ผู้เขียน หัวข้อ: ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮ์  (อ่าน 17835 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮ์
« เมื่อ: มี.ค. 25, 2011, 07:30 AM »
+3

กรุณาอ่านตั้งแต่หน้าที่1 ทุกๆหัวข้อเลย เรื่อยไปจนถึงหน้าสุดท้ายเลย เพื่อจะได้เกิดความเข้าใจ

เริ่มก้าวจาก 4 เมษายน พ.ศ. 2554 มุ่งสู่ 1 รอมาฎอน ฮ.ศ.1432

        [วันจันทร์ที่ 4เมษายน พ.ศ.2554 ตรงกับวันที่ 29 รอบีอุซซานีฮ.ศ.1432 ดังนั้น หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ.2554 จึงต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ญุมาดุ้ลเอาวัลฮ.ศ.1432

        กทม.
            - ดวงอาทิตย์ตก 18.29.15 วินาที
            - ดวงจันทร์ตก 19.03.14วินาที
            * มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 33 นาที 58 วินาที จะดูด้วยตาเปล่าหรือกล้องก็ได้

        ชลบุรี
            - ดวงอาทิตย์ตก 18.28.19วินาที
            - ดวงจันทร์ตก 19.01.44 วินาที
            * มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 33 นาที 26 วินาที จะดูด้วยตาเปล่าหรือกล้องก็ได้

        ยะลา
            - ดวงอาทิตย์ตก 18.23.53วินาที
            - ดวงจันทร์ตก 18.53.25วินาที
            * มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 29นาที33วินาที ต้องดูด้วยกล้องเท่านั้น

        หาดใหญ่
            - ดวงอาทิตย์ตก 18.27.38วินาที
            - ดวงจันทร์ตก 18.57.31วินาที
            * มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 29นาที53วินาที ต้องดูด้วยกล้องเท่านั้น

        กาญจนบุรี
            - ดวงอาทิตย์ตก 18.34.05วินาที
            - ดวงจันทร์ตก 19.08.22วินาที
            * มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 34นาที17วินาที จะดูด้วยตาเปล่าหรือกล้องก็ได้

        ปัตตานี
            - ดวงอาทิตย์ตก 18.24.10วินาที
            - ดวงจันทร์ตก 18.53.46วินาที
            * มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 29นาที36วินาที ต้องดูด้วยกล้องเท่านั้น

        อุบลราชธานี
            - ดวงอาทิตย์ตก 18.13.18วินาที
            - ดวงจันทร์ตก 18.47.37วินาที
            * มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว34นาที19วินาที จะดูด้วยตาเปล่าหรือกล้องก็ได้


การดูดวงจันทร์เพื่ออกำหนดวันที่ 1 ของเดือนทุกๆ เดือนนั้น

        ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้

(( صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، فَإِنْ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا ))
رواه البخاري (1810) ومسلم (1080)

        “ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน) รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080)

        ตามฮาดีษดังกล่าว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน ซึ่งเป็นวันที่ต้องดูดวงจันทร์นั้น ถึงแม้มีดวงจันทร์อยู่แต่มีเมฆบังทำให้ไม่สามารถจะเห็นดวงจันทร์ได้ ท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ใช้ให้นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเสียก่อน จึงจะไปเริ่มวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกลเห็นดวงจันทร์ให้ถือตามประเทศนั้น

        นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้


عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى.


        ความว่า "จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์ ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ)" (รายงานโดยมุสลิม)

        ** ทั้งนี้ การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่หนึ่งของเดือนอื่นๆ ก็ใช้หลักการเช่นเดียวกันนี้ **

        สรุปว่า วันจันทร์ที่ 4 เมษายน 2554 พี่น้องที่อยู่ทางภาคเหนือ,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ภาคกลาง,ภาคตะวันตก ถ้าท้องฟ้าเปิด (ไม่มีเมฆบดบัง,ฝนไม่มาฟ้าไม่มืด) สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ไม่ว่าจะดูด้วยตาเปล่าหรือดูด้วยกล้อง กรณีศึกษาคำนวนที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก (ทำไมต้องคำนวนที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกเพราะ ณ บริเวณนั้นมีสถานที่หนึ่งที่สร้างไว้เพื่อการสังเกตจันทร์เสี้ยวหรือจะดูดวงดาวอื่นๆ ก็ได้ ซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิและที่สำคัญกว่านั้นคือมีผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งมีความรู้, ความเข้าใจในหลักดาราศาสตร์อิสลามมากๆๆๆ ระดับประเทศ ร่วมเดินทางไปสังเกตจันทร์เสี้ยวในทุกๆเดือนเพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือนอิสลามด้วย) ความสูงของดวงจันทร์ +4 องศา (อยู่เหนือขอบฟ้า 4 องศา) 21 ลิปดา 01 ฟิลิปดา ดวงจันทร์อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่ 282 องศา 48 ลิปดา 03 ฟิลิปดา ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลก 405168.38 กิโลเมตร

        ส่วนพี่น้องทางจังหวัดตราด, จันทบุรี, และพี่น้องที่อยู่ทางจังหวัดประจวบขีรีขันธ์ลงไปทางใต้ทุกจังหวัด ถึงจังหวัดยะลา,นาราธิวาส ดูจันทร์เสี้ยวต้องใช้กล้องดูเท่านั้น

        ดังนั้น ถ้าวันดังกล่าวมีพี่น้องเห็นจันทร์เสี้ยว วันที่ 1 ญุมาดุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1432 ตรงกับวันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ.2554 แต่ถ้าวันดังกล่าวไม่มีผู้เห็นจันทร์เสี้ยว วันที่1ญุมาดุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1432 จะตรงกับวันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ.2554 พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า



        ”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่ 7-8

        รู้แล้วบอกต่อ ศาสนาจะไม่สะดุดหยุดลง เท่ากับสร้างความดีงามให้กับชีวิตและสังคม ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 16, 2015, 08:00 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
بسم الله الرحمن الرحيم (ฟะละกียะห์)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: เม.ย. 01, 2011, 04:25 PM »
+1
การเกิดแผ่นดินไหว น้ำท่วม อากาศแปรปรวน สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นสัญญาณบอกถึงความยิ่งใหญ่,ความเกรียงไกร,เดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า

         ถ้าหากว่า เราจะมองกันให้ดีๆแล้ว แผ่นดินไหวนั้นเกิดมาจากแผ่นดินไม่แน่น, มีรอยแยกรอยเลื่อน   ถ้าจะเปรียบกับคนก็อยู่ในช่วงวัยชรามากแล้ว สาเหตุที่แผ่นดินไม่แน่นเพราะ 

         1.) แผ่นดินนั้นถูกสร้างมา ย่อมมีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา
         2.) มนุษย์ชาติใช้ชีวิตกันอย่างอิสระเสรี ซึ่งบางทีก็อาจจะเข้าไปทำบางสิ่งบางอย่างที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงห้ามเอาไว้ เมื่อการทำผิดได้แผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงเตือนมนุษย์ชาติโดยให้เกิดเหตุการอะไรบางอย่าง เผื่อว่ามนุษยชาติจะได้ฉุกคิดกันได้ว่าอำนาจแห่งพระผู้เป็นเจ้านั้น  ทรงอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง และเพื่อให้เกิดการสำนึกผิด กลับเนื้อกลับตัวทำความดีต่อพระองค์

         ดังนั้น ไม่ว่าใครจะทำอะไร (ทำในสิ่งที่ดีหรือทำในสิ่งต้องห้าม) ล้วนแล้วแต่อยู่ในความรอบรู้ของพระองค์ทั้งสิ้น และเพื่อเป็นการบอกให้รู้ว่าการเกิดวันสิ้นโลกนั้นรุนแรงยิ่งกว่าเหตุการณ์ร้ายๆที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้หลายเท่านัก ตอนนี้ภัยที่ยอดฮิตก็คือภัยแผ่นดินไหว เกิดขึ้นเกือบทุกวันรุนแรงบ้าง ไม่รุนแรงบ้างก็เป็นไปตามกำหนดการ,อำนาจและความรู้รอบของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น ถ้าหากว่ามนุษยชาติทำลายภูเขามากขึ้น หรือว่าภูเขาไฟระเบิดมากขึ้น รอยแยกรอยเลื่อนของพื้นแผ่นดิน คงจะมีมากขึ้นกว่าเดิม แผ่นดินไหวคงเกิดถี่กว่านี้และรุนแรงมากกว่านี้

         ส่วนกลาง หรือใจกลางของพื้นแผ่นดินทั้งหมดในโลกใบนี้นั้นก็คือวิหาร "กะบะห์" เมื่อแผ่นดินทั้ง 7 ชั้นได้ปูบนพื้นน้ำเสร็จเรียบร้อย  พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงมีพระบัญชาใช้ให้ท่านยิบรีลได้สำรวจตรวจตราผืนแผ่นดิน  เมื่อท่านยิบรีลและเหล่าบรรดามะลาอีกะห์ออกสำรวจตรวจตราพื้นแผ่นดิน  ผลปรากฏว่าไปสำรวจทางด้านทิศตะวันออกตลอดจนถึงทิศตะวันตก  แผ่นดินเกิดการสั่นไหวและเคลื่อนตัว,สั่นคลอนอยู่ตลอดเวลา  เพราะเราอย่าลืมว่าแผ่นดินนั้นพระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างไว้ให้อยู่บนพื้นน้ำ (สมัยก่อนมุสลิมเราผูกพันอยู่กับเรืออยู่กับลำคลอง

