม่เคยอยู่ในหมู่ผู้ให้มีภาคีขึ้น (แก่อัลลอฮฺ)
68. แท้จริงผู้คนที่สมควรยิ่งต่ออิบรอฮีมนั้น ย่อมได้แก่บรรดาผู้ปฏิบัติตามเขา และปฏิบัติตามนะบีนี้ และบรรดาผู้ที่ศรัทธาด้วย และอัลลอฮฺนั้นทรงคุ้มครองผู้ศรัทธาทั้งหลาย


คำแปล R5.
๖๔. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวเถิดว่า โอ้ผู้ครองคัมภีร์ทั้งฝ่ายยะฮูดีและนัซรอนี เชิญพวกเจ้า ทั้งสองฝ่าย จงมาสู่พระคำที่เท่าเทียมกันของอัลเลาะห์ที่ตรัสไว้ทั้งในคัมภีร์เตารอต อินยีล และอัลกุรอาน โดยไม่มีเนื้อความขัดแย้งกันระหว่างพวกเรากับพวกเจ้าที่ว่า “พวกเราจะไม่เคารพสักการะอันใดเลยนอกจากอัลเลาะห์ พวกเราจะไม่นำเอาสิ่งใดมาเป็นภาคีเท่าเทียมพระองค์ และพวกเราบางคนจะไม่ตั้งอีกบางคนให้เป็นองค์อภิบาลอื่นจากอัลเลาะห์” เหมือนอย่างที่พวกเจ้าได้เคยตั้งพวกนักปราชญ์ยะฮูดีและนักธรรมวินัยนัซรอนีเป็นองค์อภิบาลไว้สำหรับจะเคารพบูชา และสำหรับเชื่อฟังถ้อยคำของพวกทั้งสองนี้ ที่บอกว่า “สิ่งที่บาปว่าไม่บาปและสิ่งที่ไม่บาว่าบาป” แล้วพวกเจ้าก็ถือปกฺบัติตามถ้อยคำของพวกที่ถูกตั้งเป็นองค์อภิบาลเหล่านั้น แต่ไม่ยอมเชื่อฟังดำรัสของอัลเลาะห์ที่ตรัสไว้ในพระคัมภัร์เตารอต อินยีลและอัลกุรอานกันเลย แต่ถ้าพวกนั้นเหห่างออกจากความศรัทธาในเอกภาพของอัลเลาะห์แล้วโอ้มุฮำมัดละบรรดามุอ์มินพวกเจ้าจงกล่าวแก่พวกนั้นเถิดว่าพวกเจ้าจงเป็นสักขีพยานว่า แท้จริงพวกเรานั้นเป็นผู้ศรัทธาในเอกภาพของอัลเลาะห์ เพราะว่าหลักฐานได้ยันพวกเจ้าให้จนแต้ม และไม่มีทางใดจะแก้ตัวได้อีกแล้ว ฉะนั้นพวกเจ้าจงเป็นพยานด้วยว่า พวกเรานั้นเป็นผู้ถือเอกภาพของอัลเลาะห์ หาใช่พวกเจ้าไม่
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ ลงมาในโอกาสที่พวกยะฮูดีกล่าวว่า อิบรอฮีมนั้นเป็นยะฮูดี พวกเราถึงได้นับถือศาสนาของอิบรอฮีม ฝ่ายนัซรอนีก็ว่า อิบรอฮีมนั้นเป็นนัซรอนี พวกเราถึงได้นับถือศาสนาของอิบรอฮีม
๖๕. โอ้ยะฮูดีและนัซรอนีผู้ครองคัมภีร์ ทำไมถึงพวกเจ้าจะมาถกเถียงกันเรื่องศาสนาของอิบรอฮีมตามคำอ้างเท็จของพวกเจ้าเล่า ว่าแท้จริงอิบรอฮีมนั้นอยู่ในศาสนาของพวกเจ้าทั้ง ๆที่เตารอตและอินยีลก็ถูกประทานลงมาทีหลังผู้นี้(อิบรอฮีม)เป็นเวลานานตั้งหนึ่งพันปีนับแต่อิบรอฮีมถึงมูซา และอีกหนึ่งพันปีนับจากมูซาถึงอีซา และภายหลังจากมีเตารอตและอินยีลลงมา จึงจะมีพวกยะฮูดีและนัซรอนีขึ้น พวกเจ้ามิได้พิเคราะห์ดูหรอกหรือ?ว่าถ้อยคำที่พวกเจ้าถกเถียงกันนั้นเป็นโมฆะ
๖๖. อัลเลาะห์ตรัสเตือนว่าแน่ะพวก(ยะฮูดีและนัซรอนี นั้นน่ะพวกเจ้าได้แต่ถกเถียงกันถึงเรื่องราวของมูซาและอีซาเท่าที่พวกเจ้ามีความรู้ส่วนหนึ่งจากการได้พบเห็นอยู่ในคัมภีร์เตารอตและอินยีลอย่างหนึ่งและถียงเกี่ยวกับข้ออ้างของพวกเจ้าที่ว่า “พวกเจ้านับถือศาสนาของมูซาและอีซา” อีกอย่างหนึ่ง แล้วทำไมถึงพวกเจ้าจะมาถกเถียงกันเรื่องราวของอิบรอฮีมซึ่งพวกเจ้าไม่มีความรู้เล่า? เพราะในคัมภีร์เตารอตก็ดี คัมภีร์อินยีลก็ดี ไม่มีข้อความใดที่กล่าวเรื่องศาสนาของอิบรอฮีมอยู่เลย ก็อัลเลาะห์นั้นทรงรู้เรื่องราวของอิบรอฮีมแต่พวกเจ้าหาได้รู้เรื่องราวของผู้นี้ไม่
๖๗. อัลเลาะห์ได้ตรัสเพื่อให้อิบรอฮีมพ้นจากข้ออ้างเท็จของพวกยะฮูดีและนัซรอนีที่จะถกเถียงกันว่า “อิบรอฮีมเป็นชนในเชื้อชาติของพวกตน” และเพื่อแถลงให้รู้ถึงสิ่งที่หลักฐานได้ชี้ชัดไว้แล้วว่าอิบรอฮีมนั้นมิใช่ยะฮูดีและนัซรอนีหรอก แต่เขาเป็นผู้มีใจเบี่ยงเบนออกจากศาสนาทั้งสิ้นที่ไม่เที่ยงแท้และเป็นผู้ถือเอกภาพของอัลเลาะห์ต่างหาก และเขา(อิบรอฮีม)ก็มิใช่คนหนึ่งจากพวกถือภาคีเทียมอัลเลาะห์ เช่นพวกยะฮูดีถือว่า พระศาสดาอะซีซเป็นบุตรของอัลเลาะห์ พวกนัซรอนีนับถือว่าอีซาเป็นบุตรของพระองค์ และพวกกาฟิรชาวมักกะห์ก็อ้างว่า แท้จริงพวกเขานับถือศาสนาของอิบรอฮีม
๖๘. แท้จริงมวลชนที่สนิทยิ่งกับอิบรอฮีมนั้นได้แก่บรรดาผู้เจริญรอยตามเขาอิบรอฮีมหนึ่ง พระศาสดามุฮำมัดผู้นี้ หนึ่ง พวกมุอ์มินทั้งหลาย หนึ่งทั้งนี้เนื่องจากว่าศาสนาของมุฮำมัดนั้นมีบทบัญญัติส่วนใหญ่ตรงกับบทบัญญัติในศาสนาของอิบรอฮีม โอ้ยะฮูดีและนัซรอนี หาใช่พวกเจ้าไม่ที่สมควรจะพูดจาเท็จอย่างนั้น ฝ่ายอัลเลาะห์คือองค์สงเคราะห์บรรดามุอ์มิน



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺอาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 69 – 74


คำอ่าน
69. วัดดัฏฏอ...อิฟะตุม..มินอะฮฺลิลกิตาบิ เลายุฎิลลูนะกุม วะมายุฎิลลูนะ อิลลาอัน..ฟุสะฮุม วะมายัชอุรูน
70. ยา..อะฮฺลัลกิตาบิ ลิมะตักฟุรูนะ บิอายาติลลาฮิ วะอัน..ตุมตัชฮะดูน
71. ยา..อะฮฺลัลกิตาบิ ลิมะตังบิสูนัลหักเกาะ บิลบาฏิลิ วะตักตุมูนัลหักเกาะ วะอัน..ตุมตะอฺละมูน
72. วะกอลัฏฏอ...อิฟะตุม..มินอะฮฺลิลกิตาบิ อามินูบิลละซี..อุน..วิละอะลัลละซีนะวัจญฮัน..นะฮาริ วักฟุรูอาคิเราะฮู ละอัลละฮุมยัรฺญิฮุน
73. วะลาตุอ์มินู..อิลลาลิมันตะบิอะดีนะกุม กุลอิน..นัลฮุดาฮุดัลลอฮิ อัย..ยุอ์ตา..อะหะดุม..มิษละมา..อูตีตุม เอายุหา...จญูกุมอิน..ดะร็อบบิกุม กุลอิน..นัลฟัฎละบิยะดิลลาฮิ ยุอ์ตีฮิมัย..ยะชา...อุ วัลลอฮุสะมีอุนอะลีม
74. ยัคตัศศุบิเราะหฺมะติฮีมัย..ยะชา...อุ วัลลอฮุซุลฟัฎลิลอะซีม

คำแปล R1.
69. A party of the people of the Scripture (Jews and Christians) wishes to lead you astray. But they shall not lead astray anyone except themselves, and they perceive not.
70. O people of the Scripture! (Jews and Christians): "Why do you disbelieve in the Ayat of Allah, [the Verses about Prophet Muhammad present In the Taurat (Torah) and the Injeel (Gospel)] while you (yourselves) bear witness (to their truth)."
71. O people of the Scripture (Jews and Christians): "Why do you mix truth with falsehood and conceal the truth while you know?"
72. And a party of the people of the Scripture say: "Believe in the morning in that which is revealed to the believers (Muslims), and reject it at the end of the day, so that they may turn back.
73. And believe no one except the one who follows your religion. Say (O Muhammad ): "Verily! Right guidance is the guidance of Allah" and do not believe that anyone can receive like that which you have received (of Revelation) except when he follows your religion, otherwise they would engage you In argument before your Lord. Say (O Muhammad): "All the bounty is in the Hand of Allah; He grants to whom He wills. And Allah is All-Sufficient for his creatures' needs, the All-Knower."
74. He selects for his Mercy (Islam and the Qur'an with Prophethood) whom He wills and Allah is the Owner of great Bounty.


คำแปล R2.
69. คนกลุ่มหนึ่งจากชาวคัมภีร์มีความชอบใจยิ่งนัก หากพวกเขาทำความหลงผิดแก่พวกเจ้าได้ และพวกเขามิอาจสร้างความหลงผิด (แก่ผู้ใดได้) นอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้น และพวกเขาหาได้สำนึกไม่
70. โอ้ชาวคัมภีร์! ไฉนเล่าเจ้าจึงปฏิเสธโองการต่าง ๆ ของอัลเลาะฮฺ ทั้ง ๆ ที่พวกเจ้าก็ประจักษ์ชัด (ในสัจธรรมแห่งโองการเหล่านั้น)
71. โอ้ชาวคัมภีร์! ไฉนพวกเจ้าจึงผสานสัจธรรมกับสิ่งไร้สาระ และพวกเจ้าปิดบังความจริง (อันเกี่ยวกับคุณลักษณะของนบีมุฮำมัด) ทั้ง ๆ ที่พวกเจ้าก็รู้ดี (จากที่มีระบุในคัมภีร์เตารอฮฺ)
72. และมีคนกลุ่มหนึ่งจากชาวคัมภีร์ได้กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจงศรัทธากับ (คัมภีร์อัลกุรอาน) ที่ถูกประทานลงมาให้แก่บรรดาผู้ศรัทธา (เฉพาะ) ในยามเช้า และพวกท่านจงปฏิเสธคัมภีร์นั้นในตอนเย็นเถิด เพื่อพวกเขา (ผู้ศรัทธา) จะได้กลับคืน (มาสู่ลัทธิเดิมคือลัทธินับถือพระเจ้าหลายองค์)”
73. (พวกนั้นกล่าวต่อไปว่า) และพวกท่านอย่าได้เชื่อถือ (ผู้ใดทั้งสิ้น) นอกจากต่อบุคคลที่ประพฤติตามศาสนาของพวกท่าน (โอ้มุฮำมัด) เจ้าจงประกาศเถิดว่า แท้จริงสิ่งชี้นำ (ไปสู่สัจธรรม) นั้น คือสิ่งชี้นำจากอัลเลาะฮฺ (และพวกนั้นกล่าวอีกว่าพวกท่านอย่าได้เชื่อถือ) ในการที่คนคนหนึ่งจะได้รับ (คัมภีร์) เยี่ยงที่พวกท่านได้เคยรับ (มาก่อน) หรือพวกเขาจะโต้เถียงพวกท่าน (จนชนะ) ต่อหน้าองค์อภิบาลของพวกท่าน (ในวันชาติหน้า) เจ้าจงประกาศเถิด (โอ้มุฮำมัด) ว่า “แท้จริงความโปรดปรานอยู่ในอำนาจของอัลเลาะฮฺ พระองค์จะทรงประทานมันแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์เท่านั้น” และอัลลอฮฺทรงไพศาลยิ่ง ทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง
74. พระองค์ทรงจำกัดความเมตตาของพระองค์ เฉพาะแก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลเลาะฮฺทรงไว้ซึ่งความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่


คำแปล R3.
69.   (โอ้บรรดาผู้ศรัทธา) ชาวคัมภีร์กลุ่มหนึ่งปรารถนาที่จะทำให้สูเจ้าหลงทางแต่พวกเขามิได้ทำให้ใครหลงทางนอกจากพวกเขาเอง แต่พวกเขาไม่รู้สึก
70.   โอ้ชาวคัมภีร์เอ๋ย ไฉนสูเจ้าจงปฏิเสธสัญญาณทั้งหลายของอัลลอฮฺทั้ง ๆ ที่สูเจ้าเองก็เห็นอยู่?
71.   โอ้ ชาวคัมภีร์เอ๋ย ไฉนสูเจ้าจึงปะปนความจริงด้วยความเท็จและปิดบังความจริงทั้ง ๆ ที่สูเจ้ารู้ดีอยู่
72.   และชาวคัมภีร์อีกพวกหนึ่งกล่าวกับอีกพวกหนึ่งว่า “จงศรัทธาในสิ่งที่ได้ถูกประทานลงมาแก่บรรดาผู้ศรัทธาในตอนเช้าและปฏิเสธมันในตอนเย็นด้วยวิธีการเช่นนี้ บางทีพวกเขาอาจจะกลับมาจากความศรัทธาของพวกเขา”
73.   (พวกเขายังกล่าวด้วยว่า) “จงอย่าเชื่อผู้ใดนอกจากผู้ที่ปฏิบัติตามศาสนาของพวกท่าน” จงกล่าวเถิด “ความจริงแล้วทางนำที่แท้จริงคือทางนำของอัลลอฮฺ (มันเป็นพระประสงค์ของพระองค์) ที่พระองค์จะทรงประทานความจำเริญให้แก่ใครด้วยสิ่งอย่างเดียวกับที่พระองค์ได้เคยทรงประทานให้แก่เจ้า หรือพระองค์อาจจะให้ข้อโต้แย้งที่แข็งแรงแก่คนอื่นเพื่อโต้แย้งเจ้าต่อหน้าพระผู้อภิบาลของเจ้า” (โอ้นบี) จงกล่าวเถิด “แท้จริงความโปรดปรานนั้นเป็นของอัลลอฮฺ และพระองค์จะทรงประทานมันแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ เพราะพระองค์เป็นผู้ทรงไพบูลย์ ผู้ทรงรอบรู้
74.   พระองค์ทรงเลือกประทานความโปรดปรานของพระองค์ให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮฺทรงเป็นเจ้าแห่งความโปรดปรานอันใหญ่หลวง”


