
การมองเห็นและพรรณาคุณลักษณะของอัลลอฮตาอาลา
การพรรณาคุณลักษณะของอัลลอฮตาอานั้นเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากในท่ามกลางเหล่าบรรดาผู้ยึดมั่นในแนวทางอัลอิสลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างแนวทางอัชชาอิเราะฮและแนวทางวาฮาบี ในสังคมมุสลิมในประเทศไทยทุกวันนี้ แนวทางอัชชาอิเราะฮมีหลักการที่ยืนหยัดว่ามนุษย์โดยทั่วไป ไม่สมควรที่จะตะวีล(บรรยายคุณลักษณะของอัลอฮตาอาลา)โดยเปรียบเทียบกับมัคโลกที่มีรูปพรรณเหมือนสิ่งใดๆในโลกนี้เป็นอันขาด แต่แนวทางวาฮาบีนั้นมีหลักการหรือตีความอายัตอัลกุรอ่านหรืออัลฮาดิษโดยตรง จนทำให้การบรรยายหรือพรรณนาหรือคำกล่าวของอัลลอฮตาอาลาที่มีอยู่ในอัลกุรอ่าน นั้น มีมือ ดวงตา เท้า ผม หรืออิริยาบถต่างๆของอัลลอฮนั้นคล้ายกับมัคโลกที่มีอยู่บนโลกนี้ นั่นคือมนุษย์ จนทำให้หลักอกิดะฮของพวกเขานั้นเป็นที่ครหาว่าเป็นอกิดะที่ผิดเพี้ยน จะจริงแท้หรือผิดเพี้ยนอย่างไรล้วนแล้วแต่ควรตั้งอยู่บนหลักการที่อ้างอิงมาจากหลักวิชาการ นั่นก็คือ อัลกุรอ่านและอัลฮาดิษ นำมาอ้างอิง
การพรรณนาคุณลักษณะ(รูปร่าง)ของผู้สร้างนั้นความจริงแล้วจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาจุดหรือบทสรุป ซึ่งเป็นการยากสำหรับเหล่านักปราชญ์หรือผู้ทรงความรู้ที่จะหาคำจำกัดความมาบรรยายให้เป็นที่เข้าใจได้ง่ายต่ออุมัตในทุกยุคทุกสมัย จนกระทั่งยุคปัจจุบัน(ซึ่งบางครั้งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาคำตอบให้กับตนเองหรือผู้อื่น แม้จนกระทั้งเด็กที่กำลังเจริญเติบโตและเริ่มที่จะใช้สติปัญญาหรือผู้คนทั่วไปที่อยากจะค้นหาสัจธรรมรวมอีกทั้งพี่น้องต่างศาสนิก)ซึ่งจำเป็นที่จะต้องหาคำตอบในตรรกะนั้น ความจริงแล้วผู้ที่จะให้คำตอบกับเราได้กระจ่างแจ้งต่อคำถามนั้นได้ดีที่สุดนั่นก็คือตัวของพระองค์ที่ตรัสเกี่ยวพระองค์เอง(อัลกุรอ่าน) รองลงมาก็คือคนที่พระองค์รัก(เหล่าบรรดานบีและรอซูลของพระองค์)
นบีมูซา
นบีมูซาคือหนึ่งในบุคคลที่มีความต้องการมากที่สุดที่จะรู้จักพระองค์และอยากจะเห็นและตระหนักด้วยสายตาเพื่อเพิ่มต่อการยาเก็นในอีหม่าน เมื่อครั้งที่ท่านได้หลบหนีการไล่ล่าของกษัตร์และฟาโรและปรากฏมั๊วยิซาตคือทำให้ทะเลแยก เมื่อรอดพ้นท่านก็ขอต่ออัลลอฮเพื่อบังเกิดคัมภีร์เตารอตเพื่อเป็นหนทางชี้นำให้แก่อุมมัตของท่าน แต่ก่อนที่พระองค์จะประทานคัมภีร์พระองค์ก็รับสั่งให้นบีมูซาถือศีลอดเป็นเวลาสี่สิบวัน และรับสั่งให้นบีมูซา อ.ฮให้มาที่ภูเขาซีนาย
7:143 ซูเราะฮอัล-อาอรอฟ