         พี่น้องลองขึ้นไปบนเรือลำเล็กๆดูซิแล้วก็เดินตั้งแต่หัวเรือถึงท้ายเรือดูซิ  พี่น้องจะพบว่าเรือมันโคลงเคลงจริงๆ ลักษณะแบบนี้เป็นลักษณะเดียวกันกับตอนที่ท่านยิบรีลและบรรดามะลาอิกะห์เดินสำรวจแผ่นดินตามพระบรรชาใช้ของพระผู้เป็นเจ้า

         สรุปก็คือ ท่านยิบรีลและบรรดามะลาอิกะห์เดินสำรวจแผ่นดินทางด้านทิศตะวันออกน้ำก็หนุนทางด้านทิศตะวันตกให้สูงขึ้น แผ่นดินเกิดการสั่นไหว,โคลงเคลงอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะสำรวจด้านใหนอีกด้านก็สูงขึ้นและสั่นไหวโคลงเคลงอยู่ตลอดเวลา

         ดังนั้น เมื่อท่านยิบรีลและบรรดามะลาอิกะห์เดินสำรวจแผ่นดินตามพระบัญชาใช้ของพระผู้เป็นเจ้า  ผลก็คือท่านยิบรีลและบรรดามะลาอิกะห์  ไม่มีความสามารถที่จะทำให้แผ่นดินหยุดการสั่นไหวและโคลงเคลงได้ และไม่รู้ด้วยว่าจะแก้ไขปัญหานี้ให้ลุล่วงได้อย่างไร  จึงได้นำเรื่องราวดังกล่าวทั้งหมดนี้เข้าเฝ้าทูลต่อพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าทรงแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยสร้างบรรดาภูเขาให้เป็นสลักยึดแผ่นดินเอาไว้ ไม่ให้เกิดการสั่นไหวและโคลงเคลง แผ่นดินทั้ง 7 ชั้นจึงแน่นไม่สั่นไหวโคลงเคลงอีกต่อไป  เหมือนประหนึ่งว่าภูเขาเป็นพานหนักใบใหญ่ที่รองรับแผ่นดินเอาไว้ (สมัยนี้อาจจะหาพานยากสักหน่อย)

         พี่น้องลองหากะละมังใบใหญ่สัก 1 ใบใส่น้ำให้เต็ม  นี่แหละเหมือนที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างพื้นน้ำ แล้วพี่น้องลองวางฟองน้ำหรือไม่กระดานเล็กๆสักแผ่นลงไปบนน้ำนั้น ลองเอามือกดไม้กระดานดู  พี่น้องจะพบว่าไม้กระดานจะกระดกและจมน้ำบ้าง,สั่นไหว,โคลงเคลงอยู่ตลอดเวลา  นี่แหละเหมือนที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างพื้นแผ่นดิน

         พี่น้องลองวางพานใบใหญ่ลงในกะละมังที่ใส่น้ำนั้น แล้วนำไม้กระดานแผ่นเล็กเมื่อกี๊  วางลงบนพาน  ลองใช้นิ้วมือกดไม้กระดานดู พี่น้องจะพบว่าไม้กระดานแผ่นเล็กนั้นจะไม่กระดก, ไม่โคลงเคลงและสั่นไหวอีกต่อไปแล้ว นี่แหละเหมือนที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างภูเขาเพื่อยึดแผ่นดินเอาไว้ไม่ให้สั่นไหวและโคลงเคลง     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า


بسم الله الرحمن الرحيم


         "เรามิได้บรรดาลให้แผ่นดินเป็นพื้นราบดอกหรือ ? และเรามิได้(บรรดาล)บรรดาภูเขาให้เป็นหลักตรึง(ดอกหรือ)?" (ซูเราะห์อัลนาบา อายะห์ที่ 6-7)

         จากอายะห์กุรอ่านดังกล่าวมานั้นชี้ให้เห็นถึงเดชานุภาพ, อำนาจและความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า ที่ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเทียมพระองค์ได้ พื้นแผ่นดินมีคุณประโยชน์ต่อมนุษยชาติมากมาย ต้นข้าวสารพัด,ผลหมากรากไม้,แร่ธาตุต่างๆอาคารบ้านเรือนฯลฯ  สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เจริญงอกงาม และตั้งตระหง่านอยู่บนผืนแผ่นดินของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น

         พี่น้องครับ 2 อายะห์ที่กล่าวมานั้นเป็นประโยคในเชิงคำถาม คำถามลักษณะแบบนี้เรียกว่า(อิสติฟฮามลิตตักรีร) อายะห์ที่ 6 ตามหลักวิชานาฮู เรียกว่า คำกริยานี้มีกรรมถึง 2 ตัว 

         ตัวที่ 1 คือคำว่า "แผ่นดิน"
         ตัวที่ 2 คือคำว่า "พื้นราบ"

         คำกริยาคำนี้มีความหมายว่า "ลิตตัชยีร"  ดังนั้น คำตอบที่ได้รับ  จึงเป็นการรับรองและยืนยันความถูกต้องได้เลยว่า  ใช่   พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างพื้นแผ่นดินขึ้นมาทรงทำให้พื้นแผ่นดินเป็นเหมือนดั่งพื้นราบ   เราก็เห็นๆกันอยู่    และก็ใช่อีกเช่นกัน พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างบรรดาภูเขาขึ้นมาให้เป็นเหมือนดั่งหมุด, ตะปู, หลักตรึงยึดผืนแผ่นดินเอาไว้ (ไม่ให้สั่นไหวและสั่นคลอน)  เราก็เห็นๆ กันอยู่ (ตะปูยึดพื้นกระดาน,ยึดฝาบ้าน,ยึดส่วนต่างๆของบ้านให้มั่นคง,ไม่ให้สั่นไหวฉันใด บรรดาภูเขาที่กระจายอยู่ตามผืนแผ่นดินทั่วทุกมุมโลก ก็ยึดผืนแผ่นดินทั่วไปให้มั่นคง,ไม่ให้สั่นไหวฉันนั้น  ดังนั้นถ้าตะปูผุกร่อนลงหรือถูกถอนออกไป ย่อมทำให้พื้นไม้บริเวณนั้น สั่นคลอนและเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน)

         แหละ 2 อายะห์ที่กล่าวมานั้นตามหลักบาลาเฆาะห์เรียกว่า "ตัชบีฮุ้ลบะลีฆ"    พี่น้องครับตัวผมเองเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าถ้าหากว่าเราทำดี,ทำตามสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้ เราต้องผ่านและห่างไกลจากเหตุการณ์ร้ายๆที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้อย่างแน่นอน หรือถ้าพระองค์ทรงทดสอบเราให้พบกับเหตุการณ์บางเหตุการณ์บ้าง  ก็ให้เราใช้ความอดทน  อดทนเพื่อไปรับสิ่งที่ดีงามในภายภาคหน้า

         พี่น้องครับอย่าทิ้งและละเลยการละหมาดทั้ง 5 เวลา เพราะการละหมาดเป็นอิบาดะห์ที่สำคัญมากๆๆๆและเป็นอิบาดะห์ชนิดเดียวที่รอซูลุ้ลลอห์ (ซ.ล.) ได้ขึ้นไปรับพระบัญชาใช้กับพระผู้เป็นเจ้าบนฟากฟ้าในค่ำคืนเมี๊ยะราจด้วยตัวของท่านเอง


         วันนี้วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554  เวลาละหมาดในเขต กทม.
          - ซุบฮิเวลา 4.54.16 วินาที
          - ซุรูก เวลา 6.13.48 วินาที
          - ดุฮ์ริ เวลา 12.21.23วินาที
          - อัสริ เวลา 15.38.08วินาที
          - มัฆริบเวลา 18.29.10 วินาที
          - อีซา เวลา19.40.25 วินาที
          - ดวงจันทร์ขึ้น เวลา4.28.35 วินาที
          - ดวงจันทร์ตก เวลา 16.44.50 วินาที
          - ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลก 406315.7 กิโลเมตร
     รู้แล้วบอกต่อผลบุล, ความดีงาม, ความเจริญรุ่งเรืองจะมาสู่ท่านและสังคมสืบต่อไป ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 24, 2014, 10:23 PM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
Re: อ.อะลี กับ อ.อาีรีฟีน จะขึ้นเวที
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: เม.ย. 01, 2011, 04:40 PM »
0
ไปบ้านคนอื่น แล้วทำเรื่องให้เขาโมโห เขาเตือนมาไม่รู้กี่ครั้งยังดื้อไม่เลิก สุดท้ายก็ต้องโดนของดีเข้าให้ แต่ก็ไม่รู้จะสำนึกหรือเปล่า ดุนยานี้ก็คือของอัลลอฮฺที่ทรงให้เราอาศัยอยู่ แต่แทนที่จะทำให้ผู้เป็นเจ้าของได้พอใจ แต่เรากลับทำเรื่องที่น่าโมโหซะนี่ เหอๆ มนุษย์เอ๋ย โดนแล้วโดนอีก ไม่รู้จักเข็ดเลย - วัลลอฮุอะอ์ลัม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ amad 254