คำแปล R4.
69. กลุ่มหนึ่งจากผู้ได้รับคัมภีร์นั้นชอบหากพวกเขาจะทำให้พวกเจ้าหลงผิด และพวกเขาจะไม่ทำให้ใครหลงผิด นอกจากตัวของพวกเขาเองแต่พวกเขาไม่รู้
70. โอ้ผู้ที่ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย ! เพราะเหตุใดพวกเจ้าจึงปฏิเสธบรรดาโองการของอัลลอฮฺ ทั้ง ๆ ที่พวกเจ้าก็เป็นพยานยืนยันอยู่
71. โอ้บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย ! เพราะเหตุใดพวกเจ้าจึงสวมความจริงไว้ด้วยความเท็จ และปกปิดความจริงไว้ ทั้งๆ ที่พวกเจ้าก็รู้ดีอยู่
72. และกลุ่มหนึ่งจากหมู่ผู้ได้รับคัมภีร์กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกให้ลงมาแก่บรรดาผู้ที่ศรัทธา ในตอนเริ่มแรกของกลางวัน(เช้า) และจงปฏิเสธศรัทธาในตอนสุดท้ายของมัน (เย็น) เพื่อว่าพวกเขาจะได้กลับใจ
73. และพวกท่านจงอย่าเชื่อ นอกจากแก่ผู้ที่ปฏิบัติตามศาสนาของพวกท่านเท่านั้น จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า คำแนะนำนั้นคือคำแนะนำของอัลลอฮฺเท่านั้น (คือจงอย่าเชื่อว่า) จะมีผู้ใดได้รับ เยี่ยงที่พวกท่านจะได้รับ หรือ (อย่าเชื่อว่า) เขาเหล่านั้น จะโต้แย้งพวกท่าน ณ พระเจ้าของพวกทานเลย จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า แท้จริงความโปรดปรานนั้นอยู่ ณ พระหัตถ์ของอัลลอฮฺซึ่งพระองค์ก็จะทรงประทานมันให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรง ประสงค์ และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงไพศาลผู้ทรงรอบรู้
74. พระองค์จะทรงเจาะจงความเอ็นดูเมตตาของพระองค์แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงโปรดปรานที่ยิ่งใหญ่


คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ ลงมาในขณะที่พวกยะฮูดีเกลี้ยกล่อมชักชวนมะอาซ หุไซฟะห์และอัมมาร ให้ไปเข้ารับนับถือศาสนายะฮูดี
๖๙. กลุ่มหนึ่งจากผู้ครองตัมภีร์ที่เป็นชาวยะฮุดีนั้น ชอบจะให้พวกเจ้าเป็นคนหลงไหลและเป็นคนกาฟิร ถ้าพวกเหล่านั้นกระทำพวกเจ้าให้ตกอยู่ในสภาพดังว่านั้นได้ดังใจหมายแล้ว พวกนั้นก็จะพอใจ แต่พวกนั้นหาได้ทำให้ใครหลงใหลไม่ นอกจากตัวพวกเขาเองเพราะบาปอันเนื่องมาจากการกระทำเช่นนั้น ย่อมตกอยู่กับพวกเขา ส่วนพวกมุอ์มินมิได้ปฏิบัติตามพวกเขาเหล่านั้นแต่ประการใดบาปจึงตกแก่พวกนั้นฝ่ายเดียวในฐานะที่พวกเขาชอบที่จะให้พวกมุอ์มินหลงใหล แต่พวกนั้นไม่รู้สึกตัวว่าที่พวกตนอยากจะให้พวกมุอ์มินหลงใหลนั้น ผลสะท้อนจะตกแก่ตัวเอง หาได้ตกแก่พวกมุอ์มินไม่
๗๐. โอ้ผู้ครองคัมภีร์ฝ่ายยะฮูดีเหตุไฉนพวกเจ้าจึงปฏิเสธโองการต่าง ๆ ของอัลเลาะห์ (อัลกุรอาน)ซึ่งในนั้นมีบรรยาถึงคุณลักษณะของมุฮำมัดอยู่ด้วย ทั้ง ๆ ที่พวกเจ้าก็รู้อยู่ว่าแท้จริงอัล-กุรอานนั้นเป็นของจริง ดังนั้นตุณลักษณะของมุฮำมัดจึงเป็นของจริงด้วย
๗๑. โอ้ผู้ครองคัมภีร์ฝ่ายยะฮูดี เหตุไฉนพวกเจ้าเอาของจริงไปปลอมปนกับความเสื่อมเสียด้วยวิธีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขและพยายามกลบเกลื่อนเรื่องราวที่โกหกให้เห็นเป็นดีงสม และเหตุไฉนพวกเจ้าจึงปกปิดคุณลักษณะของมุฮำมัด ทั้ง ๆ ที่พวกเจ้าก็ตระหนักดีว่าแท้จริงคุณลักษณะของมุฮำมัดนั้นเป็นของจริงที่ถูกบ่งไว้ในพระคัมภีร์เตารอต
๗๒. และกลุ่มหนึ่งจากพวกยะฮูดีผู้ครองคัมภีร์กล่าวแสดงนโยบายแก่บางคนในพวกของตนว่าในยามเช้าพวกเจ้าจงศรัทธาต่อพระคัมภีร์อัล-กุรอานที่ถูกอัลเลาะห์ประทานมายังบรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย แต่เพียงปากเท่านั้น แต่ในยามเย็นพวกเจ้าจงปฏิเสธกันเถิด เพื่อว่าให้พวกมุอ์มินเหล่านั้นเปลี่ยนแปรไปจากศาสนาอิสลามไปสู่ศาสนาอื่น ที่เราให้พวกเจ้ากระทำเช่นนั้น เผื่อพวกมุอ์มินจะใช้คำพูดว่า ไม่มีสาเหตุใดหรอกที่จะทำให้พวกยะฮูดีออกจากศาสนาอิสลามในตอนเย็น หลังจากที่พวกเขาได้สู่ศาสนาอิสลามแล้วในตอนเช้า ทั้ง ๆ ที่พวกยะฮูดีก็เป็นผู้ทรงคุณวุฒิกันทั้งนั้น เว้นแต่เพราะเหตุพวกยะฮูดีรู้ว่า ศาสนาอิสลามนั้นไม่เที่ยงแท้
๗๓. และนักปราชญ์ยะฮูดีได้พูดกำชับพรรคพวกของตัวว่า พวกเจ้าจงอย่าเปิดเผยความเชื่อของพวกเจ้าให้ใครรู้ว่า พวกมุอ์มินนั้นจะมีผู้ได้รับคัมภีร์ ความรู้ หลักปฏิบัติตามความรู้นั้น ตลอดจนความดีเลิศต่าง ๆ เหมือนอย่างที่พวกเจ้า (ยะฮูดี) เคยได้รับกันมาและที่ว่าพวกมุอ์มินนั้นจะเป็นผู้โต้เถียงได้ชัยชนะพวกเจ้าในวันกิยามะห์ นอกจากบุคคลผู้เจริญตามศาสนาของพวกเจ้าเท่านั้น เพราะประเดี๋ยวพวกมุอ์มินจะกระชับความศรัทธาในศาสนาอิสลามดีขึ้น ถึงพวกกาฟิรมักกะห์ก็เหมือนกัน พวกเจ้าอย่าได้แย้มพรายให้พวกนั้นรู้ได้ ด้วยเกรงว่าพวกเหล่านั้นจะเปลี่ยนใจหันมาเข้ารับนับถือในศาสนาอิสลาม อื่นจากอิสลามย่อมเป็นหนทางหลงใหลทั้งสิ้น โอ้มุฮำมัดเจ้าจงกล่าวแก่พวกยะฮูดีเถิดว่า แท้จริงทางนำไปสู่หนทางอันเที่ยงตรงนั้นได้แก่ทางนำจากอัลเลาะห์ คือศาสนาอิสลาม อัลเลาะห์ตรัสว่า มุฮำมัดเจ้าจงกล่าวแก่พวกยะฮูดีเถิดว่า แท้จริงการอำนวยให้พิเศษนั้นอยู่ใต้อำนาจของอัลเลาะห์ ซึ่งพระองค์จะทรงมอบมันแก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลเลาะห์นั้นคือผู้ทรงไพศาลยิ่งในการมอบให้อย่างพิเศษ ทรงรู้ยิ่งว่าผู้ใดควรได้รับการประทานพิเศษนั้น
๗๔. พระองค์จะทรงจำกัดพระเมตตาของพระองค์ให้แก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์แหละว่าอัลเลาะห์นั้นคือพระองค์ผู้อำนวยพิเศษที่ยิ่งใหญ่ไพศาล




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺอาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 75 - 78


คำอ่าน
75. วะมินอะฮฺลิลกิตาบิ มันอิน..ตะอ์มันฮุ บิกิน..ฏอรี..ยุอัดดิฮี..อิลัยกะ วะมินฮุม..มันอิน..ตะอ์มันฮุ บิดีนาริลลายุอัดดิฮี..อิลัยกะ อิลลามาดุมตะอะลัยฮิ กอ...อิมา ซาลิกะบิอัน..นะฮุม กอลูลัยสะอะลัยนา ฟิลอุม..มียีนะสะบีล, วะยะกูลูนะอะลัลลอฮิลกะซิบะ วะฮุมยะอฺละมูน
76. บะลามันเอาฟา บิอัฮฺดิฮี วัตตะกอ ฟะอิน..นัลลอฮะ ยุหิบบุลมุตตะกีน
77. อิน..นัลละซีนะ ยัชตะรูนะบิอะฮฺดิลลาฮิวะอัยมานิฮิม ษะมะนัน..เกาะลีลัน อุลา..อิกะ ลาเคาะลาเกาะ ละฮุมฟิลอาคิเราะติ วะลายุกัลลิมุฮุมุลลอฮุ วะลายันซุรุอิลัยฮิม เยามัลกิยามะติ วะลายุซักกีฮิม วะละฮุมอะซาบุนอะลีม
78. วะอิน..นะมินฮุมละฟะรีก็อย..ยัลวูนะอัลสินะตะฮุม..บิลกิตาบิ ลิตะหฺสะบูฮุ มินัลกิตาบิ วะยะกูลูนะ ฮุวะมินอิน..ดิลลาฮิ วะมาฮุวะมินอิน..ดิลลาฮฺ วะยะกูลูนะอะลัลลอฮิลกะซิบะ วะฮุมยะอฺละมูน

คำแปล R1.
75. Among the people of the Scripture (Jews and Christians) is he who, if entrusted with a Cantar (a great amount of wealth, etc.), will readily pay it back; and among them there is he who, if entrusted with a single silver coin, will not repay it unless you constantly stand demanding, because they say: "There is no blame on us to betray and take the properties of the illiterates (Arabs)." but they tell a lie against Allah while they know it.
76. Yes, whoever fulfills his pledge and fears Allah much; Verily, then Allah loves those who are Al-Muttaqun (the pious - see V.2:2).
77. Verily, those who purchase a small gain at the cost of Allah's Covenant and their oaths, they shall have no portion in the hereafter (Paradise). Neither will Allah speak to them, nor look at them on the Day of Resurrection, nor will He purify them, and they shall have a painful torment.
78. And verily, among them is a party who distort the Book with their tongues (as they read), so that you may think it is from the Book, but it is not from the Book, and they say: "This is from Allah," but it is not from Allah; and they speak a lie against Allah while they know it.


คำแปล R2.
75. และชาวคัมภีร์บางคนเป็นผู้ซึ่ง (มีนิสัยซื่อสัตย์สุจริต) ถ้าเจ้าวางใจเขาด้วย (การฝาก) ทรัพย์มหาศาล (ไว้) เขาก็จะส่งทรัพย์นั้นคืนแก่เจ้า และบางคนจากพวกเขาเป็นผู้ซึ่ง (มีนิสัยคดโกง) ถ้าเจ้าไว้ใจเขาด้วย (การฝาก) เพียงดีนารเดียว (แก่เขา) เขาก็จะไม่ส่งมันคืนแก่เจ้า นอกจากตลอดเวลาที่เจ้ายืนอยู่ต่อหน้าเขา (เพื่อทวงหนี้นั้นคืนมาเขาจึงจะยอมส่งคืนให้) นั้นเป็นเพราะพวกเขากล่าวว่า “ไม่มีทางที่จะเป็นบาปแก่เราใน (การที่เราจะคดโกง) พวกไม่รู้หนังสือ (คือพวกอาหรับ)” และพวกเขากล่าวเท็จแก่อัลเลาะฮฺทั้ง ๆ ที่พวกเขารู้ดี
76. ถูกแล้ว! ผู้ใดก็ตามที่ทำตามสัญญาครบถ้วน และมีความยำเกรง แน่นอนอัลเลาะฮฺย่อมรักบรรดาผู้ยำเกรงทั้งมวล
77. แท้จริงบรรดาผู้นำข้อสัญญาของอัลเลาะฮฺและคำสาบานของพวกเขามาแลกเปลี่ยนกับราคาเพียงเล็กน้อย พวกเหล่านั้นจะไม่มีส่วนได้ใด ๆ สำหรับพวกเขาเลยในโลกหน้า และอัลเลาะฮฺจะไม่เจรจากับพวกเขา พระองค์ไม่ทรงมองมายังพวกเขาในวันชาติหน้า ไม่ทรงชำระมลทินแก่พวกเขา และพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันทรมานยิ่ง
78. และแท้จริงบางส่วนจากพวกเขาเป็นกลุ่มชนที่ตวัดลิ้นของพวกเขาใน (การอ่าน) คัมภีร์ (เตารอฮฺ โดยการบิดเบือนและตัดทอนเพิ่มเติมตามความพอใจของตนเอง) เพื่อ (ทำให้) พวกเจ้า (หลงผิด) คิดว่าสิ่ง (ที่บิดเบือน) นั้น เป็นส่วนหนึ่งจากคัมภีร์ทั้ง ๆ ที่สิ่งนั้นหาเป็นส่วนหนึ่งจากคัมภีร์ไม่ และพวกเขากล่าวอีกว่า สิ่งนั้นมาจากอัลเลาะฮฺ ทั้ง ๆ ที่สิ่งนั้นหาได้มาจากอัลเลาะฮฺไม่ และพวกเขากล่าวเท็จแก่อัลเลาะฮฺ ทั้ง ๆ ที่พวกเขาก็รู้ดี


