1. มูอาวียะฮ์ บิน อะบีซุฟยาน ( ฮ.ศ. 41-60 ค.ศ. 661-680 )
ท่านมีชื่อเต็มว่า มูอาวียะฮ์ บิน อะบีซุฟยาน บิน ฮัรบฺ บิน อุมัยยะฮ์ บิน อับดิชชัมสฺ บิน อับดิลมานาฟ บิน ก็อยซฺ มารดาชื่อฮินดฺ บินติ อุกบะฮ์ บิน รอบีอะฮ์ บิน อับดิชชัมสฺ บิน อัลดิลมานาฟ
ท่านเกิดในนครมักกะฮ์ ก่อนที่ท่านศาสดามูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม จะถูกแต่งตั้งให้เป็นศาสดา 5 ปี และได้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลามพร้อมกับบิดา มารดา และพี่ชายของเขา ขณะนั้นเขามีอายุได้ 25 ปี และท่านรซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นอาลักษณ์ทำการบันทึกอัลกุอาน ท่านคอลีฟะฮ์อุมัร ได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้ปกครองประเทศชามส่วนหนึ่ง ต่อมาท่านคอลีฟะฮ์อุษมานได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้ปกครองดินแดนชามทั้งหมด หลังจากที่ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานได้เสียชีวิตลง มุอาวียะฮ์ได้แยกอาณาจักรชามเป็นอิสระ และหลังจากที่เขาสามารถสถาปนาอาณาจักรอุมัยยะฮ์ได้แล้ว ก็ได้ย้ายเมืองหลวงของอาณาจักรอิสลามจากนครมาดีนะฮ์ไปอยู่ที่นครดามัสกัส ในประเทศชาม
ท่านมุอาวียะฮ์ เป็นผู้ที่มีสติปัญญาปราดเปรื่อง มีสายตาอันกว้างไกล มีความสุขุม มีความชำนาญทางด้านการเมือง และมีความสุภาพอ่อนโยน ทั้งนี้เนื่องจากว่าความสุภาพอ่อนโยน เป็นคุณลักษณะของหัวหน้าเผ่าต่างๆ ของอาหรับ ท่านสามารถข่มความรู้สึกได้ เมื่อได้รับการพูดจาถากถาง หรือบริภาษจากผู้อื่น พร้อมกับได้ให้อภัยในส่วนที่ควรให้อภัย มุอาวียะฮ์รู้ดีว่าตัวของท่านเองและบรรดาวงศ์วานของท่านไม่สมควรได้คัดค้านการเป็นคอลีฟะฮ์ของท่าน โดยเหตุนี้จึงจำเป็นที่ท่านจะต้องปฏิบัติกับประชาชนด้วยความสุภาพอ่อนโยน มีสัมมาปฏิบัติและแสดงออกถึงความโอบอ้อมอารีเพื่อว่าจะได้จับผู้ที่เป็นศัตรูต่อท่านและเพื่อที่ท่านจะได้จ่าย ทรัพย์สินเงินทองเพื่อปิดปากและยุติการทำร้ายของพวกเขาเหล่านั้น ด้วยการดำเนินนโยบายอันแยบยลของมุอาวียะฮ์เช่นนี้ ประชาชนทั้งหลายจึงยุติการกล่าววิจารณ์ และยอมรับการเป็นคอลีฟะฮ์ของท่าน
ถึงจะอย่างไรก็ตาม มุอาวียะฮ์ก็มิได้ละเลยกิจการของอิสลามและรัฐแต่ประการใด ท่านได้ทำการขยายดินแดนของอาณาจักรอิสลามออกไปอีก พร้อมกับได้แต่งตั้งผู้ที่มีความเหมาะสม มีความสามารถ และมีความชำนาญให้ทำการบริหารตำแหน่งต่างๆในอาณาจักรอิสลาม ท่านได้คัดเลือกผู้ปกครองที่มีความเชี่ยวชาญ ทำให้เขาเหล่านั้นบริหารอาณาจักรอิสลามด้วยความเด็ดเดี่ยว บริสุทธิ์ใจ และมีสมถะ จึงให้ความผาสุก และความสงบแผ่ไปทั่วอาณาจักรอิสลาม