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 176
  • Respect: +48
    • ดูรายละเอียด
Re: อ.อะลี กับ อ.อาีรีฟีน จะขึ้นเวที
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: เม.ย. 01, 2011, 05:04 PM »
0
  การเกิดแผ่นดินไหว น้ำท่วม อากาศแปรปรวน สิ่งต่างๆเหล่านี้ เป็นสัญญาณบอกถึงความยิ่งใหญ่,ความเกรียงไกร,เดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า  ถ้าหากว่าเราจะมองกันให้ดีๆแล้ว แผ่นดินไหวนั้นเกิดมาจากแผ่นดินไม่แน่น,มีรอยแยกรอยเลื่อน   ถ้าจะเปรียบกับคนก็อยู่ในช่วงวัยชรามากแล้ว สาเหตุที่แผ่นดินไม่แน่นเพราะ  1แผ่นดินนั้นถูกสร้างมา ย่อมมีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา2.มนุษย์ชาติใช้ชีวิตกันอย่างอิสระเสรี ซึ่งบางทีก็อาจจะเข้าไปทำบางสิ่งบางอย่างที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงห้ามเอาไว้ เมื่อการทำผิดได้แผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงเตือนมนุษย์ชาติโดยให้เกิดเหตุการอะไรบางอย่าง เผื่อว่ามนุษยชาติจะได้ฉุกคิดกันได้ว่าอำนาจแห่งพระผู้เป็นเจ้านั้น  ทรงอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง และเพื่อให้เกิดการสำนึกผิด กลับเนื้อกลับตัวทำความดีต่อพระองค์ ดังนั้นไม่ว่าใครจะทำอะไร(ทำในสิ่งที่ดีหรือทำในสิ่งต้องห้าม)ล้วนแล้วแต่อยู่ในความรอบรู้ของพระองค์ทั้งสิ้น และเพื่อเป็นการบอกให้รู้ว่าการเกิดวันสิ้นโลกนั้นรุนแรงยิ่งกว่าเหตุการณ์ร้ายๆที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้หลายเท่านัก ตอนนี้ภัยที่ยอดฮิตก็คือภัยแผ่นดินไหว เกิดขึ้นเกือบทุกวันรุนแรงบ้าง ไม่รุนแรงบ้างก็เป็นไปตามกำหนดการ,อำนาจและความรู้รอบของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น ถ้าหากว่ามนุษยชาติทำลายภูเขามากขึ้น หรือว่าภูเขาไฟระเบิดมากขึ้น รอยแยกรอยเลื่อนของพื้นแผ่นดิน คงจะมีมากขึ้นกว่าเดิม แผ่นดินไหวคงเกิดถี่กว่านี้และรุนแรงมากกว่านี้      ส่วนกลางหรือใจกลางของพื้นแผ่นดินทั้งหมดในโลกใบนี้นั้นก็คือวิหารกะบะห์   เมื่อแผ่นดินทั้ง7ชั้นได้ปูบนพื้นน้ำเสร็จเรียบร้อย  พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงมีพระบัญชาใช้ให้ท่านยิบรีลได้สำรวจตรวจตราผืนแผ่นดิน  เมื่อท่านยิบรีลและเหล่าบรรดามะลาอีกะห์ออกสำรวจตรวจตราพื้นแผ่นดิน  ผลปรากฏว่าไปสำรวจทางด้านทิศตะวันออกตลอดจนถึงทิศตะวันตก  แผ่นดินเกิดการสั่นไหวและเคลื่อนตัว,สั่นคลอนอยู่ตลอดเวลา  เพราะเราอย่าลืมว่าแผ่นดินนั้นพระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างไว้ให้อยู่บนพื้นน้ำ(สมัยก่อนมุสลิมเราผูกพันอยู่กับเรืออยู่กับลำคลอง พี่น้องลองขึ้นไปบนเรือลำเล็กๆดูซิแล้วก็เดินตั้งแต่หัวเรือถึงท้ายเรือดูซิ  พี่น้องจะพบว่าเรือมันโคลงเคลงจริงๆ ลักษณะแบบนี้เป็นลักษณะเดียวกันกับตอนที่ท่านยิบรีลและบรรดามะลาอิกะห์เดินสำรวจแผ่นดินตามพระบรรชาใช้ของพระผู้เป็นเจ้า  สรุปก็คือท่านยิบรีลและบรรดามะลาอิกะห์เดินสำรวจแผ่นดินทางด้านทิศตะวันออกน้ำก็หนุนทางด้านทิศตะวันตกให้สูงขึ้น แผ่นดินเกิดการสั่นไหว,โคลงเคลงอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะสำรวจด้านใหนอีกด้านก็สูงขึ้นและสั่นไหวโคลงเคลงอยู่ตลอดเวลา  ดังนั้นเมื่อท่านยิบรีลและบรรดามะลาอิกะห์เดินสำรวจแผ่นดินตามพระบรรชาใช้ของพระผู้เป็นเจ้า  ผลก็คือท่านยิบรีลและบรรดามะลาอิกะห์  ไม่มีความสามารถที่จะทำให้แผ่นดินหยุดการสั่นไหวและโคลงเคลงได้ และไม่รู้ด้วยว่าจะแก้ไขปัญหานี้ให้ลุล่วงได้อย่างไร  จึงได้นำเรื่องราวดังกล่าวทั้งหมดนี้เข้าเฝ้าทูลต่อพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าทรงแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยสร้างบรรดาภูเขาให้เป็นสลักยึดแผ่นดินเอาไว้ ไม่ให้เกิดการสั่นไหวและโคลงเคลง แผ่นดินทั้ง7ชั้นจึงแน่นไม่สั่นไหวโคลงเคลงอีกต่อไป  เหมือนประหนึ่งว่าภูเขาเป็นพานหนักใบใหญ่ที่รองรับแผ่นดินเอาไว้(สมัยนี้อาจจะหาพานยากสักหน่อย)   พี่น้องลองหากะละมังใบใหญ่สัก1ใบใส่น้ำให้เต็ม  นี่แหละเหมือนที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างพื้นน้ำ แล้วพี่น้องลองวางฟองน้ำหรือไม่กระดานเล็กๆสักแผ่นลงไปบนน้ำนั้น ลองเอามือกดไม้กระดานดู  พี่น้องจะพบว่าไม่กระดานจะกระดกและจมน้ำบ้าง,สั่นไหว,โคลงเคลงอยู่ตลอดเวลา  นี่แหละเหมือนที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างพื้นแผ่นดิน   พี่น้องลองวางพานใบใหญ่ลงในกะละมังที่ใส่น้ำนั้น แล้วนำไม้กระดานแผ่นเล็กเมื่อกี๊  วางลงบนพาน  ลองใช้นิ้วมือกดไม้กระดานดู พี่น้องจะพบว่าไม้กระดานแผ่นเล็กนั้นจะไม่กระดก,ไม่โคลงเคลงและสั่นไหวอีกต่อไปแล้ว นี่แหละเหมือนที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างภูเขาเพื่อยึดแผ่นดินเอาไว้ไม่ให้สั่นไหวและโคลงเคลง     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
بسم الله الرحمن الرحيم
 เรามิได้บรรดาลให้แผ่นดินเป็นพื้นราบดอกหรือ ?
 และเรามิได้(บรรดาล)บรรดาภูเขาให้เป็นหลักตรึง(ดอกหรือ) ?
ซูเราะห์อัลนาบา อายะห์ที่6-7
  จากอายะห์กุรอ่านดังกล่าวมานั้นชี้ให้เห็นถึงเดชานุภาพ,อำนาจและความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า ที่ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเทียมพระองค์ได้ พื้นแผ่นดินมีคุณประโยชน์ต่อมนุษยชาติมากมาย ต้นข้าวสารพัด,ผลหมากรากไม้,แร่ธาตุต่างๆอาคารบ้านเรือนฯลฯ  สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เจริญงอกงาม และตั้งตระหง่านอยู่บนผืนแผ่นดินของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น พี่น้องครับ 2 อายะห์ที่กล่าวมานั้นเป็นประโยคในเชิงคำถาม คำถามลักษณะแบบนี้เรียกว่า(อิสติฟฮามลิตตักรีร) อายะห์ที่ 6 ตามหลักวิชานาฮู เรียกว่า คำกริยานี้มีกรรมถึง2ตัว  ตัวที่1คือคำว่าแผ่นดิน ตัวที่2คือคำว่าพื้นราบ คำกริยาคำนี้มีความหมายว่าลิตตัชยีร  ดังนั้นคำตอบที่ได้รับ  จึงเป็นการรับรองและยืนยันความถูกต้องได้เลยว่า  ใช่   พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างพื้นแผ่นดินขึ้นมาทรงทำให้พื้นแผ่นดินเป็นเหมือนดั่งพื้นราบ   เราก็เห็นๆกันอยู่    และก็ใช่อีกเช่นกัน พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างบรรดาภูเขาขึ้นมาให้เป็นเหมือนดั่งหมุด,ตะปู,หลักตรึงยึดผืนแผ่นดินเอาไว้(ไม่ให้สั่นไหวและสั่นคลอน)  เราก็เห็นๆกันอยู่ (ตะปูยึดพื้นกระดาน,ยึดฝาบ้าน,ยึดส่วนต่างๆของบ้านให้มั่นคง,ไม่ให้สั่นไหวฉันใด บรรดาภูเขาที่กระจายอยู่ตามผืนแผ่นดินทั่วทุกมุมโลก ก็ยึดผืนแผ่นดินทั่วไปให้มั่นคง,ไม่ให้สั่นไหวฉันนั้น  ดังนั้นถ้าตะปูผุกร่อนลงหรือถูกถอนออกไป ย่อมทำให้พื้นไม้บริเวณนั้น สั่นคลอนและเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน)   แหละ2อายะห์ที่กล่าวมานั้นตามหลักบาลาเฆาะห์เรียกว่าตัชบีฮุ้ลบะลีฆ    พี่น้องครับตัวผมเองเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าถ้าหากว่าเราทำดี,ทำตามสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้ เราต้องผ่านและห่างไกลจากเหตุการณ์ร้ายๆที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้อย่างแน่นอน หรือถ้าพระองค์ทรงทดสอบเราให้พบกับเหตุการณ์บางเหตุการณ์บ้าง  ก็ให้เราใช้ความอดทน  อดทนเพื่อไปรับสิ่งที่ดีงามในภายภาคหน้า   พี่น้องครับอย่าทิ้งและละเลยการละหมาดทั้ง 5 เวลา เพราะการละหมาดเป็นอิบาดะห์ที่สำคัญมากๆๆๆและเป็นอิบาดะห์ชนิดเดียวที่รอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้ขึ้นไปรับพระบัญชาใช้กับพระผู้เป็นเจ้าบนฟากฟ้าในค่ำคืนเมี๊ยะราจด้วยตัวของท่านเอง วันนี้วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554  เวลาละหมาดในเขตกทม. ซุบฮิเวลา 4.54.16 วินาที ซุรูก เวลา 6.13.48 วินาที ดุฮ์ริ เวลา 12.21.23วินาที อัสริ เวลา 15.38.08วินาที มัฆริบเวลา 18.29.10 วินาที อีซา เวลา19.40.25 วินาที ดวงจันทร์ขึ้น เวลา4.28.35 วินาที ดวงจันทร์ตก เวลา 16.44.50 วินาที ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลก 406315.7 กิโลเมตร เวลาละหมาดของกำปงลาดบัวขาวของเรา ซุบฮิเวลา 4.54.03 วินาที ซุรูกเวลา 6.13.35 วินาที ดุฮ์ริ เวลา 12.21.11วินาที อัสริ เวลา 15.38.00 วินาที มัฆริบ เวลา 18.28.59 วินาที อีซา เวลา19.40.15 วินาที ดวงจันทร์ขึ้น เวลา4.28.24 วินาที ดวงจันทร์ตก เวลา 16.44.38 วินาที ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลก 406315.6 กิโลเมตร   รู้แล้วบอกต่อผลบุล,ความดีงาม,ความเจริญรุ่งเรืองจะมาสู่ท่านและสังคมสืบต่อไป ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้ามคือหน้าที่ของผู้ศรัทธา