143. “และเมื่อมูซาได้มาตามกำหนดเวลาของเรา(*1*) และพระเจ้าของเขาได้ตรัสแก่เขา เขา(*2*)ได้กล่าวขึ้นว่า โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์ โปรดให้ข้าพระองค์เห็นด้วยเถิด โดยที่ข้าพระองค์จะได้มองดูพระองค์ พระองค์ตรัสว่า เจ้าจะเห็นข้าไม่ได้เป็นอันขาด แต่ทว่าเจ้าจงมองดูภูเขา(*3*)นั้นเถิด ถ้าหากมันมั่นอยู่ ณ ที่ของมัน เจ้าก็จะเห็นข้า ครั้นเมื่อพระเจ้าของเขาได้ประจักษ์ที่ภูเขานั้น ก็ทำให้มันทลายตัวลงอย่างราบเรียบ และมูซาก็ล้มลงในสภาพหมดสติ ครั้นเมื่อเขาฟื้นขึ้น เขาก็กล่าวว่ามหาบริสุทธิ์พระองค์ท่าน ข้าพระองค์ขอลุแก่โทษต่อพระองค์(*4*) และข้าพระองค์นั้นคือคนแรกในหมู่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย”
(1) หมายถึงอัลลอฮ์ โปรดทราบด้วยว่าอัลลอฮ์ทรงเปลี่ยนสรรพนามของพระองค์อยู่เป็นประจำ บางครั้งในอายะฮ์เดียวกันทรงใช้สรรพนามแทนพระองค์ด้วยสรรพนามบุรุษที่หนึ่งบ้าง และบุรุษที่สามบ้าง ดังอายะฮ์ที่ 143 นี้ ในสำนวนภาษาอาหรับนั้นถือว่าเป็นวิธีการที่แยบยลมาก เพราะทำให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังไม่รู้สึกเบื่อ
(2) หมายถึงนะบีมูซา
(3) คือภูเขาซินายที่ท่านนะบีมูซาได้รับคำสั่งจากอัลลอฮ์ให้ไปรับบัญญัติสิบประการ
(4) เนื่องจากการขอร้องในสิ่งอันเกินขอบเขตที่ท่านพึงกระทำ จากอายัตที่พระองค์ตรัสในอัลกุรอ่านแสดงให้เห็นว่าถึงแม้นว่านบีมูซาเป็นผู้ได้ใกล้ชิดกับพระองค์และอยากจะเห็นพระองค์ด้วยสายตา แต่ก็มิอาจได้รับอณุญาติจากพระองค์แม้แต่น้อย และเราก็มิอาจปฏิเสธได้ว่าท่านนบีมูซาก็มิเคยเห็นพระองค์และท่านก็ไม่สามารถบรรยายคุณลักษณะของพระองค์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลกได้แต่อย่างใด
นบีมูฮัมมัด
เมื่อเหตุการณ์ที่ท่านได้รับวะฮยูในครั้งแรกที่ถ้ำฮิรอฮ อัลลอฮตาอาลาได้ส่งตัวแทนของท่านคือญิบรีล มาหาท่าน
ท่านรอซูล ซ.ล ของเรานั้นได้รับวะฮยูโดยผ่านสื่อนั่นคือท่านญิบรีล และจนกระทั่งช่วงต่อมาท่านก็ได้รับวะฮยูโดยตรงโดยผ่านพระดำรัส(วาฮยูและฮาดิษกุษษี)ซึ่งเราก็ปฏิเสธมิใด้เช่นกันว่าท่านมิเคยเห็นอัลลอฮตาอาลาด้วยสายตา จนกระทั่งสามารถบรรยายว่าพระองค์มีคุณลักษณะเช่นไร ในเหตุการณ์อิสเราะเมี๊ยะรอตท่านรอซูลก็ได้รับเกรียติจากอัลลอฮตาอาลาบินขึ้นไปบนฟากฟ้า และพระองค์ทรงเปิดเผยให้ท่านเห็นการลงโทษในนรก และความเป็นอยู่บนสวรรค์ แต่มิใด้ปรากฏในหลักฐานใดๆว่าท่านเคยเห็นอัลลอฮตาอาลาด้วยสายตา
42:51 อัชชูรออ
51. และไม่เป็นการบังควรแก่มนุษย์คนใดที่จะให้อัลลอฮฺตรัสแก่เขาเว้นแต่โดยทางวะฮียฺ หรือโดยทางเบื้องหลังม่าน หรือโดยที่พระองค์จะส่งทูตมา แล้วเขา (มะลัก) ก็จะนำวะฮียฺมาตามที่พระองค์ทรงประสงค์โดยบัญชาของพระองค์ แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงสูงส่งผู้ทรงปรีชาญาณ (*1*)