มุอาวียะฮ์เป็นชาวอาหรับแท้ ซึ่งแสดงออกให้ปรากฏทางด้านอุปนิสัยและความประพฤติของท่าน ท่านชอบใช้ชีวิตแบบง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นที่พักอาศัยหรือเครื่องนุ่งห่ม มีผู้กล่าวว่า ท่านรับประทานอาหารมาก คำพูดนี้เป็นความจริงเพราะว่าท่านเป็นคนอ้วน แต่ทว่าการรับประทานอาหารมากของท่านก็เป็นเช่นเดียวกับอาหารที่ท่านได้เคยรับประทานมาก่อน มิได้เป็นอาหารที่ดีเลิศกว่านี้แต่ประการใด สิ่งที่ท่านชอบรับประทานคือ ขนมปังหยาบ เนื้อต้ม และเนื้อย่าง
การปกครองของอาณาจักรมุอาวียะฮ์นั้น ท่านไม่ได้แต่งตั้งผู้ใดเป็นเสนาบดีที่ปรึกษา ถึงแม้ว่าท่านได้ทำการปกครองประเทศเป็นระยะเวลานานก็ตาม แต่ทว่าระเบียบการปกครองท่านเป็นไปอย่างง่ายๆ ท่านจะเปิดประตูรับประชาชนทุกคนที่ปรารถนาจะเข้าไปพบ เพื่อส่งเรื่องราวร้องทุกข์ตามที่เขาปรารถนา น้อยคนนักที่มาเยือนท่าน และกลับออกไปโดยมิได้รับของขวัญติดมือ ถึงแม้ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นศัตรูกับท่านก็ตาม ท่านได้ปูนบำเหน็จให้กับสาวกของท่านรซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม บรรดาลูกๆของเขาเหล่านั้น บรรดาผู้นำของเผ่าต่างๆ และบรรดานักปราชญ์อย่างมากมาย
คุณลักษณะและอุปนิสัยของท่าน
ท่านเป็นคนที่รูปร่างสูง ผิวขาว ใบหน้ากลม ดูสง่าน่าเกรงขาม ท่านเป็นผู้ที่มีสติปัญญาฉลาดหลักแหลม เป็นผู้มีความรู้ กล้าหาญ เข้มแข็ง มีความความอดทนอย่างสูง มีจุดยืนที่มั่นคง คล่องแคล่ว อ่อนโยนในสิ่งที่ควรอ่อนโยน และแข็งข้อในสิ่งที่ควรแข็ง แต่ความอ่อนโยนของท่านนั้นสามารถเอาชนะความแข็งกระด้างได้ ท่านเป็นผู้มีความให้อภัยผู้อื่น ชอบบริจาคทรัพย์สิน
จุดเด่นของคอลีฟะฮ์มุอาวียะฮ์
1. มุอาวียะฮ์ คือคอลีฟะฮ์ที่ถูกบอกข่าวโดยท่านรซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัม
จากอับดุลมาลิก บิน อับดุลมาลิก ได้กล่าวว่า : มุอาวียะฮ์ได้กล่าวว่า : ฉันเคยอยากเป็นคอลีฟะฮ์ตั้งแต่ท่านท่านรซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า : “ โอ้ มุอาวียะฮ์ เมื่อไรเจ้าได้เป็นผู้ปกครอง เป็นสิ่งที่ดียิ่ง ”
2. มุอาวียะฮ์คือคอลีฟะฮ์ที่เชี่ยวชาญ
จากอิบนิ มุลัยกะฮ์ : ได้กล่าวว่า ได้มีคนกล่าวแก่อิบนิ อับบาส ว่า : ท่านเคยรู้เรื่องของมุอาวียะฮ์บ้างไหม เขาไม่เคยทำการละหมาดวิตรฺ นอกจากหนึ่งรอกะอัตเท่านั้น. ท่านได้กล่าวว่า : “ เขาคือเชี่ยวชาญ ”
3. มุอาวียะฮ์คือศอฮาบะฮ์ที่ถูกดุอาอฺโดยท่านท่านรซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัม
จากอับดุรเราะห์มาน บิน อมีเราะฮ์ จากท่านนบี ได้กล่าวแก่มุอาวียะฮ์ว่า :
“ اللهم اجعله هاديا مهديا ” หมายความว่า : “ โอ้ พระเจ้าของฉัน จงทำให้เขาเป็นผู้ชี้นำ และได้รับทางชี้นำ ”
4. มูอาวียะฮ์เป็นผู้เขียนวะฮฺยู
อบูซุฟยานได้ขอจากท่านท่านรซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัม ให้แต่งตั้งมูอาวียะฮ์ เป็นผู้เขียนต่อหน้าเขา ดังนั้นท่านรซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัม ก็ได้ตอบรับคำขอนั้น.