อ้สลามุอลัยกุม ไม่รู้จะกล่าวอะไร นอกจาก สิ่งนี้    myGreat: myGreat:               ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ جزاكالله خيرا วัสลาม

(แต่ถ้าเว้นวรรคสักหน่อย คงจะดีกว่านี้อีกนะครับ )
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 01, 2011, 08:10 PM โดย amadkrd254 »

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ.2554
ตรงกับวันที่ 28 รอบิอุลอาเคร ฮ.ศ. 1432


       ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวในวันที่ 29 ของเดือนอิสลาม   พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า


       “จงประกาศเถิด หากพวกเจ้าปิดบังสิ่งที่มีอยู่ในหัวใจของพวกเจ้าหรือเปิดเผยมัน  พระองค์อัลเลาะห์ (ซ.บ.) ก็ทรงทราบ” ซูเราะห์อาลิอิมรอน อายะห์ที่ 29

       ทุกคนต่างก็มีหน้าที่  ที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งหน้าที่ดังกล่าวต้องถูกสอบสวนอย่างแน่นอน   การดูจันทร์เสี้ยวตามที่ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้ปูเป็นแนวทางเอาไว้   ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้

 
صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِه،  ،ْوَأَفْطِرُوْالِرُؤْيَتِهِ  فَإِن غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه
البخاري (1810) ومسلم  (1080)
       

       “ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)  รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080)

       ตามฮาดีษดังกล่าว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน ซึ่งเป็นวันที่ต้องดูดวงจันทร์นั้น ถึงแม้มีดวงจันทร์อยู่แต่มีเมฆบังทำให้ไม่สามารถจะเห็นดวงจันทร์ได้ ท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ใช้ให้นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเสียก่อน จึงจะไปเริ่มวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน  ทั้งนี้ การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่หนึ่งของเดือนอื่นๆ ก็ใช้หลักการเช่นเดียวกันนี้

       การคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ.2554 หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบทั่วทุกมุมโลก  จะไม่มีประเทศใดเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  ยกเว้นทางตอนใต้ของประเทศอะแลสกา และทางตะวันตกเฉียงเหนือของอมเริกา และทางแคนนาดาจะเห็นมากกว่าเพื่อน  ทางตอนกลางถึงตอนใต้ฝั่งตะวันตก(ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นต้องใช้กล้องดู  พร้อมทั้งท้องฟ้าต้องเปิดด้วยจึงจะสามารถเห็นได้)

       สำหรับประเทศไทยเรา  จันทร์ดับ (จันทร์เดือนใหม่) จะเกิดขึ้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายนพ.ศ. 2554 ด้วยซ้ำ จันทร์ดับเกิดขึ้นในเวลา  21.32.20 วินาที

       ดังนั้น คำนวนตามชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก  วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2554
        - ดวงอาทิตย์ตกเวลา18.28.15 วินาที
        - ดวงจันทร์ขึ้นเวลา 5.39.48 วินาที
        - ดวงจันทร์ตกเวลา 18.14.54 วินาที   

       สรุปว่า วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2554  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 13 นาที 21 วินาที  ไม่ว่าจะดูอย่างไร  ดูด้วยวิธีใหน  ก็จะไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้อย่างแน่นอน   ทั่วทั้งประเทศไทยถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว  บอกได้เลยว่าสิ่งที่เห็นนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยว  ถ้าผู้รู้ไม่บอก ก็จะกลายเป็นคนไม่รู้ไป

       สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ สังคมก็จะเป็นสังคมที่ไม่รู้ และเป็นสังคมที่  ไม่ได้รับความพึงพอพระทัยจากพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย แต่ถ้าผู้รู้ได้บอกต่อ ถ้าไม่ใช่ลูกศิษย์ลูกหากันจริงๆ  ก็อาจจะถูกมองว่ารี่ยะตะกับบุรได้   รู้แล้วบอกต่อภาคผลบุญความเจริญรุ่งเรือง จะหลั่งไหลมาสู่ท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 05, 2011, 08:20 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
       ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระผู้เป็นเจ้าได้สร้างมานั้น  ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่  ไม่มีผู้ใดสามารถสร้าง  หรือประดิษย์ขึ้นมาได้

       ยกตัวอย่างเช่น  ตะเกียงใบใหญ่  ที่ให้แสงสว่างแก่มนุษยชาติ  ส่องสว่างแก่พืชผัก  ผลไม้  ไม่ใช่พึ่งจะส่อง  แต่ส่องสว่างมานานแล้ว  สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนชี้ให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่  เดชานุภาพ  และความสามารถของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น  ที่สำคัญตะเกียงใบใหญ่ใบนี้  ยังประโยชน์นานับประการ  ให้แก่มนุษยชาติตั้งแต่สมัยอดีตกาล  และจะคงยังประโยชน์ต่อไป  จวบจนถึงวันกิยามะห์

       ตะเกียงใบนี้ไม่เคยที่จะดับเลย  เชื้อเพลิงของตะเกียง  ก็ไม่เคยแม้กระทั่งที่จะหมดลง  ตะเกียงที่บอกมาทั้งหมดนี้  ก็คือดวงอาทิตย์นั่นเอง  ความใหญ่ของดวงอาทิตย์ ถ้าจะเทียบกับโลกของเรา ใหญ่กว่าโลกของเราถึง100เท่า ถ้าจะเทียบกับดวงจันทร์ ใหญ่กว่าดวงจันทร์ถึง 400 เท่าเลยทีเดียว อุณหภูมิของดวงอาทิตย์สูงสุดอยู่ที่ 11000 F อุณหภูมิของดวงอาทิตย์ต่ำสุดอยู่ที่ 7000 F

       สำหรับดวงจันทร์อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ +280 F อุณหภูมิต่ำสุดของดวงจันทร์อยู่ที่ -275 F ในวันพุธที่ 27 เมษายน 2554  ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากโลก 150556374.2 กิโลเมตร ค่าดิคลิเนชั่นของดวงอาทิตย์คือ 13องศา 48 ลิปดา 50 ฟิลิปดา

       ดังนั้น สำหรับในเขตกรุงเทพฯ ในวันพุธที่ 27 เมษายน 2554  เวลาประมาณ 12.15 น.หรือ12.16 น.(จะตรงกับเวลาใดขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ตั้งของเขตนั้นๆเพราะพื้นที่ในกรุงเทพฯกว้างมาก) ดวงอาทิตย์จะอยู่เหนือศรีษะพอดี (90องศา)  ดังนั้นไม่ว่าใคร วัตถุอะไร หรือสิ่งก่อสร้างใดๆก็ตามแต่ ที่ตั้งฉากกับพื้นดิน เงาของสิ่งนั้นจะเท่าตัวพอดี (ไม่มีเงาให้เห็นใดๆทั้งสิ้นเลย)

       พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า



       “และทรงทำให้ดวงจันทร์ในชั้นฟ้าเหล่านั้นมีแสงสว่างและทรงทำให้ดวงอาทิตย์มีแสงจ้า” ซูเราะห์ นูฮ์ อายะห์ที่ 16 