คำแปล R3.
75.   และในหมู่ชาวคัมภีร์นั้นมีคนที่ถ้าเจ้าฝากสมบัติสักกองหนึ่งไว้กับเขา เขาจะคืนให้เจ้าครบถ้วน แต่ในหมู่พวกเขาก็มีคนที่ถ้าเจ้าฝากเขาไว้แม้แต่เพียงหนึ่งดีนาร์ เขาก็จะไม่คืนมันแก่เจ้าเช่นกัน เว้นแต่เจ้าจะยืนเฝ้าทวงเขาอยู่ พวกเขาให้เหตุผลถึงพฤติกรรมอันเลวทรามของพวกเขาว่า “เราไม่ต้องรับผิดชอบพฤติกรรมของเราต่อ (ศาสนิกอื่น) ผู้ไม่รู้หนังสือ” แท้จริงพวกเขากล่าวเท็จต่ออัลลอฮฺทั้ง ๆ ที่พวกเขารู้ดีอยู่
76.   แน่นอน ผู้ใดปฏิบัติตามสัญญาของเขาให้ครบและสำรวมตนจากความชั่ว ดังนั้นอัลลอฮฺทรงรักบรรดาผู้สำรวมตนจากความชั่ว
77.   สำหรับบรรดาผู้แลกเปลี่ยนสัญญาของอัลลอฮฺและคำสาบานของพวกเขาด้วยราคาเพียงเล็กน้อยนั้น พวกเขาจะไม่มีส่วนใดในปรโลก และอัลลอฮฺจะไม่พูดกับพวกเขา และจะไม่ทรงมองพวกเขาและจะไม่ทำให้พวกเขาสะอาดจากบาปในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ และสำหรับพวกเขานั้นคือการลงโทษอันเจ็บปวด
78.   และแท้จริง ในหมู่พวกเขามีบางคนที่ตวัดลิ้นของพวกเขาในการอ่านคัมภีร์เพื่อที่จะทำให้พวกเจ้าคิดว่าสิ่งที่เขาอ่านเป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์ พวกเขากล่าวว่ามันมาจากอัลลอฮฺทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วมันมิได้มาจากอัลลอฮฺ พวกเขาโกหกต่ออัลลอฮฺทั้ง ๆ ที่พวกเขารู้ดีอยู่


คำแปล R4.
75. และจากหมู่ผู้ที่ได้รับคัมภีร์นั้น มีผู้ที่หากเจ้าฝากเขาไว้ซึ่งทรัพย์สมบัติอันมากมาย เขาก็จะคืนมันแก่เขจ้า และจากหมู่พวกเขานั้นมีผู้ที่หากเจ้าฝากเขาไว้สักเหรียญทองหนึ่ง เขาก็จะไม่คืนมันแก่เจ้า นอกจากเจ้าจะยืนเผ้าทวงเขาอยู่เท่านั้น นั่นก็เพราะว่าพวกเขากล่าวว่า ในหมู่ผู้ที่อ่านเขียนไม่เป็นนั้น ไม่มีทางใดที่เป็นโทษแก่เราได้ และพวกเขากล่าวความเท็จให้แก่อัลลอฮฺทั้ง ๆ ที่พวกเขารู้กันดีอยู่
76. มิใช่นั้นดอกผู้ใดที่รักษาสัญญาของเขาโดยครบถ้วน และยำเกรง(อัลลอฮฺ) แล้วแน่นอนอัลลอฮฺทรงชอบผู้ที่ยำเกรงทั้งหลาย
77. แท้จริงบรรดาผู้ที่นำสัญญาของอัลลอฮฺและการสาบานของพวกเขาไปขายด้วยราคาอัน เล็กน้อยนั้นชนเหล่านี้แหละไม่มีส่วนได้ใด ๆ แก่พวกเขาในปรโลก และอัลลอฮฺจะไม่ทรงพูดแก่พวกเขา และจะไม่ทรงมองดูพวกเขาในวันกิยามะฮฺ และทั้งจะไม่ทำให้พวกเขาสะอาดด้วย และพวกเขาจะได้รับโทษอันเจ็บแสบ
78. และแท้จริงจากหมู่พวกเขานั้น มีกลุ่มหนึ่งบิดลิ้นของพวกเขา ในการอ่านคัมภีร์ ทั้งๆ ที่มันมิได้มาจากคัมภีร์ และพวกเขากล่าวว่า มันมาจากที่อัลลอฮฺทั้งๆ ที่มันมิใช่มาจากอัลลอฮฺ และพวกเขากล่าวความเท็จให้แก่อัลลอฮฺ ทั้งๆ ที่พวกเขาก็รู้กันดีอยู่


คำแปล R5.
๗๕. และส่วนหนึ่งจากยะฮูดีผู้ครองพระคัมภีร์มีคนที่ถ้าเจ้า (มุฮำมัด) วางใจเขาเกี่ยวกับสมบัติมากมายที่ฝากเขาไว้ เขาก็จะจ่ายของนั้นคืนแก่เจ้า ทั้งนี้เพราะเป็นผู้มีความสัตย์ซื่อ เชื่อถือได้ เช่น อับดุลเลาะห์ บุตร สลาม ได้มีกาฟิรมักกะห์คนหนึ่ง นำทองสองร้อยอูกียะห์มาฝากเขาไว้ พอเจ้าของมาขอคืน เขาก็จ่ายจำนวนนั้นโดยครบถ้วน แต่อีกส่วนหนึ่งจากยะฮูดีเหล่านั้นจะมีบุคคลที่ถ้าหากเจ้าวางใจเขาเพียงดีนารหนึ่งที่ฝากเขาไว้ เขาจะไม่จ่ายมันคืนแก่เจ้า ทั้งนี้เพราะความไม่สัตย์ซื่อ นอกจากเจ้ายังอยู่ต่อหน้าเขา ไม่ปลีกตัวไปจากเขา เขาจึงจะจ่ายของนั้นคืนให้ แต่เมื่อไรเจ้าปลีกตัวไปจากเขาแล้ว เขาก็จะปฏิเสธสิ่งที่ฝากนั้นทันที บุคคลผู้นี้ได้แก่กะอับ บุตร อัชร็อฟ มีชาวอาหรับผู้มีเกียรติผู้หนึ่งได้นำเงินจำนวนหนึ่งดีนารไปฝากไว้แก่เขา ผลสุดท้ายเขากลับปฏิเสธไม่รับรู้ การไม่ยอมจ่ายคืนของฝากทำนองที่ว่านี่แหละเป็นผลให้พวกนั้นกล่าวว่า เกี่ยวกับการโกงชาวอาหรับผู้ไร้คัมภีร์แล้วบาปย่อมไม่ตกแก่พวกเราแต่ประการใดเลย เพราะพวกนี้ถือว่าความทุจริตต่อบุคคลที่ต่างศาสนากันเป็นเรื่องที่อนุญาต แถมพวกนี้ยังอ้างเท็จว่าอัลเลาะห์ได้ทรงใช้ให้กระทำเช่นนั้น แล้วอัลเลาะห์จึงตรัสว่า พวกนั้นพูดจาโกหกพาดพิงถึงอัลเลาะห์ทั้ง ๆ ที่ก็รู้อยู่ว่าพวกตนพูดเท็จทั้งนั้น
๗๖. ใช่ซี บาปฐานที่ฉ้อโกงชาวอาหรับนั้นย่อมตกอยู่กับพวกนั้นแน่นอน ผู้ใดปฏิบัติครบถ้วนตามสัญญาของพระองค์ที่ทรงผูกมัดไว้กับผู้นั้นเช่นการทำละหมาดเป็นต้น หรือการปฏิบัติตามข้อสัญญาที่ทรงสั่งผู้นั้นให้สำเร็จประโยชน์ตามที่ตนได้รับความไว้วางใจและประการอื่นและมีความยำเกรงพระองค์ด้วยการงดเว้นจากการประพฤติชั่ว แล้วหันมาประกอบการดีแล้วไซร้ แน่นอนอัลเลาะห์จะทรงสนองบุญแก่บรรดาผู้ยำเกรงนั้น
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ในตอนที่ชาวยะฮูดีได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขคุณลักษณะของมุฮำมัดในเตารอต และแก้ไขข้อสัญญาของอัลเลาะห์ที่มีต่อพวกนั้ยในคัมภีร์เตารอต ทั้งยังพยายามทำสิ่งที่ถูกแก้ไขอันเท็จนั้นเป็นความสวยงาม จึงมีโองการลงมาว่า
๗๗. แท้จริงบรรดายะฮูดีผู้เอาข้อสัญญาของอัลเลาะห์ที่ว่าให้ศรัทธาต่อมุฮำมัดและจ่ายคืนของฝาก และคำสาบานเท็จของพวกเขาที่สาบานด้วยพระนามของอัลเลาะห์ว่า พวกตนศรัทธาต่อพระศาสดามุฮำมัด และจะช่วยเหลือมุฮำมัดในด้านศาสนาอิสลาม ไปแลกเปลี่ยนเอาค่างวดเพียงเล็กน้อย ที่เคยได้รับจากพวกยะฮูดีชั้นต่ำและจากพวกโง่เง่า เพราะถ้าพวกเหล่านี้ยอมปฏิบัติตามข้อสัญญาของอัลเลาะห์และยอมทำตามที่ตนสาบานแล้ว พวกเขาก็จะตกต่ำ เป็นเหตุให้ต้องขาดผลประโยชน์ที่เคยได้รับจากยะฮูดีชั้นเลวและจากพวกที่โง่เง่า พวกเหล่านั้นแหละจะมีส่วนได้รับบุญกุศลในวันอาคิเราะห์ก็หาไม่ และอัลเลาะห์จะไม่ตรัสกับพวกนั้นด้วยถ้อยคำยังความเกษมให้ ทั้งนี้เพราะความกริ้วพวกเหล่านั้น จะไม่ทรงเมตตาปรานีและจะไม่ทรงซักฟอกจิตใจของพวกนั้นให้บริสุทธิ์สะอาดจากบาปทั้งปวงในวันกิยามะห์ โดยจะทรงลงโทษพวกเหล่านั้นให้ดำรงนิรันดรอยู่ในขุมนรก อีกทั้งพวกนั้นยังได้รับโทษทรมานอันเจ็บแสบ
๗๘. และแท้จริงส่วนหนึ่งจากยะฮูดีเหล่านั้นได้แก่ชนจำพวกหนึ่งอ่านพระคัมภีร์เตารอตตวัดลิ้นของตนผ่านข้ามข้อความจริงไปอ่านเป็นข้อความเท็จตามที่พวกเขาได้ดัดแปลงแก้ไขไว้ในคัมภีร์นั้น เพื่อพวกเจ้าจะได้หลงคิดว่าข้อความที่อ่านเท็จนั้นเป็นส่วนหนึ่งจากพระคัมภีร์เตารอตที่อัลเลาะห์ประทานลงมาทั้ง ๆ ที่ยะฮูดีก็รู้อยู่แน่แก่ใจว่า สิ่งที่พวกตนแก้ไขนั้นมิได้มาจากพระคัมภีร์เตารอตและพวกนั้นยังพูดตวัดลิ้นอย่างชัดเจนอีกว่ามาจากอัลเลาะห์ ทั้ง ๆ ที่สำนวนที่ถูกแก้ไขนั้นมิได้มาจากอัลเลาะห์ ซึ่งพวกยะฮูดีเองก็เข้าใจกันอย่างนั้น อีกทั้งพวกนั้นยังกล่าวเท็จพาดพิงไปยังอัลเลาะห์โดยที่พวกตนก็รู้อยู่ว่า แท้จริงตนเองนั้นเป็นคนพูดเท็จ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 17, 2011, 05:40 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺอาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 79 - 80


คำอ่าน
79. มากานะลิบะชะริน อัย..ยุอ์ติยะฮุลลอฮุลกิตาบะ วัลหุกมะ วัน..นุบูวะตะ ษุม..มะยะกูละลิน..นาสิ กูนู อิบาดัลลี มินดูนิลลาฮิ วะลากิน..กูนู ร็อบบานียีนะ บิมากุน..ตุมตุอัลลิมูนัลกิตาบะ วะบิมากุน..ตุมตัดรุสูน
80. วะลายะอ์มุเราะกุม อัน..ตัตตะคิซุลมะลา...อิกะตะ วัน..นะบียีนะอัรฺบาบา อะยะอ์มุรุกุม..บิลกุฟริ บะอฺดะอิซอัน..ตุม..มุสลิมูน

คำแปล R1.
79. It is not (possible) for any human being to whom Allโฟh has given the Book and Al-Hukma (the knowledge and understanding of the laws of religion, etc.) and Prophethood to หay to the people: "Be ทy worshippers rather than Allah's." on the contrary (He would say): "Be you Rabbaniyun (learned men of Religion who practise what they know and also preach others), because you are teaching the Book, and you are studying it."
80. Nor would he order you to take angels and Prophets for lords (gods). Would he order you to disbelieve after you have submitted to Allah's will? (Tafsir At-Tabari).


คำแปล R2.
79. ไม่มี(ความเหมาะสม) สำหรับบุคคลใดเลยที่อัลเลาะฮฺจะทรงประทานคัมภีร์ ประทานข้อตัดสินแล้วความเป็นศาสดาแก่เขา แล้วต่อมาเขาก็ประกาศกับมวลมนุษย์ว่า  “ท่านทั้งหลายจงเป็นข้าทาสของฉัน (โดยเคารพภักดีและนับถือเป็นพระเจ้า) นอกไปจากอัลเลาะฮฺ” และทว่า (เขาผู้รับ) ตำแหน่งศาสดานั้นประกาศว่า “ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้มีจิตผูกพันกับพระเจ้า ให้สมกับที่ท่านทั้งหลายได้ทำการสอนคัมภีร์และที่ท่านทั้งหลายได้เล่าเรียน(คัมภีร์)”
80. และเขาจะไม่ใช้ให้พวกเจ้ายึดเอามลาอิกะฮฺและบรรดาศาสดามาเป็นผู้อภิบาล (จะให้) เขาใช้ให้พวกเจ้าเนรคุณ (อัลเลาะฮฺ) กระนั้นหรือ ภายหลังพวกเจ้าได้เป็นผู้สวามิภักดิ์ (ต่ออัลเลาะฮฺ) แล้ว


คำแปล R3.
79.   ไม่มีมนุษย์คนไหนที่อัลลอฮฺทรงประทานคัมภีร์และข้อวินิจฉัยและการเป็นนบีให้แก่เขาแล้วเขาจะกล่าวแก่ผู้คนว่า “จงเป็นผู้ภักดีต่อฉันแทนอัลลอฮฺ” แต่ (เขาจะกล่าวว่า) “จงเป็นร็อบบานี ตามคำสอนของคัมภีร์ที่พวกเขาพร่ำอ่านและพร่ำสอน
80.   และเขาจะไม่สั่งให้เจ้ายึดเอามลาอิกะฮฺและบรรดานบีเป็นผู้บริบาล มันเป็นไปได้หรือที่เขาจะสั่งสูเจ้าสู่การปฏิเสธหลังจากสูเจ้าได้ยอมจำนน (ต่ออัลลอฮฺ) แล้ว?