การขยายดินแดนในสมัยของมุอาวียะฮ์
มุอาวียะฮ์มีทัศนะว่า หนทางที่จะทำให้บรรดามุสลิมละทิ้งความสนใจต่อกิจการภายในอาณาจักรอิสลามและปัญหาพิพาทกันเกี่ยวกับผู้มีสิทธิในการดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮ์ คือ การส่งให้เขาเหล่านั้นออกไปพิชิตและแผ่ขยายอาณาจักรอิสลาม ทำให้อาณาจักรอิสลามได้แผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง จนเป็นที่เกรงขามของข้าศึก และทำให้ตำแหน่งของท่านมีความมั่นคงขึ้นท่ามกลางผู้ที่นิยมในตัวท่านด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ด้วยสาเหตุที่กล่าวมาข้างต้น จึงมีการจัดตั้งกองทัพเรือขึ้นในอาณาจักรอิสลามพร้อมกับมีการเพิ่มจำนวนเรือ ทหารเรือและจัดการปรับปรุงกำลังทหารของอิสลามให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ก็ได้มีการจัดระเบียบการรับราชการทหารขึ้น โดยมีชื่อว่า “ ภาคร้อน ภาคหนาว ” ตามนัยนี้ หมายถึงการจัดตั้งกำลังทหารขึ้น โดยทำหน้าที่รักษาเขตแดนของอาณาจักรอิสลามให้พ้นจากการโจมตีและรุกรานของข้าศึก ซึ่งมีอยู่เสมอ ทั้งในฤดูร้อน และฤดูหนาว ทำให้กำลังทหารของมุสลิมมีการเตรียมพร้อมอยู่เสมอ เพื่อการทำการสงคราม ณ ที่นี้ เราจะกล่าวถึงการพิชิตของเขาเหล่าทหารมุสลิมในสมัยมุอาวียะฮ์พอเป็นสังเขป
ก.- การพิชิตดินแดนทางภาคตะวันออก
ในสมัยของคอลีฟะฮ์อุมัร บิน ลคอฏฏ๊อบ บรรดามุสลิมได้แผ่ขยายดินแดนออกไปจนเกือบจะถึงพรมแดนของประเทศปากีสถานในปัจจุบัน บรรดาประชาชนในสมัยนั้นยังคงเคารพบูชาไฟ และรูปเจว็ด และเขาเหล่านั้นได้แสดงความกระด้างกระเดื่องไม่ยอมอ่อนน้อมต่อมุสลิม ขณะที่ได้เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างมุอาวียะฮ์และคอลีฟะฮ์อะลี โดยเหตุนี้จึงได้มีคำสั่งให้ทำการปราบปราม เพื่อให้เขาเหล้านั้นอยู่ภายใต้การปกครองของมุสลิมอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้โดยการจัดส่ง อับดุลลอฮฺ บิน เซาวาร ยกกองทัพไปทางทิศตะวันออก 2 ครั้ง สามารถพิชิตรัฐสินธ์ คือ ปากีสถานในปัจจุบันได้สำเร็จ หลังจากนั้นก็ได้จัดส่ง อัลมุลฮับ บิน อะบีซ๊อฟเราะฮ์ อัล-อัซดีย์ ให้คุมกำลังทหารมุสลิมจำนวนมากไปยังภาคตะวันออก ซึ่งสามารถพิชิตแคว้นสินธ์ได้ทั้งหมด และได้เข้าไปยังเมืองลาโฮร์ พร้อมกับปรับปรุงเมืองนี้ให้เป็นเมืองมุสลิม
หลังจากนั้นมุอาวะยะฮ์ได้ส่งก็อยสฺ บิน อัล ฮัยซัม ไปพิชิตทางภาคตะวันออกของเมืองคูรอซาน โดยบุกเข้าไปในเมือง บัลคฺ (بلخ) ซึ่งอยู่ในอัฟกานิสถานในปัจจุบันและได้ทำการสร้างมัสยิดขึ้น ต่อจากนั้นก็ได้พิชิตเมืองเฮราต ( هراة ) โดยอับดุลลอฮฺ บิน ฮาชิม ตลอดจนเมืองอื่นอีก เช่น บุคอรอ ( بخارى ) และสมารกอนดฺ (سمرقند )
