ท่านสะอี้ดนุรซีย์ ได้กล่าวต่อไปว่า
ประเด็นที่สอง
เราไม่ได้บอกท่านว่า ท่านอย่าได้มีความรักต่อสิ่งต่างๆ ที่ท่านได้กล่าวมาข้างต้น แต่เรากำลังบอกท่านว่า จงทำให้ความรักของท่านที่มีต่อสิ่งที่ท่านได้กล่าวมาข้างต้นนั้น อยู่ในหนทางของอัลเลาะฮ์ และเป็นไปเพื่อพระองค์
ดังนั้นการแสวงหาความเอร็ดอร่อยจากอาหารที่ปรารถนา และการลิ้มรสของผลไม้ที่มีประโยชน์ พร้อมกับตระหนักรู้ว่า มันเป็นความดีงามที่ถูกประทานมาจากอัลเลาะฮ์ตะอาลา และเป็นเนียะมะฮ์จาก อัรเราะห์มานอัรร่อฮีม (ผู้ทรงเมตตาผู้ทรงปราณี) นั่นแหละคือความรักที่มีให้กับพระนาม อัรเราะห์มาน และพระนาม อัลมุนอิม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งจากพระนามอันไพจิตรของอัลเลาะฮ์ และดังกล่าวนี้ก็ยังเป็นการขอบคุณในเชิงนามธรรมอีกด้วย
และสิ่งที่บ่งชี้ว่า ความรักดังกล่าวนี้มิใช่เป็นความรักต่อนัฟซูและอารมณ์ใฝ่ต่ำ แต่เป็นความรักให้กับพระนาม อัรเราะห์มาน ก็คือ การแสวงหาริซกีที่ฮะลาลพร้อมกับมีความเพียงพออย่างสมบูรณ์ภายใต้ขอบเขตของบทบัญญัติ และรับประทานมันด้วยการคิดใคร่ครวญว่ามันนั้นเป็นเนียะมะฮ์จากอัลเลาะฮ์ พร้อมกับชุโกรต่อพระองค์
ส่วนความรักและการให้เกียรติของท่านที่มีต่อบิดามารดา แท้ที่จริงแล้วมันก็กลับไปสู่ความรักของท่านที่มีต่ออัลเลาะฮ์ตะอาลา เพราะพระองค์คือผู้ปลูกความเมตตาและความอาทรไว้ในตัวของท่านทั้งสองจนทำให้ท่านทั้งสองนั้นทำการดูแลและอบรมท่านด้วยความเมตตาและวิทยปัญญาอันยิ่งใหญ่
และสิ่งที่บ่งชี้ว่าความรักและการให้เกียรติที่ท่านมีต่อบิดามารดานั้นเป็นไปเพื่ออัลเลาะฮ์ตะอาลาก็คือ การเพิ่มพูนความรักและการให้เกียรติต่อท่านทั้งสองขณะที่ท่านทั้งสองแก่ชรา และการไม่หลงเหลือความละโมบต้องการใดๆ จากท่านในตัวของท่านทั้งสอง ดังนั้นท่านก็จะมีความอาทรและความเมตตาต่อท่านทั้งสองอย่างมากมายแม้ว่าท่านทั้งสองจะทำให้ท่านต้องพบกับความยุ่งยากและภาระอันหนักก็ตาม อายะห์อัลกุรอานที่ว่า
“และพระเจ้าของเจ้าบัญชาว่า พวกเจ้าอย่าเคารพภักดีผู้ใดนอกจากพระองค์เท่านั้น และจงทำดีต่อบิดามารดา เมื่อผู้ใดในทั้งสองหรือทั้งสองบรรลุสู่วัยชราอยู่กับเจ้า ดังนั้นอย่ากล่าวแก่ทั้งสองว่า อุฟ และอย่าขู่เข็ญท่านทั้งสอง และจงพูดแก่ท่านทั้งสองด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน และจงนอบน้อมแก่ท่านทั้งสอง ซึ่งการถ่อมตนเนื่องจากความเมตตา และจงกล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของฉัน ทรงโปรดเมตตาแก่ท่านทั้งสองเช่นที่ท่านทั้งสองได้เลี้ยงดูฉันเมื่อเยาว์วัย” [อัลอิสรออ์: 23-24] ได้เรียกร้องให้บรรดาลูกๆ ให้การดูแลเอาใจใส่สิทธิของบิดามารดาใน 5 ระดับด้วยกัน และได้ชี้แจงถึงความสำคัญของการทำดีต่อท่านทั้งสองและความน่ารังเกียจของการทรยศต่อท่านทั้งสอง
ผู้เป็นบิดานั้นไม่อาจยอมให้ใครเกินหน้าเขาได้นอกจากลูกของเขาเอง เนื่องจากในคุณลักษณะตามธรรมชาติของผู้เป็นพ่อนั้นจะไม่มีความอิจฉาต่อลูกของตนเอง ดังนั้นลูกจึงไม่มีสิ่งใดมาปิดกั้นหนทางที่ลูกจะเรียกร้องสิทธิของตนเองจากผู้เป็นบิดา เพราะการเป็นปรปักษ์นั้นบางครั้งเกิดจากความอิจฉาและการแข่งขันระหว่างคนสองคน หรือเกิดจากการดูหมิ่นสิทธิ ซึ่งผู้เป็นบิดานั้นปลอดจากสาเหตุทั้งสองนี้โดยธรรมชาติ เนื่องจากสิ่งดังกล่าวนี้เอง ลูกจึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องร้องผู้เป็นบิดาของตนเอง แม้ว่าเขาจะเห็นความไม่ยุติธรรมออกมาจากบิดา เขาก็ไม่มีสิทธิที่จะฝ่าฝืนและอกตัญญูต่อท่าน และนั่นก็หมายความว่า ผู้ที่อกตัญญูและทำร้ายบิดามารดาของตนเองนั้น เขาไม่ใช่อื่นใดนอกจากเป็นสัตว์ร้ายในร่างมนุษย์