คำแปล R4.
79. ไม่เคยปรากฏแก่บุคคลใดที่อัลลอฮฺทรงประทานคัมภีร์และข้อตัดสิน และการเป็นนะบีแก่เขา แล้วเขากล่าวแก่ผู้คนว่า ท่านทั้งหลายจงเป็นบ่าวของฉัน อื่นจากอัลลอฮฺหากแต่(ขาจะกล่าวว่า) ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ที่ผูกพันกับพระเจ้าเถิด เนื่องจากการที่พวกท่านเคยสอนคัมภีร์ และเคยศึกษาคัมภีร์มา
80. และเขาจะไม่ใช้พวกเจ้าให้ยึดเอามะลาอิกะฮฺและบรรดานะบีเป็นพระเจ้า เขาจะใช้พวกเจ้าให้ปฏิเสธศรัทธา หลังจากที่พวกเจ้าเป็นผู้นอบน้อมแล้วกระนั้นหรือ?


คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ ลงมาในขณะที่นัซรอนีแห่งนัจรอนได้กล่าวว่า อีซามีคำสั่งใช้ให้พวกตนยุดมั่นเอาอีซาเป็นองค์อภิบาลหรือในขณะที่ชนมุสลิมบางคนมีความปรารถนาจะกราบสักการะมุฮำมัด
๗๙. การที่อัลเลาะห์จะทรงมอบพระคัมภีร์ความเข้าใจทางบทบัญญัติและตำแหน่งศาสดาให้นั้นย่อมไม่สมควรหรอกสำหรับบุรุษใดที่จะบอกแก่มนุษย์ว่า “พวกเจ้าจงเป็นบ่าวของข้าซิ มิใช่บ่าวของอัลเลาะห์” แต่สมควรจะมอบแก่ผู้พูดว่า พวกเจ้าจงเป็นนักปราชญ์ที่ถือตามความรู้ในฐานะที่พวกเจ้าเคยสอนคัมภีร์และเคยท่องจำบทพระคัมภีร์
๘๐. ทั้งผู้นั้นก็จะไม่ใช้พวกเจ้าให้ยึดเอามลาอิกะห์และพระศาสดาทั้งหลายมาเป็นองค์อภิบาล เหมือนอย่างที่พวกซอบิอะห์ยึดถือเอาพวกมลาอิกะห์ พวกยะฮูดียึดเอาพระศาสดาอะซีซ และพวกนัซรอนียึดถือเอาพระศาสดาอีซามาเป็นองค์อภิบาลกัน จึงไม่สมควรหรอกที่เขาผู้นั้นจะใช้พวกเจ้าให้ขาดศรัทธา คือกลับสภาพไปเป็นกาฟิร หลังจากโอกาสที่พวกเจ้าเป็นมุสลิมแล้ว



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺอาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 81 - 83


คำอ่าน
81. วะอิซอะเคาะซัลลอฮุ มีษาก็อนนะบียีนะ ละมา..อาตัยตุกุม..มิน..กิตาบิว..วะหิกมะติน..ษุม..มะญา...อะกุมเราะสูลุม...มุศ็อดิกุลลิมามะอะกุม ละตุอ์มินุน..นะบิฮี วะละตันศุรุน..นะฮู กอละอะอักร็อรฺตุม วะอะค็อซตุม อะลาซาลิกุมอิศรียฺ กอลูอักร็อรฺนา กอละฟัชฮะดู วะอะนะมะอะกุม..มินัชชาฮิดีน
82. ฟะมัน..ตะวัลลาบะอฺดะซาลิกะ ฟะอุลา...อิกะฮุมุลฟาสิกูน
83.  อะฟะฆ็อยเราะ ดีนิลลาฮิ ยับฆูนะวะละฮู..อัสละมะมัน..ฟิสสะมาวาติวัลอัรฎิ ก็อวเอา..วะกัรฺเฮา..วะอิลัยฮิยุรฺญะอูน

คำแปล R1.
81. And (remember) when Allah took the covenant of the Prophets, saying: "Take whatever I gave you from the Book and Hikmah (understanding of the laws of Allah, etc.), and afterwards there will come to you a Messenger (Muhammad) confirming what is with you; You must, then, believe in him and help him." Allah said: "Do you agree (to it) and will you take up My Covenant (which I conclude with you)?" They said: "We agree." He said: "Then bear witness; and I am with you among the witnesses (for this)."
82. Then whoever turns away after this, they are the Fasiqun (rebellious: those who turn away from Allah's obedience).
83. Do they seek other than the Religion of Allah (the true Islamic Monotheism worshiping none but Allah alone), while to Him submitted all creatures in the heavens and the earth, willingly or unwillingly. And to Him shall they all be returned.


คำแปล R2.
81. และ (จงระลึก) เมื่อครั้งอัลเลาะฮฺทรงเอาสัญญาแก่บรรดาศาสดา (โดยพระองค์ทรงตรัส) ว่า แน่นอนยิ่ง สิ่งที่ข้าได้ให้แก่พวกจั้งหลายจากคัมภีร์และวิทยญาณ แล้วต่อมาก็มีศานทูตหนึ่งได้มายังพวกเจ้า ซึ่งเป็นผู้รับรองในคัมภีร์ที่มีอยู่กับพวกเจเ แน่นอนพวกเจ้าต้องมีศรัทธาในตัวเขาและช่วยเหลือเขา พระองค์ทรงตรัสว่า “พวกเจ้ารับรองและยอมรับเอาสัญญาของข้าบนสิ่งนั้นแล้วหรือท” พวกเขาก็ตอบว่า “พวกเรารับรอง” พระองค์ทรงตรัส (ต่อไป) ว่า ดังนั้นพวกเจ้าจงเป็นพยานเถิด และข้าพร้อมกับพวกเจ้าย่อมเป็นหนึ่งจากมวลผู้เป็นสักขีพยาน
82. แต่ผู้ใดหันหลังให้ภายหลังจากนั้น แน่นอนพวกเหล่านั้นพวกเขาล้วนเป็นผู้ชั่วร้าย
83. แล้วพวกเขาจะแสวงหาศาสนาอื่นจากศาสนาของอัลเลาะฮฺกระนั้นหรือ และเฉพาะต่อพระองค์เท่านั้นได้ยอมสวามิภักดิ์โดยผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าและแผ่นดิน ทั้งโดยสมัครใจและฝืนใจ และพวกเขาจะถูกส่งคืนกลับไปยังพระองค์ (อย่างแน่นอน)


คำแปล R3.
81.   และจงนึกถึงเมื่อตอนที่อัลลอฮฺได้ทำสัญญากับบรรดานบีของพระองค์ว่า “ตอนนี้ฉันได้ประทานคัมภีร์และวิทยปัญญาแก่สูเจ้าแล้ว เมื่อมีรอซูลคนหนึ่งมายังสูเจ้าเพื่อยืนยันคำสอนที่สูเจ้ามีอยู่ สูเจ้าจะต้องเชื่อเขาและช่วยเหลือเขา” แล้วพระองค์ก็กล่าวว่า “สูเจ้ายืนยันและรับผิดชอบต่อสัญญาที่ทำกับฉันไหม?” พวกเขากล่าวว่า “เรายืนยัน” พระองค์จึงตรัสว่า “ดังนั้นจงเป็นพยานและฉันเองจะเป็นพยานกับสูเจ้าด้วย
82.   ฉะนั้นผู้ใดก็ตามที่ทำลายสัญญาหลังจากนี้ พวกเขาก็เป็นผู้ฝ่าฝืน”
83.   คนเหล่านี้ขวนขวายหาสิ่งอื่นนอกไปจากแนวทางของอัลลอฮฺกระนั้นหรือทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าทุกสรรพสิ่งในชั้นฟ้าและแผ่นดินต่างนอบน้อมต่อพระองค์โดยเต็มใจหรือโดยไม่เต็มใจ และยังพระองค์ที่ทุกสิ่งจะคืนกลับไป



คำแปล R4.
81. และจงรำลึกถึงขณะที่อัลลอฮฺได้ทรงเอาข้อสัญญาแก่นะบีทั้งหลายว่า สิ่งที่ข้าได้ให้แก่พวกเจ้านั้นไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์ก็ดี และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนาก็ดี ภายหลังได้มีรอซูลคนใดมายังพวกเจ้าซึ่งเป็นผู้นยืนยันในสิ่งที่มีอยู่กับ พวกเจ้าแล้ว แน่นอนพวกเจ้าจะต้องศรัทธาต่อเขา และช่วยเหลือเขา พระองค์ตรัสว่า พวกเจ้ายอมรับและเอาข้อสัญญาของข้าดังกล่าวนั้นแล้วใช่ไหม? พวกเขากล่าวว่า พวกข้าพระองค์ยอมรับแล้ว พระองค์ตรัสว่า พวกเจ้าจงเป้นพยานเถิด และข้าก็อยู่ในหมู่เป็นพยานร่วมกับพวกเจ้าด้วย
82. แล้วผู้ใดที่ผินหลังให้หลังจากนั้น ชนเหล่านั้นและพวกเขาคือผู้ละเมิด
83. อื่นจากศาสนาของอัลลอฮฺกระนั้นหรือที่พวกเขาแสวงหา? และแด่พระองค์นั้น ผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย และแผ่นดินได้นอบน้อมกันทั้งด้วยการสมัครใจ และฝืนใจ และยังพระองค์นั้นพวกเขาจะถูกนำกลับไป


คำแปล R5.
๘๑. และ โอ้มุฮำมัดเจ้าจงบอกแก่ปวงประชากรของเจ้าเถิดว่า ในเวลาที่อัลเลาะห์ได้ทรงสัญญากับเหล่าพระศาสดาทั้งหลายในคัมภีร์ต่าง ๆ ที่ทรงมอบไว้แก่พระศาสดาเหล่านั้นว่า ข้าได้มอบพระคัมภีร์และความรู้ตลอดจนหลักปฏิบัติตามความรู้นั้น[/b]แก่พวกเจ้าไว้แล้วจากนั้น[/b]มุฮำมัดผู้เป็น[/b]พระศาสนทูตก็ยังได้มายังพวกเจ้าอีก ซึ่ง[/b]ผู้นี้เป็นผู้ยืนยันพระคัมภีร์ และความรู้ตลอดจนหลักปฏิบัติตามความรู้ในอันที่พวกเจ้าได้รับอยู่นั้นว่า เป็นความจริงแท้ พวกเจ้าจงศรัทธาและจงส่งเสริมเขา (มุฮำมัด) เถิด หากว่าพวกเจ้าอยู่ทันถึงสมัยของมุฮำมัด ถึงปวงประชากรของพวกเจ้าก็ต้องเจริญรอยตามพวกเจ้าในการที่จะศรัทธาและส่งเสริมมุฮำมัดด้วยเหมือนกัน พระองค์ตรัสว่า พวกเจ้าได้มีวาจาตอบรับและยอมรับเอาสัญญาของข้าที่ว่านั้นแล้วฝช่ไหม? พวกนั้นกล่าวตอบว่าข้าพระองค์ทั้งหลายยอมรับด้วยวาจาและรับเอาข้อสัญญาของพระองค์แล้ว พระองค์ตรัสว่าพวกเจ้าจงเป็นสักขีพยานแก่ตนเอง และแก่ปวงประชากรผู้เจริญตามพวกเจ้า ตามที่ได้มีวาจารับรองข้อสัญญาที่ว่านั้นเถิด ส่วนข้ากับพวกเจ้านั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของบรรดาผู้เป็นสักขีพยานทั้งหลาย ที่เป็นพยานให้แก่พวกเจ้าและปวงประชากรของพวกเจ้าด้วย
๘๒. หากใครเหห่างจากข้อสัญญาที่กล่าว หลังจากได้รับคำสัญญานั้นแล้ว พวกเหล่านั้นแหละคือพวกห่างศรัทธา
๘๓. ไม่เป็นการสมควรเลยที่พวกเหห่างจากศรัทธาเหล่านั้นจะขวนขวายอื่นจากศาสนาของอัลเลาะห์ ทั้ง ๆ ที่พวกนั้นก็อ้างอยู่ว่าตนนับถือศาสนาอิบรอฮีม แล้วยังได้มาโต้เถียงกับพระนบีมุฮำมัด พระนบีมุฮำมัดจึงตอบว่าพวกเหล่านั้นมิได้อยู่ในศาสนาอิบรอฮีมและทั้ง ๆ ที่ใครในบรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและแผ่นดินต่างก็ได้น้อมพระองค์ในอันที่จะยอมรับเอาทุกอย่างจากพระองค์โดยดุษฎี เช่น ยอมรับเอาความผาสุก ความป่วยไข้ ความประเสริฐ ความหายนะ ตลอดทั้งความร่ำรวย ความยากจนและอื่น ๆ ตามที่ทรงกำหนดไว้แก่พวกเหล่านั้น โดยที่เหล่ามลาอิกะห์ทั้งสิ้นในฟากฟ้าและบางส่วนจากบรรดาที่อยู่ในภพนี้ยอมรับสิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวนั้นไว้โดยความสมัครใจก็มีและ อีกบางส่วนจากบรรดาที่อยู่ภพนี้ยอมรับสิ่งนั้น ๆ ไว้โดยความจำใจ เพราะเกรงคมดาบและเกรงภัยต่าง ๆ ก็มี แล้วพวกเจ้าจะถูกให้คืนไปยังการสอบสวนของพระองค์



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 84 - 85


คำอ่าน
84. กุลอามัน..นาบิลลาฮิ วะมาอุน..ซิละอะลัยนา วะมา..อุน..ซิละอะลาอิบรอฮีมะ วะอิสมาอีละ วะอิสหาเกาะ วะยะอฺกูบะ วัลอัสบาฏิ วะมา..อูติยะมูสา วะอีสา วัน..นะบียูนะมิรฺร็อบบิฮิม ลานุฟัรฺริกุบัยนะอะหะดิม..มินฮุม วะนะหฺนุละฮูมุสลิมูน
85. วะมัย..ยับตะฆิฆ็อยร็อลอิสลามะดีนัน..ฟะลัย..ยุกบะละมินฮุ วะฮุวะฟิลอาคิเราะติ มินัลคอสิรีน

คำแปล R1.
84. Say (O Muhammad): "We believe in Allah and in what has been sent down to us, and what was sent down to Ibrahim (Abraham), Isma'il (Ishmael), Ishaque (Isaac), Ya'qub (Jacob) and Al-Asbat [the twelve sons of Ya'qub (Jacob)] and what was given to Musa (Moses), 'Iesa (Jesus) and the Prophets from their Lord. We make no distinction between one another among them and to Him (Allah) we have submitted (in Islam)."
85. And whoever seeks a Religion other than Islฟm, it will never be accepted of him, and in the Hereafter he will be one of the losers.