(1) ในอายะฮฺนี้ อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงชี้แจงว่าพระองค์ตรัสแก่บ่าวของพระองค์ 3 วิธีด้วยกันคือ
1.การวะฮยูโดยทางดลใจหรือฝัน วิธี้นี้สำหรับบรรดานบี
2.เบื้องหลังม่าน วิธีนี้สำหรับนบีมูซาและนบีมูฮัมมัดโดยพระองค์ตรัสกับท่านในคืนอิสรอฮเมี๊ยรอต
3.โดยผ่านทางมะลัก(มาลาอีกัต)จากบรรทัดฐานของนบีทั้งสองท่านนั้นทำให้เราสามารถยาเก็นได้ว่าคุณลักษณะของพระองค์นั้นเป็นสิ่งที่ลี้ลับ และพระองค์ไม่ทรงอณุญาติให้ผู้ใดก็ตามที่เป็นมัคโลกนั้นจะมองเห็นหรือพรรณณาคุณลักษณะหรือรูปพรรณสัญฐานของพระองค์ได้เลยแม้แต่น้อย จึงไม่สมควรเป็นอย่างยิ่งที่แนวทางใดแนวทางหนึ่งจะมาบรรยายคุณลักษณะของพระองค์เหมือนกับมัคโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์(มีมือ มีตา มีแขน มีขา มีผม) วัลลอฮฮุอาคลัม
42:011 ซูเราะฮอัชชูรออ
11. พระองค์ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน พระองค์ทรงทำให้มีคู่ครองแก่พวกเจ้า จากตัวของพวกเจ้าเอง และจากปศุสัตว์ทรงให้มีคู่ผัวเมีย ด้วยเหตุนี้พระองค์ทรงแพร่พันธุ์พวกเจ้าให้มากมาย ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น(*1*)
(1) คือพระองค์เป็นผู้สร้างชั้นฟ้าและแผ่นดินโดยไม่มีแบบอย่างมาก่อนเลย และทรงทำให้พวกเจ้ามีคู่ครองคือเพศชายและเพศหญิง และปศุสัตว์ก็เช่นเดียวกัน พระองค์ทรงให้พวกเจ้ามีจำนวนมากมาย เพราะการสืบพันธุ์ หากพระองค์มิได้ทรงสร้างเพศชายและเพศหญิงแล้ว ก็จะไม่มีการแพร่พันธุ์และการเพิ่มจำนวนพลเมือง ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนอัลลอฮฺ เพราะพระองค์เป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นสิ่งที่ถูกสร้างก็จะไม่เสมอเหมือนพระองค์ในทุกรูปแบบพระองค์ทรงได้ยินทุกคำพูดของปวงบ่าว ทรงรอบรู้การงานและสภาพการณ์ของพวกเขา 6:103 ซูเราะฮอัล-อันอาม
103. สายตาทั้งหลายย่อมไม่ถึงพระองค์(*1*)แต่พระองค์ทรงถึงสายตาเหล่านั้น(*2*) และพระองค์ก็คือผู้ทีรงปรานี ผู้ทรงรอบรู้อย่างถี่ถ้วน
(1) คือไม่สามารถจะมองเห็นพระองค์ได้
(2) พระองค์ทรงเห็นพวกเขาและสายตาของพวกเขา จากหลักฐานที่มีอยู่ในอัลกุรอ่านพระองค์ทรงตรัสเกี่ยวกับพระองค์เองได้อย่างชัดเจน แต่ผู้เขียนอยากจะสรุปเพื่อให้ง่ายแก่การเข้าใจ คือ
“อัลลอฮตาอาลานั้นทรงมี(รูปธรรม)แต่รูปร่างของพระองค์ไม่เหมือนกับมัคโลกในดุนยา และไม่มีผู้ใดที่จะล่วงรู้ถึงรูปร่างลักษณะของพระองค์เว้นแต่ตัวของพระองค์เอง” วัลลอฮฮุอาคลาม