การปรับปรุงกองทัพเรือของมุสลิม
มุอาวียะฮ์ได้ให้ความสนใจอย่างกว้างขวางต่อกองทัพเรือและการทำสงครามทางเรือนับตั้งแต่ท่านเป็นผู้ปกครองเมืองชามสมัยคอลีฟะฮ์อุมัร บิน คอฏฏ๊อบ ท่านได้จัดตั้งกองทัพเรือขนาดใหญ่ และได้พิชิตเกาะต่างๆ เช่น เกาะโรดส์ และเกาะไซปรัส
นอกจากนี้ มุอาวียะฮ์ยังได้จัดตั้งอู่ต่อเรือตามท่าเรือต่างๆ เช่นที่เมืองซูร ซอยดา อัสกอลาน และกาซา และบรรดาท่าเรือที่อียิปต์ เช่น ดิมยาฎ และอเล็กซานเดรีย ท่านได้ให้ความสนใจต่อเรือรบ และฝึกซ้อมเหล่าทหารมุสลิมให้มีความชำนาญในการสงครามทางทะเล เมื่อท่านได้ดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮ์ ก็ได้ให้ความสนใจทางด้านกองทัพเรือของมุสลิมในแถบทะเลเมดิเตอเรเนียนมากยิ่งขึ้น และได้ทำให้จำนวนเรือรบของมุสลิมมีถึง 100 ลำ
ข. - ความพยายามในการพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิล
ในปี ฮ.ศ.48 (ค.ศ.668) มุอาวียะฮ์ได้จัดเตรียมกองทัพทั้งทางบกและทางทะเล เพื่อทำการพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิล โดยให้ซุฟยาน บิน เอาฟฺ เป็นแม่ทัพ กำลังทหารของมุสลิมได้เดินทางไปจนถึงกำแพงเมืองของกรุงคอนสแตนติโนเปิล และได้ทำการสู้รบกับพวกโรมันไบเซ็นตีนอย่างรุนแรง แต่ไม่สามารถพิชิตเมืองนี้ได้ เพราะว่ากำแพงเมืองมึความแข็งแรงมาก ประกอบด้วยขณะนั้นเป็นช่วงฤดูหนาว มีหิมะตกมาก นอกจากนั้น พวกโรมันไบเซ็นติน ยังได้ใช้อาวุธชนิดหนึ่งเรียกว่า “ ปีนไฟของกรีก ” ระดมยิงมายังเรือของมุสลิม ทำให้เรือเกิดไฟไหม้และเสียหายอย่างใหญ่หลวง บรรดามุสลิมจึงประสบความปราชัยอย่างย่อยยับและต้องถอยทัพกลับ
ค- การพิชิตอัฟริกา
ในปี ฮ.ศ.50 (ค.ศ. 670) มุอาวียะฮ์ได้จัดส่งกำลังทหารจำนวน 10,000 คน ไปให้กับอุกบะฮ์ บิน นาเฟียะอฺ ผู้ปกครองบัรเกาะฮ์ ตั้งแต่สมัยของอัมรฺ บิน อาศ เป็นผู้ปกครองอียิปต์ เพื่อให้ทำการพิชิตอัฟริการตะวันตก อุกบะฮ์จึงพากำลังทหารของมุสลิมบุกเข้าไปยังอัฟริกา และสามารถพิชิตดินแดนส่วนนั้นได้จนถึงตูนีเซียในปัจจุบัน ขณะที่ทำการพิชิตดินแดนส่วนนี้นั้น พวกเบอร์เบอร์ จำนวนมากได้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม แต่อย่างไรก็ตามบรรดามุสลิมต้องประสบกับอุปสรรคอย่างมากมายหลังจากที่ได้ทำการพิชิตอัฟริกา ทั้งนี้เนื่องจากดินแดนนี้อยู่ใกล้กับเกาะซิชิลี จึงทำให้พวกโรมันสามารถจัดส่งเสบียงสัมภาระมาให้กำลังทหารของตนได้อย่างสะดวก นอกจากนี้แล้วพื้นเพทางภูมิศาสตร์ของอัฟริการเป็นภูเขาจึงทำให้พวกเบอร์เบอร์หลบซ่อนตัวอยู่แถบหุบเขาเพื่อซุ่มดักโจมตีกำลังทหารของมุสลิม โดยเหตุนี้การพิชิตอัฟริกาโดยสมบูรณ์จึงใช้เวลามากกว่า 60 ปี