คำแปล R2.
84. (โอ้มุฮำมัด) เจ้าจงประกาศเถิดว่าเราศรัทธามั่นในอัลเลาะฮฺ และสิ่งที่ถูกประทานลงมาให้เรา และสิ่งที่ถูกประทานมาแก่อิบรอฮีม แก่อิสมาอีล แก่อิสหาก แก่ยะอฺกู๊บและวงศ์ตระกูล(ของเขา) และ (เราศรัทธาใน) สิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่มูซา แก่อีซาและบรรดาศาสดา (อื่น ๐) จากองค์อภิบาลของพวกเขา เราไม่จำแนกในระหว่างคนใดของพวกเขา เราไม่จำแนกในระหว่างคนใดคนหนึ่งจากพวกเขา และเราเป็นผู้สวามิภักด์ต่อพระองค์ (โดยบริสุทธิ์ใจ)
85. และผู้ใดแสวงหาอื่นจากอิสลามมาเป็นศาสนา (ของตน) แน่นอนเขาจะไม่ถูกตอบรับ และตัวเขาจะเป็นหนึ่งจากบรรดาผู้ขาดทุนในโลกหน้า


คำแปล R3.
84.   (โอ้นบี) จงกล่าวเถิดว่า “เราศรัทธาในอัลลอฮฺและในคำสอนที่ถูกประทานมายังเรา และที่ถูกประทานมายังอิบรอฮีม และอิสมาอีล และอิสฮาก และยะอฺกูบ และบรรดาลูกหลานของเขา และในคำสอนที่ถูกประทานมายังมูซา และอีซา และนบีคนอื่น ๆ จากพระผู้อภิบาลของพวกเขา เรามิได้จำแนกผู้หนึ่งผู้ใดในหมู่พวกเขา และเราเป็นผู้นอบน้อมต่อพระองค์
85.   และผู้ใดแสวงหาสิ่งอื่นนอกไปจากอิสลาม มันจะไม่เป็นที่ถูกรับจากเขาและในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน


คำแปล R4.
84. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า เราได้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺแล้วและได้ศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานแก่เรา และสิ่งที่ถูกประทานแก่อิบรอฮีมและอิสมาอีล และอิสฮาก และยะกูบและบรรดาผู้สืบเชื้อสาย(จากยะอ์กูบ) และศรัทธาต่อสิ่งที่มูซาและอีซาและนะบีทั้งหลายได้รับจากพระเจ้าของพวก เขา โดยที่เราจะไม่แยกระหว่างคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขา และพวกเรานั้นเป็นผู้ที่นอบน้อมต่อพระองค์.
85. และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด และในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน


คำแปล R5.
๘๔. เมื่อได้ระบุสัญญาเรื่องต่าง ๆ ที่อัลเลาะห์ทรงกระทำแก่พระศาสดาทั้งหลายแล้ว พระองค์จึงได้ทรงมีคำบัญชาให้พระนบีมุฮำมัดพร้อมด้วยบรรดาสาวกว่า โอ้มุฮำมัดเจ้าจงกล่าวแก่พวกนั้นเถิดว่าพวกเราศรัทธาต่ออัลเลาะห์เพียงพระองค์เดียว ซึ่งต่างกับพวกครองคัมภีร์ทั้งสามฝ่ายที่ศรัทธาต่อพระองค์ฝ่ายละแบบดังนี้คือ พวกยะฮูดีศรัทธาต่ออัลเลาะห์และว่าพระศาสดาอะซีซเป็นบุตรของพระองค์ พวกนัซรอนีมีความศรัทธาว่าอัลเลาะห์ อีซา และมัรยัมเป็นเจ้า ส่วนพวกซอบิอะห์ก็ศรัทธาว่าอัลเลาะห์และพวกมลาอิกะห์เป็นเจ้า พวกเราได้ศรัทธาต่อพระคัมภีร์ที่ถูกประทานไว้แก่พวกเรา มราถูกประทานไว้แก่อิบรอฮีม อิสมาอีล อิสฮาก ยะกู๊บและลูกหลานของยะกู๊บสิบสองคนดังนี้ ยะฮูซา รูบีล ชำอูน ลาวี ริยาลูน ยัชชัร เหล่านี้เกิดแต่มารดาหนึ่งชื่อลิยา ซึ่งเป็นบุตรสาวของป้ายะกู๊บ ดาน ยัฟอาลี ยาด อาชิร ๔ คนนี้เกิดแต่มารดาชื่อ ซุลฟะห์และบัลฮะห์ ซึ่งทั้งสองเป็นสาวใช้ยะกู๊บ บินยามีนและยูซุฟ ทั้งสองนี้เกิดแต่มารดาชื่อรอฮีล และพวกเราได้ศรัทธาต่อพระคัมภีร์เตารอต อินยีล ตลอดจนอภินิหารต่าง ๆ ที่มีมายังมูซา อีซาและพระศาสดาทั้งหลายตามลำดับว่ามาจากองค์พระผู้อภิบาลของพวกนั้นอีกด้วยโดยที่ทั้งมูอำมัดและปวงสาวกต่างเอ่ยว่าพวกเรานี้ศรัทธาต่อพระศาสนทูตของอัลเลาะห์หมดทุก ๆ ท่านไม่แผนกเอาศาสนทูตผู้ใดจากบรรดาศาสนทูตของพระองค์มาเป็นที่ศรัทธาโดยเฉพาะต่างกับชาวยะฮูดีมีความศรัทธาเฉพาะพระนบีมูซา และพวกนัซรอนีที่เลือกศรัทธาต่อพระนบีอีซา ซึ่งทั้งสองพวกนี้ปฏิเสธพระนบีอื่นจากที่พวกตนศรัทธาทั้งพวกเรายังเป็นผู้บริสุทธ์ใจในการกราบไหว้สักการะต่อพระองค์ ต่างกับการสักการะของพวกยะฮูดี นัซรอนีและพวกซอบิอะห์ซึ่งเป็นการสักการะที่ขาดความบริสุทธิ์ใจ
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ เนื่องจากว่ามีชายจำนวนหนึ่ง สิบสองคน ขาดจาดสภาพความเป็นมุสลิม (มุรตัด) ได้เดินทางจากนครมดีนะห์เข้าสู่นครมักกะห์ในสภาพที่ตนยังเป็นกาฟิรอยู่เพื่อไปทำการติดต่อกับกาฟิรชาวมักกะห์ อัล-ฮัรวุบุตรสุไวด์ ก็เป็นหนึ่งในจำนวนสิบสองคนที่ว่านั้น โองการจึงมีลงมาว่า
๘๕. และผู้ใดขวนขวายหาอื่นจากศาสนาอิสลามมาเป็นศาสนาของตนแล้ว พระองค์อัลเลาะห์จะไม่ทรงรับรองความดีต่าง ๆ ของเขาที่อุตส่าห์กระทำไว้ โดยในวันอาคิเราะห์เขาย่อมเป็นคนหนึ่งจากบรรดาผู้ขาดทุนที่ต้องถูกลงโทษชั่วกาลนาน ทั้งยังมิได้รับผลบุญตอบแทนอีกด้วย



สูเราะฮฺอาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 86 - 89


คำอ่าน
86. กัยฟะยะฮฺดิลลาฮุก็อวมัน..กะฟะรู บะอฺดะอีมานิฮิม วะชะฮิดู..อัน..นัรฺเราะสูละ หักกู..วะญา...อะฮุมุลบัยยินาต วัลลอฮุลายะฮฺดิลก็อวมัซซอลิมีน
87. อุลา...อิกะญะซา...อุฮุม อัน..นะอะลัยฮิมละอฺนะตัลลอฮิ วัลมะลา...อิกะติ วัน..นาสิอัจญมะอีน
88. คอลิดีนะฟีฮา ลายุค็อฟฟะฟุ อันฮุมุลอะซาบุ วะลาฮุมยุน..เซาะรูน
89. อิลลัลละซีนะตาบูมิม..บะอฺดิซาลิกะ วะอัศละหู ฟะอิน..นัลลอฮะ เฆาะฟูรุรฺเราะหีม

คำแปล R1.
86. How shall Allah guide a people who disbelieved after their belief and after they bore witness that the Messenger (Muhammad) is true and after clear proofs had come unto them? And Allah guides not the people who are Zalimun (polytheists and wrong-doers).
87. They are those whose recompense is that on them (rests) the curse of Allah, of the angels, and of all mankind.
88. They will abide therein (Hell). Neither will their torment be lightened, nor will it be delayed or postponed (for a while).
89. Except for those who repent after that and do righteous deeds. Verily, Allah is Oft-Forgiving, Most Merciful.


คำแปล R2.
86. อัลเลาะฮฺจะทรงชี้นำแก่กลุ่มชนหนึ่งที่เนรคุณ ภายหลังจากที่เขามีศรัทธาแล้วได้อย่างไร และ (หลังจาก) พวกเขาเป็นพยานแล้วว่า ศาสนทูต (ของอัลเลาะฮฺ) นั้นเป็น (ศาสนทูต) จริง และ (หลังจาก) ได้มีบรรดา (หลักฐาน) ที่ชัดแจ้งมาสู่พวกเขาแล้ว และอัลลอฮฺไม่ทรงชี้นำแก่กลุ่มชนที่อธรรม
87. พวกเหล่านั้น การตอบแทนของพวกเขาคือ พวกเขาจะได้รับการสาปแช่งของอัลเลาะฮฺ ของมลาอิกะฮฺ และของมนุษย์ทั้งมวล
88. พวกเขาเข้าอยู่ในนั้นโดยไม่ได้รับการผ่อนผันการลงโทษจากพวกเขาเลย และพวกเขาไม่ได้รับการประวิงเวลา (ในการรับโทษดังกล่าว)
89. นอกจากบรรดาผู้สารภาพผิดภายหลังจากนั้น และเขาทำการปรับปรุง (ตัวเองให้ดีขึ้น) แน่นอนอัลลฮฺทรงให้อภัย อีกทั้งทรงเมตตายิ่ง


คำแปล R3.
86.   มันเป็นไปได้อย่างไรที่อัลลอฮฺจะทรงนำทางหมู่ชนที่ปฏิเสธหลังจากที่พวกเขาได้ยอมรับความศรัทธา แล้วหลังจากที่พวกเขาได้ยืนยันแล้วว่าเขาเป็นรอซูลจริง และหลังจากที่หลักฐานอันชัดแจ้งได้มายังพวกเขาแล้ว? เพราะอัลลอฮฺไม่ทรงนำทางหมู่ชนที่อธรรม
87.   การตอบแทนที่สาสมสำหรับคนพวกนี้คือการสาปแช่งของอัลลอฮฺ และมลาอิกะฮฺ และมนุษยชาติทั้งหมด
88.   พวกเขาจะตกอยู่ภายในการสาปแช่งนั้น โทษของพวกเขาจะไม่ได้รับการลดหย่อน และพวกเขาจะไม่ได้รับการผ่อนปรน
89.   เว้นแต่บรรดาผู้สำนึกผิดหลังจากนั้นและปรับปรุงความประพฤติให้ดีขึ้น แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงให้อภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ


คำแปล R4.
86. อย่างไรเล่าที่อัลลอฮฺจะทรงแนะนำพวกใดพวกหนึ่งที่ปฏิเสธศรัทธาหลังจากที่พวก เขาศรัทธาแล้ว และทั้งยังได้ยืนยันด้วยว่าแท้จริงรอซูล นั้นเป้นความจริง และได้มีหลักฐานต่างๆ อันชัดแจ้งมายังพวกเขาด้วย และอัลลอฮฺนั้นจะไม่ทรงแนะนำพวกที่อธรรม
87. ชนเหล่านี้แหละการตอบแทนแก่พวกเขาก็คือ การละอฺนัตจากอัลลอฮฺ จากมะลาอิกะฮฺ และจากมนุษย์ทั้งมวลนั้นจะตกอยู่แก่พวกเขา
88. โดยที่พวกเขาจะอยู่ในการละอฺนัตนั้นตลอดกาล ซึ่งการลงโทษนั้นจะไม่ถูกผ่อนเบาแก่พวกเขา และทั้งพวกเขาจะไม่ถูกประวิงอีกด้วย
89. นอกจากบรรดาผู้ที่สำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวหลังจากนั้น และได้ปรับปรุงแก้ไข แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ


คำแปล R5.
๘๖. อัลเลาะห์จะไม่ทรงแนะนำแก่พวกใดเลยที่ขาดศรัทธาหลังจากพวกนั้นมีความศรัทธาแล้ว และหลังจากพวกนั้นได้ปฏิญาณแล้วว่าแท้จริงมุฮำมัดผู้เป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์นั้นคือศาสนทูตที่เที่ยงแท้ โดยหลักฐานแจ่มแจ้งยืนยันในถ้อยคำอันมีสัจจะของพระศาสนทูตผู้นี้ก็มีมายังพวกนั้นและอัลเลาะห์จะไม่ทรงแนะนำปวงชนกาฟิรทั้งที่อยู่ในสภาพของกาฟิรมาแต่เดิมและที่เพิ่งเปลี่ยนสภาพเป็นกาฟิรแต่ประการใดเลย
๘๗. พวกเหล่านั้นแหละผลสนองของพวกเขาก็คือจะถูกให้ออกห่างจากความโปรดปรานีของอัลเลาะห์ มลาอิกะห์และมนุษย์ทั้งมวลก็จะขอต่ออัลเลาะห์ให้ลงอาญาเช่นว่านั้น
๘๘. โดยดำรงมั่นอยู่ในความห่างพระเมตตานั้นนิรันดร ซึ่งพวกนั้นจะไม่ได้รับการบันเทาโทษและจะไม่ถูกทอดเวลาให้ไปรับโทษเอาเบื้องหน้าแต่ประการใดเลย
๘๙. ในคราวที่อัล-ฮัรซุ บุตรสุไวด์ได้เดินทางมาเจริญสัมพันธ์กับกาฟิรชาวมักกะห์โดยที่ตนยังอยู่ในสภาพเป็นกาฟิรนั้น เขาเองรู้สึกเสียใจมากที่ตนเป็นไปแล้วอย่างนั้น ครั้นแล้วเขาได้สั่งไปยังพวกพ้องที่นครมดีนะห์เพื่อให้พวกเหล่านั้นไปเรียนปรึกษานบีมุฮำมัดดูว่าเขาจะกลับใจได้ไหม? พวกพ้องเหล่านั้นจึงได้กระทำตามคำสั่ง อัลเลาะห์จึงทรงลงโองการมา จากนั้นยัลลาวกับชายผู้หนึ่งจากพวกพ้องของอัล-ฮัรซุ ก็ได้นำโองการหนึ่งที่ลงมานั้นไปยังอัล-ฮัรซุ บุตรสุไวด์ อัล-ฮัรซุบุตรสุไวด์ทราบแล้วจึงเดินทางไปยังนครมดีนะห์โดยกลับใจเรียบร้อยแล้ว พอถึงพระนบี พระนบีก็ได้รับรองตัวเขา ความเป็นอิสลามของเขาจึงดีงามขึ้น โองการที่ว่านั้นได้แก่ เว้นแต่บรรดาผู้กลับใจภายหลังจากการเป็นกาฟิรและผู้ปรับปรุงตนมาประพฤติแต่การดีเท่านั้น เพราะแท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงยิ่งในการอภัยคือจะไม่ทรงเปิดเผยบาปของผู้กลับใจนั้นให้ปรากฏออกด้วยการลงโทษ ทรงโปรดปรานยิ่งแก่พวกนั้น




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 90 - 91


คำอ่าน
90. อิน..นัลละซีนะกะฟะรูบะอฺดะอีมานิฮิม ษุม..มัซดาดูกุฟร็อล ลัน..ตุกบะละเตาบะตุฮุม วะอุลา...อิกะฮุมุฎฎอ...ลลูน
91. อิน..นัลละซีนะกะฟะรู วะมาตูวะฮุมกุฟฟารุน..ฟะลัย..ยุกบะละมินอะหะดิฮิม..มิลอุลอัรฺฎิ ซะฮะเบา..วะละวิฟตะดาบิฮฺ อุลา...อิกะละฮุมอะซาบุนอะลีมู..วะมาละฮุม..มิน..นาศิรีน

คำแปล R1.
90. Verily, those who disbelieved after their belief and Then went on increasing in their disbelief (i.e. disbelief in the Qur'an and in Prophet Muhammad ) - never will their repentance be accepted [because they repent only by their tongues and not from their hearts]. And they are those who are astray.
91. Verily, those who disbelieved, and died while they were disbelievers, the (whole) earth full of gold will not be accepted from anyone of them even if they offered it as a ransom. For them is a painful torment and they will have no helpers.