       ในอายะห์นี้  พระผู้เป็นเจ้าใช้คำว่า "นูร" กับดวงจันทร์ ก็แสดงให้เห็นว่าดวงจันทร์ไม่มีแสงออกมาจากตัวเอง  แต่ที่เราเห็นดวงจันทร์มีแสงสว่างนวลตา  เพราะเป็นแสงที่รับมาจากดวงอาทิตย์  เราจึงสามารถมองดวงจันทร์ด้วยตาเปล่าได้  และพระผู้เป็นเจ้าใช้คำว่าซีรอจกับดวงอาทิตย์ ("ซีรอจ" แปลว่า "ตะเกียง")  ก็แสดงให้เห็นว่าดวงอาทิตย์มีแสงสว่างในตัวเอง  สามารถส่องแสงให้สิ่งรอบข้างได้อีกด้วย  เหมือนกับตะเกียงที่ส่องแสงให้กับสิ่ง หรือผู้คนที่อยู่รอบข้างได้ (สมัยนี้ตะเกียงอาจจะหาดูยากสักหน่อย แต่ที่เห็นกันอยู่บ่อยๆ  ก็คือหลอดไฟตามบ้านเรือนนั่นเอง)

       แสงที่ออกมาจากดวงอาทิตย์เกิดจากอะตอมของไฮโดเจนกำลังรวมตัวกัน  เป็นอะตอมของฮีเลี่ยม  แสงที่ออกมาจากดวงอาทิตย์จึงมีแสงจ้ามาก  ไม่สามารถมองด้วยตาเปล่าได้  ใจกลางของดวงอาทิตย์มีความร้อนสูงมาก  สูงถึง 14 ล้านองศาเซลเซียส  ส่วนพื้นผิวของดวงอาทิตย์  ที่เย็นกว่าบริเวณอื่น  จะเห็นเป็นจุดมืด ห้ามมองด้วยตาเปล่าอย่างเด็ดขาด (จุดมืดนี้เรียกว่า Sunspots)

       พี่น้องครับ มีสิ่งต่างๆมากมายที่  พระผู้เป็นเจ้าให้กับเรา  ลองสำรวจตัวเองว่า  วันนี้เราทำดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง ละหมาดครบหรือยัง  ถ้าทำครบแล้ว  ก็ให้รักษาความดีงามนี้ต่อไป  เพื่อเป็นเสบียง เป็นทุน ที่เราท่านทั้งหลายจะได้นำไปใช้ในโลกหน้าอาคิเราะห์  ภาพถ่ายด้านล่างเป็นภาพถ่ายทางดาวเทียม  แสดงถึงการผินไปสู่ทิศกิบลัต(กะบะห์)ได้ตรงและถูกต้อง ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 05, 2011, 08:21 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
         ในช่วงระยะเวลาในแต่ละปี ทุกๆปี  ด้วยความยิ่งใหญ่  เดชานุภาพ และความสามารถของพระผู้เป็นเจ้า  พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า


         "และแท้จริงพระเจ้าของท่านนั้น  แน่นอนพระองค์คือ ผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงเมตาตาเสมอ" อัซซุอะรออฺ อายะห์ที่ 104

         พระองค์สามารถบังคับให้ดวงอาทิตย์  มาอยู่เหนือกะบะห์พอดีได้  ไม่ใช่พึ่งมาตรงแต่ตรงมาตั้งนานแล้ว  ถ้าเราจะสังเกตุกันดีๆ  เราจะพบว่าในช่วงระยะเวลาภายใน 1 ปี  บางเดือนดวงอาทิตย์จะอยู่ทางเหนือบ้าง  บางเดือนดวงอาทิตย์อยู่ทางใต้บ้าง  บางเดือนดวงอาทิตย์ตกไว (มัฆริบไว มืดไว)  บางเดือนดวงอาทิตย์ตกช้า(มัฆริบช้า มืดช้า)  นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง  ที่เราท่านทั้งหลายสามารถสังเกตุได้  ด้วยการที่โลกหมุนรอบตัวเอง  และในขณะเดียวกัน  ก็หมุนรอบดวงอาทิตย์ไปด้วย  ค่าการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์  ในแต่ละวันจึงไม่เท่ากัน  ตามวิชาการเรียกว่า  ค่าดิคลิเนชั่นดวงอาทิตย์  อาจจะยากสักนิดนึง

         สำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐาน  ทางฟาลากียะห์  แนะนำว่าค่อยๆทำความเข้าใจ  ดังนั้นในรอบ 1 ปี จึงมีอยู่ 2 เดือน ที่ดวงอาทิตย์อยู่เหนือกะบะห์พอดี เดือนที่ 1 คือช่วงขาไป ซึ่งตรงกับเดือนพฤษภาคม  เดือนที่2  คือช่วงขากลับ  ซึ่งตรงกับเดือนกรกฎาคม

         ส่วนเรื่องของวันที่นั้น  ไม่ใช่ว่า  มีแค่ 2 วันในรอบ 1 ปี  จริงๆแล้วมีอยู่หลายวัน  แต่ว่า วันที่จะแนะนำคือ

       1. วันที่ 28 พฤษภาคม  เวลา 16.18 นาที  ตามเวลาประเทศไทย (เวลา 12.18 นาที ตามเวลาซาอุดิอาราเบีย  และเวลา 9.18 นาที ตามเวลากรีนิช เวลามาตรฐานโลก) 

       2. วันที่ 16 กรกฎาคม  เวลา  16.27 นาที ตามเวลาประเทศไทย (เวลา 12.27 นาที ตามเวลาซาอุดิอาราเบีย  และเวลา 9.27 นาที  ตามเวลากรีนิช เวลามาตรฐานโลก)

       ดังนั้น  ถ้าผู้ใดมีโอกาสอยู่ในมัสยิดฮารอม  ในวันเวลาดังกล่าว  ท่านจะพบว่าบริเวณด้านล่างของกะบะห์  ทั้ง 4 ด้าน  จะไม่มีเงาให้เห็นเลย  (มีข้อแม้อยู่นิดนึงว่า ถ้ากะบะห์ตั้งฉาก  กับพื้นบริเวณรอบๆกะบะห์)  ตามกฏวิชาการมีอยู่ว่า เมื่อดวงอาทิตย์อยู่เหนือสิ่งใด ในขณะเดียวกันสิ่งนั้น ตั้งฉากกับพื้นดิน  จะไม่ปรากฏเงาให้เห็นเลย

       พี่น้องครับอย่าทิ้ง  อย่าละเลยการละหมาด  เพราะการละหมาด  คือเสาหลักของศาสนา และการละหมาดก็เป็นอิบาดะห์ชนิดเดียว  ที่รอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ขึ้นไปรับด้วยกับตัวของท่านเอง  ในค่ำคืนเมี๊ยะรอจ  ทำตามใช้  ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 05, 2011, 08:24 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ خيرالاخوان

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 168
  • เพศ: ชาย
  • بيار فوتيه تولڠ جاڠن فوتيه مات
  • Respect: +7
    • ดูรายละเอียด
+ปลื้มข้อความไหน หรือคิดว่าข้อความไหนเป็นประโยชน์แก่ท่านและสาธารณะ กดไลค์ด้วยนะครับ มุมขวาบน+

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
 :salam:
      
           สุริยุปราคาที่เกิดในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช 2 ครั้งด้วยกัน ซึ่งพระองค์เสด็จทอดพระเนตรร่วมกับบาทหลวงเยซูอิต ชาวฝรั่งเศส ครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2228  ซึ่งเป็นสุริยุปราคาเต็มดวงโดยเสด็จทอดพระเนตรที่เมืองละโว้ ผ่านกล้องโทรทรรศน์ และครั้งที่สองเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2231 ซึ่งเป็นสุริยุปราคาบางส่วน สันนิษฐานว่าทรงเสด็จทอดพระเนตร ณ พระตำหนักเย็น ทะเลชุบศรทั้ง 2 ครั้งโดยทอดพระเนตรภาพดวงอาทิตย์บนฉากที่รับภาพจากกล้องโทรทรรศน์ที่บาทหลวงตั้งถวายให้ทอดพระเนตร  
         จนมาถึงสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงพระปรีชาสามารถทางด้านดาราศาสตร์ โดยทรงศึกษาวิชาการด้านนี้ด้วยพระองค์เองจากตำราโหราศาสตร์ไทยและตำราโหราศาสตร์สากล  ทรงวัดเส้นรุ้งเส้นแวงด้วยพระองค์เองทรงคำนวณว่าจะเกิด สุริยุปราคาเต็มดวง ที่บ้านคลองลึกตำบลหว้ากอ อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 ได้อย่างแม่นยำ ทั้งๆที่ทรงคำนวนไว้ล่วงหน้าถึง 2 ปี โดยทรงใช้กล้องโทรทรรศน์ส่วนพระองค์ในการทอดพระเนตร ทำให้พระองค์ทรงได้รับการยอมรับจากนานาอารยประเทศ และทรงได้รับการยกย่องว่าทรงเป็น "พระบิดาแห่งดาราศาสตร์ไทย" และในที่ 18 สิงหาคม ก็ได้รับการกำหนดให้เป็น "วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ" ของทุกปี การเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงในครั้งนี้ จึงนับว่ามีความสำคัญในประวัติศาสตร์ไทยเหตุการณ์หนึ่งทีเดียว
   สุริยุปราคาเต็มดวงที่เกิดขึ้นในประเทศไทยที่สำคัญมีอยู่ 4 ครั้งด้วยกัน คือ เมื่อ พ.ศ. 2411 พ.ศ. 2418 พ.ศ. 2472 และ พ.ศ. 2498 ตามลำดับ
  สุริยุปราคา หรือ สุริยคราส เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก โคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน โดยมีดวงจันทร์อยู่ตรงกลาง เงาของดวงจันทร์จะทอดมายังโลก ทำให้คนบนโลก (บริเวณเขตใต้เงามืดของดวงจันทร์) มองเห็นดวงอาทิตย์เว้าแหว่ง หรือบางแห่งเห็นดวงอาทิตย์มืดหมดทั้งดวง ช่วงเวลาที่เกิดสุริยุปราคาจะกินเวลาไม่นานนัก เช่น เมื่อวันที่ 24 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2538 ประเทศไทยสามารถมองเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงได้นาน 3 ชั่วโมง นับตั้งแต่ดวงจันทร์เริ่มเคลื่อนเข้าจนเคลื่อนออก