เมื่ออุกบะฮ์สามารถเอาชนะเบอร์เบอร์ได้แล้ว จึงได้ยกทัพลงไปทางตอนใต้ของตูนีเซียและได้จัดสร้างเมืองก็อยรอวาน ขึ้นไปในปี ฮ.ศ.55 โดยเป็นเมืองแรกที่มุสลิมได้จัดสร้างในอัฟริกา เป็นเมืองที่สี่ที่มุสลิมได้จัดสร้างขึ้นหลังจากกุฟะฮ์ บัสเราะฮ์ และฟุสฏ๊อฏ การสร้างเมืองก็อยรอวาน ดำเนินไปเป็นเวลา 5 ปี จึงเสร็จเรียบร้อย และได้มีการจัดสร้างมัสยิดญามิอฺขึ้นด้วย ซึ่งถือได้ว่ามัสยิดหลังนี้เป็นมัสยิดที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอิสลาม
ด้วยการสร้างมัสยิด ทำให้ก็อยรอวานกลายเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ศาสนาอิสลามภาคตะวันตกของทวีปอัฟริกา และเป็นที่ป้องกันภัยของมุสลิมจากการโจมตีของเบอร์เบอร์
การมอบอำนาจการเป็นคอลีฟะฮ์ของมุอาวียะฮ์ให้แก่ยาซีดผู้เป็นบุตร
มุอาวียะฮ์มีความเห็นว่า ควรแต่งตั้งให้ยาซีดผู้เป็นบุตรดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮ์สืบต่อไป และจำกัดอำนาจการปกครองอาณาจักรอิสลามแก่บุคคลภายในตระกูลของตน โดยเหตุนี้เขาจึงเริ่มทำการโฆษณาชวนเชื่อในหมู่ประชาชนโดยทั่วไปถึงข้อดีเกี่ยวกับการกระทำเช่นนี้ ทั้งนี้โดยอาศัยบรรดาผู้ซื่อสัตย์ต่อราชวงศ์อุมัยยะฮ์เป็นสื่อกลาง ด้วยการใช้วิธีเช่นนี้จึงทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เห็นชอบต่อการคัดเลือกให้ยาซีดดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮ์สืบต่อไป และเนื่องจากความหวั่นเกรงต่อความยุ่งเหยิงอันอาจจะเกิดขึ้นอีก หลังจากมุอาวียะฮ์สิ้นชีวิตไป โดยมิได้แต่งตั้งให้ผู้ใดดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮ์แทน บรรดาหัวเมืองต่างๆจึงได้จัดส่งคณะผู้แทนมาขอร้องให้มุอาวียะฮ์จัดการให้สัตยาบันแก่ยาซีดเพื่อให้ดำรงตำแหน่งแทน ซึ่งมุอาวียะฮ์ก็เห็นชอบด้วย โดยที่ท่านก็มีเจตนารมณ์ที่จะกระทำเช่นนั้นอยู่แล้ว โดยเหตุนี้การให้สัตยาบันทั่วไปแก่ยาซีดจึงเกิดขึ้น โดยไม่มีผู้ใดคัดค้านเลยนอกจากชาวฮิญาซ ( حجاز ) ดังนั้นมุอาวียะฮ์จึงเดินทางไปยังแคว้นฮิญาซเพื่อบีบบังคับให้อับดุลลอฮฺ บิน อุมัร,อับดุลลอฮฺ บิน ซุเบร, อับดุลลอฮฺ บิน อับบาส และอัล-หุเซน บิน อะลี ให้การสัตยาบันต่อการเป็นคอลีฟะฮ์ของยาซีด ดังนั้นจึงเป็นคอลีฟะฮ์ของอาราจักรอิสลามสืบต่อจากผู้เป็นบิดา ขณะที่บิดาของเขายังมีชีวิตอยู่
การเสียชีวิต
มูอาวียะฮ์ได้เสียชีวิตในเดือนรอญับ ปีที่60 แห่งฮิจญ์เราะฮ์ศักราช ด้วยอายุ 78 ปี ที่เมืองซีเรีย เนื่องด้วยถูกโรคร้าย หลังจากที่ปกครองอาณาจักรอิสลามนานถึง 20 ปี