คำแปล R2.
90. แท้จริงบรรดาผู้เนรคุณหลังการศรัทธาของพวกเขา แล้วพวกเขาก็เพิ่มพูนการปฏิเสธยิ่งขึ้นนั้น คำสารภาพผิดของพวกเขาจะไม่ถูกตอบรับ และพวกเขาเหล่านั้นเป็นพวกหลงผิดโดยแท้จริง
91. แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธ และได้ตายไปโดยพวกเขายังเป็นผู้ปฏิเสธ แน่นอนจะไม่ได่รับการตอบรับจากคนใด ๆ ของพวกเขาทองเต็มแผ่นดิน และแม้เขาจะนำมาไถ่โทษ (ของเขา) พวกเขาเหล่านั้นจะต้องรับโทษอันทรมานยิ่ง และไม่มีสำหรับพวกเขา (สักคนหนึ่ง) จากบรรดาผู้ช่วยเหลือ


คำแปล R3.
90.   สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธหลังจากที่พวกเขาได้ศรัทธาแล้ว หลังจากนั้นยังดึงดันปฏิเสธหนักยิ่งขึ้นไปอีก การสำนึกผิดและการขอลุแก่โทษของพวกเขาจะไม่เป็นที่ถูกรับ เพราะพวกเขาเหล่านี้เป็นผู้หลงผิด
91.   แท้จริงใครก็ตามที่ปฏิเสธและตายในขณะที่ยังเป็นผู้ปฏิเสธ ถึงแม้พวกเขาจะทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยทองคำเพื่อนำมาไถ่โทษ มันก็จะไม่เป็นที่ยอมรับจากเขา สำหรับพวกเขาคือการลงโทษอันเจ็บปวด และสำหรับพวกเขาจะไม่มีผู้ช่วยเหลือ


คำแปล R4.
90. แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาหลังจากที่พวกเขาได้ศรัทธากัน แล้วยังได้ทวีการปฏิเสธศรัทธาขึ้นอีกนั้น การสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวของพวกเขาจะไม่ถูกรับเป็นอันขาด และชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่หลงทาง
91. แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาและพวกเขาได้ตายไปในขณะที่พวกเขาเป็นผู้ ปฏิเสธศรัทธานั้น ทองเต็มแผ่นดินก็จะไม่ถูกรับจากคนใดในพวกเขาเป็นอันขาด และแม้ว่าเขาจะใช้ทองนั้นไถ่ตัวเขาก็ตาม ชนเหล่านี้แหละสำหรับพวกเขานั้น คือการลงโทษอันเจ็บแสบและทั้งไม่มีบรรดาผู้ช่วยเหลือใด ๆ สำหรับพวกเขาด้วย


คำแปล R5.
ต่อไปนี้ จะได้เริ่มบรรยายประเภทของผู้เป็นกาฟิรว่าทั้งสิ้นมีสามประเภท ซึ่งประเภทแรกได้แจ้งไว้แล้วในโองการที่ ๘๙ แห่งซูเราะห์นี้ คือบุคคลที่ตกอยู่ในสภาพกาฟิร ครั้นแล้วได้กลับใจโดยความบริสุทธิ์ ประเภทที่สองเป็นบุคคลที่ตกอยู่ในสภาพกาฟิร ครั้นเมื่อได้กลับใจ ก็เป็นการกลับใจที่ขาดความบริสุทธิ์ จึงไม่เกิดประโยชน์อันใดเลยในการกลับใจของเขานั้น ส่วนประเภทที่สามได้แก่ผู้เป็นกาฟิรที่ไม่ยอมกลับใจโดยเด็ดขาดจนตลอดชีวิต สองประเภทหลังจะได้แจ้งต่อไปในโองการที่ ๙๐ และ ๙๑ แห่งซูเราะห์นี้
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ ลงมาครอบเฉพาะพวกยะฮูดีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งจากพวกกาฟิรที่ไม่ยอมกลับใจโดยเด็ดขาดจนตลอดอายุไข

๙๐. แท้จริงบรรดาผู้ไม่ศรัทธาต่อพระนบีอีซาหลังจากพวกเขาได้ศรัทธาแล้ว ครั้นต่อมายังได้ทวีความไม่ศรัทธาด้วยการไม่เชื่อพระนบีมุฮำมัดเข้าอีก ความสารภาพผิดของพวกนั้นในตอนที่จวนจะสิ้นลมปราณก็ดี หรือในภพหน้าขณะที่ได้แลเห็นโทษทรมานมาปรากฏอยู่เฉพาะหน้าก็ดี ย่อมไม่ถูกรับรองแต่อย่างไรเลย แล้วพวกเหล่านั้นแหละคือพวกที่สุดยอดแห่งความหลงใหล
๙๑. แท้จริงบรรดาผู้เป็นกาฟิรและได้ตายลงพลางยังเป็นกาฟิรอยู่ต่อให้ทองเต็มแผ่นดินที่พวกเขาคนใดได้นำไปทำทานไว้แล้วเพื่อตนเองในภพนี้ก็ดี หรือจะนำไปไถ่โทษในวันอาคิเราะห์ก็ดี ย่อมจะไม่ถูกรับรองแต่ประการใดเลย หากว่าพวกนั้นตายลงไปก่อนจากได้กลับใจรับสารภาพผิด พวกเหล่านั้นแหละย่อมได้รับโทษทรมานอันเจ็บแสบ และจะมีผู้อนุเคราะห์ให้พวกเขารอดพ้นจากการลงโทษของอัลเลาะห์ก็หาไม่



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 92 - 95


คำอ่าน
92. ลัน..ตะนาลุลบิรฺเราะหัตตาตุน..ฟิกูมิม..มาตุหิบบูน วะมาตุน..ฟิกูมิน..ชัยอิน..ฟะอิน..นัลลอฮะบิฮีอะลีม
93. กุลลุฏเฏาะอามิกานะหิลลัลลิบะนี..อิสรอ...อีละ อิลลามาหัรฺเราะมะอิสรอ..อีลุ อะลานัฟสิฮี มิน..ก็อบลิ อัน..ตุนัซซะลัตเตารอฮฺ กุลฟะอ์ตูบิตเตารอติฟัตลูฮา..อิน..กุน..ตุมศอดิกีน
94. ฟะมะนิฟตะรอ อะลัลลอฮิลกะซิบะ มิม..บะอฺดิซาลิกะ ฟะอุลา...อิกะฮุมุซซอลิมูน
95. กุลเศาะดะก็อลลอฮฺ ฟัตตะบิอูนีมิลละตะอิบรอฮีมะหะนีฟา วะมากานะมินัลมุชริกีน

คำแปล R1.
92. By no means shall you attain Al-Birr (piety, righteousness, etc., it means here Allah's reward, i.e. Paradise), unless you spend (in Allah's cause) of that which you love; and whatever of good you spend, Allah knows it well.
93. All food was lawful to the Children of Israel, except what Israel made unlawful for himself before the Taurat (Torah) was revealed. Say (O Muhammad): "Bring here the Taurat (Torah) and recite it, if you are truthful."
94. Then after that, whosoever shall invent a lie against Allah, ... such shall indeed be the Zalimun (disbelievers).
95. Say (O Muhammad): "Allah has spoken the truth; follow the Religion of Ibrahim (Abraham) Hanifa (Islamic Monotheism, i.e. he used to worship Allah alone), and he was not of Al-Mushrikun." (See V.2:105)


คำแปล R2.
92. เจ้าทั้งหลายจะยังไม่บรรลุสู่คุณธรรม (อันแท้จริง) ได้ จนกว่าเจ้าทั้งหลายจะได้บริจาคบางสิ่งที่เจ้าทั้งหลายรัก และสิ่งใดก็ตามที่เจ้าทั้งหลายบริจาคออกไป แน่นอนที่สุด อัลเลาะฮฺย่อมรอบรู้ยิ่งในสิ่งนั้น
93. อาหารทุกชนิดเป็นสิ่งที่อนุมัติสำหรับเผ่าพันธุ์ของอิสรออีล (ทั้งหมด) ยกเว้นสิ่งที่อิสรออีล (คือนบียะอฺกู๊บ) ได้ออกบัญญัติห้ามแก่ตัวเขาเอง ก่อนหน้าที่คัมภีร์เตารอฮฺจะถูกให้ลงมา เจ้าจงประกาศ (แก่พวกยะฮูดี) เถิด (โอ้มุฮำมัด) “พวกเจ้าจงนำคัมภีร์เตารอฮฺมาเถิด แล้วจงอ่านคัมภีร์นั้น หากพวกเจ้าเป็นผู้สัจจริง”
94. (หากไม่นำมาอ่าน) ดังนั้นผู้ใดได้กุความเท็จแก่อัลเลาะฮฺ ภายหลังจากสิ่งนั้น (เป็นที่ปรากฏชัดว่าเป็นข้อห้ามเฉพาะตัวของนบียะอฺกู๊บเอง มิมีผลบังคับไปถึงยุคนบีอิบรอฮีม) แน่นอนพวกเหล่านั้นเป็นพวกที่อธรรม
95. เจ้าจงประกาศเถิด อัลเลาะฮฺทรงสัจจริง ดังนั้นพวกเจ้าจงเจริญรอยตามศาสนาของอิบรอฮีมผู้มีคุณธรรม และเขาหาใช่เป็นหนึ่งจากบรรดาผู้ตั้งภาคีไม่


คำแปล R3.
92.   สูเจ้าจะไม่บรรลุถึงคุณธรรมได้จนกว่าสูเจ้าให้ (ในหนทางของอัลลอฮฺ) ในสิ่งที่สูเจ้ารัก แท้จริง อัลลอฮฺทรงรู้ดีถึงสิ่งที่สูเจ้าใช้จ่าย
93.   อาหารทั้งมวลได้เป็นที่อนุมัติแก่วงศ์วานของอิสรออีล ยกเว้นแต่สิ่งที่อิสรออีลห้ามแก่ตัวเขาเองก่อนที่เตารอตจะถูกประทานลงมา จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า “จงนำเตารอตมาและจงอ่านมัน (เพื่อมาสนับสนุนข้อคัดค้านของพวกท่าน) ถ้าหากพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง”
94.   ดังนั้นหลังจากนี้ถ้าผู้ใดอ้างถึงอัลลอฮฺอย่างผิด ๆ พวกเขาเหล่านี้ก็เป็นผู้อธรรม
95.   จงกล่าวเถิด “อัลลอฮฺทรงตรัสจริง ดังนั้นจงปฏิบัติตามแนวทางของอิบรอฮีมผู้เที่ยงธรรม และเขามิได้อยู่ในผู้ตั้งภาคี


คำแปล R4.
92. พวกเจ้าจะไม่ได้คุณธรรมเลยจนกว่าพวกเจ้าจะบริจาคจากสิ่งที่พวกเจ้าชอบ และสิ่งใดที่พวกเจ้าบริจาคไป แท้จริงอัลลอฮฺทรงรู้ในสิ่งนั้นดี
93. อาหารทุกชนิดนั้นเคยเป็นที่อนุมัติแก่วงศ์วานอิสรออีลมาแล้ว นอกจากที่อิสรออีลได้ให้เป็นที่ต้องห้ามแก่ตัวเขาเอง ก่อนจากที่อัตเตารอตจะถูกประทานลงมาเท่านั้น จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่าพวกเจ้าจงนำเอาอัตเตารอตมาแล้วจงอ่านมันดูหากพวกเจ้าเป็นผู้พูดจริง
94. แล้วผู้ใดที่อุปโลกน์ความเท็จให้อัลลอฮฺหลังจากนั้นชนเหล่านี้แหละ พวกเขาคือผู้อธรรม
95. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่าอัลลอฮฺนั้นตรัสจริงแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าจงปฏิบัติตามแนวทางของอิบรอฮีมผู้หันออกจากความเท็จสู่ความ จริงเถิด และเขาไม่เคยอยู่ในหมู่ผู้ให้มีภาค(แก่อัลลอฮฺ)เลย