          สุริยุปราคาจะเกิดขึ้นเฉพาะในเวลากลางวันและตรงกับวันแรม 15 ค่ำ หรือวันขึ้น 1 ค่ำ เท่านั้น ตำแหน่งบนพื้นโลกที่อยู่ใต้เงามืดของดวงจันทร์จะมองเห็นดวงอาทิตย์มืดทั้งดวงเรียกว่า สุริยุปราคาเต็มดวง ท้องฟ้าจะมืดไปชั่วขณะ ในขณะที่ตำแหน่งบนพื้นโลกที่อยู่ภายใต้เงามัวจะมองเห็นดวงอาทิตย์ถูกบังไปบางส่วน เรียกว่า สุริยุปราคาบางส่วน สำหรับการเกิดสุริยุปราคาในช่วงที่ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกมากกว่าปกติ ทำให้เงามืดของดวงจันท์ทอดตัวไปไม่ถึงพื้นโลก แต่ถ้าต่อขอบของเงามืดออกไปจนสัมผัสกับพื้นผิวโลกจะเกิดเป็นเขตเงามัวขึ้น ตำแหน่งที่อยู่ภายใต้เงามัวนี้จะมองเห็นสุริยุปราคาวงแหวนดวงจันทร์มีขนาดเล็กกว่าดวงอาทิตย์มาก แต่ที่เรามองเห็นดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์ได้มิด ก็เพราะดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกมากกว่าดวงอาทิตย์
   ดังนั้นในการมองดวงอาทิตย์ ต้องอาศัยอุปกรณ์ช่วยกรองรังสีบางชนิดที่จะเข้าสู่ตา การใช้แว่นกันแดดในการมองเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง เพราะไม่สามารถป้องกันสิ่งที่เป็นอันตราย รวมทั้งรังสีอินฟราเรดที่ตามองไม่เห็นซึ่งจะเป็นอันตรายต่อเรตินาได้ การสังเกตจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ที่ทำมาโดยเฉพาะ จึงจะสามารถมองดวงอาทิตย์ตรงๆ ได้
     สุริยุปราคาไม่สามารถเกิดขึ้นจากการที่ดาวเทียมไปบังดวงอาทิตย์ได้ เนื่องจากดาวเทียมหรือสถานีอวกาศนั้นมีขนาดเล็กมาก ไม่พอที่จะบังแสงจากดวงอาทิตย์ได้เหมือนดวงจันทร์ หากจะเกิดสุริยุปราคาจากดาวเทียมนั้น ดาวเทียมต้องมีขนาดประมาณ 3.35 กิโลเมตร ทำให้การเคลื่อนทีของดาวเทียมหรือสถานีอวกาศนั้นเป็นได้เพียงการผ่านเท่านั้น เช่นเดียวกับการผ่านของดาวพุธและดาวศุกร์ ซึ่งเกิดขึ้นในเวลาสั้นๆ และสังเกตได้ยาก ส่วนความสว่างของแสงจากดวงอาทิตย์ก็ไม่ได้ลดลงไปจากเดิมเเน่นอน
     ส่วนถ้าเราท่านทั้งหลาย  จะย้อนดูหน้าประวัติศาสตร์อิสลาม  ในยุคญาฮิลียะห์  เชื่อกันว่า  เมื่อเกิดสุริยุปราคาหรือจันทรุปราคา  ความเชื่อของคนสมัยนั้นคือจะมีคนใหญ่คนโตเสียชีวิต  และบังเอิญในวันที่เกิดสุริยุปราคา  ท่านอิบรอฮีมบุตรชายของท่านนบีก็ได้เสียชีวิต   เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนในสมัยนั้น  เข้าใจผิด  และป้องกันไม่ให้เชื่อผิดๆ  รอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)จึงได้พูดขึ้นว่า  สุริยุปราคาและจันทรุปราคา  ทั้ง2จะไม่เกิดขึ้นเพราะการตายของผู้ใด  และเพราะการมีชีวิตอยู่ของผู้ใด
   รอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า “แท้จริงดวงอาทิตย์และดวงจันทร์นั้น  ทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาสัญลักษณ์ของพระผู้เป็นเจ้า  ทั้งสองไม่ได้เกิดคราสเพราะการตายของผู้ใด  และไม่ใช่เพราะการมีชีวิตอยู่ของผู้ใด  เมื่อพวกท่านพบเหตุการณ์ดังกล่าว  พวกท่านจงละหมาดและขอดุอา  จนกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกท่านจะคลายออก(สว่าง)”  รายงานโดยมุสลิม   ดังนั้นมีสุนัตให้อาบน้ำเพื่อละหมาดสุริยุปราคา(กุซูฟ)และจันทรุปราคา(คุซูฟ)  อาบเหมือนกับตอนที่จะไปละหมาดวันศุกร์  
   มีสุนัตให้ละหมาดสุริยุปราคา(กุซูฟ)  และจันทรุปราคา(คุซูฟ)  แบบญะมาอะห์  เมื่อละหมาดเสร็จแล้วให้ผู้นำที่มีความรู้ขึ้นคุตบะห์  ซึ่งวิธีการก็เหมือนกับคุตบะห์ในวันศุกร์  ทั้งในเรื่องรุกุ่นและซารัต  เป้าหมายหลักก็คือ  ให้ผู้คนหันมาเอาใจใส่เรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบๆตัว  ว่าถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทำ  ใครจะทำได้  หันมาสำรวจตัวเองว่า  วันนี้เราทำความดีเพื่อพระองค์หรือยัง  และเราได้นำพาบุคคลรอบข้างของเรา  เข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าหรือยัง  รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลมาสู่ท่าน  และสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ ละเว้นสิ่งที่ห้ามคือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 29, 2011, 10:07 PM โดย aubdulaudli »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
จซากัลลอฮุฅ็อยร็อนสำหรับข้อมูลดีๆ ครับ ยอมรับว่าไม่ค่อยได้รู้เรื่องดาราอิสลามเ่่ท่าไรหรอก เพราะไม่ค่อยถนัดเรื่องคำนวณด้วย ชื่นชมกับความสามารถที่ได้ถึงนำเสนอแบบนี้ ผิดถูกก็เป็นเรื่องธรรมดาครับ แต่อย่าบ่อยละกัน อิอิิ เป็นกำลังใจให้ครับ สู้ๆ ...
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ al-firdaus~*

  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 5015
  • เพศ: หญิง
  • 可爱
  • Respect: +161
    • ดูรายละเอียด

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
  ตอบ คุณ al Fatoni ตัวผมเองขอขอบคุณ ในความคิดเห็นดีๆครับ แต่ผมยังงงนิดนึง ที่บอกว่า ผิดถูกก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่อย่าบ่อยแล้วกัน ที่บอกว่าถูกนั้นผมไม่เป็นห่วง  แต่ที่ผมเป็นห่วงก็คือที่บอกว่าผิด  ช่วยบอกให้ชัดเจนหน่อยครับ ว่าผิดแบบใหนอย่างไร เพื่อจะได้ร่วมกัน สร้างสังคมให้ดีงามต่อไป แต่ถ้าหมายถึงด้านใต้บทความของผมทุกบทความ  ที่จะมีคำว่าแก้ไขครั้งสุดท้าย ผมยืนยันว่า ผมได้เข้าไปแก้ไข เฉพาะตัวอักษรภาษาไทย บางทีพิมพ์เกิน บางทีพิมพ์ขาดฯลฯเท่านั้น  ต้องขอมะอัฟด้วย  แต่สำหรับในเรื่องของอัลกุรอ่าน  อัลฮาดิษ  การคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม และเรื่องราวต่างๆที่ผมได้นำเสนอ  ผมยืนยันได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีที่มาที่ไป มาจากอำนาจ  มาจากความยิ่งใหญ่ และมาจากเดชานุภาพ  ความสามาถของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า การสรรเสริญทั้งมวลนั้น เป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งโลกทั้งหลาย ซูเราะห์ อัลฟาติฮะห์ อายะห์ที่ 2  คำว่าโลกทั้งหลายนั้นก็คือ ไม่ใช่ว่า พระผู้เป็นเจ้า เป็นพระเจ้าเฉพาะโลกมนุษย์ โลกของมาลาอิกะห์ โลกของยิน โลกของไซตอนมารร้าย  โลกของทุกๆสรรพสิ่งที่อยู่ในห้วงอวกาศ  ทุกๆสรรพสิ่งที่อยู่ในฟากฟ้า ที่มนุษย์สามารถสำผัสได้ และที่มนุษย์ ยังไม่สามารถเข้าไปถึง  โลกของทุกๆสรรพสิ่งที่อยู่บนพื้นแผ่นดิน   และอยู่ลึกลงไปใต้พื้นแผ่นดิน  ทุกสิ่งทุกอย่าง  ทั้งหลายทั้งปวงนั้น  ล้วนแล้วแต่ อยู่ใต้อำนาจของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลมาสู่ท่าน  และสังคมสืบต่อไป ทำตามใช้ ละเว้นสิ่งที่ห้ามคือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
จริงๆ ผมไม่มีความรู้เรื่องดาราศาสตร์เลย ฉะนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ ที่ผมจะรู้ได้ชัดเจนว่า สิ่งที่คุณ aubdulaudli นำเสนอนั้นถูกหมด หรือผิดหมด หรือชี้จุดได้ว่าตรงไหนผิดถูก แต่ผมก็เชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นย่อมมีผิดและถูกคละเคล้ากันไป ผมพูดในเชิงกว้างมากกว่า ไม่มีอะไรหรอกครับ สบายใจได้ - วัลลอฮุอะอ์ลัม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
   

السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
 
   การศึกษาหาความรู้นั้น  สำหรับผู้ศรัทธาแล้ว  ถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็น  ไม่ว่าผู้ศรัทธานั้นจะเป็นชาย หรือหญิงก็ตาม  แหละความรู้นี้เอง  จะเป็นสิ่งนำพาเราไปสู่  สิ่งที่ถูกต้อง  นำพาเราไปสู่  การปฏิบัติที่ถูกตอบรับ  นำพาเราไปสู่  ความพึงพอพระทัยจากพระผู้เป็นเจ้า  นำพาเราไปสู่  สิ่งที่ดีงามทั้งดุลยา  และโลกหน้าอาคิเราะห์  พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า  “จงประกาศเถิด   โอ้มุฮัมมัด บรรดาผู้รู้ กับผู้ไม่รู้นั้น จะเท่าเทียมกันหรือ?ซูเราะห์อัซซุมัรฺ อายะห์ที่ 9 ตามวิชาการ อิสติฟฮามตรงนี้  เรียกว่าอิสติฟฮามอิงการี บิมะนันนัฟยิ ดังนั้นจึงมีความหมายว่า  บรรดาผู้รู้  กับผู้ที่ยังไม่รู้นั้น  ย่อมไม่เท่าเทียมกัน  ย่อมไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน  บรรดาคนที่ทำความดี  กับคนที่ทำสิ่งที่ไม่ดี  ย่อมไม่เท่าเทียมกัน  ย่อมไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน  บรรดาผู้ที่ศรัทธา  กับผู้ที่ไม่มีความศรัทธา  ย่อมไม่เท่าเทียมกัน  ย่อมไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน  มุ่งสู่ 1รอมาฎอน ฮ.ศ.1432
วันที่1ญุมาดุ้ลซานี ฮ.ศ.1432. จากการติดตามดูผลการดูจันทร์เสี้ยวของผู้เชี่ยวชาญ  ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 5 พ.ค. 2554 การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้) (( صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، فَإِنْ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا ))
رواه البخاري (1810) ومسلم (1080)
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080) ตามฮาดีษดังกล่าว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน ซึ่งเป็นวันที่ต้องดูดวงจันทร์นั้น ถึงแม้มีดวงจันทร์อยู่แต่มีเมฆบังทำให้ไม่สามารถจะเห็นดวงจันทร์ได้ ท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ใช้ให้นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเสียก่อน จึงจะไปเริ่มวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกลเห็นดวงจันทร์ให้ถือตามประเทศนั้น นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้ عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى. ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์ ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม** ทั้งนี้ การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่หนึ่งของเดือนอื่นๆ ก็ใช้หลักการเช่นเดียวกันนี้ ** วันนี้วันศุกร์ที่  6  พ.ค.  2554  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ  สำหรับ กทม.  ซุบฮิ เวลา04.31.12 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.55.15 วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.15.22 วินาที  อัสริ เวลา15.27.20 วินาที  มักริบเวลา 18.35.38 วินาที  อีซาเวลา 19.50.52 วินาที  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ  สำหรับ  มัสยิดฮารอม  ซุบฮิ เวลา04.17.44 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.44.13 วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.17.16 วินาที  อัสริ เวลา15.37.27 วินาที  มักริบเวลา 18.50.36 วินาที  อีซาเวลา 20.07.37 วินาที  สำหรับปี พ.ศ. 2554  มีจันทรุปราคา 2 ครั้ง และเป็นจันทรุปราคาแบบเต็มดวงทั้ง 2 ครั้งเลย  ครั้งแรกเกิดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 16 มิ.ย. 2554 (รอดูตั้งแต่คืนวันพุธที่15 มิ.ย. 2554)พื้นที่บนโลก  ที่เห็นปรากฏการณ์ครั้งนี้คือ  ประเทศไทย  ทวีปอเมริกาใต้  ยุโรป  แอฟริกา  เอเชีย  ออสเตรเลีย  และด้านตะวันตกของมหามุทรแปซิฟิก  (สำหรับประเทศไทยต้องติดตามดู  เพราะอยู่ในช่วงหน้าฝน  ท้องฟ้าจะอำนวยหรือไม่)  ดวงจันทร์เข้าสู่เงามัวของโลกเวลา 00.24.34 วินาที  เริ่มเกิดจันทรุปราคาบางส่วน(ดวงจันทร์เริ่มแหว่ง) เวลา 01.22.55 วินาที เริ่มเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงเวลา 02.22.29 วินาที(ดวงจันทร์จะไม่มืดสนิท  เห็นเป็นสีส้ม  เพราะแสงหักเหผ่านบรรยากาศโลกไปที่ดวงจันทร์)  จุดกึ่งกลางของปรากฏการณ์ครั้งนี้  อยู่ที่เวลา 03.12.36 วินาที สิ้นสุดจันทรุปราคาเต็มดวง เวลา 04.02.42 วินาที สิ้นสุดจันทรุปราคาบางส่วนเวลา 05.02.15 วินาที  ดวงจันทร์พ้นเงามัวของโลกเวลา 06.00.44 วินาที  จันทรุปราคาแบบเต็มดวงปีนี้จะเกิดขึ้นอีกครั้ง  ในวันเสาร์ที่ 10 ธ.ค. 2554  (จะเห็นได้ง่ายหน่อย  เพราะอยู่ในช่วงฤดูหนาว)พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8  รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงาม  จะหลั่งไหลสู่ตัวท่าน  และสังคม  ทำตามใช้  ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา

ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
 :salam:
          การศึกษาหาความรู้นั้น  สำหรับผู้ศรัทธาแล้ว  ถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็น  ไม่ว่าผู้ศรัทธานั้นจะเป็นชาย หรือหญิงก็ตาม  แหละความรู้นี้เอง  จะเป็นสิ่งนำพาเราไปสู่  สิ่งที่ถูกต้อง  นำพาเราไปสู่  การปฏิบัติที่ถูกตอบรับ  นำพาเราไปสู่  ความพึงพอพระทัยจากพระผู้เป็นเจ้า  นำพาเราไปสู่  สิ่งที่ดีงามทั้งดุลยา  และโลกหน้าอาคิเราะห์  พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า  “จงประกาศเถิด   โอ้มุฮัมมัด บรรดาผู้รู้ กับผู้ไม่รู้นั้น จะเท่าเทียมกันหรือ?ซูเราะห์อัซซุมัรฺ อายะห์ที่ 9 ตามวิชาการ อิสติฟฮามตรงนี้  เรียกว่าอิสติฟฮามอิงการี บิมะนันนัฟยิ ดังนั้นจึงมีความหมายว่า  บรรดาผู้รู้  กับผู้ที่ยังไม่รู้นั้น  ย่อมไม่เท่าเทียมกัน  ย่อมไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน  บรรดาคนที่ทำความดี  กับคนที่ทำสิ่งที่ไม่ดี  ย่อมไม่เท่าเทียมกัน  ย่อมไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน  บรรดาผู้ที่ศรัทธา  กับผู้ที่ไม่มีความศรัทธา  ย่อมไม่เท่าเทียมกัน  ย่อมไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน  ข้อคิดดีๆ  ก็คือ  ส่งเสริม  แหละก็เป็นกำลังใจให้  บรรดาผู้ที่ยังไม่รู้  ได้เดินหน้าศึกษาหาความรู้กันต่อไป  ส่วนหน้าที่หลักของผู้รู้ทุกๆคน  นั้นก็คือ  ต้องบอก  และต้องเผยแพร่  ให้ผู้ที่ยังไม่รู้  ทราบถึงข้อเท็จจริง  ในวิชาการ  ของศาสนาแขนงต่างๆ  เพราะสิ่งนี้  ถือว่าเป็นความรับผิดชอบ  ที่ได้รับมาจากพระผู้เป็นเจ้า  (ไม่ว่า  ท่านจะศึกษาวิชาอะไร  หรือท่านกำลังทำอะไร  ที่ศาสนาอนุมัติ  ขอให้ท่าน  สนใจๆๆๆ  แหละใส่ใจๆๆๆ  อินซาอัลลอฮฺ  ความสำเร็จกำลังรอคอยท่านอยู่  อย่างแน่นอน)  ประเทศไทย  ตั้งอยู่ในเขตร้อน ซึ่งหมายถึง  พื้นที่ระหว่างเส้นสำคัญทางภูมิศาสตร์ 2 เส้น  ได้แก่  เส้นที่ 1 คือ  เส้นทรอปิกออฟแคนเซอร์ (Tropic of Cancer)  กับเส้นที่ 2 คือ  เส้นทรอปิกออฟแคปริคอร์น (Tropic of Capricorn)  ในแต่ละปี  ประเทศที่อยู่ในเขตร้อน  จะมีวันที่ดวงอาทิตย์ผ่านใกล้จุด  เหนือศีรษะมากที่สุด 2 วัน  กรุงเทพฯ  อยู่ในราววันที่ 27 เมษายน  และ 16 สิงหาคม  เดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม  กรุงเทพฯ จึงมักมีอากาศร้อนที่สุด  ส่วนในเดือนสิงหาคม  แม้ว่าดวงอาทิตย์  จะผ่านจุดเหนือศีรษะอีกเช่นกัน  แต่กลับจะไม่ค่อยร้อนมากนัก  เพราะเป็นช่วงที่มีฝนตกชุก  โดยได้รับอิทธิพลจากลมมรสุม  ตะวันตกเฉียงใต้  และร่องความกดอากาศต่ำพาดผ่าน  ดังนั้นหหลายคนอาจเข้าใจว่า  ประเทศไทยมีอากาศร้อนมากที่สุด  ในช่วงเดือนเมษายน  เพราะดวงอาทิตย์ใกล้โลกที่สุด  นั่นนับว่าเป็นความเข้าใจ  ที่ผิดถนัดเลยครับ  ส่วนในช่วงเดือนเมษายน  ประเทศไทยมีอากาศร้อนมากที่สุด  สาเหตุเกิดมาจาก  การที่ดวงอาทิตย์  เคลื่อนผ่านใกล้จุดเหนือศีรษะในเวลาเที่ยงวัน  โดยทำมุมตั้งฉากกับพื้นดิน  จึงได้รับรังสีความร้อนจากแสงอาทิตย์อย่างเต็มที่   
   วันนี้  วันอาทิตย์ที่ 15 พ.ค. 2554  ดวงอาทิตย์จะผ่านใกล้จุด  เหนือศีรษะ(ตามวิชาการเรียกว่า 90 องศา)  ที่อ.เมืองเชียงใหม่ เวลา 12.20  นาที  ซึ่งจะสังเกตได้ว่าเวลานั้น  ผู้คนหรือสิ่งก่อสร้าง  เสา  ต้นไม้  ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตั้งฉากกับพื้นดิน  จะไม่ปรากฏเงาให้เห็นเลย   สำหรับที่อ.เมืองเชียงใหม่  ดวงอาทิตย์จะผ่านใกล้จุด  เหนือศีรษะ(ตามวิชาการเรียกว่า 90 องศา)  อีกครั้ง  ในวันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม  2554 เวลา 12.31 นาที
 มุ่งสู่ 1รอมาฎอน ฮ.ศ.1432 
การวิเคราะห์  แหละการคำนวน  ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม  วันที่ 29 ญุมาดุ้ลซานี ฮ.ศ.1432.  ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 2 มิ.ย. 2554  ดังนั้นหลังจากเข้าเวลามัฆริบของวันดังกล่าว  จึงต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว  เพื่อกำหนดวันที่ 1 เดือนร่อยับ ฮ.ศ. 1432  การคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม  ได้ข้อมูลดังต่อไปนี้  วันพฤหัสบดีที่ 2 มิ.ย. 2554  กทม.  เข้าเวลามัฆริบ 18.43.20 วินาที  ในวันเวลาดังกล่าว  ดวงจันทร์ตกเวลา 19.12.21 วินาที  มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว 29 นาที 01 วินาที  อายุดวงจันทร์ 14 ชม. 53 นาที 37 วินาที  ขณะนั้นดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลก  390309.10 กิโลเมตร  ผลที่ได้คือ  ถ้าฝนไม่มา  ฟ้าไม่มืด  จะต้องใช้กล้องดูเท่านั้น  จึงอาจจะเห็นจันทร์เสี้ยวได้  แต่ถ้าจะดูด้วยตาเปล่าแล้ว  บอกได้เลยว่า  จะไม่เห็น  จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน  ถึงแม้ว่า  ท้องฟ้าจะเปิดก็ตาม(ฝนไม่มา  ฟ้าไม่มืด)  ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก  เข้าเวลามัฆริบ 18.39.40 วินาที  ในวันเวลาดังกล่าว ดวงจันทร์ตกเวลา  19.08.29 วินาที  มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว 28 นาที 48 วินาที  อายุดวงจันทร์ 14 ชม. 49 นาที 50 วินาที  ขณะนั้นดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลก  390318.42  กิโลเมตร  ผลที่ได้คือ  ถ้าฝนไม่มา  ฟ้าไม่มืด  จะต้องใช้กล้องดูเท่านั้น  จึงอาจจะเห็นจันทร์เสี้ยวได้  แต่ถ้าจะดูด้วยตาเปล่าแล้ว  บอกได้เลยว่า  จะไม่เห็น  จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน  ถึงแม้ว่า  ท้องฟ้าจะเปิดก็ตาม(ฝนไม่มา  ฟ้าไม่มืด)  จังหวัดยะลา  เข้าเวลามัฆริบ 18.28.31 วินาที  ในวันเวลาดังกล่าว  ดวงจันทร์ตกเวลา  18.56.17 วินาที  มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว 27 นาที 46 วินาที  อายุดวงจันทร์ 14 ชม. 38 นาที 14 วินาที  ขณะนั้นดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลก  390347.09  กิโลเมตร  ผลที่ได้คือ  ถ้าฝนไม่มา  ฟ้าไม่มืด  จะต้องใช้กล้องดูเท่านั้น  จึงอาจจะเห็นจันทร์เสี้ยวได้  แต่ถ้าจะดูด้วยตาเปล่าแล้ว  บอกได้เลยว่าจะไม่เห็น  จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน  ถึงแม้ว่า  ท้องฟ้าจะเปิดก็ตาม(ฝนไม่มา  ฟ้าไม่มืด)  จังหวัดเชียงใหม่  เข้าเวลามัฆริบ 18.57.43 วินาที  ในวันเวลาดังกล่าว  ดวงจันทร์ตกเวลา  19.27.42 วินาที  มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว 29 นาที 59 วินาที  อายุดวงจันทร์ 15 ชม. 08 นาที 25 วินาที  ขณะนั้นดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลก  390272.51  กิโลเมตร  ผลที่ได้คือ  ถ้าฝนไม่มา  ฟ้าไม่มืด  จะต้องใช้กล้องดูเท่านั้น  จึงอาจจะเห็นจันทร์เสี้ยวได้  แต่ถ้าจะดูด้วยตาเปล่าแล้ว  บอกได้เลยว่า  จะไม่เห็น  จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน  ถึงแม้ว่า  ท้องฟ้าจะเปิดก็ตาม(ฝนไม่มา  ฟ้าไม่มืด)  จังหวัดเชียงราย  เข้าเวลามัฆริบ 18.56.25 วินาที  ในวันเวลาดังกล่าว  ดวงจันทร์ตกเวลา  19.26.27 วินาที  มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว 30 นาที 02 วินาที  อายุดวงจันทร์ 15 ชม. 07 นาที 08 วินาที  ขณะนั้นดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลก  390275.67  กิโลเมตร  ผลที่ได้คือ  ถ้าฝนไม่มา  ฟ้าไม่มืด  จะต้องใช้กล้องดูเท่านั้น  จึงอาจจะเห็นจันทร์เสี้ยวได้  แต่ถ้าจะดูด้วยตาเปล่า  บอกได้เลยว่า  จะไม่เห็น  จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน  ถึงแม้ว่า  ท้องฟ้าจะเปิดก็ตาม(ฝนไม่มา  ฟ้าไม่มืด)  ดังนั้นจึง  สรุปได้ว่า  ในวันพฤหัสบดีที่ 2 มิ.ย. 2554  ถ้าไม่มีผู้ใดเห็นจันทร์เสี้ยว  วันที่ 1 เดือนร่อยับ ฮ.ศ. 1432  ตรงกับวันเสาร์ที่ 4 มิ.ย. 2554  แต่ถ้าหากว่า  ในวันพฤหัสบดีที่ 2 มิ.ย. 2554  มีผู้เห็นจันทร์เสี้ยว  วันที่ 1 เดือนร่อยับ ฮ.ศ. 1432  ตรงกับวันศุกร์ที่ 3 มิ.ย. 2554  การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้) (( صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، فَإِنْ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا ))
رواه البخاري (1810) ومسلم (1080)
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080) ตามฮาดีษดังกล่าว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน ซึ่งเป็นวันที่ต้องดูดวงจันทร์นั้น ถึงแม้มีดวงจันทร์อยู่แต่มีเมฆบังทำให้ไม่สามารถจะเห็นดวงจันทร์ได้ ท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ใช้ให้นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเสียก่อน จึงจะไปเริ่มวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกลเห็นดวงจันทร์ให้ถือตามประเทศนั้น นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้ عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى. ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์ ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม** ทั้งนี้ การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่หนึ่งของเดือนอื่นๆ ก็ใช้หลักการเช่นเดียวกันนี้ ** วันนี้วันอาทิตย์ที่  15  พ.ค.  2554  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)  สำหรับ กทม.  ซุบฮิ เวลา 04.26.46 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.52.18 วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.15.02 วินาที  อัสริ เวลา15.32.07 วินาที  มักริบเวลา 18.37.55 วินาที  อีซาเวลา 19.54.26 วินาที  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ  สำหรับ  มัสยิดฮารอม  ซุบฮิ เวลา 04.11.20 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.39.42 วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.16.58 วินาที  อัสริ เวลา15.34.41 วินาที  มักริบเวลา 18.54.29 วินาที  อีซาเวลา 20.13.05 วินาที  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ  สำหรับ  มัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิ เวลา 04.04.06 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.34.21 วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.17.54 วินาที  อัสริ เวลา15.42.58 วินาที  มักริบเวลา 19.01.45 วินาที  อีซาเวลา 20.21.49 วินาที  พี่น้องครับ  ซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของ  การทำบุญ  ให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุล  และเป็นความดีงาม  ที่ยิ่งใหญ่มาก  ณ ฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า   พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8  รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงาม  จะหลั่งไหลสู่ตัวท่าน  และสังคม  สืบต่อไป  ทำตามใช้  ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

 

GoogleTagged