คำแปล R5.
๙๒. โอ้บรรดาชนมุอ์มินพวกเจ้าจะไม่ได้สู่สวรรค์จนกว่าพวกเจ้าจะเสียสละทานส่วนหนึ่งจากสิ่งที่พวกเจ้ารัก เช่น ทรัพย์สิน วิชาความรู้ เกียรติยศ เพื่อการเกื้อกูลมนุษย์ ร่างกายเพื่อการกระทำดี และชีวิตเพื่อการสงคราม เป็นต้น และสิ่งใดที่พวกเจ้าเสียสละ อัลเลาะห์จะทรงตอบแทนแก่พวกเจ้าให้ได้บุญกุศลลดหลั่นกันตามปริมาณและคุณภาพของสิ่งนั้น แน้แท้อัลเลาะห์ย่อมทรงรู้ยิ่งถึงเนื้อแท้และลักษณะของสิ่งนั้น
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ ได้มียะฮูดีพวกหนึ่งกล่าวแก่พระนบีมุฮำมัดว่า โอ้มุฮำมัด ท่านคิดว่าท่านกำลังดำเนินแนวตามศาสนาของอิบรอฮีม แต่อิบรอฮีมไม่ได้บริโภคเนื้อและนมของอูฐเลย ส่วนตัวท่านบริโภคั้งสองอย่างนี้ ฉะนั้นท่านจึงไม่ใช่ผู้ดำเนินแนวตามศาสนาอิบรอฮีม โองการจากอัลเลาะห์จึงมีลงมาว่า
๙๓. อาหารทุกอย่างที่เคยเป็นที่อนุญาตไว้สำหรับสายกลุลอิสรออีลนอกจากอาหารบางชนิด เช่น เนื้อและนมของอูฐที่อิสรออีล (พระนบียะกู๊บ)ได้ห้ามไว้สำหรับตัวเองและบรรดาลูกหลานของเขา ก่อนจากพระคัมภีร์เตารอตจะถูกประทานลงมาเท่านั้น ซึ่งก็เป็นเวลาถัดจากอิบรอฮีมลงมาตั้งหนึ่งพันปี ที่พระนบียะกู๊บห้ามบริโภคอาหารที่ว่านี้ ก็เพราะตัวท่านเป็นโรคอัรกุนนะซา (โรคปวดบั้นเอว) ท่านจึงได้บนไว้ว่าถ้าตัวท่านหายจากโรคนี้เมื่อไรแล้ว ท่านตลอดจนลูกหลานของท่านจะงดบริโภคเนื้ออูฐและนมของมัน ฉะนั้นจะเห็นได้ว่า เนื้อและนมอูฐมิได้มีข้อห้ามในสมัยอิบรอฮีมอย่างที่พวกยะฮูดีเข้าใจผิดเลย โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่พวกยะฮูดีเถิดว่า พวกเจ้าจงเอาพระคัมภีร์เตารอตมาแล้วจงอ่านมันซิ เพื่อให้แจ้งความจริงในคำสัจจริงของพวกเจ้า หากว่าพวกเจ้าเป็นพวกสัจจริงในถ้อยคำดังที่พวกเจ้าว่านั้น พวกยะฮูดีถึงกับตะลึง เพราะพวกนี้มิได้รู้เลยว่าในเตารอตมีข้อห้ามบริโภคเนื้อและนมของอูฐ ซึ่งมีผลใช้บังคับเฉพาะสมัยของยะกู๊บเท่านั้น หาได้มีผลบังคับเลยไปถึงสมัยของอิบรอฮีมไม่ เหตุที่พระคัมภีร์เตารอตเป็นองค์พยานยืนยันพวกยะฮูดีให้หมดคำตอบนี้เอง พวกเขาจึงไม่กล้านำเอาเตารอตมาแสดงแก่มูฮำมัด
๙๔. อัลเลาะห์ตรัสเสริมว่า ก็ถ้าผู้ใดปั้นความเท็จป้ายอัลเลาะห์ ไม่ว่าจะด้วยการเข้าใจผิดว่า พระองค์ทรงตราบัญญัติห้ามการบริโภคเนื้อและนมอูฐไว้เหนือลูกหลานยะกู๊บก็ดี หรือเหนือประชากรที่ก่อนจากลูกหลานของยะกู๊บก็ดี โดยการปั้นความเท็จนั้นได้มีขึ้นต่อภายหลังที่ได้มีหลักฐานปรากฏชัดเจนแล้วว่า ข้อบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับฝ่ายยะกู๊บเท่านั้น มิได้มีผลบังคับเลยไปถึงสมัยอิบรอฮีมแล้วไซร้พวกเหล่านั้นแหละคือผู้ล่วงละเมิดความจริงไปสู่ความเสื่อมเสียคือความเท็จ
๙๕. โอ้มุฮำมัดเจ้าจงกล่าวแก่ปวงประชากรของเจ้าเถิดว่า เรียกนี้อัลเลาะห์ตรัสจริงเหมือนกับเรื่องอื่น ๆ ทั้งสิ้นที่เคยตรัส ฉะนั้นพวกเจ้าจงเจริญรอยตามศาสนาของอิบรอฮีมผู้โน้มเอียง จากทุก ๆ ศาสนาที่ไม่เที่ยงแท้ไปสู่ศาสนาอิสลามกันเถิด ซึ่งศาสนาที่อิบรออีมนับถือก็เป็นศาสนาเดียวกับที่ฉัน (มุฮำมัด) นับถือ ดังนั้นพวกเจ้าจงเจริญรอยตามฉันด้วยเถิด อีกทั้งอิบรอฮีมเขาก็มิใช่ผู้หนึ่งจากพวกถือภาคี ทั้งในหลักศรัทธาและหลักอิสลาม



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 96 - 97


คำแปล R1.
96. Verily, the first house (of worship) appointed for mankind was that at Bakkah (Makkah), full of blessing, and a guidance for Al-'Alamin (the mankind and jinns).
97. In it are manifest signs (for example), the Maqam (place) of Ibrahim (Abraham); Whosoever enters it, he attains security. And Hajj (pilgrimage to Makkah) to the House (Ka'bah) is a duty that mankind owes to Allah, those who can afford the expenses (for one's conveyance, provision and residence); and whoever disbelieves [i.e. denies Hajj (pilgrimage to Makkah), Then he is a disbeliever of Allah], Then Allah stands not in need of any of the 'Alamin (mankind and jinns).


คำแปล R2.
96. แท้จริงบ้านแรกที่ถูกสถาปนาไว้แก่มวลมนุษย์นั้นได้แก่บ้านที่อยู่ ณ มักกะฮฺ (คือกะอฺบะฮฺ) เป็นที่จำเริญและเป็นสิ่งนำทางแก่ชาวโลกทั้งมวล
97. ในนั้น (บัยติลลาฮฺ) มีสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ชัดแจ้ง นั่นคือที่ยืนของอิบรอฮีม (ในครั้งที่ท่านทำการปลูกสร้างร่วมกับนบีอิสมาอีลบุตรชาย) และผู้ใดเข้ามาในบ้านนั้น เขาจะเป็นผู้ปลอดภัย และการบำเพ็ญฮัจย์ ณ บัยติลลาฮฺนั้น อัลเลาะฮฺได้ทรงบัญญัติแก่มวลมนุษย์เฉพาะผู้ที่สามารถจะเดินทางไปยังมันได้ และสำหรับอัลเลาะฮฺ เป็นหน้าที่ของมนุษย์ทั้งหลายที่ต้องบำเพ็ญฮัจย์ ณ บัยติลลาฮฺ เฉพาะผู้ที่สามารถจะเดินทางได้ และบุคคลใดเนรคุณ ที่จริงแล้วอัลเลาะฮฺทรงรวยกว่าโลกทั้งหลาย (ไม่พึ่งพิงสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น)


คำแปล R3.
96.   แท้จริงบ้านแรกที่ถูกสร้างขึ้นสำหรับมนุษย์นั้นคือที่มักกะฮฺ เป็นที่จำเริญและเป็นทางนำสำหรับประชาชาติทั้งหลาย
97.   ในนั้นมีสัญญาณต่าง ๆ ที่ชัดแจ้ง มีจุดที่ยืนของอิบรอฮีม ผู้ใดเข้าไปในนั้นย่อมปลอดภัย และอัลลอฮฺมีสิทธิ์เหนือคนที่มีความสามารถจะไปยังบ้านแห่งนี้ได้ เขาก็จะต้องไปทำฮัจญ์ และผู้ใดปฏิเสธ (ก็จงรู้ไว้เถิดว่า) แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ไม่ทรงต้องการสิ่งใด ๆ จากสิ่งทั้งปวงในโลกทั้งหลาย


คำแปล R4.
96. แท้จริงบ้านหลักแรกที่ถูกตั้งขึ้นสำหรับมนุษย์(เพื่อการอิบาดะฮฺ) นั้นคือบ้านที่มักกะฮ์โดยเป็นที่ที่ถูกให้มีความจำเริญและเป็นที่ แนะนำแก่ประชาชาติทั้งหลาย
97. ในบ้านนั้นมีหลายสัญญาณที่ชัดแจ้ง (ส่วนหนึ่งนั้น)คือมะกอมอิบรอ ฮีม และผู้ใดได้เข้าไปในบ้านนั้น เขาก็เป็นผู้ปลอดภัยและสิทธิของอัลลอฮฺที่มีแก่มนุษย์นั้น คือการมุ่งสู่บ้านหลังนั้นอันได้แก่ผู้ที่สามารถหาทางไปยังบ้านหลัง นั้นได้และผู้ใดปฏิเสธ แท้จริงอัลลอฮฺนั้นไม่ทรงพึ่งประชาชาติทั้งหลาย


คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ พวกยะฮูดีพูดใส่หน้าพวกมุอ์มันว่า ไปตุลมุก็อดดิสคือชุมทิศของพวกเราสำหรับผินหน้าไปสู่ในเวลาละหมาดนั้น มีก่อนไบตุลเลาะห์ คือ ชุมทิศของพวกท่านสำหรับผินหน้าไปสู่ในเวลาละหมาด ทั้งยังอ้างด้วยว่าไบตุลมุก็อดดิสประเสริฐเลศกว่าไปตุลเลาะห์ เนื่องจากว่าไบตัลมุก็อดดิสนั้นเป็นสถานที่เหล่าศาสดาต่าง ๆ อพยพไปสู่ และเป็นทิศที่พวกศาสดาเหล่านั้นใช้ผินหน้าไปสู่ในขณะละหมาดด้วยเหมือนกันยิ่งกว่านั้น ยังเป็นแดนชุมนุมซึ่งบรรดาที่เกิดขึ้นใหม่จากสุสานจะถูกต้อนให้ไปรวมอยู่ที่นั่น ส่วนพวกมุอ์มินก็ค้านขึ้นว่า ไบตุลเลาะห์ต่างหากที่ประเสริฐเลิศกว่าไบตุลมุก๊อดดิส อัลเลาะห์จึงได้ประทานโองการลงมาว่า
๙๖. แท้จริงอาคารหลังแรกที่ถูกก่อตั้งไว้เป็นที่กราบสักการะสำหรับมนุษย์ ณ หน้าแผ่นดินนั้นได้แก่ไบตุลเลาะห์ ที่ซึ่งอยู่ ณ นครบักกะห์ (มักกะห์)กล่าวคืออาคารนี้อัลเลาะห์ได้ทรงกำหนดตั้งไว้ที่จุดหนึ่งใต้อัรช์ คือไบตุลมะอ์มูร ในตอนแรกพระองค์ทรงบัญชาใช้พวกมลาอิกะห์ให้ไปเวียนรอบสถานอันถูกกำหนดนั้น ต่อมาก็ทรงใช้เหล่ามลาอิกะห์ฝ่ายแผ่นดินเป็นสถาปนิกทำการก่อสร้างเป็นอาคารขึ้นตรงที่ทรงกำหนดไว้ตามแผนผังและขนาดที่พระองค์ได้ทรงกะไว้ มลาอิกะห์เหล่านั้นก็สร้างขึ้น ครั้นแล้วเหล่ามลาอิกะห์นั้นได้รับบัญชาให้เวียนรอบเหมือนกับที่ชาวฟ้าเคยถูกพระองค์บัญชาใช้ให้เวียนรอบไบตุลมะอ์มูร หากจะว่ากันถึงสมัยที่สร้างก็รู้ได้ว่าอาคารไบตุลเลาะห์นี้ถูกสร้างขึ้นก่อนการสร้างพระนบีอาดัมถึงสองพันปี และก่อนจากไบตุลมุก๊อดดิสถูกสร้างถึงสี่สิบปี เป็นสวัสดิมงคลและเป็นหนทางนำไปสู่ความเที่ยงตรงสำหรับสหประชาชาติและมวลมลาอิกะห์ ทั้งนี้เพราะถือเป็นชุมทิศที่จะผินหน้าไปสู่ในขณะทำละหมาด
๙๗. ในสถานไบตุลเลาะห์นั้นมีหลักฐานต่าง ๆ ที่ประจักษ์แจ้งแสดงความมีศักดิ์ศรีและความดีเลิศล้นพ้นของไบตุลเลาะห์และชี้แนวทางให้สากลโลก เพราะไบตุลเลาะห์เป็นที่หันไปสู่ของพวกนั้น ส่วนหนึ่งจากบรรดาหลักฐานที่ว่านี้ มีศิลาฐานของอิบรอฮีม สำหรับท่านใช้เป็นที่ยืนขณะทำการสร้างไบตุลเลาะห์ นอกจากนี้ยังมีรอยบาทของท่านอยู่ ณ ศิลาฐานแห่งนั้นปรากฏชัดตราบจนทุกวันนี้ และส่วนหนึ่งจากหลักฐานดังกล่าวก็คือว่า ความดีต่าง ๆ ซึ่งเมื่อถูกปฏิบัติขึ้น ณ ที่แห่งนี้ย่อมจักได้รับส่วนทวี แม้นกที่บินไปมาอยู่ในอากาศก็จะไม่บินข้ามไบตุลเลาะห์เลย ที่ว่ามาทั้งสามประการนี้เป็นเพียงหลักฐานส่วนหนึ่งจากหลายประการเท่านั้น และถ้าผู้ใดได้เข้าสู่เขตแคว้นอันเป็นสถานต้องห้ามแห่งนั้น เขาย่อมเป็นผู้ปลอดภัย ไม่ถูกรบกวนไม่ว่าในด้านฆาตกรรมหรือช่วงชิงทรัพย์หรืออย่างอื่น ๆ ถ้าว่ากันตามขนบธรรมเนียมประเพณีของพวกอนารยชน (ยาหิลียะห์) สมัยก่อนมูฮำมัด ย่อมจะทราบได้ทันทีว่า คนหนึ่งกรัทำฆาตกรรมแล้วหลบหนีเข่าไปยังเขตแคว้นแห่งไบตุลเลาะห์ คนนั้นใครจะปองร้ายย่อมมิได้ ตราบใดที่เขายังเก็บตัวอยู่ในแคว้นดังกล่าว ส่วนบทบัญญัติที่ใช้อยู่ในอิสลามยุคมุฮำมัดนั้นบอกว่า ฆาตกรใดหากได้ประทำฆาตกรรมขึ้น ณ เขตแคว้นแห่งไบตุลเลาะห์ ตามอาจาริยมติ (อิจมาอ์อุละมาอ์) ว่า ฆาตกรนั้นจะถูกกระทำให้ตายตกไปตามกันในสภาพและวิธีการเดียวกัน ณ เขตแคว้นนั้น แต่กรณีหลังนี้ตามมติของปราชญ์อื่น เช่น อิมามชาฟิอีย์ เป็นต้น ว่าจะต้องประหารเขาให้ตายตกไปตามกันด้วย ส่วนการทำฮัจย์ ณ ไบตุลเลาะห์นั้นเป็นสิทธิของอัลเลาะห์ที่จะบังคับมวลมนุษย์ที่มีความสามารถเดินทางไปถึงได้ โดยมีเสบียงและพาหนะครบครัน ฉะนั้นท่านอิมามชาฟิอีย์ท่านจึงแจ้งทัศนะว่า ย่อมไม่จำเป็น (วายิบ)ต้องประกอบการฮัจย์สำหรับคนเดินเท้า ถึงแม้ว่าผู้นั้นจะมีความสามารถเพียงใดก็ตาม
   อันว่าการเดินทางไปประกอบการฮัจย์นั้นมีข้ออัตถาธิบายทางวิชาฟิกห์ขยายว่า ถ้ามีความสามารถแล้ว การเดินทางครั้งแรกถือว่าจำเป็น (วายิบ) สำหรับทั้งชายและหญิง ส่วนการเดินทางครั้งต่อไป สำหรับชายถือว่าเป็นการเดินทางแบบอาสาสมัคร (ภาคสุนนะห์) และสำหรับหญิงเป็นการเดินทางแบบ “ยอมให้” (ไม่ได้บุญไม่ได้บาป) แต่ต้องมีสามีหรือชายที่ห้ามสมรสเดินร่วมไปด้วย มิฉะนั้นแล้วถือว่าการเดินทางของนางครั้งต่อไปเป็ยบาป ในกรณีหลังสุดนี้ถ้าก่อนการเดินทางนางได้บนไว้ ก็จัดว่าเป็นการเดินทางแบบ “จำเป็น” เหมือนอย่างครั้งแรก ถ้าแหละผู้ใดไม่ศรัทธาต่ออัลเลาะห์หรือข้อบัญญัติเรื่องฮัจย์ที่พระองค์ได้ทรงตราบังคับผู้นั้นแล้วไซร้ แน่นอนอัลเลาะห์ก็อุดมบริบูรณ์เหลือล้นเหล่าสหประชาติทั้งฝ่ายมนุษย์ ยิน และมลาอิกะห์อยู่แล้ว ทั้งพระองค์ไม้ต้องการความเคารพบูชาจากบรรดาพวกเหล่านั้น



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 17, 2012, 04:22 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 98 - 99


คำอ่าน
98. กุลยา..อะฮฺลัลกิตาบิ ลิมะตักฟุรูนะบิอายาติลลาฮิ วัลลอฮุชะฮีดุน อะลามาตะอฺมะลูน
99. กุลยา..อะฮฺลัลกิตาบิ ลิมะตะศุดดูนะ อัน..สะบีลิลลาฮิ มันอามะนะ ตับฆูนะฮาอิวะเญา..วะอัน..ตุมชุฮะดา...อ์ วะมัลลอฮุบิฆอฟิลินอัม..มาตะอฺมะลูน

คำแปล R1.
98. Say: "O people of the Scripture (Jews and Christians)! Why do you reject the Ayat of Allah (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) while Allah is witness to what you do?"
99. Say: "O people of the Scripture (Jews and Christians)! why do you stop those who have believed, from the Path of Allah, seeking to make it seem crooked, while you (yourselves) are witnesses [to Muhammad as a Messenger of Allah and Islam (Allah's religion, i.e. to worship none but Him alone)]? And Allah is not unaware of what you do."


คำแปล R2.
98. เจ้าจงประกาศเถิด โอ้ชาวคัมภีร์ทั้งหลาย! เหตุใดพวกเจ้าจึงปฏิเสธโองการแห่งอัลเลาะฮฺ และอัลเลาะฮฺทรงเป็นสักขีพยานในสิ่งที่พวกเจ้าประพฤติ
99. จงประกาศเถิด โอ้ชาวคัมภีร์ทั้งหลายเพราะเหตุใดพวกเจ้าจึงขัดขวางผู้ศรัทธาจากแนวทางของอัลเลาะฮฺ พวกเจ้ามุ่งหวังที่จะให้แนวทางนั้นบิดเบือน (ไปจากความเป็นจริง) ทั้ง ๆ ที่พวกเจ้าก็เป็นพยาน (ในความจริงนั้น) และอัลเลาะฮฺหาใช่จะละเลยต่อสิ่งที่พวกเจ้าประพฤติไม่

คำแปล R3.
98.   จงกล่าวเถิด “ชาวคัมภีร์ทั้งหลาย ไฉนพวกท่านจึงปฏิเสธอายะฮฺทั้งหลายของอัลลอฮฺ? แน่นอน อัลลอฮฺทรงเฝ้ามองสิ่งที่พวกท่านกำลังกระทำอยู่
99.   จงกล่าวเถิด “ชาวคัมภีร์ทั้งหลาย ไฉนพวกท่านจึงกีดกันผู้ศรัทธาจากทางของอัลลอฮฺ และหวังจะให้เขาปฏิบัติตามแนวทางที่คดเคี้ยว ทั้ง ๆ ที่พวกท่านเองเป็นพยานอยู่ (ว่าเขาอยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง)?” และอัลลอฮฺไม่ทรงเฉยเมยต่อสิ่งที่พวกท่านกระทำ


คำแปล R4.
98. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า โอ้ผู้ที่ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย! เพราะเหตุใดพวกท่านจึงปฏิเสธศรัทธาต่อบรรดาโองการของอัลลอฮฺและอัลลอฮฺนั้น จะทรงเป็นพยานยืนยันในสิ่งที่พวกท่านกระทำกัน
99. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าโอ้ผู้ที่ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย! เพราะเหตุใดท่านจึงขัดขวางผู้ศรัทธาซึ่งทางของอัลลอฮฺโดยที่พวกท่านปรารถนาจะ ให้ทางของอัลลอฮฺคดทั้ง ๆ ที่พวกท่านก็เป็นพยานยืนยันอยู่ และอัลลอฮฺนั้นมิใช่เป็นผู้ทรงเผลอในสิ่งที่พวกท่านกระทำกัน


คำแปล R5.
๙๘. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวเถิดว่า โอ้ผู้ครองคัมภีร์ฝ่ายยะฮูดี ไม่สมควรเลยที่พวกเจ้าจะปฏิเสธบรรดาโองการ(อัล-กุรอาน)ของอัลเลาะห์ ที่แสดงยืนยันถ้อยคำจริงของมูฮำมัดที่บอกว่า การทำฮัจย์และอื่น ๆ นั้นเป็นพิธีภาคจำเป็น ทั้งอัลเลาะห์ก็ทรงเป็นองค์พยานในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกันอยู่แล้วพระองค์จะทรงตอบสนองพวกเจ้าที่ได้กระทำสิ่งนั้น
๙๙. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวเถิดว่า โอ้ผู้ครองคัมภีร์ฝ่ายยะฮูดี ไม่สมควรเลยที่พวกเจ้าจะทำให้ผู้ศรัทธาหันเหจาหแนวศาสนาของอัลเลาะห์ด้วยถ้อยคำของพวกเจ้าที่กล่าวหาว่านบีพูดเท็จและพวกเจ้าปิดบังคุณลักษณะของนบี โดยที่พวกเจ้าหาทางบ่ายเบี่ยงจากความจริงด้วยวิธีการทำให้มวลมนุษย์เคลือบแคลงสงสัยและเข้าใจผิดพลาด ทั้ง ๆ ที่พวกเจ้าก็รู้อยู่ว่าศาสนาที่ได้รับความนิยมคือศาสนาอิสลาม ซึ่งก็มีบ่งบอกอยู้แล้วในคัมภีร์เตารอตที่พวกเจ้าได้รับ ฝ่ายอัลเลาะห์จะไม่ทรงละเลยในพฤติกรรมแห่งความไม่ศรัทธาและข้อกล่าวหาเท็จต่อมุฮำมัด ที่พวกเจ้าประกอบกันไว้ แท้จริงพระองค์จะทรงทอดเวลาให้พวกเจ้าไปรับโทษในวันปรภพ




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺอาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 100 - 102



คำอ่าน
100. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู อิน..ตุฏีอูฟะรีก็อม..มินัลละซีนะอูตุลกิตาบะ ยะรุดดูกุม..บะอฺดะอีมานิกุมกาฟิรีน
101. วะกัยฟะตักฟุรูนะวะอัน..ตุมตุตลาอะลัยกุมอายาตุลลอฮิ วะฟีกุมเราะสูลุฮฺ วะมัย..ยะอฺตะศิม..บิลลาฮิ ฟะก็อดฮุดิยะอิลาศิรอฏิม..มุสตะกีม
102. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนุตตะกุลลอฮะ หักเกาะตุกอติฮีวะลาตะมูตุน..นะอิลลาวะอัน..ตุม..มุสลิมูน

คำแปล R1.
100. O you who believe! If you obey a group of those who were given the Scripture (Jews and Christians), they would (indeed) render you disbelievers after you have believed!
101. And how would you disbelieve, while unto you are recited the Verses of Allah, and among you is his Messenger (Muhammad)? And whoever holds firmly to Allah, (i.e. follows Islam Allah's religion, and obeys all that Allah has ordered, practically), then he is indeed guided to a Right Path.
102. O you who believe! Fear Allah (by doing all that He has ordered and by abstaining from all that He has forbidden) as he should be feared. [Obey him, be thankful to him, and remember Him always], and die not except in a state of Islam (as Muslims) with complete submission to Allah.


คำแปล R2.
100. โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย! มาดแม้นพวกเจ้าภักดีต่อคนกลุ่มหนึ่งจากบรรดาผู้ถูกประทานคัมภีร์ พวกเขาก็จะทำให้พวกเจ้าคืนกลับสู่สถานะปฏิเสธหลังจากมีศรัทธาของพวกเจ้า
101. ไฉนเล่าพวกเจ้าจึงปฏิเสธทั้ง ๆ ที่พวกเจ้าได้รับการแถลงบรรดาโองการของอัลเลาะฮฺ ทั้ง ๆ ในหมู่พวกเจ้านั้นก็มีศาสนทูตของพระองค์ (ประกาศโองการของพระองค์) และผู้ใดยึดมั่นในอัลเลาะฮฺ แน่นอนเขาย่อมได้รับการชี้นำไปสู่แนวทางอันเที่ยงตรง
102. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! พวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะฮฺอย่างแท้จริงเถิด และพวกเจ้าอย่าตายจนกว่าพวกเจ้าจะเป็นผู้สวามิภักดิ์ (ต่ออัลเลาะฮฺ)


คำแปล R3.
100.   บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ถ้าสูเจ้าเชื่อฟังปฏิบัติตามชาวคัมภีร์บางคน พวกเขาก็จะหันสูเจ้าจากการศรัทธาไปสู่การปฏิเสธ
101.   และสูเจ้าจะหันไปสู่การปฏิเสธได้อย่างไรในเมื่ออายะฮฺต่าง ๆ ของอัลลอฮฺได้ถูกอ่านแก่สูเจ้าและรอซูลของพระองค์ก็อยู่ในหมู่สูเจ้า และผู้ใดยึดมั่นในอัลลอฮฺ ดังนั้นโดยแน่นอน เขาได้ถูกนำสู่ทางเที่ยงตรง
102.   บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงสำรวมตนต่ออัลลอฮฺด้วยการสำรวมที่ต้องพึงมีต่อพระองค์ และจงอย่าตายเว้นแต่สูเจ้าจะเป็นมุสลิม


คำแปล R4.
100. โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! หากพวกเจ้าเชื่อฟังกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดในหมู่ผู้ที่ได้รับคัมภีร์แล้ว พวกเขาก็จะให้พวกเจ้ากลับเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาอีก หลังจากที่พวกเจ้าศรัทธาแล้ว
101. และอย่างไรเล่าที่พวกเจ้าจะปฏิเสธศรัทธากัน ทั้งๆ ที่พวกเจ้านั้น มีบรรดาโองการของอัลลอฮฺถูกอ่านแก่พวกเจ้าอยู่ และยังมีรอซูลของพระองค์อยู่ในหมู่พวกเจ้าด้วย และผู้ใดยืดมั่นต่ออัลลอฮฺ แน่นอนเขาก็ได้รับคำแนะนำไปสู่ทางอันเที่ยงตรง
102. โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงยำเกรงอัลลอฮฺอย่างแท้จริงเถิด และพวกเจ้าจงอย่าตายเป็นอันขาดนอกจากในฐานะที่พวกเจ้าเป็นผู้นอบน้อม เท่านั้น


คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ ชาซบุตรกีส ผู้หนึ่งจากชาวยะฮูดี ได้เดินผ่านชนเผ่าเอาซ์และค๊อสรอจ ณ สถานแห่งหนึ่งซึ่งชนทั้งสองเผ่านี้กำลังสนธนาด้วยอัธยาศัยอย่างเป็นกันเองและหวังดีต่อกัน ครั้นเมื่อชาซบุตรกีสได้ผ่านไปแลเห็นอากัปกิริยาของคนในเผ่าทั้งสองเข้า ก็รู้สึกโกรธขึ้งทันทีและเกรงว่าเผ่าทั้งสงอจะเข้าสมทบกำลังกันไปทำการโจมตีพวกตน เขาจึงเอ่ยคำเตือนคนในวงสนทนานั้นเพื่อให้หวนระลึกประวัติการสู้รบกันระหว่างบรรพบุรุษของทั้งสองเผ่าในสมัยก่อนมุฮำมัดถึง ๑๒๐ ปีว่า “ชัยชนะเป็นของฝ่ายบรรพบุรุษเอาซ์ ทั้งเผ่าเอาซ์และค๊อสรอจต่างโกรธแค้นแทนบรรพบุรุษแห่งตนถึงกับเกือบจะประหัตประหารกันขึ้นอีก โองการจากอัลเลาะฮฺจึงมีลงมาว่า
๑๐๐. โอ้บรรดาผู้ศรัทธา ทั้งเผ่าเอาว์และค๊อซรอจ แม้ว่าพวกเจ้าเชื่อตามกลุ่มหนึ่งจากชนชาวยะฮูดี ผู้ได้รับคัมภีร์ พวกนั้นย่อมจะทำให้พวกเจ้าคืนเป็นพวกกาฟิรอีก หลังจากที่พวกเจ้ามีศรัทธาแล้ว
๑๐๑. ย่อมเป็นที่น่าประหลาด น่าถูกตำหนิ และไม่สมควรเลยที่พวกเจ้าจะปฏิเสธทั้ง ๆ ที่โองการต่าง ๆ (อัลกุรอาน) ของอัลเลาะห์ก็ถูกอ่านให้พวกเจ้าฟังเป็นการชี้แจงความจริงให้เด่นชัดต่างหากจากความเท็จ และท่ามกลางพวกเจ้าก็มีมูฮำมัดพระศาสนทูตของพระองค์มาบรรยายความจริงและขจัดความก้ำกึ่งสงสัยอีกด้วย ไฉนพวกเจ้าจึงปล่อยให้ชาซบุตรกีสเข้ามายุแหย่ และทำลายความสมัครสมานสามัคคีธรรมในหมู่พวกเจ้าเล่า ทั้ง ๆ ที่อัล-กุรอานและมุฮำมัดผู้เป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์ก็มีพร้อมอยู่แล้วที่พวกเจ้า แล้วถ้าผู้ใดเหนียวแน่นอยู่ด้วยอัล-กุรอานของอัลเลาะห์ แน่นอนเขาย่อมได้ความแนะนำไปสู่หนทางอันเที่ยงตรงคือศาสนาอิสลาม อันเป็นเครื่องชักนำไปยังสวรรค์
๑๐๒. โอ้บรรดาผู้ศรัทธา พวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะห์ให้จริงทีเดียวโดยการปฏิบัติตามที่ทรงใช้และทรงห้าม ทั้งจงอย่าทรยศต่อพระองค์ จงขอบพระคุณแต่อย่าเนรคุณพระองค์ และจงรำลึกถึงพระองค์แต่จงอย่าลืมระลึกถึงพระองค์ ครั้นแล้วเหล่าสาวกน้อยใหญ่ต่างเอ่ยขึ้นว่า โอ้มูฮำมัดผ๔เป็นพระศาสนทูตของอัลเลาะห์ ใครบ้างที่เขาสามารถจะปฏิบัติตนได้ตามที่ว่านั้น? โองการนี้ได้ถูกยกเลิกโดยโองการที่มีความว่า “พวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะห์เท่าที่พวกเจ้ามีความสามารถ และพวกเจ้าจงดำรงมั่นอยู่ในศาสนาอิสลามจนกว่าจะตายเถิด




 

GoogleTagged